คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : อยู่กับชีวิตใหม่
หลังจากทำตัววุ่นวายไปรอบหมู่บ้านมาเกือบ 10 วัน ค่ำนี้ก่อนเวลาเข้านอน ร่างเล็กนอนลืมตาเหม่ออยู่บนเตียง คิดทบทวนเรื่องต่าง ๆ ในหัว
มิ่งจี้เดินเข้ามาเพื่อดูความเรียบร้อยภายในห้องของคุณหนูก่อนเย่ฮูหยินจะมาส่งคุณหนูเข้านอน เสียงเล็กบนเตียงก็เอ่ยขึ้น
"พี่มิ่งจี้ ด้านนอกหุบเขา บ้านเรือนของใช้เหมือนเราหรือสะดวกสบายดีกว่าเราไหม" ไม่ใช่หุบเขาเลือนรางตัดขาดจากโลกภายนอก ดำเนินชีวิตแบบบรรพบุรุษปู่ย่าตายายมิเปลี่ยนแปลงหรอกนะ ข้างนอกอาจเจริญเป็นเมืองใหญ่ มีจักรยาน มีดินสอปากกา แว่นตา นาฬิกา ต่างชาติเดินกันให้ขวักไขว่ไปแล้ว
ใบหน้าเรียวยาวเอียงคอมองคุณหนู ท่านประมุขและฮูหยินเคยพาคุณหนูไปนอกหุบเขาเมื่อครึ่งปีก่อน ความทรงจำเรื่องนี้คงหายไปด้วย จึงตอบอย่างละเอียด
"โดยรอบของหุบเขาเป็นหมู่บ้านเหมือนเราเจ้าค่ะ มีบ้านหลายหลังอยู่ใกล้กันมากกว่า ส่วนมากประกอบอาชีพปลูกข้าว ทำไร่ทำสวน เลี้ยงสัตว์ หาของป่า แต่การดำเนินชีวิตอาจจะไม่สะดวกสบายเท่าคนที่อาศัยในหุบเขาเลือนรางซึ่งมีท่านประมุขคอยดูแล แต่การเพาะปลูกได้ผลผลิตดีเหมือนกัน หากเราได้ผลผลิตมากก็จะเอาไปแจกจ่ายช่วยเหลือแบ่งปัน ยามมีพายุหุบเขาของเราจะมีผลกระทบน้อย ผลผลิตมักไม่เสียหายบ้านเรือนมิเป็นอันตราย แต่ภายนอกอาจได้รับผลกระทบมาก เราก็จะออกไปช่วยซ่อมแซมและตั้งโรงทานด้วยเจ้าค่ะ พรรคเงาอัสนึจึงเป็นที่รักและนับถือ เมืองถางหยางที่เราอาศัยนี้อยู่ห่างจากเมืองใหญ่สุดของแดนใต้ 120 ลี้ (120 ลี้ =60 กิโลเมตร) ร้านค้าในหัวเมืองใหญ่จะมีมากกว่าและสินค้าหลากหลายกว่า ขาดสิ่งไหนก็ไปหาซื้อ พื้นทางเดินในเมืองเป็นแผ่นหินมิใช่ดิน ของกินหลากหลาย ผู้คนอาศัยอยู่ที่นั้นมากกว่า มีเศรษฐีมีขุนนาง แต่บ้านท่านประมุขสวยกว่าจวนเจ้าเมืองถางหยางอีกนะเจ้าคะ"
ใบหน้าน่ารักพยักหน้าอย่างเข้าใจ จังหวะเดียวกับเสียงเคาะประตู มารดาก้าวเดินเข้ามา
"คุยอะไรกัน" เสียงหวานของฟานถิงหรือเย่ฮูหยินถามบุตรสาว
"ลูกอยากรู้ด้านนอกหุบเขามีอะไรบ้างเลยถามพี่มิ่งจี้เจ้าค่ะ"
เย่ฮูหยินเก็บซ่อนความรู้สึกเศร้าใจเมื่อคิดถึงอาการของบุตรสาวซึ่งจำสิ่งใดไม่ได้ ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างร่างเล็ก "ไว้ถ้ามีเวลา แม่จะพาเจ้าออกไปเที่ยว"
คนฟังคลี่ยิ้มอย่างดีใจ "ขอบคุณเจ้าค่ะ" พลางมองใบหน้าของสตรีที่ลงนั่งข้างกายซึ่งตอนนี้ไม่เหมือนคนแปลกหน้าแล้ว
"ทำไมมองหน้าแม่เช่นนั้น" แววตาของบุตรสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนยากที่จะเข้าใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแววตาของเด็ก 8 หนาว
อ้อมแขนเล็กโอบกอดมารดา "เพราะดีใจที่ได้อยู่กับท่านแม่ที่ใจดีและรักจิงเออร์ ทุกคนล้วนใจดี ไม่คิดว่าจะโชคดีเช่นนี้เจ้าค่ะ" ถือว่าโชคดีแล้วที่ได้มาเจอครอบครัวที่รักใคร่ มีกินมีใช้ ร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ ถึงยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นยังไงจะทำอะไรต่อไป
