ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูเขาเหล็กสีฟ้า และ ศรัทธาที่หายไป

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ ๑ เขาเล่นซ่อนหากับตนเอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 196
      0
      13 ม.ค. 51

    ตอนที่ ๑ เขาเล่นซ่อนหากับตนเอง

    ครองสุขยืนหลบมุมขอบประตูบานไม้สักสีทอง

    "ตา" เขาเอ่ยขึ้นในใจ

    "

    ว่าแต่นี่มันวันรวมญาติ หรืออย่างไรกัน…น่าเบื่อที่สุด" ทั้งที่พูดออกไปอย่างนั้น ปากคงไม่ตรงกับใจเสียเท่าไร ด้วยขากับไม่ยอมเดินผละห่างไป แถมความอยากรู้ยังทำให้เขาต้องชะเง้อตัวดูเหตุการณ์เป็นระยะไม่นานนักจากที่เคยเงียบสงบ ความสับสนวุ่นวายกับก่อตัวขึ้นพร้อมเปลี่ยนเป็นพายุอารมณ์ของคนหลายวัย ที่ยืนประจันหน้ากันรอบเตียงไม้โบราณ ต่างระเบิดสงครามวาจาใส่กันคล้ายคลื่นทะเลบ้าคลั่ง ประหนึ่งหวังจะกวาดทุกสิ่งทุกอย่างให้สาบสูญไร้ล่องรอยใดไว้จดจำ

           "

    คนยังไม่ตาย.........ทำไมปากร้ายแช่งกันอย่างนี้" ชายอ้วน ใส่แว่นกรอบงาช้างโวยขึ้น

           "

    รอให้สิ้นใจเสียก่อนนะเหรอ เรื่องทุกอย่างมันจะได้คาราคาซังมีหวัง ได้ฟ้องร้องให้เสียชื่อเสียงตระกูลอีก" หญิงผอมสูง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราใช้คำพูดที่ทำให้คนทั่วทั้งห้องไม่พอใจเป็นที่สุด
             
    "มิน่าล่ะ เธอถึงแบกหน้ามาจากเมืองหลวงหวังให้พ่อทำพินัยกรรมให้ในวันนี้สินะ คิดหรือ ว่าเธอจะได้อะไรติดมือกลับไป" ชายคนเดิมกล่าว
             "ถ้าทุกคนยังไมหยุดเรื่องบ้าบอคอแตกพวกนี้อีก พวกแกก็ก้าวออกไปจากบ้านหลังนี้ได้เลย ก่อนที่ฉันจะตัดหางปล่อยวัดเสียทั้งหมด" หญิงชราสูงวัย ประกาศก้อง ความรู้สึกตอนนี้ ทั้งน้อยใจระคนความโมโหเลือดเนื้อเชื้อไขของตน พลอยให้ภาพในอดีตเมื่อครั้งลูกยังเล็กซึ่งตบตีแย่งชิงของเล่นกันตามประสาเด็กย้อนกลับมา ล่วงเลยมาถึงวันนี้สิ่งที่เห็นต่อหน้าก็ไม่ต่างอะไรกันมากนัก หากคิดตัดช่องน้องแต่พอตัวเธอเองอยากตัดปัญหาทุกอย่างด้วยการตั้งมั่นสิ้นใจไปพร้อมชายคนรักซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันร่วมห้าสิบปี
    "ตาแก่..........จะด่วนทิ้งฉันไปได้ลงคอเชียวฤา" หญิงชราเอื้อมมือไปกุมอีกมือหนึ่ง ซึ่งมีเพียงแต่ชีพจรเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่า ร่างซูบผอมอิดโรยนี้ยังคงมีชีวิตอยู่..............

