คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : รักเธอไม่มีหมด ( รักไม่หมดใจ )
บทที่ 5 รักเธอไม่มีหมด ( รักไม่หมดใจ )
ช่วงเวลาที่ผมเดินไปหัวใจก็เริงร่า จนอมยิ้มอย่างมีความสุขให้กับตัวเองไม่ได้ บางอย่างที่กำลังจะเริ่มต้นเป็น ความว่ารัก โลกนี้ช่างงดงามและมีความหมาย คนๆหนึ่งบนโลกนี้ มีรักกับใครสักคนที่ใจคิดว่าใช่และถูกตอบแทนด้วยความรักอย่างนั้นเช่นกัน
คืนนี้ ที่ดาวเต็มฟ้าและพระจันทร์ช่างงดงามนัก ที่สำคัญคือมีคนที่ใจบอกว่าใช่ อยู่ข้างกัน
"พี่เคยแอบรักใครไหมครับ" ผมมองหน้าเขา เข้าใกล้มากกว่าเดิม ............ดูเหมือนไอ้บ้ากามขึ้นเรื่อยๆ แถมพลังในตัวตอนนี้ก็มีมากเหลือหลาย ถ้าผู้คนน้อยกว่านี้สักนิด จะขออุ้มเขาสักที
" แอบรัก ........... นะไม่ใช่แอบลัก"
"นั้นคนละเรื่องเลยนะครับ ไอ้แอบลัก อืม.....ลักหลับ ก็พอมีบ้าง"ผมพูดหวังผล
" ว่าแล้วเชียว คนตัวดำนี่หูดำกันทุกคนหรือเปล่า"
"ฮ่าๆๆๆๆๆฮ่า จะว่าผมเป็นปิ่นโตเหรอ"
"เปล่าพี่จะบอกว่า ..........หม้อต่างหาก"
ผมทำหน้างอเล็กน้อยและเร่งฝีเท้าไปให้ห่างสักหนึ่งช่วงตัว ในใจก็ ภาวนาให้เขารีบทำเป็นง้อบ้างเถอะถึงจะเป็นการแกล้งทำก็ตาม
เราสองคนเดินมาจนถึง ความสว่างไสวของร้านค้าในซอยที่เต็มไปด้วยแสงสี ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ผมมองเห็นคู่หนุ่มสาวเดินจูงมือและแสดงความรักต่อกันในคืนงดงามเช่นนี้
จะเป็นยังไงที่มีคนขอความรักจากผม..............แสงไฟจากโคมไฟกระดาษข้างทางเพิ่มบรรยากาศให้ใจที่หวั่นไหวของผมจินตนาการภาพฝันไปต่างๆนาๆ
" หิวไหม............."เสียงที่เหมือนกระซิบข้างหู เอ่ยขึ้น
"....................................."ผมส่ายหน้าและรูปท้องแสดงอาการอิ่ม
"โรตี ที่นี้อร่อยนะ .............พี่อยากกิน -กินเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม"
"อืม"
ผมไม่รู้จะอธิบายด้วยคำใดๆ รู้สึกดี อบอุ่นและเอ่อล้นไปด้วยความกล้าหาญ เหมือนเส้นทางของวงกลมสองวงโคจรมาพบกันซึ่งผมอยากให้เชื่อมกันสนิทและอยู่ด้วยกันตลอดไป
ผิดไหมที่ผมจะบอกรักผู้ชายสักคน..........? ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาทันที่เมื่อผู้ชายที่ยืนต่อหน้าผมตอนนี้ ทำให้หัวใจที่มีพองโต และตอนนี้ผมก็มีความกล้าพอที่จะพูดคำรักออกไป
ผู้คนเดินผ่านผมไปมากมาย หนุ่มสาวหน้าตาดีเหมือนรวมตัวกันอยู่ที่นี้เสียหมด แต่ทุกคนก็ดูติดดินและไม่ได้แสดงอาการ ไฮโซ อย่างที่ผมชอบเรียกเกิดขึ้นในถนนสายนี้
เพลงต่างประเทศ เปิดเสียงเบาๆ พอให้ใจนึกสนุกกับจังหวะ
"เต้นรำกับผมไหมครับ" ผมพูดสนุกกับตัวเราเอง ...........สถานที่แบบนี้ผมคงไม่กล้าพอหรอก แค่คิดในใจและแอบโยกตัวน้อยๆก็มีความสุขแล้ว
.................................................
