ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูลอ้างอิง

    ลำดับตอนที่ #5 : สัตว์ในเทพนิยาย 2

    • อัปเดตล่าสุด 20 ต.ค. 51


    มันติคอร์ (Manticore)

    มัน ติคอร์ เป็นสัตว์ที่น่ากลัวเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน มันเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่าง คนกับสัตว์ มีฟันอันแหลมคม นิสัย

    เจ้าเล่ห์ มีหน้าเป็นคน ตัวเป็นสิงโต ลองคิดดู ถ้าคุณเข้าป่าเห็นหน้ามันโผล่มา คุณต้องคิดว่ามันเป็นคน แน่ๆ แต่พอ

    เข้าไปหา กลายเป็น!ประหลาด อะไรจะเกิดขึ้น (อะจื้ย! โตะใจหมดเลย) ส่วนชื่อของมัน ก็มาจากภาษา เปอร์เซีย คือ

    martikhora แปลว่า ผู้กินคน (แค่ชื่อก็น่ากลัว แล้ว) คน เอเซีย ยุคโบราณต่าง ก็รู้จัก มันติคอร์กันทั้งนั้น ใน ศตวรรษ

    ที่สอง มีนักประวัติศาสตร์โรมันบรรยายถึง ความ น่ากลัวของมันติคอร์จากเรื่องบอกเล่าที่มีมาราว 700 ปี ก่อนหน้านั้น

    ว่าในอินเดียมี!ป่าชนิดหนึ่งที่มีอำนาจ น่าเกรงขาม รูปร่างใหญ่ราวกับสิงโตตัวที่ใหญ่ที่สุด มีผิวสีแดง ขนหยาบคล้าย

    สุนัข ในภาษาอินเดียเรียกมันว่า มาร์ติคอรัส

    อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของมันไม่ใช่! แต่กลับเป็นใบหน้าของมนุษย์ มีฟันบนสามแถว และฟันล่างอีกสามแถว เป็นฟัน

    ที่แหลมคมและใหญ่กว่าเขี้ยวของสุนัขล่าเนื้อ ใบหูของ มัน ก็คล้ายกับของมนุษย์ เว้นแต่ว่ามีขนาดใหญ่ กว่าและมี ขน

    หยาบ ตาของมันมีสีน้ำเงินเทาคล้ายนัยน์ตามนุษย์ แต่เท้า และกรงเล็บของมันเหมือนของสิงโต ที่ปลายหางของมันคือ

    หางของแมงป่อง ที่อาจจะมีความยาวเกินกว่า 18 นิ้ว ที่ปลาย สุดของหาง มีเหล็กไนที่สามารถต่อยคนถึงตาย ได้ทันที อยู่

    เต็มไปหมด มันสามารถปล่อยเหล็กไนที่มีลักษณะ เหมือนกับ ลูกศร และสามารถยิงไปได้ไกล เมื่อปล่อยเหล็กไนไป

    แล้ว มันก็จะ ม้วนหางกลับ หากมันจะยิงเหล็กไนไปทิศตรงข้าม มันจะยืดหาง ออกไปจนสุดแทน !ที่ถูกเหล็กไนของมัน

    ติคอร์จะตายทันที ช้างเป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่มันติคอร์จะ ไม่ทำร้าย





    บาซิลิสก์ (Basilisk)

    เป็น งูใหญ่ที่น่ากลัวและน่าสยดสยอง ซึ่งแค่มองผ่านเหยื่อก็ทำให้เหยื่อตายได้ (คล้ายๆกับเมดูซานั่นแหล่ะ) ได้มีนักเล่า

    นิทานคนหนึ่งอธิบายไว้ ว่าคล้ายๆกับ "งูที่มีมงกุฎสีทองเล็กๆบนหัว (เป็นงั้นจริงคงจะน่ารัก น่าดูลองวาดภาพออกมาดูสิ) ใน