                       ครองสุขจับหางเปียที่ยาวเลยแผ่นหลังขึ้นมาปัดไปมาใต้คาง

    "

    ไม่..... ไม่ใช่.........ไม่ใช่ตาคนเดิมที่เคยรู้จักดอก" เขาหวังว่าภาพที่เห็นตอนนี้เป็นเพียงฝันร้าย จึงข่มตัวเองด้วยคำพูดเช่นนั้น. อยู่ๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็เอ่อไหลออกมา คงเพราะความรู้สึกไม่อาจซ่อนไว้ต่อได้อีกแล้ว จึงจำต้องปาดน้ำตาแล้วเดินก้มหน้าจากไปอย่างรีบเร่ง หัวใจดวงน้อยเวลานี้คงยากที่ใครจะเข้าใจได้หยุดเถอะเจ้าน้ำตา หากไม่เข้มแข็งอย่างนี้ เจ้าจะทำตามสัจจะที่ให้ไว้ได้อย่างไร

             "

    ตา........

             "

    ฝันร้ายซุกซ่อนใต้หมอนยามเหว่ว้า

    ฤาเป็นศรัทธาที่สั่นคลอน

    พระจันทร์เสี้ยว กระต่ายน้อย ลับตา

    ในคืนที่ปวดปร่า ฉันเพรียกหา ความสุขกลับคืน"

    .................................

               ตัวโชคร้าย ลูกไม่มีพ่อ ไม่มีแม่

                      เจ้าแกละที่ยายบรรจงถักเปียให้อย่างสวยสุดฝีมือ เป็นตัวนำความโชคร้ายมาสู่บ้านดั่งคำอ้างของผู้ไม่ประสงค์ดีที่โจษจันจริงหรือไม่ ข้อนี้ครองสุขเองก็หวั่นไหวอยู่ในใจมิน้อย

    ………………..

                        ตั้งแต่จำความได้ โรงพยาบาล เข็มฉีดยา น้ำเกลือ วิตามิน ยาลูกกลอน และ เจ้าชายชุดขาว( หมอ ) รวมไปถึงมัจจุราช กระทั่งความตาย วนเวียนอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก จนเรียกได้ว่าหายใจรดต้นคอกันอย่างครื้นเครงทีเดียว ในหยาดน้ำตาก็มีมุขตลกร้าย ซ่อนตัวให้หัวเราะเริงร่าอยู่เหมือนกัน

                   ใต้ต้นมะขาม ที่ปลูกเรียงเป็นแถวหน้ากระดานสามต้น แสงอาทิตย์กล่าวอำลาคล้อยต่ำลงอย่างรวดเร็วเงาของครองสุขที่วิ่งเล่นเป็นร่างยาวๆ ดูแล้วชวนขนหัวลุกดีแท้ แต่เขาหาสนใจไม่ ยังคงวิ่งเล่นสนุกสนานคนเดียวแบบไม่อนาทร-ร้อนใจใดๆ

    "

    เอาละนะ นับจากร้อยไปศูนย์ เลย.............หนึ่งร้อย เก้าสิบเก้า........." เสียงดังฟังชัด ดังทั่วลานกว้าง ใช่แล้วยามนี้เขาเล่นซ่อนหากับตัวเอง แล้วมันจะสนุกได้อย่างไรเล่า แต่เขาก็ทำให้ทุกอย่างลงเอยและสนุกในมุมมองของเขาเอง

    "

    โป้ง แปะ" เดิน ดุ่มๆ ตามเก็บตุ๊กตาไม้ ที่ทั้งโยนและขว้างไปทั่วทุกทิศ

                  ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว โผล่ขึ้นมาทักทายในหัวค่ำ ยิ่งมืด ความลุ้นระทึกของเกมซ่อนหายิ่งเพิ่มความเข้มข้นตามมาอีกระดับ ไฟฉายในมือสอดส่องสาดแสงไปทั่ว ต้นหญ้าพลิ้วไหวตามแรงลม แมลงประสานเสียงดังระงมพลอยทำให้ใจเต้นตึกตักอย่างบอกไม่ถูก

