ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เย่ลี่จิง (อ่านฟรี 3 วัน ติดเหรียญนะคะ) จบแล้วค่ะ

    ลำดับตอนที่ #5 : ออกนอกหุบเขา 1

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 65


                หลังจากยอมรับที่จะเป็นเย่ลี่จิง  เด็กหญิงจึงมุ่งมั่นเล่าเรียนให้สำเร็จ การจับพู่กันเขียนอักษรจีนของเด็กหญิงพัฒนาขึ้น รู้จักควบคุมน้ำหนักมือ เส้นคมชัดมากขึ้น   เรียกได้ว่าไก่เขี่ยอย่างมีชั้นเชิงระดับเทพเจ้าไก่   นัยน์ตาเปล่งประกาย หยิบกระดาษคัดลายมือขึ้นมายิ้มแฉ่ง
          

              ผู้เป็นอาจารย์มองลายมือที่ดีขึ้นของลูกศิษย์ตัวน้อย สลับกับสีหน้าที่แสดงออกชัดว่ารอคำชมอย่างกึ่งขำกึ่งเอ็นดู      "ดีขึ้นแล้ว แต่ตัองฝึกอีกมาก พยายามคัดทุกวันเส้นจะได้คมชัด อ่อนช้อยน่ามองงดงาม"

       

              "เจ้าค่ะ"   นางจะพยายามฝึกให้รู้กันไปว่าจะเขียนให้สวยกว่าเด็กประถมไม่ได้ 

           
           

               ต้นยามเซิน(15.00-16.59)หลังจากเรียนเสร็จ เท้าเล็กวิ่งสับกันอย่างไวไปหามารดาที่ห้องเก็บสมุนไพร  

            

                ฟานถิงหรือเย่ฮูหยินได้ยินเสียงฝีเท้าดังถี่ใกล้เข้ามา มือที่กำลังคัดแยกสมุนไพรหยุดชะงัก สายตามองประตู เพียงเสี้ยวลมหายใจประตูก็ถูกเคาะแล้วเปิดผลัวะเข้ามา

        

               "ท่านแม่พรุ่งนี้จะพาจิงเออร์ไปนอกหุบเขาหรือเจ้าค่ะ" เสียงหวานใสกล่าวออกอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้นดีใจ

          

               ฟานถิงส่งสายตาดุให้บุตรสาว    "จิงเออร์ เจ้าลืมหรืออย่างไรว่าเป็นเด็กผู้หญิง กิริยาควรนุ่มนวลสักนิด"  

         

                'สักนิด ?   งั้นครั้งหน้าจะเดินช้าลงสักหน่อย เปิดประตูเบาลงอีกนิด'    "เจ้าค่ะท่านแม่"    แล้วยิ้มน่ารักให้มารดาอย่างประจบ  

           

                  "พรุ่งนี้ช่วงกลางยามซื่อ แม่จะพาขี่ม้าออกไปด้านนอก หากทำตัวดีแม่จะพาไปยังตัวเมืองถางหยาง"   ยามซื่อ(9.00-10.59)

            

                    เย่ลี่จิงอมยิ้มอย่างดีใจที่จะได้ไปเที่ยว  "เจ้าค่ะ  วันนี้ลูกว่างขอช่วยท่านแม่จัดสมุนไพรนะเจ้าคะ"  เริ่มทำตัวดีทันที

            

                    คิ้วโก่งเรียวยกสูงรอยยิ้มเอ็นดูปรากฎบนสีหน้า เมื่อเห็นบุตรสาวทำตัวเรียบร้อยยืนสงบเสงี่ยมแววตาใสกระจ่างรอคอยคำตอบ  "มาดูความอดทนในการช่วยงานแม่ของเจ้ากัน" 

         

                  เย่ลี่จิงดูใบไม้แห้งรูปใบเรียวยาวเล็กสีเขียวเข้มมีก้านสั้น ๆ ปะปนประมาณ 5 กำมือที่มารดาเลื่อนมาให้ตรงหน้า  

         

                 "ดมกลิ่นแล้วลองบอกแม่ว่า กลิ่นเป็นอย่างไร" 

           

                 คิ้วเล็กเกร็งขึ้น ก้มหน้าลงไปค่อย ๆ สูดกลิ่นใบไม้แห้งหงิกงอเข้าจมูก   "กลิ่นของขม เหม็นเขียวเจ้าค่ะ" 

