คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : เจ้าหญิงองค์สุดท้ายในดินแดนคนบาป
บทที่ 13 เจ้าหญิงองค์สุดท้ายในดินแดนคนบาป
เช้าตรู่ของวันใหม่..........................เจ้าหญิงครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยบนเตียงนอน เธอพลิกตัวไปมาดูแล้วคล้ายคนขี้เกียจที่คอยให้แสงของดวงอาทิตย์ที่ผ่านมาจากทางช่องหน้าต่างเป็นตัวช่วยปลุก...............ร่างงามตอนนี้เหมือนผีดิบที่ใช้ผ้าห่มคลุมกายเลี่ยงความสว่างของอรุณรุ่ง
หากเวลานี้ได้อยู่ที่บ้านคงถูกปลุกด้วยเสียงของเหล่าสมุนเป็ดและห่าน ซึ่งจำเป็นจะต้องรีบตื่นตัว แล้วเก็บที่นอนล้างหน้าและคอยถือตะกร้าตามหลังเสด็จพ่อ ด้วยยามเช้าจะมีไข่เป็ดให้เก็บไปให้เสด็จแม่ทำขนมหวานไว้ทานในช่วงบ่ายของวัน ส่วนมากก็จำพวก ขนมฝอยทอง(จากไข่แดง) ฝอยเงิน(จากไข่ขาว) และของโปรดที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็ดบัวลอยหลากสีกับไข่หวานลูกโต
ผ้าห่มผืนนั้นไม่มีความสามารถที่จะลดแสงของดวงอาทิตย์ที่ออกจะแรงเสียหน่อยสำหรับเช้านี้ เพราะเจ้าหญิงรู้สึกร้อนขึ้นมา
“แหม..........คุณแสงอาทิตย์ปลุกกันถึงเตียงเลยนะ”เธอเอ่ยขึ้น จากนั้นก็ก้าวลงจากเตียงไม้ และเก็บเตียงนอนให้เรียบร้อย ทั้งที่ใจจริงแล้วอยากที่จะนอนขดตัวเล่นอีกสัก สิบถึงยี่สิบนาที มองไปอีกครั้งที่เตียงนอนและเจ้าหมอนเน่าสมบัติชิ้นเดียวที่ติดตัวมาด้วยแต่ครั้งนั้น ก่อนจะตัดใจเดินจากไป
“ขอบคุณค่ะที่เป็นเพื่อนกันทุกค่ำคืน
ตั้งแต่หลับจนตื่น รู้ไหมสุขใจแค่ไหน
ทุกราตรีที่เหนื่อยล้า ได้พักกายก็ชื่นใจ
ถึงฝันร้ายแค่ไหน ใจก็บอกว่าเจ้ากลัวอะไร
แค่ภาพลวงตา...............
ที่นอน ผ้าห่ม กับหมอนหนานุ่ม
กลิ่นไอละมุนซุกซ่อนให้เราค้นหา
มีเรื่องดี ดี ทุกครั้งในยามหลับตา
อุ่นใจนักหนา ทุกเวลา ที่ได้อยู่ด้วยกัน”
..................................
