คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ออกนอกหุบเขา 2
สายตาของฟานถิงเหลือบมองบุตรสาว เห็นสีหน้าแช่มชื่นมีความสุขก็สบายใจ จุดหมายวันนี้นอกจากพาบุตรสาวมาเที่ยวดูสภาพภายนอกทั่วไป เหตุผลอีกข้อคือเพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่นางเคยรักษายามเจ็บป่วย
เย่ลี่จิงตามมารดาไปเยี่ยมเยียนบ้าน 3 - 4 หลังที่เคยได้รับการรักษาจากเย่ฮูหยิน เด็กบ้างคนชราบ้าง นางมองอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แค่จับชีพจรก็รู้อาการ เครื่องสแกนคอมพิวเตอร์ก็ไม่มี เครื่องวัดความดันก็ไม่มี ต้องเรียนขนาดไหนถึงทำเหมือนส่งหุ่นยนต์ขนาดจิ๋วผ่านผิวหนังเข้าไปเก็บข้อมูลคนไข้กลับมาถ่ายทอดประมวลผลให้คนรักษารู้
เมื่อเริ่มเดินทางต่อไปยังตัวเมือง เด็กหญิงจึงเอ่ยถามมารดา
"ทำไมแค่จับชีพจร ท่านแม่ก็ทราบว่า ไตเริ่มไม่ปกติเจ้าคะ"
"เจ้าสังเกตว่าแม่วางนิ้วตำแหน่งใดหรือไม่ ตำแหน่งของนิ้วที่แตะจะบอกให้รู้ถึงอวัยวะที่เกี่ยวข้อง การจับชีพจรที่ข้อมือซ้ายกับขวาก็มีความหมายแตกต่างกันไปอีก แล้วแม่จะสอนเจ้า"
คนถามแอบโอดครวญในใจ เรื่องละเอียดอ่อนและต้องจดจำมากมายเช่นนั้นไม่เหมาะกับนางอย่างแน่นอน ขอแค่รู้อักษรเอาชีวิตรอดและประกอบอาชีพสักอย่างเลี้ยงตัวได้ก็พอ แล้วนึกถึงคำของเย่หยางไคที่เคยบอกว่า นางยังไม่รู้ว่าชอบสิ่งใด แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าตัดอาชีพหมอออกไปได้เลย
การขี่ม้าเข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 3 เค่อ หากเปรียบกับเมืองสมัยณิริณ น่าจะเทียบได้กับเมืองรองตามแนวขอบประเทศ ร้านค้าโรงน้ำชาโรงเตี๊ยมเป็นตึกแถว 2 ชั้น คนขายของตามทางมักหาบมาขาย บ้างตากพริก ตากปลาในกระจาดอยู่ตามทาง ร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องประทินผิว เครื่องหอมมีสตรีที่แต่งตัวสีหวานแหว๋วผ้าบางกรุยกรายหลายชั้นเดินเข้าเดินออก ใบหน้าน่ารักหันซ้ายหันขวามองอย่างสนใจ 'ค่อยเหมือนที่เคยดูในทีวีหน่อย'
"แวะทานอาหารที่โรงเตี๊ยมแล้วค่อยเดินเที่ยวเล่น" เย่ฮูหยินบอกบุตรสาว ก่อนจะบังคับม้าให้ค่อย ๆ ก้าวเดินไปยังทิศทางที่ต้องการโรงเตี๊ยมที่ได้ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในเมือง มีคนค่อนข้างเยอะในเวลาใกล้ตะวันเคลื่อนสูงตั้งฉากกับพื้นดิน กลิ่นอาหารผัดน้ำมัน กลิ่นซุปลอยปะทะจมูก เสียวเอ้อพาไปนั่งโต๊ะด้านในที่มี 4 ที่นั่งพอดีจำนวนคน โต๊ะไม้เก้าอี้ไม้ล้วนคล้ายในร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณริมถนนที่โด่งดังในเรื่องถิ่นของคนเชื้อสายจีนในโลกเดิมของนาง
"เจ้าอยากลองทานอะไร" ฟานถิงถามบุตรสาว
