ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เย่ลี่จิง (อ่านฟรี 3 วัน ติดเหรียญนะคะ) จบแล้วค่ะ

    ลำดับตอนที่ #6 : ออกนอกหุบเขา 2

    • อัปเดตล่าสุด 10 ส.ค. 65


                 ผู้คนด้านนอกหุบเขาล้วนแต่งกายอย่างชาวบ้านธรรมดาเสื้อผ้าโทนสีเทาน้ำตาลดำ บุรุษใส่กางเกง สตรีใส่กระโปรงปลายแขนเสื้อบานมิได้แต่งรัดกุมแบบชาวยุทธ  บุรุษบางคนแบกฟืนแบกกิ่งไม้แห้ง บางครั้งมีเกวียนขนตระกร้าผักผลไม้สวนมาตามทาง   ตำแหน่งบ้านปลูกไม่ห่างกันนัก แบ่งแยกด้วยรั้วไม้ทำเองง่าย ๆ และแนวไร่พืชผักสวนผลไม้  มีฝูงวัวเดินเป็นกลุ่ม นาข้าวสีเขียวอ่อน ชนบทท่ามกลางธรรมชาติอย่างที่อยากเห็น โฮมสเตย์อย่างที่อยากพัก นัยน์ตารูปผลเมล็ดซิ่งสุกสกาวดั่งดวงดาวมองทุกอย่างด้วยสนใจ  กองฟางสุ่มไฟมีควันลอยเอื่อย กลิ่นดิน กลิ่นควันกลิ่นมูลวัวผสมปนเปมาตามลม  ชาวบ้านส่วนมากก้มศีรษะให้มารดาของนางยามพบเจอ มารดาบอกว่าคนที่นี่บางคนก็เป็นคนในพรรคเงาอัสนี  กลีบปากบางเล็กสีเรื่อยธรรมชาติคลี่ยิ้มโดยไม่รู้ตัว
         

                สายตาของฟานถิงเหลือบมองบุตรสาว เห็นสีหน้าแช่มชื่นมีความสุขก็สบายใจ   จุดหมายวันนี้นอกจากพาบุตรสาวมาเที่ยวดูสภาพภายนอกทั่วไป เหตุผลอีกข้อคือเพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่นางเคยรักษายามเจ็บป่วย 

     

              เย่ลี่จิงตามมารดาไปเยี่ยมเยียนบ้าน 3  -  4  หลังที่เคยได้รับการรักษาจากเย่ฮูหยิน    เด็กบ้างคนชราบ้าง นางมองอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แค่จับชีพจรก็รู้อาการ เครื่องสแกนคอมพิวเตอร์ก็ไม่มี เครื่องวัดความดันก็ไม่มี ต้องเรียนขนาดไหนถึงทำเหมือนส่งหุ่นยนต์ขนาดจิ๋วผ่านผิวหนังเข้าไปเก็บข้อมูลคนไข้กลับมาถ่ายทอดประมวลผลให้คนรักษารู้     

     

                 เมื่อเริ่มเดินทางต่อไปยังตัวเมือง เด็กหญิงจึงเอ่ยถามมารดา 

        

              "ทำไมแค่จับชีพจร ท่านแม่ก็ทราบว่า ไตเริ่มไม่ปกติเจ้าคะ"  

       

                "เจ้าสังเกตว่าแม่วางนิ้วตำแหน่งใดหรือไม่   ตำแหน่งของนิ้วที่แตะจะบอกให้รู้ถึงอวัยวะที่เกี่ยวข้อง  การจับชีพจรที่ข้อมือซ้ายกับขวาก็มีความหมายแตกต่างกันไปอีก  แล้วแม่จะสอนเจ้า" 

         