โรตีที่ว่านั้น อร่อยดีถึงจะหวานไปหน่อย แต่ผมก็ออกอาการดูดนิ้ว และก็อดหัวเราะให้ตัวเองไม่ได้
"ทำอะไร ............." เขาเองก็อมยิ้ม และมองดูผมทำอาการเหมือนเด็ก
"อร่อย ....." มือเหนียวยิ่งเอามา ปิดหน้าตอนเขินทำให้เหนอะไปใหญ่
" อยู่นิ่งๆ นะ" เขาล้วงกระเป๋าและตอนนี้ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีขาว สัมผัสจากมือของเขาค่อยๆเช็ดที่แก้มผมแล้วก็บริเวณริมฝีปาก อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น แต่ผมยอมรับว่าอายสายตาคนอื่นแต่ก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
อาจเพราะผมคิดมากไปก็ได้ เพราะจริงๆแล้วไม่เห็นมีใครจะมองเราสองคนด้วยซ้ำ เรายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ท่ามกลางกลุ่มคน เสียงเพลง แสงสี แต่เราสองคนเหมือนมีแค่กันและกันบนถนนแห่งรักนี้ .........ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่แค่นี้เหรอ .........หรือเป็นช่วงเวลาที่หัวใจอยู่ในอาการที่ต้องการผักผ่อนกับใครสักคน
ผมยืนหลับตานิ่งและพยายามทบทวนเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นมาภายในไม่กี่ชั่วโมงนี้ ช่วงเวลาที่เกิดขึ้น จะเป็นอีกคืนที่หัวใจจะจดจำไปตลอดชีวิต คืนที่ผมมั่นใจว่าไม่ได้ล้อเล่นกับความรู้สึกข้างใน ด้วยที่ว่าหัวใจอิ่มเอมและรับรู้ว่าการเดินทางได้มาถึงจุดเริ่มต้นครั้งใหม่แล้ว
ช่วงเวลาที่ดี .......เดินมาถึงและก้าวต่อไป ผมก็จะไม่กลัวอีกต่อไป .....พลังแห่งรักบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ หากสิ่งนั้นคือรักแท้ผมเชื่ออย่างนั้น
................................................................
เดินมาถึงสนามหลวง ....อีกไม่กี่ชั่วโมงเช้าก็วันใหม่ก็จะมาเยือนเราแล้ว ......ผมและเขานั่งอยู่บนมานั่งริมทางเดิน มีต้นไม้เป็นแนวรั้วสูงประมาณ เข่า กั้นเราให้ห่างจากทางเดิน ถึงจะใกล้รุ่งสาง แถวนั้นก็ยังสาวหลายวัยแต่งหน้าแต่ตาด้วยเครื่องสำอางราคาไม่สูงอวดแก้มแดง ปากเยิ้มยืนเป็นกลุ่มๆ บ้างคุยล้อเล่นกับหนุ่มขายปลาหมึกย่างแบบหมายอกไก่เป็นที่สนุกๆของพวกเธอไป
เสียงหัวเราะของพวกเธอ ก็คงไม่ต่างจากหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ที่จับจองถนนเป็นแหล่งขายน้ำเช่นกัน ผีขนุน ผีมะขาม ผู้ชายขายน้ำ ผมไม่ได้ดูถูกพวกเขาแต่ หลายคนให้คำจำกัดความไว้อย่างนั้น และผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เรียกตามเท่านั้นเอง
ไม่ว่า จะนั่งในห้องกระจก หรือ การเต้นยั่วสวาทกับเสาเหล็ก หรือยืนเด่นบนถนน คำจำกัดความง่ายๆ หากใช้ร่างกายแลกเงิน เขาก็เรียก "ขายตัว"
นักศึกษาชายขายตัว ......... ครั้งหนึ่งผมก็เคยถูกเรียกอย่างนั้นเช่นกัน มันคือความลับที่ผมอยากจะขุดหลุมและฝังตายมันเอาไว้ ไม่อยากจะรับรู้ถึงมันอีก........