'ของที่อยากกินน่าจะไม่มี ของคล้าย ๆ กันดีกว่า' "แกงที่มีรสชาติไม่จืดเจ้าค่ะ" เมื่อเห็นมารดารับรู้ จึงเหลียวไปมองรอบตัว เสียงคนติดตามสั่งอาหาร 2 - 3 อย่าง โต๊ะข้าง ๆ เป็นคุณหนูรุ่นราวคราวเดียวกับนาง 1 คน อีก 2 คนเป็นสาวแรกรุ่นปักปิ่นแล้วแต่งกายงดงามนัยน์ตารูปดอกท้อ สองสายตาเด็กหญิงมาสบกันเข้าพอดี อีกฝ่ายมองนิ่งเพียงครู่แล้วรีบก้มหน้าหลบตา ทำให้คนที่เตรียมจะยิ้มให้เก้อเล็กน้อยก่อนจะแหงนหน้าดูเพดานดูรอบตัวไปเรื่อยเปื่อย จนอาหารมาวางบนโต๊ะ
สายตาเด็กน้อยแต่วิญญาณเป็นสาววัยเกือบ 30 มองชามซึ่งมีแกงสีเหมือนน้ำพะโล้ที่เสียวเอ้อยกมาวางลงบนโต๊ะแล้วมารดาเลื่อนมาใกล้ตรงหน้า คำว่าไม่จืดคือ อยากกินแกงรสเผ็ด แต่ที่ได้กลับเป็น ไก่ตุ๋นเกาลัดเม็ดบัวไปเสียได้ แต่ก็เอ่ย "ขอบคุณเจ้าค่ะ" นอกจากนั้นยังมีผัดผัก ผัดถั่วแห้ง ๆ ดำ ๆ ที่ดูไม่น่ากินและเต้าหู้หมูสับทรงเครื่อง ข้าวพูนถ้วย 4 ถ้วยพร้อมตะเกียบ มือเล็กจับตะเกียบเตรียมคีบอาหาร แต่เสียงค่อนข้างแหลมของสาววัยแรกรุ่นโต๊ะข้าง ๆ ลอยมาเข้าหู
"ตัวแค่นี้จะกินอะไรมากมาย พอแล้วกระมัง"
เย่ลี่จิงลอบชำเลืองดู เห็นเด็กหญิงวัยเดียวกัน วางตะเกียบก้มหน้านั่งนิ่ง แต่สตรีวัยรุ่นกลับคีบขนมทานต่อ คิ้วเรียวเล็กขมวด
"ลี่จิง" เสียงมารดาเรียกชื่อนางเบา ๆ พอเงยหน้าก็เห็นมารดาสั่นหน้าน้อย ๆ เป็นทำนองให้นางอย่ามองจนเสียมารยาท
ใบหน้าน่ารักที่กำลังมองคนอื่นอย่างเสียมารยาทจึงหันกลับมาสนใจอาหารและเริ่มลงมือทาน
หลังรับประทานอาหารเสร็จ คนติดตามก็แยกตัวไปทำธุระ มือเล็กโดนมารดาจับจูงเดินไปตามถนนที่มีผู้คนเดินกันบางตา อาจเพราะแสงแดดที่ส่องลงมา
"อยากดูอะไร" ฟานถิงถามบุตรสาว
"ทุกร้านเจ้าคะ" เสียงเล็กตอบอย่างไม่ต้องคิด
"ทุกร้านเลยหรือ"
นัยน์ตาสีดำมองมารดาอย่างออดอ้อน น้ำเสียงเจือเสียใจและเว้าวอน "ไม่ได้หรือเจ้าคะ"
พอเห็นบุตรสาวทำตัวเหมือนลูกกระต่ายป่าหลงทางหูลู่หน้าหงอยจึงตอบ "ได้สิ ยังพอมีเวลา"
เย่ลี่จิงจึงได้เข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ดูข้าวของที่ไม่ใช่ของประกอบฉากหรือของจำลอง แต่เป็นของจริงในชีวิต ร้านผ้า ร้านหนังสือ ร้านเครื่องปรุง ร้านขายอัญมณี เครื่องประดับ และในที่สุดก็มาถึงที่ดังที่สุดในทุกนิยายและซีรีส์ที่มีเกือบทุกเรื่อง หอนางโลม 'แล้วหอนายโลมเล่า' ใบหน้าเล็กเหลียวมองไปรอบ ๆ
"หาร้านอะไร" เย่ลี่จิงเดินไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยหรืออย่างไร ถึงจะเข้าแทบทุกร้านแต่ไม่ร่ำร้องจะอยากได้สิ่งใด แม้จะเดินผ่านร้านขายของเล่นก็ตาม
"สถานที่ที่คล้ายที่นี่แต่สีเขียวเจ้าคะ" นิ้วเล็กชี้ไปที่ตึกแถวซึ่งอยู่ตรงหน้ามีโคมแดงห้อยต่อกันยาวจรดพื้น พอเห็นสีหน้าตกใจของมารดา จึงรีบกลบเกลื่อน "ที่แสดงงิ้วอยู่ไหนเจ้าคะ" ใจเต้นตุ่ม ๆ ต่อม ๆ คำแก้ตัวฟังขึ้นไหม ที่นี่มีงิ้วหรือเปล่า
"เจ้าจำตอนที่แม่พามาดูเมื่อปีที่แล้วได้หรือ?"