    "

    อยู่ไหนนะ เจ้าทหารเกเร" เขากวาดสายตา และใช้ไม้เท้าเปิดทางรกชัฏเพื่อมองหาสิ่งที่ต้องการ

    "

    โป้งๆๆๆๆ" ปากร้อง ฮึกเหิมข่มความเหงาซึ่งเกาะกินใจ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ภาพที่เห็นกับไม่ใช้ตุ๊กตาไม้ ครองสุขเกาหัวแกรกๆ "อัศวินทั้งเจ็ด จะขาดใครไปไม่ได้" เขาเดินหัวเสียหน้างอคว่ำ ความโมโหพลุกพล่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพื่อระบายอารมณ์จึงใช้ไม้เท้ากวดแกว่งหวดอากาศบ้าง ไล่ตีกิ่งก้านต้นไม้ที่โน้มตัวลงมาสู่พื้นดินไปทั่วจนอ่อนแรง      ครองสุขสูดสมหายใจเข้าเต็มปอด เรียกพลังในตัว ฝืนแสยะยิ้มและสร้างความสุขให้ตัวเองอีกครั้ง เหมือนการกลบเกลื่อนโป้ปดว่าไม่มีความหมองใจ แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่สำเร็จ"เฟี้ยว" ไม้เท้าลอยเคว้งไปในอากาศ จากนั้นก็ใช้ขาข้างขวาเตะใส่ไปที่ต้นหญ้าซึ่งขึ้นสูงระดับเข่า"นี่แน่ะ ไอ้บ้าเอ๊ย ........หายไปไหนนะ" สบถ สบถ และตามด้วยคำสบถอย่างไรเหตุผลอยู่นานสองนาน

                       ลมพัดผ่านกายหอบใหญ่ เขายืนนิ่งปล่อยให้ธรรมชาติบำบัดความขุ่นมัวภายในจิตใจ แสงสีทองลอดผ่านมาจากกิ่งก้านของต้นไม้ กระทบผิวกาย ครองสุขมองไปที่มือของตนเอง เส้นหนึ่งที่ลากยาวกลางฝ่ามือความสงสัยเมื่อวัยเด็กจนได้คำตอบจากตาว่า "เส้นนี้ เขาเรียกว่าเส้นของการเดินทาง"

    "

    ชีพจรลงเท้าตั้งแต่ตัวยังไม่ทันเท่าฝาหอยเลยล่ะไอ้หนู" ยายไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน

    "

    ต้องบอกว่าตั้งแต่อยู่ในท้องถึงจะถูกนะยายแก่" ตาแก้ความให้ถูก

    "

    ในท้องแม่เหรอ" เขาร้องแสดงความดีใจ ผิดกับตากับยาย ทั้งคู่เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด        จะแปลกอะไรแค่เด็กคนหนึ่งที่ความตายพรากแม่ไปจากเขาและอีกไม่นานนักนับจากนี้ เขาจักต้องสูญเสียคนที่รักยิ่งไปอีกคน "ตา"

    ……………….

                 ในฝัน เวลาหมุนไปหากล่องแห่งความทรงจำ

    "

    ผมเปียมาเลียใบตอง พระตีกลองตะลุ่งตุ้งมง"

    "

    ผมแกละ กระแดะใส่เกือก ตกน้ำตาเหลือก เหลือเกือกข้างเดียว"

    ตาว่าพลางเล่นปูไต่ทั่วตัวหลานชายอย่างสนุกสนาน แล้วพอเจ้าตัวยุ่งทำตัวไม่นิ่งยายก็หยิกเข้าให้ที่ต้นขา เพราะถักผมเปียให้ไม่ได้ จนครองสุขเองนั่งหัวเราะร้องไห้ทั้งน้ำตา

    "

    ทำไม หนูต้องมีผมเปียด้วยละตา"