         

                  "ชวนซินเลี่ยน" (ฟ้าทะลายโจร)  เสียงหวานที่ฟังดูติดจะเข้มงวดบอกชื่อสมุนไพรให้บุตรสาวฟัง   "แยกใบออกจากก้านให้แม่" 

      

                    คนฟังคำสั่งเกือบเผลอร้อง 'ฮะ' ดีที่ยั้งไว้ทัน   เสียงมารดาอธิบายต่อ

      

                    "การใช้รักษา บางอาการเราจะใช้เพียงใบ บางอาการจะใช้ทั้ง 5 ส่วนหรือใช้ทั้งใบและลำต้น   เมื่อพอมีเวลาก็ควรแยกใบไว้ยามต้องการใช้จะได้สะดวก  แยกเสร็จนำใบไปบด"  

      

                     สายตาเด็กหญิงมองตามทิศทางที่ใบหน้ามารดาหันไป เห็นเครื่องมือรูปร่างคล้ายเรือหางยาวท้องแหลมหัวท้ายโค้งขึ้นเล็กน้อย มีลูกกลิ้งเหมือนจานประกบกันโดยมีด้านจับเป็นแกนกลาง 2 ข้างวางไว้  มารดายังอธิบายวิธีการบด การทำความสะอาดหลังจากใช้แล้วให้ฟังคร่าว ๆ ด้วย  

         

                 มือจับที่คีบอันเล็กเกลี่ยสมุนไพรให้กระจายออกอย่างเบามือ ถึงจะไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพรแต่ด้วยนิสัยที่เบามือกับวัตถุดิบยามทำอาหารก็ติดตัวมา  ผักผลไม้มิควรช้ำให้เสียหาย สมุนไพรก็คงเฉกเช่นเดียวกัน  

       

                         ฟานถิงมองบุตรสาวที่นั่งทำงานตามที่นางสั่งอย่างตั้งใจ สายตานิ่งสงบ การขยับการจับมิได้ลงแรงหนักทั้งที่นางยังมิได้พูดสอน  หรือว่าแม้ความทรงจำจะขาดหายแต่พฤติกรรมที่เคยโดนฝึกยังคงอยู่  สายตาอ่อนโยนมองบุตรคนเล็กมุมปากยกยิ้ม ก่อนจะวางใจปล่อยให้เย่ลี่จิงทำงาน  ส่วนตนเองหันไปจดรายชื่อสมุนไพรที่ต้องหามาเพิ่มเติม  ถึงจะยอมปล่อยให้บุตรสาวทำงานโดยไม่ได้ยืนคุมแต่ก็คอยลอบมองเป็นระยะ จนกระทั่งผ่านไป 1 เค่อก็เห็นบุตรสาวแยกใบออกจากก้านจนจะเกือบหมด 

         

                  "เสร็จแล้วเจ้าค่ะ" เสียงใสบอกมารดา

        

                  "นำก้านใส่ขวด ส่วนใบนำไป

    บดให้ละเอียด"  
          

                   การบดยาไม่ยากเย่ลี่จิงทำได้อย่างไม่มีปัญหา  หลังจากนั้นมารดาให้ดูสมุนไพรอีก 4 - 5 ชนิด แล้วถามชื่อของสมุนไพรซ้ำอีกครั้ง  ใบหน้าเล็กที่มีกรามออกเล็กน้อยมิได้เป็นรูปไข่ตามค่านิยมความงามเอียงคอไปมา รู้สึกเหมือนโดนสอบภาคปฏิบัติ หากสอบผ่านจะได้เลื่อนขั้นเดินทางเข้าไปเที่ยวยังตัวเมือง      

         

                  "อ้ายเฉ่า (艾草) หรืออ้ายเย่ (艾叶) " (เป็นพืชในตระกูลดาวเรือง) เสียงเล็กใสบอกตามที่มารดาชี้     "ติงเซียง (丁香)"   รูปร่างเช่นนี้ไม่บอกก็รู้ว่าคือกานพลู  แล้วบอกชื่อสมุนไพรที่เหลือ    "ไป๋จื่อ  สือชางผู่  ฝูหลิง   ถูกหรือไม่เจ้าคะ"  เมื่อเห็นมารดาพยักหน้า  แผ่นหลังเล็กจึงยืดขึ้นอย่างภูมิใจ