                 คนถามแอบโอดครวญในใจ  เรื่องละเอียดอ่อนและต้องจดจำมากมายเช่นนั้นไม่เหมาะกับนางอย่างแน่นอน  ขอแค่รู้อักษรเอาชีวิตรอดและประกอบอาชีพสักอย่างเลี้ยงตัวได้ก็พอ  แล้วนึกถึงคำของเย่หยางไคที่เคยบอกว่า นางยังไม่รู้ว่าชอบสิ่งใด  แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าตัดอาชีพหมอออกไปได้เลย   

       

                การขี่ม้าเข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 3 เค่อ  หากเปรียบกับเมืองสมัยณิริณ น่าจะเทียบได้กับเมืองรองตามแนวขอบประเทศ   ร้านค้าโรงน้ำชาโรงเตี๊ยมเป็นตึกแถว 2 ชั้น  คนขายของตามทางมักหาบมาขาย  บ้างตากพริก ตากปลาในกระจาดอยู่ตามทาง  ร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องประทินผิว เครื่องหอมมีสตรีที่แต่งตัวสีหวานแหว๋วผ้าบางกรุยกรายหลายชั้นเดินเข้าเดินออก   ใบหน้าน่ารักหันซ้ายหันขวามองอย่างสนใจ    'ค่อยเหมือนที่เคยดูในทีวีหน่อย'    

               "แวะทานอาหารที่โรงเตี๊ยมแล้วค่อยเดินเที่ยวเล่น" เย่ฮูหยินบอกบุตรสาว   ก่อนจะบังคับม้าให้ค่อย ๆ ก้าวเดินไปยังทิศทางที่ต้องการ   
     
                โรงเตี๊ยมที่ได้ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในเมือง  มีคนค่อนข้างเยอะในเวลาใกล้ตะวันเคลื่อนสูงตั้งฉากกับพื้นดิน   กลิ่นอาหารผัดน้ำมัน กลิ่นซุปลอยปะทะจมูก   เสียวเอ้อพาไปนั่งโต๊ะด้านในที่มี 4 ที่นั่งพอดีจำนวนคน    โต๊ะไม้เก้าอี้ไม้ล้วนคล้ายในร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณริมถนนที่โด่งดังในเรื่องถิ่นของคนเชื้อสายจีนในโลกเดิมของนาง   
       

        "เจ้าอยากลองทานอะไร"  ฟานถิงถามบุตรสาว

     

        'ของที่อยากกินน่าจะไม่มี ของคล้าย ๆ กันดีกว่า'      "แกงที่มีรสชาติไม่จืดเจ้าค่ะ"   เมื่อเห็นมารดารับรู้ จึงเหลียวไปมองรอบตัว  เสียงคนติดตามสั่งอาหาร 2  -  3 อย่าง    โต๊ะข้าง ๆ เป็นคุณหนูรุ่นราวคราวเดียวกับนาง 1 คน อีก 2 คนเป็นสาวแรกรุ่นปักปิ่นแล้วแต่งกายงดงามนัยน์ตารูปดอกท้อ   สองสายตาเด็กหญิงมาสบกันเข้าพอดี  อีกฝ่ายมองนิ่งเพียงครู่แล้วรีบก้มหน้าหลบตา ทำให้คนที่เตรียมจะยิ้มให้เก้อเล็กน้อยก่อนจะแหงนหน้าดูเพดานดูรอบตัวไปเรื่อยเปื่อย จนอาหารมาวางบนโต๊ะ   

      

          สายตาเด็กน้อยแต่วิญญาณเป็นสาววัยเกือบ 30  มองชามซึ่งมีแกงสีเหมือนน้ำพะโล้ที่เสียวเอ้อยกมาวางลงบนโต๊ะแล้วมารดาเลื่อนมาใกล้ตรงหน้า   คำว่าไม่จืดคือ อยากกินแกงรสเผ็ด แต่ที่ได้กลับเป็น ไก่ตุ๋นเกาลัดเม็ดบัวไปเสียได้  แต่ก็เอ่ย   "ขอบคุณเจ้าค่ะ"   นอกจากนั้นยังมีผัดผัก ผัดถั่วแห้ง ๆ ดำ ๆ ที่ดูไม่น่ากินและเต้าหู้หมูสับทรงเครื่อง   ข้าวพูนถ้วย 4 ถ้วยพร้อมตะเกียบ มือเล็กจับตะเกียบเตรียมคีบอาหาร     แต่เสียงค่อนข้างแหลมของสาววัยแรกรุ่นโต๊ะข้าง ๆ ลอยมาเข้าหู 