    ยุคกลาง มีผู้เชื่อว่ามันเป็นเพียงงู ที่มีหัวเหมือนไก่ บางครั้งก็มีหัวเป็นคน บาซิลิสก์เกิดจากไข่ ที่ออกมาจากพ่อไก่

    ระหว่าง ที่มีกลุ่มดาวสุนัข (ดาวซิริอัส) ปรากฏบนท้องฟ้า และได้คางคก เป็นผู้กกไข่ การมองเห็น บาซิลิกค์นั้นน่ากลัว

    สยดสยอง

    มาก ถ้า!ใดก็ตามได้เพียงเห็นมัน มองผ่าน แม้แต่ทาง กระจกก็อาจตาย ได้ทันทีเพราะความกลัว วิธีเดียวที่จะฆ่ามัน

    ได้ก็คือ ต้องถือกระจก ไว้ข้างหน้าตัวมัน ก่อนที่มันจะมองผ่านมา แล้วเมื่อ มันมองมาใน กระจกนั้นมันก็จะเห็นเงาตัว

    มันเอง ในกระจก และก็ตายทันที (เป็นความคิดดี! ง่ายๆ แต่ได้ใจความ) บาซิลิสก์ยังมีผู้เชื่อ ว่ามีเขา หรือมีพังพอน

    ด้วย 



    คราเกน (Kraken)

    เรื่อง เล่าขานของอสุรกายใต้ท้องทะเลในโลกนี้ คงไม่มีเรื่องใดจะสร้างความพรั่นพรึง ให้ลูกทะเลอย่างเรื่องของ

    Kraken อีกแล้ว จากเรื่องเล่าขาน เจ้า!ยักษ์ตัวนี้มีขนาด มหึมา มีหนวดใหญ่ยุ่บยั่บ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่า

    เสากระโดงเรือ เจ้า Kraken ชอบที่จะโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่

    เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามา ป้อนเข้าปากอันน่ากลัว ของมัน ในบรรดาเรื่องเล่าเกี่ยว

    กับ!ยักษ์ใต้สมุทร คงไม่มีเรื่อง ใดจะน่าสยดสยองเท่าความดุร้ายของ Kraken อีกแล้ว เรื่องของ Kraken ถูกเล่าขานมา

    นานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็น หลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิต ขนาดเท่าเกาะ

    ในหนังสือชื่อ The Natural History of Norway ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้

    บรรยาย เกี่ยวกับ Kraken เอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ขนาดความยาว ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์

    อะไรมันจะขนาดน้าน

    แต่เรื่องราวใน ช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเก้นก็ค่อยๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมา โอฬารอย่างในอดีต ถึงกระนั้น

    ก็ยังจัดเป็น!ไซส์ยักษ์อยู่ดี Kraken ในตำนานของทะเล เหนือ ในสายตาของนักชีววิทยาแล้ว มันคงเป็น!ประเภทปลา

    หมึกยักษ์เสียมากกว่า ลักษณะของปลาหมึกชนิดนี้มักจะก้าวร้าวรุกราน และขึ้นมาหาเหยื่อเหนือผิวน้ำ เมื่อแล เห็น

    มนุษย์ ขนาดของมันไม่ถึงกับยาวกว่าครึ่งไมล์ ตามบันทึกของท่านบิชอปหรอกนะ ถึงกระนั้นขนาดของมันก็สูสีกับ!ที่ตัว

    ใหญ่ที่สุดในโลก คือปลาวาฬเสปิร์มอยู่ดี ในปี 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของเจ้าปลาหมึกชนิดดังกล่าว นักชีววิทยา

    และผู้ชำนาญการคาดว่า เจ้า Kraken (หรืออาจจะเป็น ปลาหมึกยักษ์ (Giant Squid) นี้โจมตีเข้า เพราะเรือของมนุษย์

    ดันไปมีรูปร่างคล้ายปลาวาฬ อาหารหลักของเจ้าปลาหมึกนี่เอง จากรายงานของผู้ประสบเหตุ ปลาหมึกดังกล่าว มีขนาด