     

                 ผู้เป็นมารดามองอย่างรู้ทัน "ได้  พรุ่งนี้แม่จะพาไปเที่ยวถึงตัวเมืองถางหยาง"  แล้วตั้งรับร่างเล็กวัย 8 หนาวที่โผเข้ามากอด 

      

                "รักท่านแม่เจ้าค่ะ"  เกิดเป็นน้องน้อยสุดท้องถึงสองชาติเรื่องประจบขอให้บอกเถิด

       

                "ถ้าแม่ไม่ตามใจจะรักหรือไม่" มือลูบศีรษะได้รูปของบุตรสาว 

       

                 "รักสิเจ้าคะ เพราะจิงเออร์รู้ว่าท่านแม่รักจิงเออร์ ถ้าตามใจทุกอย่างลูกสาวจะเสียนิสัย แต่ไม่ต้องกังวลตามใจอย่างไร จิงเออร์ก็รู้ความ"   แน่นอนณิริณอายุขนาดนี้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีได้ก็อายเด็กแย่ 

       

                   ฟานถิงชะงักมือที่กำลังลูบศีรษะเล็ก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย บุตรสาวของนางกำลังบอกว่า ต่อให้ตามใจอย่างไรก็จะไม่เสียนิสัยเช่นนั้นหรือ  หึ  ลูกคนนี้  "เช่นนั้นหากแม่ยอมให้เจ้าทำตัวเหมือนเด็กชาย วิ่งไล่ตามพี่ใหญ่พี่รอง กระโดดโลนเต้นอยู่ในบ้าน ปีนผาปีนต้นไม้ เจ้าก็สามารถเป็นกุลสตรีได้หรือ" 

        

                  ครานี้คนที่โดนถามเงยหน้ามองมารดากระพริบตาปริบ ๆ  มารยาทของโลกเก่าพอรู้อยู่หรอก  โลกนี้เป็นอย่างไรนางยังไม่มั่นใจ  "ลูกไม่รู้ว่ากุลสตรีเป็นอย่างไร แต่จะพยายามทำตัวให้เรียบร้อยยามจำเป็น"  

         

                 ฟานถิงอึ้งไปทันทีจะหัวเราะก็ไม่ออกจะร้องไห้ก็ไม่เชิง ไม่รู้ว่ากุลสตรีเป็นเช่นไร    เพราะการดำเนินชีวิตของหุบเขาเลือนลางไม่ใช่อย่างคุณหนูในเมือง การทำความเคารพก็ต่างกัน แต่ความอ่อนหวานหรือนุ่มนวลของสตรีปกติก็จะต้องมี แต่เย่ลี่จิง...  สายตามองใบหน้าของบุตรสาวที่แหงนเงยมองนาง  ตั้งแต่ฟื้นมาถึงจะไม่เป็นม้าดีดกระโหลกเท่าเก่าแต่ก็มิใช่มีพฤติกรรมเหมือนเด็กหญิงทั่วไปเสียทีเดียว    "แม่จะให้เจ้าเรียนรู้ไว้บ้าง หากวันหน้าอาจต้องออกงานเจอคนหมู่มากจะได้ไม่ขายหน้า" 

         

             "เจ้าค่ะ"

        
             วันรุ่งขึ้นตรงตามเวลาที่นัดไว้กับมารดา  เย่ลี่จิงแต่งตัวชุดสีชมพูนวลตาแบบเด็กหญิงแต่รัดกุม ผมเป็นมวย 2 ข้างผูกริบบิ้นสีแดงด้วยฝีมือพี่มิ่งจี้   เดินไปที่โถงรับแขกของบ้าน  โผล่ไปก็เจอทั้งบิดามารดานั่งอยู่คู่กัน    มือเล็กยกประสานก้มศีรษะเล็กน้อยทำความเคารพตามอย่างที่ได้รู้มา     
         

            "คารวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ"

          

           คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน สายตามองร่างเล็กที่แต่งตัวน่ารักทำตัวเรียบร้อยอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันมองภรรยา พร้อมส่งสายตาแสดงความสงสัย  แล้วได้ยินเสียงหวานกระซิบอธิบายว่า

            

               "นางทำตัวเรียบร้อยเพราะได้เข้าเมือง" 

           

               ใบหน้าคมคายจนดูดุดันพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ  "อย่าซุกซน หากหนีไปไหนคนเดียว กลับมาพ่อจะให้อยู่แต่ในบ้านเดือนนึงไม่ให้ย่างเท้าออกไปสักก้าว" 

            

              "เจ้าค่ะท่านพ่อ"  หน้าดุกับเสียงดุไม่ทำให้กลัว ตอนไม่สบายบิดาห่วงขนาดไหน ทำไมจะไม่รู้ 

         

                เพราะตัดสินใจจะเป็นเย่ลี่จิง จึงเดินไปจับมือมารดายามออกไปนอกบ้าน เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง    ม้าถูกนำมาผูกเตรียมไว้ 2 ตัวตรงทางลาดด้านล่าง  มีคนติดตามเป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่ง นั่งอยู่บนหลังม้ารออยู่ไม่ไกลนัก  ม้าของนางตัวขนาดกลางสีน้ำตาล ของคนอื่นสูงใหญ่และกำยำ  ร่างเล็กตวัดตัวขึ้นหลังม้าก็บังคับให้ม้าเดินตามม้าของคนติดตามที่นำไปก่อน   บริเวณในหุบเขาเลือนลางนางเที่ยวเล่นจนแทบทุกที่ แต่ทางที่มุ่งออกนอกหุบเขานั้น มิเคยเฉียด เพราะมีคนในพรรคเฝ้าดูแล เหมือนค่ายทหารที่มีทหารยืนรักษาการณ์หน้าประตูค่าย  หัวใจเต้นเร็วอย่างตื่นเต้น  ธรรมชาติสมบูรณ์รอบตัว อากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย ปลายทางหลังออกจากหมู่บ้านมาได้ระยะหนึ่งคือป่าทึบและภูเขาสูง  การจดจำทางวงกตใช้หลักอะไรในเมื่อต้นไม้เป็นพันธุ์เดียวกันแม้สูงใหญ่จะแตกต่าง  พื้นดินก็ไม่มีให้เห็นว่าตรงไหนโดนเหยียบย่ำจนเกิดเส้นทาง หินใหญ่สักก้อนอย่างที่เคยดูหนังไว้อ้างอิงให้เป็นเอกลักษณ์ก็ไม่มี สายตาพยายามสอดส่ายมองสิ่งที่แตกต่างพอเป็นแนวทาง  ก่อนจะเงยหน้ามองด้านบน กิ่งไม้แต่ละกิ่งอาจมีสัญลักษณ์

       

                    เสียงมารดากล่าว  "หากจำชนิดกาฝากแฝงและสมุนไพรบางอย่างทีคล้ายวัชพืชได้  สัญลักษณ์ที่หลบซ่อนบนกิ่งก้าน เจ้าก็จะรู้เคล็ดของวงกตนี้" 

        

                     "สอนลูกได้หรือไม่เจ้าคะ"

       

                     "อายุครบ 12 หนาวเมื่อใด แม่จะสอนเจ้า" 

       

                    "เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็เรียนแล้วนะสิ"  เสียงใสรำพึงกับตนเอง แต่มารดาได้ยิน

        

                     "อย่าคิดให้หยางไคสอน  แม่จะคาดโทษไว้ กฎเป็นกฎ" 

     

                     "เจ้าค่ะ ลูกทราบแล้ว"  

        

                      หากไม่สังเกตจะไม่เห็นว่ามีอุโมงค์อยู่เพราะมีต้นไม้บังอำพราง พ้นอุโมงค์ก็เป็นป่าวงกตอีกครั้ง ครั้งนี้มีต้นไม้หลากหลายพันธุ์  นางต้องบังคับม้าเลี้ยวไปมาหลายหนตามคนนำทาง    มีเสียงน้ำตกแว่วจากที่ไกล ๆ  เสียงนกเสียงกระรอก กลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาเข้าจมูก  ต้นหยาวสูงใหญ่หลายต้น  จนถึงกอไผ่กอใหญ่ที่ดูมีรอยคนเหยียบย่ำจนพื้นโดยรอบโล่งเตียนมีเพียงหญ้าต้นเล็กที่ทนทาน แปลว่าแถวนี้คงมีคนเข้าถึง  ก่อนที่ต้นไม้จะบางตาลงจนเห็นทางดินผสมหินที่ใช้เป็นทางสัญจรหลัก  

             

      


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×