ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Kuroshitsuji พ่อบ้านปีศาจของนายน้อย(ปีศาจ??)

    ลำดับตอนที่ #39 : บทสัมภาษณ์โอคาดะ มาริ ผู้รับผิดชอบโครงเรื่อง

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 53


    เครดิต :::  บทสัมภาษณ์จาก  http://lapace-geass.exteen.com/ (บล็อกของผู้แปลค่ะ)

    พอได้อ่านแล้วอยากให้เพื่อนๆได้อ่านกันบ้างค่ะ แปลภาษาได้ดีมาเลยทีเดียว

    มาอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ



    ------ ตอนเริ่มสร้าง “Kuroshitsuiji II” ซึ่งมีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเองเลยนี่ คาแรคเตอร์ของพ่อบ้านคลอว์ดและอลอยส์นี่ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะไหนหรือคะ?

    โอคาดะ: ตอนตัดสินใจว่า “ภาคนี้ทำการปะทะกันระหว่างพ่อบ้านเถอะ” อย่างแรกเลย ฉันต้องคิดว่าตัวละครที่่จะมาเทียบเคียงกับเซบาสเตียนและชิเอลได้ควรจะเป็น แบบไหนดี ตรงจุดนั้นนี่ จะหลุดออกจากเรื่องที่ว่า “พ่อบ้านเป็น S” ไม่ได้ แถมในภาคก่อนก็มีการต่อสู้กับเทวดาไปเสียแล้วด้วย เพราัะงั้นต้องสร้างตัวละครพ่อบ้านที่แข็งแกร่งกว่านั้นอีก เผลอๆจะเก่งกว่าเซบาสเตียนด้วยซ้ำ แล้วก็มีนิสัยเงียบขรึม ไม่แสดงอารมณ์ออกมาให้เห็น ก็เลยได้คลอว์ดออกมาค่ะ ส่วนอลอยส์นี่ ฉันอยากเขียนตัวละครที่แม้จะมีอดีตคล้ายกับชิเอลแต่ก็เป็นคนแตกต่างกันโดย สิ้นเชิง ก็เลยเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นจากอดีตดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ตัวละครใน “Kuroshitsuji” จะมีความเข้มลึกอยู่ในตัว อย่างอลอยส์นี่ในความหมายหนึ่งนี่ทำออกสุดโต่งไปด้วยซ้ำ เลยไม่น่าห่วงอะไร แต่สำหรับคลอว์ดนี่ ต่อให้สร้างตัวละครเท่ๆแบบเซฟตัวเองออกมา ยังไงก็ไม่มีทางชนะตัวละครในผลงานเดิมได้อยู่แล้ว แถมยังให้มาเป็นคู่ปรับไม่ไ่ด้ด้วย ทีนี้หลังจากดิ้นรนอยู่หลายตลบว่าจะทำยังไงดี มันก็ออกมาพิลึกขึ้นเรื่อยๆ……(หัวเราะ) 

    ------กลายเป็นตัวละครแบบนั้นไปแล้วสินะคะ (หัวเราะ) มีแรงบันดาลใจอะไรขึ้นมาหรือคะ?

    โอคาดะ:  มันมีเหตุจากตอนคิดฉากแอ็คชั่นกับแว่นขึ้นมาได้รึเปล่านะ (หัวเราะ) เดิมทีฉันมีแรงบันดาลใจมาจากดีไซน์ตัวละครที่มีแว่นติดมาด้วยซึ่งอาจารย์โท โบโสะ ยานะ เจ้าของผลงานเดิม กรุณาวาดมาให้น่ะค่ะ แผนที่คิดไว้ตอนแรกคือ หลังฉันเขียนบทตอนที่ 1 เสร็จ ก็จะขอให้ไรท์เตอร์คนอื่นๆเขียนต่อ แล้วฉันก็จะเขียนบทส่วนที่เหลือคือตั้งแต่ตอนที่ 8 จนถึงตอนจบเอง ปรากฎบทตอนที่ 8 นี่เขียนออกมาเสร็จก่อนบทช่วงตอนที่ 2 ถึง 7 จะออกมาเสียอีก คลอว์ดในตอนที่ 8 ตื่นเต้นคึกคักเกินเหตุไปนิดอยู่ในตัวฉัน……(หัวเราะ)

    ------ระเบิดออกมาไม่เบาเลยนะคะ (หัวเราะ)