แจกันดินเผาเขียนสีลายบ้านเชียง มีดอกกุหลาบขาวก้านสูงอยู่ด้านในนับแล้วได้หกดอก ข้างกันนั้นมีแก้วน้ำส้มคั้นตั้งคู่กับชุดอาหารเช้าสำหรับหนึ่งที่ ซึ่งดูจะแปลกเสียหน่อยสำหรับโต๊ะอาหารในห้องโถงใหญ่นี้ ที่ปกติแล้วทุกคนจะพร้อมหน้าในมื้อเช้า เพราะถือเป็นมื้อพิเศษที่จะได้ร่วมประชุมกันของเหล่ากองพันอัศวินดำ
“ไปไหนกันหมดคะ.................” หญิงสาวทำคิ้วขมวดถามขึ้น
“ภารกิจลับ แผนที่หนึ่งขอรับ” ชายกลางคนซึ่งเป็นพ่อบ้านตอบ
“ลับมากขนาด แหวนก็ไม่บอกกันนี่นะ......................พวกผู้ชายนี่ไม่ว่ายุคไหนก็ไม่ค่อยจะฟังความคิดเห็นผู้หญิงเลย”โลกที่ผู้ชายไม่ค่อยจะคิดถึงกันก็คือความรู้สึกของผู้หญิงนี่ล่ะ
“เอ่อ..............นายท่านคงไม่อยากให้คุณหนูไม่สบายใจมากกว่า” ชายคนนั้นตอบแบบหลบสายตาใคร่รู้ของเจ้าหญิง
“ผิดถนัดค่ะ...........การที่ไม่รู้อะไรนี่สำหรับหนูแหวนแล้ว มันยิ่งกว่าเอามือปิดหูปิดตาปิดปากเสียอีก”เป็นชุด
“ลุงว่า.............วันนี้นายคงต้องโดนข้อหาหนักแน่”พูดจบก็หัวเราะในลำคอ
“แหมพูดยังกับว่า...........แหวนจะทำอะไรเขาได้”เธอจบท้ายประโยคด้วยเสียงสูง
“อืม..............แต่ลุงว่าแค่สายตาหนูแหวนเวลาโกรธใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว”
“จริงเหรอค่ะ”เจ้าหญิงทำตาโต
“เป็นอย่างนั้นจริง......................มีทั้งความงามแฝงความลึกลับอยู่ข้างใน”ชายคนนั้นไม่ได้มองเจ้าหญิงเพราะเธอกำลังทำน่าทะเล้นใส่
“นี่.............หนูไม่ใช่แม่มดนะ”เธอนึกสนุกขึ้นจึงพูดต่อ“หรือว่า................หนูเกิดมาเพื่อสิ่งนั้นจริงๆ”
ชายวัยกลางคนทำหน้าฉงนแล้วตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
“ว่าแต่ คุณหนูแหวนเกิดมาเพื่ออะไรขอรับ”
“พูดแล้วเขินจัง...............อะแฮ่ม...........หนูเกิดมาเพื่อเป็นผู้พิทักษ์”
ดูท่าชายกลางคนจะไม่ค่อยเข้าใจ สิ่งที่เจ้าหญิงพร่ำเสียเท่าไหร่ เพราะเขายิ้มกลบเกลื่อนความไม่รู้แล้วก็ขอตัวจากห้องโถงไป
“ทำไมชอบทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงกันนะ ..........ผู้ชายบ้าพลัง.......พี่ยักษ์” เจ้าหญิงมองไปที่ดอกกุหลาบสีขาวในแจกัน แล้วความรู้สึกหนึ่งแวบเข้ามา ด้วยที่กลีบของดอกไม้เริ่มเปลี่ยนสภาพจากความสดชื่นเป็นเหี่ยวเฉาภายในไปเวลาไม่ถึงนาที จากนั้นก็หลุดล่วงจากก้านยาวจนหล่นกองเต็มโต๊ะไม้ตัวนั้น.......มันเกิดอะไรขึ้น
..