"กลับห้องเถอะ.........พี่อยู่คนเดียวได้" เสียงคนข้างกายพูดขึ้น
" โห ........ตีสามกว่าแล้ว .....ป่านนี้เพื่อนผมคง..." ผมคิดถึงห้องนอนเล็กๆที่เคยซุกกายอยู่
"อยู่คนเดียว........หรือกับแฟนกันแน่ถึงไม่กล้ากลับ" เขาหันหน้าเข้ามาใกล้ เหมือนจะจับคำเท็จผม
"อยู่คนเดียว .........เพื่อนมันเอาแฟนมานอนที่ห้อง" ผมพูดแบบไม่หลบสายตา เสียงดุขึ้นเล็กน้อย
"แค่นี้ก็ดุ----เอ้า ..........ไม่ชอบหมู่เหรอ"เค้าหัวเราะ รวน
"ฮ่าๆๆทะลึ่ง เพื่อนผมเป็นผู้ชายนะ"
ยุงเริ่มกัดผมไม่หยุดเขาก็โดนเล่นงานไม่ใช่น้อย
".....ดูสิ พี่พาเรามานั่ง บริจาคเลือดให้ยุงแท้ๆ........" พูดจบหน้าเขาเศร้าไปทันที
"ไม่หรอก ....ผมเต็มใจ ........แล้วพี่จะทำไงต่อไปครับ"
"............................................................."เขานิ่งงัน
"พี่ .........คงหางานใหม่ทำครับ"
"งานอะไรครับ........บอกได้ไหม"
"อยากรู้จริงๆเหรอ........"
" อืม ............" ผมพยักหน้า ตั้งใจฟังกว่าเดิม
"รู้แล้ว.......ยังยากจะเป็นเพื่อนนั่งเล่นกับพี่หรือเปล่าก็ไม่รู้"
"ทำไม........ครับ"
"............อืม .........ตอนนี้พี่ทำงาน นวดอยู่ครับ" เขาก้มหน้าหลบสายตา
ผมรู้สึก แย่ขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจ้าชายของผมตอนนี้เป็นแค่ชายบำบัดความเมื่อยล้า -- หรือชายบำบัดรักกันแน่--- แล้วผมสั่งประหาญเขาทันที
"ยังอยากคุยกับพี่อีกไหม........."ถ้อยคำนั้นทำให้ผมอึ้งไปอีกครั้ง
" .........แค่นวดเฉยๆไม่ใช่เหรอ" ผมถามย้ำให้ชัดเพื่อความแน่ใจ
"นวดแผน โบราณ พี่เรียนมานะครับ.........." เขากล้าพูดขึ้นมากกว่าเดิม
"นวดแล้วมี อย่างว่าตามไหมครับ .....คนนวดน่ารักอย่างนี้"ผมถามประชด รู้สึกโกธรเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก -----หรือว่าผมหวงเขาเข้าแล้ว
"ทำไมถามยังงั้น..........."เขาทำคิ้วขมวด มันดูน่ารักเอามากๆ
"....คือผม......ไม่อยากให้พี่ทำอาชีพพวกนี้" ผมหันหน้าไปดูผู้คนบนริมทางเดิน ภาพที่อยู่เบื้องหน้าคือผู้หญิง ผิวขาวพูดคุยกับชายวัยกลางคนท่าทางเมาได้ที่ .......ต่อรองราคาสินะ ผมดูถูกคนด้วยความคิดอีกแล้ว ทั้งทีจริงแล้วผมก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเค้าเสียเท่าไหร่ ทุกคนมีสองด้านเสมอ ผมในบางครั้งมันก็เด็กหิวเงิน และจอมปลอมกว่าชายที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยซ้ำ แต่ใครจะยอมมองด้านมืดตัวเอง
ในความเป็นจริงแล้วผมเดินหนี เขาไปเสียและตัดใจจากไปคงจะดี ในเมื่อผมมีความรู้สึกที่ไม่ดีในอาชีพพิเศษที่เขาทำ แต่ใจหนึ่งหากทำอย่างนั้นไป ผมก็มีความทุกข์ใจไม่น้อย
เพราะ.จะมีใครสักคนที่ สนใจในถ้อยคำที่ผมพูด ใครที่เมื่ออยู่ใกล้แล้วอบอุ่นอย่างนี้ ........หากเราได้รู้จักกันมากกว่านี้ บางทีอาจเป็นเขาที่ยอมรับด้านมืดของผมไม่ได้ ด้วยซ้ำ...............โลกนี้คงไม่มีเจ้าชายอย่างที่ฝัน ผมได้แต่ปลอบใจตัวเอง หนทางข้างหน้าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเจอเรื่องใดๆอีก ในเมื่อการเริ่มต้นมันพึ่งเริ่มขึ้น
รักเขาไม่หมดใจ...........แล้วหรือ ? ผมยังจะใช้คำนี้ว่ารัก กับเขาได้เต็มใจหรือไม่ ?
ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาที่ได้รับรู้ ซึ่งผมต้องเรียนรู้มันเพื่อให้เท่าทันและเข้าใจในตัวเขามากยิ่งขึ้นก็เพื่ออนาคตนั่นเอง
"งั้น พี่ขอตัวกลับก่อนนะครับ" เขาลุกขึ้นและผมก็สัมผัสได้ถึงความน้อยใจในท่าทีและความรู้สึกที่แสดงออกมา
".............ไม่อยู่เป็นเพื่อนผมอีกเหรอ"
" ก็เรา........ไม่ชอบพี่นี่ครับ" เขาพูดง่ายๆ ผมก็เงียบไป ใช่สิถ้าไม่ชอบผมเขาจะหลอกและรั้งเขาไว้ทำไม แถมผมยังตีราคาเขาในใจไปแล้วด้วยซ้ำเวลานี้
" เปล่า........ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยครับ" ผมมองที่เท้าตัวเอง เราก็ใช่ จะใส่รองเท้าแก้วเสียหน่อย แค่รองเท้าแตะราคาถูก กับเล็บนิ้วเท้าดำๆ
"เป็นไรเหรอ........." เขามองหน้าผม เสียงนั้นทำให้ผมหายจากอาการคิดไม่ตก
"อยู่กับผมจนเช้าได้ไหม"
"ไหน บอกพี่ว่าต้องย้ายห้องไม่ใช่เหรอ.........จะเอาแรงที่ไหนล่ะ"
"พรุ่งนี้......อืม สบายอยู่แล้ว .....เมื่อผมย้ายห้องไปเราอาจไม่มีเวลาอย่างนี้ก็ได้" เสียงผมสั่นเล็กน้อย
"ก็ได้ครับ .........ว่าแต่คืนนี้อย่าแอบหลับเสียก่อนล่ะ"
ผมเบียดกายเข้าไปใกล้ชิดเขามากขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง
...........................................................
เราเดินเคียงข้างกันข้ามสะพานที่เชื่อมต่อฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าด้วยกัน ความคิดผมคิดไปถึงหนังไทยที่เคยชื่นชอบสมัยเด็กๆ หนุ่ม-สาวที่รักกันมาก ใช้สะพานเป็นทางเชื่อมรักเพื่อไปเจอกันในชาติภพหน้า เพราะในชาตินี้รักถูกกีดกัน แล้วรักของผมในวันนี้จะเป็นเช่นไร?