    โอคาดะ: ตานี่เป็นผู้ชายที่ตะกละตะกรามแล้วก็โหดร้ายจริงๆค่ะ (หัวเราะ) แต่กระนั้นผู้กำักับ อาจารย์ และสตาฟฟ์ทุกคนก็กรุณาบอกว่า “ทำเต็มที่ไปเลย!” อลอยส์กับคลอว์ดก็เลยออกมาตามที่ฉันคิดไว้ เพียงแต่ว่า ถ้านี่เป็นผลงานที่มีเนื้อเรื่ิองเป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์ล่ะก็ จะให้วิ่งไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่ยังไงเสียเรื่องนี้ก็มีผลงานเดิมอยู่ จะให้โผล่ออกมาขนาดไหนดีนี่ ฉันก็ลองผิดลองถูกอยู่ตลอดค่ะ

    ------จากมุมมองของโลกในผลงานเดิม มันมีเส้นที่เราจะหลุดออกมาไม่ได้จริงๆล่ะนะคะ

    โอคาดะ: ใช่แล้วค่ะ ในภาค 1 ฉันกลุ้มใจกับการเขียนความสัมพันธ์ฉันท์ “พ่อบ้านกับนายน้อย” ของเซบาสเตียนและชิเอลเอามากๆเลยค่ะ ถ้าเป็นอนิเมปกติ เขียนประมาณ “ผมจะปกป้องนายน้อยเองขอรับ!” เรื่องมันก็จะดำเนินไปได้ดีกว่า แต่ฉันต้องรักษาระยะห่างของทั้งสองคนไม่ให้ใกล้กันไปกว่านี้ ทว่าจุดนั้นล่ะค่ะที่กลายเป็นเสน่ห์ เพราะฉะนั้นฉันเลยตั้งใจจะเขียนความเท่ซึ่งเกิดจากการไม่ไว้วางใจซึ่งกันและ กันแม้จะร่วมต่อสู้กันมา หรือจุดชวนปวดแสบปวดร้อนออกมาค่ะ แต่สำหรับคลอว์ดและอลอยส์ในภาคนี้ ฉันอยากเขียนตัวละครที่หลุดออกมาจากพันธนาการนั้น เลยปล่อยอะไรที่เคยเก็บกดไว้ให้ไหลโจ๊กออกมาพรวดเดียวเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่เดิมทีมันเกิดมาจากการตีความหมายได้สองนัยของคำว่า “พ่อบ้านแมงมุม” ทั้งสองต่างก็พึ่งพากันและกัน ก็เลยคิดว่าถ้าเขียนเป็นความสัมพันธ์แบบเหนียวหนืดที่เข้าใจยากขึ้นเรื่อยๆ ว่าฝ่ายไหนเป็นแมงมุม ฝ่ายไหนเป็นผีเสื้อกันแน่ออกมา มันจะอีโรติกดีมั้ยน้าน่ะค่ะั

    ------ออกจะเป็นความสัมพันธ์ไม่สม่ำเสมอ ตรงข้ามกับความสัมพันธ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเซบาสเตียนและชิเอลสินะคะ

    โอคาดะ:  จุดนั้นมันซับซ้อนมากเลยนะคะ เซบาสเตียนกับชิเอลนี่มีจุดที่ต่างฝ่ายต่างก็คอยประเมินอีกฝ่ายอยู่เสมอด้วย ค่ะ ความรู้สึกประมาณใครหมดค่าในการมีตัวตนอยู่เมื่อไหร่ก็สามารถตัดทิ้งได้ ทันที คลอว์ดกับอลอยส์มีจุดแบบนั้นเหมือนกันก็จริง แต่ก็จริงอีกเหมือนกันว่าเป็นความรู้สึกที่โอนเอนไปทางความรักอยู่เล็กน้อย พอได้ยินพูดอย่างนั้นแล้ว ตอนกำลังเขียนเรื่องอลอยส์นี่ ต้องบอกว่าฉันอาจจะเห็นใจเขาด้วยความรู้สึกของผู้หญิงอยู่ก็เป็นได้ “แบบนี้มันทรมานสินะ แต่ก็ยังวิ่งไล่ตามไปจนได้สินะ” อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ก่อนหน้านี้ฉันเคยอยากลองเขียนหนุ่มน้อยหน้าสวยผู้น่าสังเวชเวทนาน่ะค่ะ เขียนบทไปก็คิดไปพลางว่าอยากให้อลอยส์มีความสุขจริงๆเลยน้า 

    “การทะเลาะหึงหวงครั้งมหึมา” นามว่า ‘Kuroshitsuji II’

     
    ------แล้วพล็อตของเรื่องนี้ถูกคิดขึ้นมายังไงหรือคะ?