ผู้เป็นมารดาหัวเราะเบา ๆ บุตรสาวของนางรู้จักพูดรู้จักประจบเอาใจมากกว่าแต่ก่อนเสียอีกไม่อายมิ่งจี้ที่ยังยืนอยู่ด้วยเลย
ผ่านมาแล้ว 2 เดือนกับชีวิตใหม่ที่ไม่มีภาระ หน้าบ้านตระกูลเย่มีร่างเล็กในชุดทะมัดทะแมงสีน้ำตาล ผมรวบหางม้าอย่างเด็กผู้ชาย นัยน์ตาโตเป็นประกายซุกซน ริมฝีปากรูปกระจับสีลูกท้อสดยกยิ้ม มือเล็กถือแผ่นหนังวัวยังไม่ได้ตัดเป็นเครื่องนุ่งห่มซึ่งไปขอซื้อมาจากคนในพรรคที่รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า เท้าก้าวเดินเลยบันไดหน้าบ้านไปด้านข้างซึ่งเป็นพื้นหญ้าลาดชัน
มิ่งจี้มองคุณหนูเงียบ ๆ ตามที่คุณหนูบอกไว้ว่าไม่ต้องกังวล เพียงหาอะไรเล่นในวันที่ไม่มีเรียน ใบหน้ามีแววฉงนเมื่อเห็นเด็กหญิงจัดแจงวางแผ่นหนังลงแล้วนั่งทับ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อ คุณหนูนั่งลื่นลงไปด้านล่าง
คนเล่นไม้ลื่นตามธรรมชาติยิ้มกว้างอย่างสนุก แม้จะมีก้อนหินตามทางแต่แผ่นหนังก็หนาพอทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ พอถึงด้านล่างก็หยิบหนังวัวแล้ววิ่งขึ้นบันไดไปลื่นลงมาใหม่ ถึงพื้นก็เงยหน้ามองสาวรับใช้ประจำตัว แล้วตะโกนถาม "มีเนินตรงไหนยาว ๆ บ้างไหม"
คนโดนถามอึกอัก เมื่อก่อนคุณหนูก็ชอบเล่นไม่เหมือนเด็กหญิงเป็นประจำแต่ก็ไม่เคยมีประหลาดเช่นนี้ นางควรสนับสนุนหรือห้ามปรามดี หรือว่าดีกว่าแอบไปปีนหน้าผาเหมือนครั้งที่แล้ว คิดแล้วอย่างไรก็อยู่ในสายตา "หลังโรงม้าเจ้าค่ะ เดินอ้อมไปไม่ไกลมีเนินให้คุณหนูเล่นแบบเมื่อครู่ได้ "
"ไปกันเถอะ" เสียงเล็กใสบอกแล้วก้าวเดินไปทันที โดนไม่รอมิ่งจี้เพราะรู้อยู่แล้วว่า สาวรับใช้ประจำตัวมีวิทยายุทธ ต้องตามทันแน่นอน ระหว่างทางเจอเด็กอายุไม่ห่างกันมากก็ชวนไปเล่นด้วย
ร่างบอบบางของมิ่งจี้ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นด้านล่างใต้ร่มไม้ แหงนหน้ามองเด็กชายหญิง 5 คนรวมคุณหนูวิ่งขึ้นไปบนเนิน ก่อนคุณหนูจะบอกให้จัดลำดับก่อนหลัง โดยใช้วิธีจับต้นหญ้าสั้นยาว ใครจับได้หญ้าเส้นสั้นได้เล่นก่อน คุณหนูเสียสละเป็นคนสุดท้าย ไม่นานก็เห็นเด็กยืนเรียงแถวเพื่อรอเล่น เสียงหัวเราะเอะอะของเด็ก ๆ ดังก้อง ทุกคนดูสนุกสนานยามลื่นลงมาแล้ววิ่งขึ้นไปใหม่ รอบที่ 2 เสียงเล็กใสของคุณหนูหัวเราะเสียงดัง ต่อจากนั้นเด็ก ๆ ก็วิ่งวนขึ้นไปใหม่อีกหลายรอบอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ภายในบ้านตระกูลเย่
ร่างแข็งแรงกำยำนั่งอ่านรายงานอยู่ในห้องทำงาน ใบหน้าคมเข้มเงยหน้าจากงานเอกสาร เมื่อภรรยาเดินเข้ามาพร้อมของว่าง
"พักสักครู่เถิดเจ้าค่ะ" เย่ฮูหยินบอกสามีพลางวางขนมเปี๊ยะขนาดพอดีคำบนโต๊ะซึ่งไว้พักทานอาหารว่างและรับรองแขกสนิท
"วันนี้ลี่จิงไม่มีเรียน ลูกไปซนที่ไหน" ที่ผ่านมาเขาได้รับรายงานว่า บุตรสาวไปเดินเล่นตามสวนของคนในพรรค บางวันก็ไปขลุกอยู่ที่โรงครัวกลางหมู่บ้านแต่มิได้สร้างเรื่องวุ่นวาย เพียงพูดคุยและสอบถามเรื่องต่าง ๆ หรือว่าลี่จิงพยายามทวนความทรงจำที่หายไป