          

         "ตัวแค่นี้จะกินอะไรมากมาย พอแล้วกระมัง"  

        

           เย่ลี่จิงลอบชำเลืองดู เห็นเด็กหญิงวัยเดียวกัน  วางตะเกียบก้มหน้านั่งนิ่ง แต่สตรีวัยรุ่นกลับคีบขนมทานต่อ  คิ้วเรียวเล็กขมวด 

         

           "ลี่จิง" เสียงมารดาเรียกชื่อนางเบา ๆ  พอเงยหน้าก็เห็นมารดาสั่นหน้าน้อย ๆ เป็นทำนองให้นางอย่ามองจนเสียมารยาท

       

           ใบหน้าน่ารักที่กำลังมองคนอื่นอย่างเสียมารยาทจึงหันกลับมาสนใจอาหารและเริ่มลงมือทาน    


                   หลังรับประทานอาหารเสร็จ  คนติดตามก็แยกตัวไปทำธุระ  มือเล็กโดนมารดาจับจูงเดินไปตามถนนที่มีผู้คนเดินกันบางตา อาจเพราะแสงแดดที่ส่องลงมา  
      

         "อยากดูอะไร" ฟานถิงถามบุตรสาว

        

         "ทุกร้านเจ้าคะ"   เสียงเล็กตอบอย่างไม่ต้องคิด

        

           "ทุกร้านเลยหรือ" 

        

           นัยน์ตาสีดำมองมารดาอย่างออดอ้อน น้ำเสียงเจือเสียใจและเว้าวอน   "ไม่ได้หรือเจ้าคะ"

     

            พอเห็นบุตรสาวทำตัวเหมือนลูกกระต่ายป่าหลงทางหูลู่หน้าหงอยจึงตอบ   "ได้สิ ยังพอมีเวลา"  

      

                เย่ลี่จิงจึงได้เข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ดูข้าวของที่ไม่ใช่ของประกอบฉากหรือของจำลอง แต่เป็นของจริงในชีวิต ร้านผ้า ร้านหนังสือ ร้านเครื่องปรุง ร้านขายอัญมณี เครื่องประดับ และในที่สุดก็มาถึงที่ดังที่สุดในทุกนิยายและซีรีส์ที่มีเกือบทุกเรื่อง หอนางโลม  'แล้วหอนายโลมเล่า'  ใบหน้าเล็กเหลียวมองไปรอบ ๆ 

         

            "หาร้านอะไร"  เย่ลี่จิงเดินไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยหรืออย่างไร  ถึงจะเข้าแทบทุกร้านแต่ไม่ร่ำร้องจะอยากได้สิ่งใด  แม้จะเดินผ่านร้านขายของเล่นก็ตาม 

        

             "สถานที่ที่คล้ายที่นี่แต่สีเขียวเจ้าคะ"    นิ้วเล็กชี้ไปที่ตึกแถวซึ่งอยู่ตรงหน้ามีโคมแดงห้อยต่อกันยาวจรดพื้น  พอเห็นสีหน้าตกใจของมารดา  จึงรีบกลบเกลื่อน   "ที่แสดงงิ้วอยู่ไหนเจ้าคะ"  ใจเต้นตุ่ม ๆ ต่อม ๆ  คำแก้ตัวฟังขึ้นไหม ที่นี่มีงิ้วหรือเปล่า 

      

           "เจ้าจำตอนที่แม่พามาดูเมื่อปีที่แล้วได้หรือ?" 