    โอคาดะ: ตอนแรกเลยที่คิดว่าจะเขียนเรื่องราวเชื่อมโยงกับภาคแรกยังไงดีนี่ ฉันชอบจุดที่เซบาสเตียนไม่พูดโกหกเอามากๆเลยค่ะ อยากจะเล่นกับจุดที่ว่า “ไม่พูดโกหกก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่การโกหกล่ะก็ จะทำ” ก็เลยได้การดำเนินเรื่องในตอนนี้ที่ว่าชิเอลสูญเสียความทรงจำไปและจะทำการ ชำระแค้นอีกครั้งมา ส่วนเรื่องราวของอลอยส์กับคลอว์ดนี่ ทางนี้ได้รับมอบหมายมาเยอะอยู่ก็จริง แต่ไอเดียเกี่ยวกับบทลงเอยของเซบาสเตียนและชิเอลในตอนสุดท้ายนี่ได้รับมาจาก อาจารย์โทโบโสะ ฉันเลยคิดว่าจะเขียนเนื้อเรื่องยังไงให้มุ่งไปสู่่จุดนั้นน่ะค่ะ 

    ((ตอนจบเป็นไอเดียอาจารย์???.........ยิ่งอยากรู้ตอนจบเข้าไปใหญ่))

    ------ได้ยินข่าวลือมาว่า เรื่องราวในตอนสุดท้ายนี่ทำเอาตกตะลึง……

    โอคาดะ: ก็นะคะ (หัวเราะ) ฉันก็ตกใจว่าได้รับมอบหมายให้ทำเรื่องสุดยอดไม่เบาเลยนะเนี่ย อาจารย์เป็นคนมีความสามารถจริงๆค่ะ (หัวเราะ) อีกอย่าง ในภาคก่อนเนื้อเรื่องมีขนาดค่อนข้างใหญ่อย่างมีเทวดาปรากฎตัวออกมา คราวนี้ก็เลยมีคำขอมาอยู่เหมือนกันว่า อยากให้เรื่องหดเล็กลงมาอีกนิด พอเป็นอย่างนั้น ฉันเลยตัดสินใจจะเขียนลงลึกไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งให้มากขึ้น ออกมาเป็นการทะเลาะหึงหวงครั้งมหึมานี่ล่ะค่ะ (หัวเราะ) ในความหมายหนึ่งก็คือ วัดกันว่าจะทำเรื่องแสนสามัญธรรมดาให้มีความเป็น “Kuroshitsuji” ได้มากแค่ไหนล่ะนะคะ

    ------ถึงอย่างนั้นก็ตาม การใส่มุขเข้าไปอย่างสุดเหวี่ยงนี่สุดยอดเลยนะคะ

    โอคาดะ: เหมือนกำลังพูดเรื่องคนอื่นยังไงอย่างนั้น แต่ฉันก็คิดว่ายอดไปเลยเหมือนกันค่ะ (หัวเราะ) ใน “Kuroshitsuji” นี่ ไม่ใช่เพียงความสัมพันธ์ระหว่างเซบาสเตียนกับชิเอลเท่านั้น ยังมี “เรื่องห้ามทำ” อยู่เต็มไปหมด ซึ่งเราก็ไม่แสดงเรื่องพวกนั้นออกมา จะบอกว่าท่ามกลางอารมณ์โกธิครึ ก็ต้องบอกอย่างนี้มากกว่าว่า ท่ามกลางบรรยากาศบีบรัดอึดอัดสุดๆแบบนั้น ก็ยังมอบความบันเทิงได้เป็นอย่างดี จุดนี้เป็นข้อดีมากๆของผลงานเดิม เพราะงั้นถึงจะเป็นเนื้อเรื่องแต่งใหม่หมด ก็ยังอยากเอาตรงนั้นมาใช้ด้วยน่ะนะคะ สำหรับผู้กำกับภาคสอง ผู้กำกับโองุระ แกเป็นคนที่ถนัดการเล่นมุขและฉากแอ็คชั่นแบบไม่ยั้งค่ะ เพราะงั้นในบทอนิเมนี่ เวลาปิดก็จะปิดให้แน่นยิ่งกว่าคราวที่แล้ว ทำให้ตระหนักถึงแง่มุมความเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง แล้วพอได้ภาพทรงพลังมาผนวกกับเรื่อง ก็เลยทำให้สมกับเป็น “Kuroshitsuji” ล่ะมังคะ