    คำถามทำให้ตาหยุดทำปูไต่ และยายวางมือจากการสาละวนกับหัวหลานชาย

    "

    ก็จะได้เลี้ยงง่าย หายป่วยไข้ เป็นขวัญของชีวิต" ตาพูดจบ ยายจึงเริ่มลงมือทำงานต่อ

    "

    แล้วทำไมคนอื่น เขาว่าหนูเป็นตัวโชคร้าย เป็นลูกผี ไม่มีพ่อ กินแม่"

    "

    " อืมม์ เอาเถอะน่า จะใครก็ช่างเถอะ มันไม่จริงสักหน่อย อย่าไปสนใจให้มากความเลย" ตาคว้าหลานรักไปกอด

    ปลอบโยนด้วยการลูบหัว           

    ใคร........" ยายทิ้งหวีลงพื้น และหันมาเค้นความจริงจากเขาทันทีครองสุขมองยายที่ยืนตัวแข็งทื่อ เขาสังเกตและจับพิรุธได้ว่ายายเช็ดน้ำตาและยิ้มแก้เขินเมื่อเขาจ้อง ตาจับมือยายไปกุมไว้ หลานชายไม่อยากให้ยายเสียใจกับคำพูดที่เขาพลั้งปากไปจึงโผเข้าไปกอดยายบ้าง ยายหอมที่หน้าผากและยิ้มให้อีกครั้ง

    "

    หน้าตาเหมือนกันเสียจริง...ด้วยความรักของแม่หนอ ถึงได้ซุกซนให้ยายได้เหนื่อยสายตัวแทบขาดจนถึงวันนี้"

    …………………….

                     คงเป็นความฝันเป็นแน่แท้

    อีกไม่นานเขาก็จะตื่นขึ้นจากภวังค์ ทั้งที่อยากจะรั้งช่วงเวลานั้นไว้ให้เนิ่นนานที่สุด แต่ก็ทำได้แค่เพียงปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยมิอาจทำให้ทุกอย่างย้อนคืนกลับมาได้
                    หิ่งห้อยกระพริบแสงระยิบระยับอยู่ไม่ไกลมากนัก

    "

    เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป" เขาลืมตาขึ้นมือสัมผัสเข้ากับไม้เท้าของตาและเจ้าตุ๊กตาอัศวินล่องหนตัวที่เจ็ด "เจ้าแจ็คตาเดียว"

    ครองสุขเหม่อมองไกลสุดสายตาแต่ก็หามีใครอยู่ในอาณาเขตรัศมีไม่ "นางฟ้า"หากเขาเป็นเด็กเล็กอายุไม่เกินห้าขวบคงจะคิดไปอย่างนั้น แต่นี่เขาโตเกินจะตอบคำถามตัวเองเป็นว่าทุกอย่างที่ผ่านมานี้เป็นนิทานก่อนนอน