แมวดำตัวหนึ่งโผล่ออกมา ไม่มีใครรู้ว่ามันหลบซ่อนอยู่ที่ใดในห้องนี้มาก่อน สายตาที่จ้องมองมาที่เจ้าหญิง แฝงไปด้วยความไม่หวังดีเป็นที่สุด มันก้าวขาเชื่องช้าอย่างไม่เกรงใจเจ้าถิ่นออกจากที่ซ่อนและร้องเหมียวด้วยความดังพอประมาณที่จะทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นสัมผัสได้
“ไม่ใช่..........ที่เธอจะมาเดินเล่นนะเจ้าแมวป่า”
“เหมียว..........เหมียว”ไม่ได้มีทีท่าสนใจแถมยังเดินส่ายก้นไปมาเหมือนเป็นการถ่วงเวลา
“มานี่มา.................หิวไหม”
“....................” แมวกระโดดขึ้นที่โต๊ะอาหารและ จ้องมองด้วยสายตาที่เจ้าหญิงก็รับรู้ว่าไม่เป็นมิตรทีเดียว
จากนั้นจากเสียงแมวเหมียวก็เปลี่ยนเป็นการขู่คล้ายสัตว์ป่า ด้วยที่โต๊ะอาหารนั้นเป็นโต๊ะไม้ มันจึงได้แสดงการอวดเล็บเท้าให้เธอได้เห็นว่าคมกริบแค่ไหน
“ไม่เอาน่า..................หิวก็ขอกันดี-ดี นะเหมียว”
เจ้าหญิงประเมินสถานการณ์ได้ เธอจึงลุกขึ้นยืนและมองหาเครื่องมือหรืออะไรซักอย่างที่จะรับมือกับสีขาที่มีท่าไม่เป็นมิตร
......................................
ชายวัยกลางคนอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้าที่เขาได้เห็น ทั้งที่ในมือถือถาดผลไม้และอาหารอยู่ แต่มือที่ใหญ่เจ้าเนื้อนั้น เวลานี้ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะประคองสิ่งที่อยู่ในมือไว้ได้
“เพล้ง......” ทุกอย่างลงไปอยู่ที่พื้นเสียหมด ผ้าคลุมสีแดงผ่านหน้าเขาไป กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าชวนให้หลงใหล แต่เมื่อสูดดมเข้าไปทำให้แถบจะคลั่งขึ้นมาทันที
“...........คุณหนูนะ นะ หนี” เป็นเสียงแหบพร่าแต่ก็ดังพอที่จะให้ ใครสักคนได้ยิน
“ชีวิตตาแก่อย่างเจ้ามันสำคัญน้อยกว่าคนอื่นหรือไง.....ถึงได้เป็นห่วงเขานัก” เสียงเย็นสงบออกมาจากผู้สวมหน้ากากสีขาว ที่บดบังหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง มีเพียงปากสีฉาดซึ่งเขามองเห็นได้ว่ากำลังการร่ายมนตร์ดำ เป็นผลให้ร่างหนาของเขาแข็งทื่อและชาไปทั่วทั้งตัว ผมขาวสยายและสะบัดหนึ่งทีคล้ายมีเหล็กแหลมที่ซ่อนอยู่ภายใน
จากอาการชาที่ร่างของเขา ก็ตามด้วยความปวดร้อนด้วยหนามแหลมคมที่ทิ่มแทงยังร่างเขาอย่างนับไม่ถ้วน
................................
กองพันอัศวินดำดูจะมีชัยในการบุกเข้าช่วยเหลือสหายที่ถูกจำคุมตัวไปเมื่อครั้งนั้น เสียงฝีเท้าม้าที่ควบด้วยความเร็วสูง เพื่อหลบสายตาผู้ไม่ประสงค์ดีโดยเฉพาะฝ่ายรัฐที่คอยเล่นงานอยู่ พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่านั้นคือการวางแผนที่แยบยลของชาวต่างชาติโดยมีฝ่ายรัฐหนุนหลัง???