    มหึมากัน เหลือเกินครับ โดยเฉลี่ยมันจะยาวประมาณ 100 ฟุต น้ำหนัก ประมาณ 2-3 ตัน ยังกะก็อตซิลล่าทะเลแน่ะ

    นึกภาพออกไหมว่า ถ้าเรือเดินสมุทร โดน!ยักษ์ทรงพลังขนาดนี้เข้าโจมตีแล้วอะไรมันจะไปเหล ือ และบริเวณที่เกิด

    เหตุ ส่วนมาก จะเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคเท่าน ั้น




    ไฮดรา (Hydra)

    งานชิ้นที่สองซึ่ง เฮอร์คิวลิส ( Hercules ) ต้องปฎิบัติตามคำสั่งของยูริทูสก็คือ ให้ไปปราบเจ้า ไฮดรา อสูรกาย 9 หัว บาง

    ตำนานบอกว่าเจ้าไฮดรา มีหัวถึง 10 หัว แต่บางตำนานก็บอกว่ามีมากถึง 100 หัว ข้อนั้นไม่น่าหวั่นเกรงเท่ากับว่าเจ้า

    อสูรกายตัวนี้เมื่อหัวใดหัวหนึ่งของ มัน ถูกตัดขาดก็จะมีหัวใหม่งอกขึ้นมา เพิ่มเป็นสองหัว แล้วจะจัดการกับมันด้วยวิธี

    ใด

    ไฮดราคืออสูรกายซึ่งเป็นส่วนผสมของสัตว์หลายชนิด คือมีลำตัวเป็นสุนัข ร่างกายปกคลุมด้วยเกล็ด ปลาแข็งแกร่ง มี

    หางเหมือนมังกร ส่วนหัวนั้นเหมือนงู หรือมังกร นอกจากนั้นลมหายใจของมันยังมีพิษร้ายขนาดทำให้คนที่เ ข้าใกล้ถึง

    แก่ความตาย ได้ ดังนั้นเฮอร์คิวลิสจึงต้องสูดลมหายใจให้เต็มปอดแล้วจ ึงค่อยวิ่ง เข้าไปราวี โดยเอากระบองฟาด

    เปรี้ยงใส่หัวของมัน ด้วยแรงอันมหาศาลของเขาทำให้หัวของเจ้าไฮดราขาดกระเด ็นลงมาหนึ่งหัว แต่มันก็งอกขึ้นมา

    ใหม่ ถึงสองหัว เจอเข้าแบบนี้ วีรบุรุษจอมพลังก็ยืนเหงื่อตกอยู่เหมือนกัน

    แต่ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของเฮอร์คิวลิส เมื่อตัดหัวของไฮดราได้แล้วจึงได้ให้ผู้ช่วย ไอโอลอส ( Iolaus ) ผู้เป็นบุตร

    ของ อิฟฟิคลีส ( Iphicles ) น้องคู่แฝดของเฮอร์คิวลิส โดยให้ไอโอลอสนำไฟลนที่คอของไฮดรา เพื่อมิให้มีหัวใหม่งอก

    ออกมา

    ประวัติของ อิฟฟิคลีสน้องชายคู่แฝดของเฮอร์คิวลิสค่อนข้างจะยุ่ง ยากและสับสนอยู่ไม่น้อย คือ ก่อนที่กษัตริย์ อีเล็ก

    ทไรออน ( Electryon ) แห่งอาณาจักร อาร์กอส ( Argos ) จะยกเจ้าหญิงแอลค์มีนี ( Alcmene ) ให้เป็นชายาของ เจ้า

    ชายแอมฟิทไรออน ( Amphitryon ) จนมีโอรสด้วยกันคือเจ้าชายอิฟฟิคลีส ซีอุส ( Zeus ) ได้ลอบเข้ามาสมสู่กับเจ้าหญิง