        

            คนที่กำลังหาข้อแก้ตัวต่อโล่งใจ  "คลับคล้ายคลับคลาแต่จำไม่ค่อยได้เจ้าค่ะ"    'โชคดีไป คราวหน้าต้องระวัง'

      

              "มีแค่ช่วงงานฉลองแต่งตั้งรัชทายาท จึงทำเป็นเพิงตั้งเวทีชั่วคราวแล้วก็ตกแต่งด้วยสีเหลืองมิใช่เขียว รื้อออกไปแล้ว   เมื่อยหรือยังเดินต่อไหม"  

       

           "เดินต่อเจ้าค่ะ"  สายตาจ้องไปยังร้านขายอาวุธ จับมือมารดาดึงให้เดินตาม  เพราะฝึกยุทธจับกระบี่จับดาบจับกระบองไม้มาแต่ไม่รู้สึกถูกใจ คิดเล่น ๆ ว่าไหน ๆ ก็เหมือนได้เข้ามาเล่นเกมส์ยุทธภพเสมือนจริงก็ต้องมีไอเทมคู่กาย  กวาดสายตามองอาวุธที่ตั้งวางเรียงราย ดาบที่ยังไม่เสร็จ ไม้พลอง 2 ท่อน กระบี่มากมาย 

     

            "เชิญ เชิญขอรับ เดินดูตามสบาย" ผู้ดูแลร้านยิ้มแย้ม มองการแต่งกายของลูกค้าก็มั่นใจแล้วว่าเป็นชาวยุทธ บางทีอาจขายของได้ "หากสนใจ ทดลองได้นะขอรับ"

        

              "ท่านแม่ ลูกไปลองจับดูได้ไหมเจ้าคะ" 

       

                คิ้วโค้งงามของฟานถิงวิ่งเข้าหากันเมื่อเห็นบุตรสาวดูสนใจศัสตราวุธ  สงสัยนางคงต้องทำใจว่าเย่ลี่จิงจะไม่อ่อนหวานอย่างเด็กหญิงแล้วกระมัง

       

                    เท้าเล็กก้าวไปหาไม้พลอง 2 ท่อน ลองจับยกก็รู้สึกว่าค่อนข้างหนัก   'ใหญ่กว่าไม้ตีฆ้องใหญ่ที่วัดเสียอีก  ไม่เหมาะ ไม่เหมาะ มีแบบกระบองทอนฟาใช้ไหมนะ'  

        

             "ของที่เหมาะกับเด็ก  ดูด้านนี้ขอรับ หรือไม่ถูกใจ สั่งทำก็ได้นะขอรับ"  คนดูแลร้านผายมือไปยังอีกด้านหนึ่งซึ่งต้องเดินเข้าลึกไปในร้าน

         

               เย่ลี่จิงเดินไปดูตามคำแนะนำ  อาวุธขนาดเล็กมีดาบ กระบี่ ทวน ธนู  หลังจากมองอยู่ชั่ว 3 ลมหายใจก็ตัดสินใจ "ขอบคุณที่แนะนำ  แต่ไม่ถูกใจและยังไม่มีแบบที่อยากได้เจ้าค่ะ" 

       

                "หากนึกออกว่าต้องการแบบไหนเชิญมาใหม่ได้ขอรับ หรือแวะมาดูอีกได้ เรามีอาวุธใหม่ ๆ มาเสมอ"  การเอาใจลูกค้าเป็นสิ่งที่ควรทำ ถึงไม่ซื้อก็ไม่แสดงความไม่พอใจ  ใช่ว่าจะไม่ซื้อวันนี้วันหน้าก็จะไม่มาซื้อเสียเมื่อไหร่


    ---------
    กระบองทอนฟา   หรือศัตราวุธจีนเรียก ไม้เท้า(拐) ไกว่ 








     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×