     

    ------การเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างแบบนั้นนี่ดีจังเลยนะคะ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเกรลล์กับเซบาสเตียนในตอนที่ 3 ก็สนุกดีค่ะ

    โอคาดะ: สำหรับเกรลล์ ตอนเขียนบทละครเพลง “The Most Beautiful DEATH in The World – Sen no Tamashii to Ochita Shinigami” ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลยล่ะค่ะ เกรลล์ไม่ได้มีแค่แง่มุมของซือเจ๊ผู้คึกคักมีชีวิตชีวาอย่างยิ่งยวด แต่มีแง่มุมน่ากลัวจากสีสันของความคลุ้มคลั่งอยู่ด้วย ฉันเลยคิดๆว่า หรือจะเน้นย้ำจุดนั้นในภาค 2 ดีนะ แต่ตอนดูละครเพลง ฉันได้ไปสัมผัสรู้ว่า……พอเกรลล์ออกโรงปุ๊บ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นความสดใสขึ้นมาทันที เพราะงั้นเลยเก็บเบื้องลึกเบื้องหลังของเกรลล์ไว้วันหลัง ส่วนคราวนี้ให้เปล่งประกายเจิดจ้าเสียตามใจอยากเลย (หัวเราะ)

     

    ------เพิ่งเคยเขียนบทละครเพลงเป็นครั้งแรกสินะคะ

    โอคาดะ: ใช่แล้วค่ะ ฉันได้รับมอบหมายให้แต่งเรื่องเอาตามใจเลย ก่อนอื่นเลยลองสมมติดูค่ะว่าอยากจะดูฉากแบบไหนนะ ทีนี้ก็เลยคิดว่าถ้าเป็นอะไรทำนอง “The Producers” ณ สมาคมส่งยมทูตประจำการ ก็น่าจะสนุกดี ก่อนอื่นก็คิดฉากนั้นขึ้นมาก่อน แล้วคิดเรื่องในภาพรวมโดยอิงจากฉากนั้นต่อไปค่ะ

     

    ------แล้วความรู้สึกจากการรับชมละครเพลงที่เสร็จสมบูรณ์ออกมาแล้วล่ะคะ?

    โอคาดะ: ทุกคนช่างเป็นหนุ่มหล่อค่ะ (หัวเราะ) แต่เดิมทีฉันไม่ค่อยถนัดอะไรเกี่ยวกับหนุ่มหล่อ 3 มิติหรอกค่ะ แต่พอทุกคนสวมชุดในการแสดงปุ๊บ ก็กลายเป็นหนุ่ม 2.5 มิติทันที รู้สึกว่า “ยอดไปเลย” ค่ะ ก่อนหน้านั้นก็พูดทักทายกันเป็นปกติแท้ๆ แต่ ณ จุดนั้นกลับรู้สึกว่า “พูดด้วยไม่ออกแล้ว!” แล้วก็มองภาพการฝึกซ้อมอยู่ห่างๆค่ะ (หัวเราะ) อีกอย่าง “Kuroshitsuji” ที่ผ่านมา ผู้กำกับจะเป็นผู้ชาย แต่มาคราวนี้ (ฟุคุยามะ) ซากุระโกะ ซัง กรุณามาช่วยกำกับให้ เลยรู้สึกว่า “อ๊ะ ผู้หญิงกำกับแล้วออกมาเป็นแบบนี้เอง” มีอะไรน่าสนใจหลายอย่างค่ะ อย่างฉากเล่นหมากรุกตอนเริ่มเรื่องนี่ให้อารมณ์สง่างามมากๆ ฉันตั้งใจจะเขียนบทละครที่เต็มไปด้วยเรื่องบ้าบอ แต่รู้สึกขอบคุณมากเลยค่ะที่กรุณากำกับละครออกมาอย่างวิเศษและให้สัมผัสความ สูงส่ง (หัวเราะ)

     

    ------มีสไตล์และสง่างาม แต่ก็ยังคงความอีโรติกสมเป็น “Kuroshitsuji” นะคะ

    โอคาดะ: ค่ะ ก็ “Kuroshitsuji” มีความอีโรติกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี่นะคะ ซึ่งตรงนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นออกมาตรงๆ แต่มีกลิ่นอายออกมาจากลัึกษณะความสัมพันธ์และบรรยากาศ ก็เพราะอย่างนั้นนั่นล่ะ ฉันถึงได้อยากลองเจาะลึกจุดนั้นให้ละเอียดถ่องแท้ไปเลย