"ไปเล่นอยู่กับเด็กในหมู่บ้านเจ้าค่ะ"
เย่ฮวงเทียนพยักหน้า "นางแข็งแรงดีแล้วใช่หรือไม่"
"ร่างกายนางแข็งแรงดี มีเพียงความทรงจำที่ไม่กลับมาจริง ๆ เจ้าค่ะ" น้ำเสียงหวานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
ชายหนุ่มมองสีหน้าภรรยาที่ไม่มีความเศร้าเจือวิตกกังวลอย่างที่ผ่านมา "นางมิได้กลัวพวกเรา ไม่ปิดกั้นตัวไม่ซึมเศร้าเพราะจำอะไรไม่ได้ แต่สนใจสิ่งรอบตัว ถึงจะซุกซนน้อยลงก็นับว่าดี เจ้าคงสบายใจขึ้นแล้วสินะ"
"เจ้าค่ะ เป็นข้าที่กังวลมากไป"
ทางด้านเด็กหญิงซึ่งอยู่ในหัวข้อสนทนาของผู้เป็นใหญ่ในหุบเขาเลือนราง กำลังยืนแหงนหน้ามองท้อง ฟ้าสีฟ้าสดแขนเรียวเล็กชูขึ้นเหนือศีรษะอยู่บนเนินสูง ตะโกนเสียงดัง "ข้าชื่อ เย่ลี่จิง" พลางมองเด็กคนอื่นที่นั่งลื่นลงไปแล้วยิ้มกว้าง 'จะใช้ชีวิตวัยเด็กให้คุ้มเลยทีเดียว' แล้ววิ่งลงแทนที่จะรอนั่งลื่นไถลลงไป
นัยน์ตาใบหลิวของคนที่นั่งมองอยู่ตลอดเบิกกว้างอย่างตกใจ ลุกพรวดถีบตัว เตรียมไปรับร่างเล็กที่วิ่งซอยเท้าลงเนินอย่างน่าหวาดเสียวว่าจะกลิ้งตีลังกาหน้าทิ่มลงมาก่อนจะถึงพื้น แต่เย่ลี่จิงที่วิ่งลงเนินมาอย่างกับเครื่องเล่นความเร็วสูงก็เพียงแค่หยุดตัวเองไม่ได้เมื่อถึงพื้นราบ ต้องวิ่งเลยไปอีกไกลพอสมควร
ร่างเล็กที่เพิ่งทำเรื่องตื่นเต้นหวาดเสียวก้มหน้าลง เมื่อมิ่งจี้หน้าหงิกหน้างอ พูดอบรมสั่งสอนมิให้เล่นอันตรายเช่นนั้นอีกเสียหูชา
".......หากเป็นแผลที่ใบหน้าจะทำเช่นไร คอก็อาจหักแขนขาหัก.... ทำไมคุณหนูไม่กลัวเจ็บตัวเช่นนี้ ... กี่ครั้งแล้วเจ้าคะ.....คุณหนูต้องหัดระวังมากกว่านี้เจ้าค่ะ...ถ้าท่านประมุขทราบ..."
ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากัน พยักหน้ารับทั้งที่ก้มหน้าก้มตาเพื่อซ่อนสีหน้าที่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ตอนวิ่งลงพยายามรักษาสมดุลไม่ให้ล้ม แต่พอหยุดไม่ได้ก็ทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นและสนุก เสียงแจ้ว ๆ ของมิ่งจี้ที่ควบตำแหน่งพี่เลี้ยงเด็ก คุมประพฤติและดูแลรับใช้เข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง แต่เอาเถิดต่อไปจะระวังมากขึ้น
----------------เครดิต satit.up.ac.th
เวลากลางวัน พื้นที่บริเวณไหล่เขาได้รับความร้อนมากกว่าบริเวณพื้นที่ราบหุบเขา ณ ระดับสูงเดียวกัน ทำให้อากาศร้อนบริเวณไหล่เขายกตัวลอยสูงขึ้น (ความกดอากาศต่ำ) เกิดเมฆคิวมูลัสลอยอยู่เหนือยอดเขา อากาศเย็นบริเวณหุบเขาเคลื่อนตัวเข้าแทนที่ จึงเกิดลมพัดจากเชิงเขาขึ้นสู่ลาดเขา เรียกว่า “ลมหุบเขา” (Valley breeze)
หลังจากดวงอาทิตย์ตก พื้นที่ไหล่เขาสูญเสียความร้อน อากาศเย็นตัวอย่างรวดเร็ว จมตัวไหลลงตามลาดเขา เกิดลมพัดลงสู่หุบเขา เรียกว่า “ลมภูเขา” (Mountain breeze) ในบางครั้งกลุ่มอากาศเย็นเหล่านี้ปะทะกับพื้นดินในหุบเขาซึ่งยังมีอุณหภูมิสูงอยู่ จึงควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ ทำให้เกิดหมอก (Radiation fog)
ความคิดเห็น