คนที่กำลังหาข้อแก้ตัวต่อโล่งใจ "คลับคล้ายคลับคลาแต่จำไม่ค่อยได้เจ้าค่ะ" 'โชคดีไป คราวหน้าต้องระวัง'
"มีแค่ช่วงงานฉลองแต่งตั้งรัชทายาท จึงทำเป็นเพิงตั้งเวทีชั่วคราวแล้วก็ตกแต่งด้วยสีเหลืองมิใช่เขียว รื้อออกไปแล้ว เมื่อยหรือยังเดินต่อไหม"
"เดินต่อเจ้าค่ะ" สายตาจ้องไปยังร้านขายอาวุธ จับมือมารดาดึงให้เดินตาม เพราะฝึกยุทธจับกระบี่จับดาบจับกระบองไม้มาแต่ไม่รู้สึกถูกใจ คิดเล่น ๆ ว่าไหน ๆ ก็เหมือนได้เข้ามาเล่นเกมส์ยุทธภพเสมือนจริงก็ต้องมีไอเทมคู่กาย กวาดสายตามองอาวุธที่ตั้งวางเรียงราย ดาบที่ยังไม่เสร็จ ไม้พลอง 2 ท่อน กระบี่มากมาย
"เชิญ เชิญขอรับ เดินดูตามสบาย" ผู้ดูแลร้านยิ้มแย้ม มองการแต่งกายของลูกค้าก็มั่นใจแล้วว่าเป็นชาวยุทธ บางทีอาจขายของได้ "หากสนใจ ทดลองได้นะขอรับ"
"ท่านแม่ ลูกไปลองจับดูได้ไหมเจ้าคะ"
คิ้วโค้งงามของฟานถิงวิ่งเข้าหากันเมื่อเห็นบุตรสาวดูสนใจศัสตราวุธ สงสัยนางคงต้องทำใจว่าเย่ลี่จิงจะไม่อ่อนหวานอย่างเด็กหญิงแล้วกระมัง
เท้าเล็กก้าวไปหาไม้พลอง 2 ท่อน ลองจับยกก็รู้สึกว่าค่อนข้างหนัก 'ใหญ่กว่าไม้ตีฆ้องใหญ่ที่วัดเสียอีก ไม่เหมาะ ไม่เหมาะ มีแบบกระบองทอนฟาใช้ไหมนะ'
"ของที่เหมาะกับเด็ก ดูด้านนี้ขอรับ หรือไม่ถูกใจ สั่งทำก็ได้นะขอรับ" คนดูแลร้านผายมือไปยังอีกด้านหนึ่งซึ่งต้องเดินเข้าลึกไปในร้าน
เย่ลี่จิงเดินไปดูตามคำแนะนำ อาวุธขนาดเล็กมีดาบ กระบี่ ทวน ธนู หลังจากมองอยู่ชั่ว 3 ลมหายใจก็ตัดสินใจ "ขอบคุณที่แนะนำ แต่ไม่ถูกใจและยังไม่มีแบบที่อยากได้เจ้าค่ะ"
"หากนึกออกว่าต้องการแบบไหนเชิญมาใหม่ได้ขอรับ หรือแวะมาดูอีกได้ เรามีอาวุธใหม่ ๆ มาเสมอ" การเอาใจลูกค้าเป็นสิ่งที่ควรทำ ถึงไม่ซื้อก็ไม่แสดงความไม่พอใจ ใช่ว่าจะไม่ซื้อวันนี้วันหน้าก็จะไม่มาซื้อเสียเมื่อไหร่
---------
กระบองทอนฟา หรือศัตราวุธจีนเรียก ไม้เท้า(拐) ไกว่
ความคิดเห็น