     เราไม่ได้จิ้นเพราะหื่นใช่ไหม??เพราะท่านทำให้เราจิ้น55++

    การเปิดช่องทิ้งให้คิด ความอีโรติกที่ซุกซ่อน 

    ------ในอนิเมเองนี่ ความอีโรติกแบบตรงๆนี่ก็แน่อยู่แล้ว แต่ก็สัมผัสได้แรงกล้าด้วยว่ามีความอีโรติกแบบผิดศีลธรรมอยู่นิดๆ

    โอคาดะ: พอดีในภาคแรกมีฉากเซบาสเตียนแขนขาด ระหว่างที่ฉันคิดๆว่าอยากเขียนตีความความหมายถึงพันธสัญญา……ฉันเลยอาจจะรับ รู้ถึงความอีโรติกแบบเสื่อมถอยอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้

     

    ------อย่างฉากอลอยส์คว้านลูกตาฮันนานี่ ดวงตาก็กลายมาเป็นกุญแจสำคัญนะคะ

    โอคาดะ: การดึงอวัยวะที่สัมผัสได้จากภายนอก อย่างดวงตา ออกไปอย่างรวดเร็ว ได้อิทธิพลมาเพราะฉันชื่นชอบบาตาย หรือ “Shunkinshou” ของทานิซากิน่ะค่ะ ขออ้างอิง อุเอะมุระ ริโกะ ซัง ผู้ค้นคว้าเกี่ยวกับยุคสมัย ดูเหมือนพวกคนรับใช้ในสมัยนั้น (ยุควิกตอเรียของอังกฤษ) จะห้ามมองเจ้านายด้วยตาเปล่าๆ ก็เลยอยากจะดึงข้อดีของจุดน่าอึดอัดนั้นออกมาค่ะ ก็จุดนั้นเนี่ย จะใช้กับพวกบัลด์หรือฟินนีในภาคแรกก็ไม่ได้เสียด้วย (หัวเราะ) อลอยส์รังแกฮันนาก็เพราะสำหรับอลอยส์แล้ว ฮันนาเป็นคนที่อลอยส์หวาดกลัวค่ะ อลอยส์ไม่เคยได้รับความรักบริสุทธิ์จากใครอื่นนอกจากน้องชาย เพราะไม่คุ้นเคยกับการได้รับความรัก ก็เลยรู้สึกสะอิดสะเอียดโดยสัญชาตญาณกับความปรารถนาดีของฮันนา สิ่งที่ทำความเข้าใจไม่ได้ก็คือสิ่งที่เชื่อไม่ได้ ต่อให้มองจากมุมมองทั่วไปก็เถอะ คนที่ชอบโจมตีใครก่อน พอถูกโจมตีเสียเองก็กลายเป็นอ่อนแอไปเลยใช่มั้ยล่ะคะ (หัวเราะ) 

    ------อย่างนี่นี่เอง ยังไงฮันนาแบบนั้นก็ได้รับความเห็นว่ามีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามนะคะ

    โอคาดะ: ฮันนาเป็นตัวละครที่ฉันถูกใจค่ะ ภาพที่ออกมาก็ดูดีนะคะ อย่างตรงผิวคล้ำ ผมขาว เนี่ยโดนสุดๆไปเลยค่ะ (หัวเราะ) ฉันว่าความอีโรติกในภาคแรกนับว่าเป็นแบบเข้าใจง่าย แต่ภาค 2 นี่อยากให้เป็นไปแบบจู่โจมไม่รู้ตัวหน่อยๆ ความอีโรติกสไตล์โกธิคที่เกิดจาก “การปกปิด” ฉันว่าของแบบนั้นก็มีจริงๆล่ะนะคะ ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว ฉันได้ไปนิทรรศการกับมุระคะมิซังหลายแห่ง แล้วก็รู้สึกว่ายังไงๆสิ่งต่างๆในสมัยนั้นนี่มันก็อีโรติกจริงๆด้วยล่ะค่ะ มุระคะมิซังเป็นคนเอาจริงเอาจัง น่าจะมีความสามารถในการตอบรับความอีโรติกที่หลบซ่อนรึเปล่าน้า (หัวเราะ) เพราะงั้นแม้แต่เวลาประชุม พอถูกบอกว่า “ไม่เข้าใจความหมายของฉากตรงนี้น่ะีครับ” ตรงจุดที่ใส่ความอีโรติกเข้าไปนิดนึง มุระคะมิซังก็ช่วยอธิบายแทนฉันที่อธิบายไม่ได้เรื่องค่ะ (หัวเราะ) สตาฟฟ์ที่อ่านหนังสือนี่ นอกจากมุระคะมิซังแล้วก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นเลย ฉันเลยรู้สึกว่าเราเชื่อมโยงกันได้ด้วยวงจรโอโตเม่ะแบบแปลกๆนั่นล่ะค่ะ