    แอลค์มีนีจนเกิดพระครรภ์แฝดขึ้นมาพร้อมกัน บุตรของซีอุสเมื่อคลอดออกมาคือ เฮอร์คิวลิส ส่วนบุตรของเจ้าชาย

    แอมฟิทไรออน ( อยู่ในครรภ์พร้อมกับเฮอร์คิวลิส ) คือ อิฟฟิคลีส

    ฝ่ายพระนางเฮรา ( Hera ) มเหสีเอกของเทพเจ้าซีอุส วึ่งไม่ชอบหน้าเฮอร์คิวลีสเพราะเขาเป็นโอรสของเจ้าหญ ิงแอล

    ค์มีนี ชายาอีกองค์หนึ่งในจำนวนหลายๆ องค์ พระนางเฮราซึ่งเท่ากับมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของเฮอร์ คิวลิส ต้องการให้

    เขาพ่ายแพ้ ( น้ำเน่า ) จึงส่งปูยักษ์มาหนีบส้นเท้าของเฮอร์คิวลิสไว้ในขณะที ่สู้กับเจ้า ไฮดรา แต่เฮอร์คิวลิสก็เตะเจ้าปู

    ยักษ์อย่างแรงจนมันกระเด็นไม่เป็นท่า และสามารถตัดหัวสุดท้ายของเจ้าไฮดราได้สำเร็จ

    เมื่อสังหารอสูรกาย 9 ลงได้แล้ว เฮอร์คิวลิสได้เอาลูกธนูที่เทพบุตรอะพอลโลประทานให้ จุ่มเลือดของไฮดราเพื่อใช้

    เป็นศรพิษอาวุธสำคัญในการปราบ อสูรกายตัวอื่นๆต่อไป เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจอีกชิ้นหนึ่ง





    ตำนานมังกร(ตอนต้น)

    มังกร มาจากภาษาละตินว่า Draco เป็น!วิเศษที่รู้จักกันในวรรณคดี มังกรเป็นสัตว์อันตราย และน่าสพรึงกลัวสำหรับ

    มนุษย์ จึงมักเป็นศัตรูตัวฉกาจ ของเหล่าวีรบุรุษ ทั้งหลาย การฆ่ามังกรและขึ้นเถลิงราชย์เป็นกษัตริย์ มังกรจึงกลาย

    เป็นสัญลักษณ์ ขององค์กษัตริย์ทั้งที่มีตัวตนจริงๆ และกษัตริย์ในตำนานต่างๆ เช่นกษัตริย์อาเธอร์ ซึ่งมีนามสกุลว่า

    'Pendragon' อันมี ความหมายว่า 'ศีรษะของมังกร' หรือ 'หัวหน้ามังกร' มงกุฎ ของกษัตริย์อาเธอร์ ถูกออกแบบเป็นรูป

    มังกร กล่าวกันว่า หินวิเศษ หรือ draconite คือสิ่งที่อยู่ภายใน ศีรษะของมังกรสิ่งที่อยู่ใน หัวมังกร คือหินวิเศษแต่มัน

    จะไม่เป็นหิน ถ้าไม่ผ่าเอาออกมาขณะ ที่มังกรยังมีชีวิตอยู่ เมื่อใดที่มังกรเสียชีวิต ความแข็งของหินนั้น ก็จะหมดไป

    พร้อมกับชีวิตของมังกรด้วย ผู้ที่มีความกล้าหาญมากๆ จะออกสืบเสาะหาถ้ำมังกร และจะเฝ้าคอยจนกระทั่ง มังกรออก

    จากถ้ำ ไปหาอาหาร ขณะที่มังกรเดินผ่านมา พวกเขาก็จะขว้าง สมุนไพร ใส่หน้ามังกร

    เพื่อให้ มันหลับเมื่อมังกรหลับแล้ว พวกเขาก็จะผ่าเอาหินวิเศษออกจากหัวมังกร และนำสิ่ง ล้ำค่าที่ขโมยมาได้นี้ ไป