หัวหน้ากองพันอัศวินดำ มองเห็นภูเขาที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมา บางอย่างทำให้เขาหนาวเขาไปถึงหัวใจโดยเฉพาะเสียงนั้นที่ได้สัมผัสกับมันอีกครั้ง
“ครืดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เขาหยุดอยู่ที่บริเวณที่โล่ง ไม่ไกลเกินสายตาที่มองเห็นได้ ภาพนั้นคือภูเขาขนาดย่อมหลายลูกทอดตัวเป็นแนวยาว ไม่ผิดแน่........มันคือ
“ภูเขาสีฟ้า...........หรือในชื่อที่เขาคุ้นเคย........เจ้าแท่งเหล็กสีฟ้านั่นเอง”
ชายผู้เป็นสหายคนหนึ่งในกองพันอัศวินดำ เขาพูดกับผู้หัวหน้ากองพันว่า
“ทางโล่งขนาดนี้........ดูท่าจะเป็นแผนที่เขาเรียกว่า หลอกเสือออกจากถ้ำแล้ว”
“ข้าหวังว่า........นั้นเป็นแค่ความคิดของเจ้าเท่านั้นนะสหาย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและก็อดคิดไปไม่ได้ ด้วยรูปการแล้วมันน่าจะมีการป้องกันแน่นหนามากกว่านี้
“เรารีบกลับกันเถอะ ท่าจะไม่ดีแล้ว” เจ้ายักษ์เอ่ย
ไม่ช้ากองพันอัศวินดำ ก็หายไปจากสายตาของผู้ที่ซุ่มเฝ้ามองอยู่นับร้อยชีวิต
.........................................................
ภายในปราสาทไม้หลังใหญ่ เด็กหนุ่มถือหนังสือสำหรับลงนามฉบับหนึ่งในมือ เพียงแค่ยินยอมทุกอย่างก็จะลงเอยไปในแนวทางที่ดีตามที่ฝ่ายรัฐยืนข้อเสนอมา ไม่มีการเสียเลือดเนื้อไร้การปฏิวัติหากเป็นจริงดังกล่าวอ้างก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีแต่ในความจริงแล้ว เสียงทั้งหมดของประชาชนจะยอมถูกครอบงำทางความคิดอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้ที่มีความวิตกไม่ต่างจากเขา ในเวลานี้ก็คงครุ่นคิดอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“ท่านอาจารย์........ถึงเวลาที่เราต้องเลือกแล้วใช่ไหม” เจ้ามิ่งขวัญเอ่ยขึ้น
“หากเจ้ามิ่งขวัญตรองดูแล้ว.........ผลดีในแง่ใดมากกว่า ข้าพเจ้าคิดว่านั่นเป็นทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลเสียน้อยที่สุด” ครองสุขละสายตาจากรายงานผลการเดินระบบของเจ้าแท่งเหล็กสีฟ้า
“หากมีทางสายกลางคงจะดีไม่ใช่น้อย.......แต่ประชาธิปไตยอย่างที่ฝ่ายรัฐอ้างในสภาคือการเลือกในเสียงข้างมาก” สีหน้าแสดงอาการลำบากใจ
“เมื่อใจสงบและมีสติแล้ว...........เจ้ามิ่งขวัญจะตัดสินทุกอย่างได้ด้วยตนเอง”
“ฝ่ายรัฐให้คำมั่นในที่ประชุมสภาว่า........เราจะมีฐานะมั่งมีกว่าแต่ก่อน ความเจริญจะทำให้ชีวิตสุขสบาย”เจ้ามิ่งขวัญพูดไปด้วยใจที่ไม่ได้เชื่อดั่งคำอ้างของสภา
“ตอบยากนะครับ.......หากเราเจริญทางด้านวัตถุเทคโนโลยีไปพร้อมกับการเจริญทางด้านปัญญาหรือจิตใจ ข้าพเจ้าว่านั่นถึงจะเรียกว่า ความเจริญที่งอกงามอย่างแท้จริง” ครองสุขลุกขึ้นยืน เขาใช้มือบีบที่ขมับตนเองเบาๆ
“เราอาจจะเป็นเจ้าองค์สุดท้ายที่ไม่สามารถปกครองเมืองนี้ได้แล้ว.....ดั่งคำทานายของสตรีผมขาวผู้นั้น”
เวลานี้ภาระที่ยิ่งใหญ่และความหวั่นใจทำให้เด็กหนุ่มคิดไม่ตก เพราะแท้ที่จริงแล้วตัวเขาก็แค่เด็กชายผู้ที่จะก้าวไปเป็นชายหนุ่มในวันข้างหน้า แต่ด้วยเชื้อสายที่สืบสกุลมานั้น ทำให้เขาต้องรับหน้าที่เป็นเจ้ามิ่งขวัญผู้ที่ครองดินแดนที่เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ของชาวโลกแห่งนี้
“คำทำนาย....มันอาจเป็นแค่ภาพลวงตาหรือเป็นเส้นกำหนดที่เขียนให้เราเดินไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะเลือกเชื่อหรือไม่” ครองสุขใช้มุมมองของตน เพื่อให้เจ้ามิ่งขวัญเข้าใจถึงความแตกต่าง
“เราว่า...............ท่านนอกจากจะเป็นอาจารย์แล้ว หากยึดอาชีพหมอดูด้วยคงจะมีเงินทองเลี้ยงชีพได้มากโข ผู้หญิงในเมืองคงจะชอบใจน่าดู”
“คำกล่าวเกินไป ข้าพเจ้าไม่เคยดูดวงให้ใคร.......เพียงแต่ใช้หลักของเหตุผลมาช่วยวิเคราะห์”ครองสุขยิ้มที่มุมปากและนึกขำอยู่ในใจ
...................................