    หากโลกนี้ยังมี นางฟ้า คงไม่พ้นที่จะมีแม่มดร้าย เจ้าชายขี่ม้าขาว ดาบวิเศษ มังกรพ่นไฟ และอีกสารพัด ตัวละครในยามนอนหนุนตักยาย โดยมีตานั่งอยู่บนเก้าอี้โยกคอยเล่าเรื่องสนุกใต้แสงจันทร์ให้ฟัง เป็นการเติมเต็มจินตนาการให้กว้างไกลพร้อมที่จะออกผจญภัยสู้เวิ้งฟ้ากว้างตามใจฝัน
    จากจุดที่ครองสุขนอนราบกับพื้น ความหดหู่สับสนเลือนหายไปเมื่อเริ่มมีสมาธิตั้งมั่นแลไปข้างหน้า เจ้าตะเกียงดวงน้อยลอยสูงต่ำ มองดูแล้วคล้ายต้นไม้วิเศษที่มีกิ่งก้านเรืองแสงต้องลม     เงาของใครบางคนวูบไหวเดินเข้ามาใกล้ตัวเขา จนทำให้ครองสุขต้องดันตัวเองลุกขึ้นยืน กลิ่นหอมประหลาดทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษขึ้นมา คล้ายต้องมนตร์สะกดสรรพสิ่งรอบกายหยุดเคลื่อนไหว ชุดผ้าคลุมสีสวาทหยุดอยู่ต่อหน้าเขา ครานั้นผู้มาเยือนส่งไม้เท้าและตุ๊กตาให้ ครองสุขไม่กล้าสบตาในทันทีที่เจอกัน แต่เป็นเพราะแรงลมหอบใหญ่ซึ่งพัดเอาหมวกทรงแหลมที่ร่างนั้นสวมใส่อยู่ปลิวล่วงจากศีรษะไปและเป็นช่วงเดียวกันที่เขาคว้าไว้ได้ทันพอดี เมื่อยื่นหมวกคืนผู้มาเยือน หากแม้แสงจันทร์ในคืนนี้สุกสกาวเต็มดวงก็คงงดงามน้อยกว่าดวงตาคู่งามสีฟ้า ที่ประสานเข้ากับครองสุขในยามนี้
    เขาทำไหล่ห่อ ขอบตาร้อนผ่าว น้ำใสไหลอาบแก้ม เด็กหนุ่มร้องไห้ไม่มีเสียงความทุกข์เกินที่จะอัดอั้นไว้ได้อีกต่อไป ครองสุขทิ้งตัวเองลงให้ในอ้อมกอดของต้นหญ้าอาจเพราะเหนื่อยอ่อนจึงผล็อยหลับไปใต้แสงจันทร์
    สารพัดคำว่าให้ใจบอบช้ำ ด้วยแม่ผู้ให้กำเนิดนั้นต้องใช้ชีวิตแลกให้เขาได้มีลมหายใจอยู่ต่อบนโลกใบนี้ ส่วนเรื่องพ่อยังคงเป็นความลับที่ปิดตายเสมอมา เมื่อตาไม่แจ้ง ยายไม่เฉลย ก็เป็นอันรู้ว่า จุ้นให้มากความ จากเหตุข้างต้นนี้ จึงทำให้เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีดวงตาแสนเศร้าที่สุดในโลก
    ..วันหนึ่งเราจะไปที่ภูเขาสีฟ้าด้วยกันใช่ไหม?" ชายชราไม่ได้ตอบหรอก มีเพียงแววตาที่เปี่ยมสุขฉายอยู่บนใบหน้าซึ่งทำให้เขาเข้าใจแทนคำกล่าวใดทั้งหมด ทว่าในเวลานี้สายตาคู่เดียวกันนั้นช่างแห้งผากต่างจากที่เขาเคยเห็นยิ่งนัก เป็นไปได้ไหมว่าตาคนเดิมนั้น ได้รอเขาอยู่ที่ภูเขาเหล็กสีฟ้าเสียแล้ว........ รอเพียงแต่ว่าเมื่อไร เขาจะก้าวผ่านไปหาเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้เขาจำต้องนำพาความหวัง ความฝันสุดท้ายของผู้ที่รักยิ่งไปให้ถึงฝั่งฝันจงได้ แม้จะลำบากมากด้วยอุปสรรคเพียงใดก็ตาม คำตอบสุดท้ายของการมีชีวิต ร่ำร้องให้เข้าให้ไป โดยมีหัวใจที่หาญกล้าของตาหล่อหลวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา
    พยายามแสร้งทำสนุกปลอบใจตัวเอง ทั้งที่แท้จริงแล้ว น้ำตาจากส่วนลึกภายในใจรอเวลาจะปะทุพังทำนบกักน้ำออกมาได้ทุกขณะ
    เขาหมุนลูกบิดทองคำขาวไปมา ทำปากเบ้ ทอดสายตามองไปยังร่างหนึ่งซึ่งคุ้นเคยดี
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×