    ขายเพื่อแสวงหาความร่ำรวย กษัตริย์หลายพระองค์ ในเอเชียจะ ประดับหินวิเศษของมังกร แม้ว่ามันจะมีความแข็ง

    มาก จนไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถ ประทับตราจารึก หรือทำเครื่องหมายใดๆ ได้เลยก็ตาม หินนี้มีสีขาวบริสุทธิ์ตาม

    ธรรมชาติ

    มังกร อาจพบได้ง่ายและบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นทางของยุโรป หรือเอเชียก็ตามเรียกว่า ที่ใดมีอารยธรรมและตำนาน ที่

    นั่นก็ต้องมีมังกรอยู่เป็นของคู่กันอยู่เสมอๆ มังกรนั้น มีหลายอย่างแตกต่างไปตามความเชื่อของคนในแต่ละท้องถิ ่น

    แต่โดยทั่วๆไปแล้วจะเห็น จุดเด่นได้อย่างหนึ่งคือ ต้องเป็น! ขนาดใหญ่ ที่มีร่างกายใหญ่โต มีพละกำลังและ บางครั้งมี

    อำนาจ เวทย์มหาศาล และจุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างคือ มีปีกแล้วก็บินได้ ซึ่งขนาดรูปร่างสีนั้นก็แตกต่างกันไป เช่น

    Gold Dragon ตัวนี้ก็จะมีสีทอง เป็นมังกรที่จะเรียกได้ว่าอยู่ฝ่าย เทพก็ไม่ผิด

    Black Dragon มังกรดำตัวนี้ก็จะมีอำนาจร้อยกาจมาก เป็นของพวกมาร ส่วนใหญ่ อาศัยอยู่ในถ้ำ

    Tiamat เป็นราชาของพวกปีศาจ เป็นเจ้าแห่งขุมนรกทั้งเก้า(ของยุโรป) มีห้าหัว

    Mist Dragon ก็อยู่แถบน้ำตกใหญ่ๆ หรือหน้าผา หรือบริเวณที่มีหมอกลงจัด สีออกโทนขาว ฟ้า เทา

    มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเจ้า!ประหลาดมีปีกพ่นไฟได้ตั วนี้อยู่ 2 แนวคิดด้วยกันคือ

    1. มันเป็น!ในเทพนิยายโดยแท้ ไม่มีอยู่จริง ซึ่งก็คือเหลวไหลทั้งเพนั่นเอง เรื่องราว ส่วนใหญ่เกี่ยวกับมังกรเป็นเรื่อง

    ของจินตนาการ ซึ่งคนโบราณได้รับแรงบันดาลใจมาจาก !บางชนิด เช่นงู หรือ!อื่นๆ ความเป็นไปได้มันมีอยู่แบบนี้

    คนส่วนใหญ่เชื่อกัน ในแนวคิดที่หนึ่ง

    2. เชื่อว่ามันเคยมีอยู่จริงๆบนโลกนี้ ว่ากันในเชิงชีววิทยาก่อน มันเป็นเรื่องยากลำบากที่จะหาทฤษฎีที่เป็นไปได้ที่จะ

    อธิบายว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มังกรบินได้ พ่นไฟได้หรือแม้แต่คุณสมบัติ พิเศษ ของเลือดมังกรที่ใคร ได้อาบได้

    กินแล้วจะส่งผลพิเศษ ตามมาอีกร้อยแปดเนื่องจากตอนนี้เรามีหลักฐาน เกี่ยวกับมังกร อยู่น้อยมากนอกจาก เรื่อง

    เล่าต่างๆแล้ว ซากกระดูกฟอสซิล หรือหลักฐานอื่นๆเกี่ยวกับมังกรนั้นเราแทบ จะไม่เคยพบกันเลย มันเป็นเพียง

    แนวคิดที่นำมาเล่าให้ฟังกันเล่นๆ เพราะท่าทางมันเป็นไปได้ และน่าเชื่อถืออยู่มาก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×