กลุ่มเมฆเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็วอีกทั้งลอยตัวต่ำ และลมพัดแรงผ่านกายร่างของเจ้ายักษ์ ไม่แปลกนักที่กองพันอัศวินดำจะตั้งรับสถานการณ์ทันที
“ข้าไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน.....” เหล่ากองพันอัศวินดำ ต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
“เราจะฝ่าหรือจะถอยกลับดี ..........ท่านหัวหน้ากองพัน” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น
“มันอาจเป็นแค่ภาพลวงตา..........ที่ใช้บางอย่างสร้าง” เจ้ายักษ์มั่นใจอย่างนั้น เพราะนี่อาจเป็นฝีมือของใครที่ใช้เจ้าเครื่องมือนั่น (แท่งเหล็กสีฟ้า) หรือเป็นแค่เรื่องตลกของอำนาจมืดอย่างที่เขาลือกันผู้หญิงผมขาวที่รับใช้ต่างชาติ ซึ่งอาศัยอยู่ที่ปราสาทดินแต่ตัวเขาเองกับเรียกว่า “จอมปลวก”
ร่างสง่าควบม้าสีน้ำตาลฝ่ากลุ่มของเมฆสีดำที่มีสายฟ้าเล็กๆผ่าลงมาที่พื้นด้านล่างเป็นระยะ เมื่อเขานับเลขในใจตั้งแต่หนึ่งถึงห้า ก็จะมีสายฟ้าผ่าลงมาที่พื้นกลุ่มใหญ่ เป็นอย่างนั้นซ้ำไปมาจนทำให้พอจะเขาใจว่าธรรมชาติคงไม่บังเอิญจะนับเลขหรอกนะ
............................................