ผู้คนเริ่มคึกคักอีกครั้ง ในเช้าวันเสาร์ ผมเป็นคนติดกระจกและห่วงหล่อเอามากๆและคิดว่าเวลานี้ สภาพของตนเองตอนนี้คงจะดูไม่ได้เป็นแน่ ไม่ได้นอนทั้งคืน ตัวก็เหนียวพอลมบนสะพานพัดผ่านทีไร ก็กลิ่นตัวตุๆ
"เช้าแล้วพี่ ........ไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นกันเถอะ" ผมรวบรวมความกล้าและจับมือเขาเดินไปยืนที่โป๊ะเรือรับส่งผู้โดยสารข้ามฟากซึ่งตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดใช้งาน
".ไปสิครับ" มือเราสองคนสัมผัสกัน ผมไม่ได้มองหน้าเขาหรอก ใจมันเต้นและหวั่นไหวมากๆ มือนั้นอบอุ่นและผมก็รู้สึกดีมากๆ เหมือนมีบางสิ่งระหว่างกายเราสองคนสื่อถึงกัน
เราสองคน มองไปที่เส้นขอบน้ำที่ๆดวงอาทิตย์กำลังจะต้อนรับเช้าวันใหม่ .......... ตอนนี้แสงสว่างเริ่มเข้ามาแทนที่ในทุกๆส่วนของค่ำคืนที่ยาวนานของผมแล้ว
"มีความสุขจังครับ" ผมยิ้มให้เขา อยากหอมซักฟอดจัง ได้แต่คิดในใจ
" ................................" เขายิ้มหวานตอบแทนทุกอย่างที่ใจผมต้องการ
แสงอาทิตย์เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆและถึงเวลาการเริ่มต้นของชีวิตจริงที่ต้องเริ่มเดินอีกครั้ง
"คงต้องกลับแล้วสินะ "เขาพูด แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ผมต้องยอมรับความจริงเสียที
"เราจะได้เจอกันอีกไหมครับ" ผมจับได้ว่าตัวเองเสียงสั่น และรู้สึกตาแดงขึ้นมา เขาคงจะเห็นอาการของผมเช่นกัน
"อยากเจอไหมล่ะ" เขากุมมือทั้งสองข้างผมไว้แน่น ลมจากผิวแม่น้ำพัดไอเย็นถูกตัวผม
"ผม........คงคิดถึงพี่มากครับ" ไม่รู้ว่าเขาจะคิดว่าผมหลอกหรือเปล่า แต่ความรู้สึกนั้นผมพูดจากใจจริง
"ไม่ต่างกันมั้ง" คำพูดง่ายๆจนผมคิดว่า พูดหวานอย่างเราเป็นไหมนี่ เขายืนนิ่งอยู่นานผมก็ไม่ได้พูดอะไร เราเดินกลับไปจุดเริ่มต้นเดิม เพื่อไปขึ้นรถกลับที่พัก ผมพยายามก้าวให้ช้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวเขาก็เช่นกัน ช่วงเวลานั้นเหมือนการที่จะต้องสูญเสียบางสิ่งไป ถึงแม้เราพึ่งจะเจอกัน แต่ผมก็คิดภาพต่างๆวนเวียนซ้ำไปมา คงรักเขาไปแล้วสิเรา
.....................................................................................
ผมเปิดกระจกรถประจำทางแบบไม่ปรับอากาศขึ้น เพื่อ มองหน้าคนรักให้ชัดเจนอีกครั้งหผู้ชายแปลกหน้าที่เวลานี้เขาได้เอาหัวใจผมไปครึ่งหนึ่ง เขาดูอ่อนวัยและอบอุ่นในที ยิ้มหวานนั้นจนนาทีสุดท้ายที่รถเลี้ยวผ่านไป
เวลานี้ภาพเขาหายไปแล้ว ผมหลับตาและคิดถึงหน้าของเขาอีกครั้ง มันช่างลางเลือน ผมแทบจำลายละเอียดบนใบหน้าเขาได้ไม่ แต่สิ่งที่อยู่ในใจคือสัมผัสของความรู้สึก
"รอผมนะครับ..........สัญญาว่าผมจะมาหาพี่อีก" ได้แต่พึมพำในใจ น้ำตาซึมเล็ก ๆ เจ้าขี้แย
เลิกงอแงได้แล้ว ผมปลอบตัวเองบนรถเมล์ที่เริ่มทีคนทยอยขึ้นจนเต็มคันรถ
.........................................................................................
ความคิดเห็น