     

    ------ ถึงอย่าง นั้นก็ตาม ระหว่างดู “Kuroshitsuji II” ก็มีช่องให้จินตนาการ อย่างต้องมาย้อนคิดอีกรอบว่า “ตกลงฉากนั้นมันอะไรยังไงกันแน่ล่ะเนี่ย” ไม่น้อยเลยนะคะ

    โอคาดะ: รู้สึกดีใจมากๆเลยค่ะที่กรุณาเอาใส่ใจในรายละเอียดแบบนั้น ฉันชอบการเปิดช่องให้จินตนาการมากเลยค่ะ แต่โดนบอกมาว่าตอนนี้ไม่ค่อยรับงานแบบนั้น เพราะงั้นใน “Kuroshitsuji II” เลยอาจหาญท้าทายกับตรงนั้นดูค่ะ ฉันน่ะชอบดาราไอดอลเด็กผู้หญิง ดาราไอดอลสมัยก่อนจะไม่ค่อยให้เห็นตัวตนจริงๆ จุดนั้นมันกระพือจินตนาการของแฟนๆว่า “จริงๆแล้วน่าจะอย่างนี้รึเปล่านะ” ใช่มั้ยล่ะคะ แต่ดาราไอดอลสมัยนี้จะเผยให้เราได้เห็นส่วนที่เป็นตัวตนจริงๆ  พอได้รู้ข้อมูลเบื้องหลัง บุคลิกลักษณะนิสัยก็ชัดเจนขึ้น ทำให้ดูแล้วสนุกขึ้นจริงๆล่ะค่ะ ฉันเลยเข้าใจเอามากๆว่าทำไมดาราไอดอลยุคนี้จึงได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี Morning Musume กับ AKB นี่ฉันก็ชอบ แต่ก็มีความรู้สึกด้วยว่า อยากจะจิ้นกระเจิงเป็นจริงเป็นจังว่า “เด็กคนนี้เข้าห้องน้ำหรือไม่เข้าห้องน้ำกันนะ” (หัวเราะ)

    ------อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า อยากให้เปิดช่องทิ้งไว้ให้คิดนะคะ

     

     

    ตอนสุดท้าย สู่เรื่องราวของทั้งสองซึ่งหนักแน่นมั่นคง

     

    ------เอาล่ะค่ะ อยากจะให้ฝากคำุพูดถึงแฟนๆทุกท่านเกี่ยวกับไคลแมกซ์หน่อยค่ะ

    โอคาดะ: “Kuroshitsuji” นี่ ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องราวของเซบาสเตียนกับชิเอล ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนตรงนั้นแล้วเป็นอันขาดค่ะ ในภาค 2 มีการแต่งเนื้อเืรื่องขึ้นใหม่ แล้วก็มีตัวละครแรงๆหน่อยอย่างอลอยส์และคลอว์ดออกโรงมาก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็จะกลายเป็นเรื่องราวของเซบาสเตียนและชิเอลต่อไปอยู่ดี ค่ะ ในตอนสุดท้าย จะว่าก้าวสู่ขั้นต่อไปโดยที่ค่าความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่มีการเปลี่ยนแปลง รึ ก็ควรจะบอกว่าเราจะได้เห็น “ภาพ” ที่ปกติแล้วจะไม่มีวันได้เห็นเป็นอันขาดค่ะ

    หมายความว่าอย่างไรคะ?????

    ------น่ารอชมจังค่ะ!

    โอคาดะ: พูดงั้นพูดงี้ จริงๆฉันสนุกกับการได้รังแกชิเอลมากเลยค่ะ ให้เจอกดน้ำทรมานก็ทำมาแล้ว (หัวเราะ) ฉันรู้สึกสนุกสนานมากกับการเขียนชิเอลที่โดนกระทืบมั่งโดนเตะมั่งแบบนั้น ในภาค 2 นี้เลยรู้สึกตัวขึ้นมาว่า “ฉันนี่ชอบชิเอลไม่เบาเลยนะเนี่ย” (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น ยังไงก็กรุณาติดตามชมชิเอลผู้น่ารักต่อไปจนจบด้วยนะคะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×