หญิงสาวสองคนยืนอยู่คนละมุมห้องบนหอคอยสูง ผู้หนึ่งในชุดสีแดงเพลิงสวมหน้ากาก ส่วนอีกร่างอยู่ในชุดขาวสะอาดตาผมยาวสลวยสีดำของเธอตัดกับผิวยิ่งนัก
“ฉันหวังว่า.....เราคงจะไม่รู้จักกันมาก่อนนะ” ริมฝีปากงามสีฉาดขยับไปมา
“..............”เจ้าหญิงเพ่งดูผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า “จะว่าไปแล้ว........แต่งตัวแบบนี้ คงไม่ใช่คนดีเสียเท่าไร”
“พูดได้น่ารักมาก.....มิน่าเจ้าถึงเป็นหัวใจของกองพันอัศวินดำ”
“ถ้าไม่มีอะไรมากกว่านี้ ก็เชิญกลับเถอะ.. ที่นี้ไม่คุ้นกับการตอนรับแขกพิเศษ” เจ้าหญิงผายมือเป็นเชิงส่งแขก
“ก็ได้.........แต่เธอต้องไปด้วย” เสียงนั่นเข้มขึ้น แถมลูกสมุนเจ้าแมวสีดำตัวใหญ่พลันครางเหมียวรับคำเจ้านายด้วย
อาจเพราะวันนี้ไม่ใช่วันของเจ้าหญิง ด้วยไม่สามารถที่จะขัดขืนอะไรได้เลย นอกจากผู้หญิงชุดแดงกับแมวสีดำแล้วยังมีผู้ติดตามสมทบมาอีก คนเหล่านั้นอยู่ในชุดขาวมีทั้งชายและหญิงรวมแล้วหกคน ต่างย่างสามขุมเข้ามาจับตัวเธอไว้ พวกเขาพึมพำด้วยภาษาลึกลับที่เธอเองไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ้าหญิงคิดหากพ้นจากพันธนาการนี้ไปได้ จากจุดนี้ไม่เกินสามก้าวกล่องไม้สีแดงคงจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่เวลานี้สายเสียแล้วเธอจึงได้แต่นิ่งและก้มหน้าต่ำเพื่อไม่ให้ผู้มาเยือนอ่านสายตาได้ว่า...........ภายในห้องโถงนี้มีสิ่งหนึ่งที่ล้ำค่ายิ่งนัก
“จงอดกลั้นความหวาดกลัวเอาไว้
ยิ้มรับความพ่ายแพ้ได้แต่ใจอย่าคิดถอย
วันนี้ไม่ใช่ของเรา ยังมีพรุ่งนี้ที่รอคอย
ความหวังอาจเหลือน้อย
แต่อย่าปล่อยให้หลุดมือ
ไม่นานจะพบชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
ก้าวต่อไปด้วยหัวใจของเด็กดื้อ
มีบทพิสูจน์ แพ้-ชนะให้ฝึกปรือ
แล้วสักจะมีดาวในมือ ให้เจ้าถือและครอบครอง ”
.............................
ท้องฟ้าคำรามประหนึ่งเกิดอาเพศร้าย หากมองขึ้นไปด้วยตาเปล่าส่วนหนึ่งมีสีเหลืองปนแดงสดและกั้นกลางด้วยสีขาวไต่ระดับไปจนสีดำดูน่าเกรงขามเกินที่มนุษย์ที่อยู่ใต้ท้องฟ้าจะอดหวั่นใจไม่ได้
ใบประกาศหลายสิบใบปลิวไปทั่วจากถนนในเมือง ตามแรงลมไปจนถึงป่าหนึ่งซึ่งลึกลับจนสายตาคนทั่วไปไม่อาจมองเห็นหากอ่านข้อความในนั้นจะทำให้ทราบว่า
“ครบรอบปีเวียนมาอีกคราหนึ่ง
กราบเรียนถึงน้องพี่ชาวเมืองทั้งหลาย
ร่วมเทศกาลวันหน้ากาก.....เสริมความสุขทั้งใจ-กาย
ขอให้ทุกข์มลาย เงินทองมากมาย เกษมเปรมปรีดิ์”
มือหนึ่งขยำใบปลิวกระดาษนั้นอย่างไม่เหลือชิ้นดี สายตาเกรี้ยวกราดอีกทั้งแดงกล่ำมองไปบนท้องฟ้า
ที่เวลานี้เหมือนเป็นใจกับคำพูดยิ่งนัก
“สมใจข้าก็ครานี้..........ธรรมชาติใช่สิ่งที่จะให้พวกเจ้ามาล้อเล่นได้” ร่างนั้นสนุกขึ้นอีกครั้ง เมื่อหยาดฝนที่ร่วงลงมาจากฝากฟ้าจับตัวรวมกันเป็นก้อนน้ำแข็งหลากหลายขนาด
“หาที่หลบภัยให้ดีล่ะ....................พายุกำลังจะมา.....ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะดังก้องขึ้นในป่าลึกลับ
ความคิดเห็น