ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เย่ลี่จิง (อ่านฟรี 3 วัน ติดเหรียญนะคะ) จบแล้วค่ะ

    ลำดับตอนที่ #4 : อยู่กับชีวิตใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 65


                หลังจากคิดได้ว่าควรรู้เกี่ยวกับที่นี่ให้มากขึ้นโดยเริ่มจากใกล้ตัวเสียก่อน     ยามมีเวลาว่างจากการเรียน  เด็กหญิงชวนมิ่งจี้ออกไปเดินเล่น  แสร้งทำเป็นซุกซนดูนั่นดูนี่  เตร็ดเตร่เดินเข้าไปในสวนผักสวนผลไม้  โรงครัวใหญ่ของหมู่บ้านซึ่งเอาไว้ทำอาหารเลี้ยงคนที่นี่วันละหนึ่งมื้อ ยุ้งฉาง โรงสีข้าว โรงย้อมผ้า ร้านตีเหล็ก ถึงจะเดินไปทั่วแต่เพราะเย่ลี่จิงคนเก่าค่อนข้างซุกซนจึงมิได้ผิดสังเกตเท่าใดนัก    


                   หลังจากทำตัววุ่นวายไปรอบหมู่บ้านมาเกือบ 10 วัน    ค่ำนี้ก่อนเวลาเข้านอน   ร่างเล็กนอนลืมตาเหม่ออยู่บนเตียง คิดทบทวนเรื่องต่าง ๆ ในหัว

       

                      มิ่งจี้เดินเข้ามาเพื่อดูความเรียบร้อยภายในห้องของคุณหนูก่อนเย่ฮูหยินจะมาส่งคุณหนูเข้านอน เสียงเล็กบนเตียงก็เอ่ยขึ้น

     

                        "พี่มิ่งจี้ ด้านนอกหุบเขา  บ้านเรือนของใช้เหมือนเราหรือสะดวกสบายดีกว่าเราไหม"  ไม่ใช่หุบเขาเลือนรางตัดขาดจากโลกภายนอก ดำเนินชีวิตแบบบรรพบุรุษปู่ย่าตายายมิเปลี่ยนแปลงหรอกนะ  ข้างนอกอาจเจริญเป็นเมืองใหญ่ มีจักรยาน มีดินสอปากกา แว่นตา นาฬิกา  ต่างชาติเดินกันให้ขวักไขว่ไปแล้ว

          

                 ใบหน้าเรียวยาวเอียงคอมองคุณหนู  ท่านประมุขและฮูหยินเคยพาคุณหนูไปนอกหุบเขาเมื่อครึ่งปีก่อน  ความทรงจำเรื่องนี้คงหายไปด้วย จึงตอบอย่างละเอียด 

       

                "โดยรอบของหุบเขาเป็นหมู่บ้านเหมือนเราเจ้าค่ะ  มีบ้านหลายหลังอยู่ใกล้กันมากกว่า ส่วนมากประกอบอาชีพปลูกข้าว ทำไร่ทำสวน เลี้ยงสัตว์ หาของป่า แต่การดำเนินชีวิตอาจจะไม่สะดวกสบายเท่าคนที่อาศัยในหุบเขาเลือนรางซึ่งมีท่านประมุขคอยดูแล แต่การเพาะปลูกได้ผลผลิตดีเหมือนกัน หากเราได้ผลผลิตมากก็จะเอาไปแจกจ่ายช่วยเหลือแบ่งปัน ยามมีพายุหุบเขาของเราจะมีผลกระทบน้อย ผลผลิตมักไม่เสียหายบ้านเรือนมิเป็นอันตราย  แต่ภายนอกอาจได้รับผลกระทบมาก เราก็จะออกไปช่วยซ่อมแซมและตั้งโรงทานด้วยเจ้าค่ะ พรรคเงาอัสนึจึงเป็นที่รักและนับถือ  เมืองถางหยางที่เราอาศัยนี้อยู่ห่างจากเมืองใหญ่สุดของแดนใต้ 120 ลี้ (120 ลี้ =60 กิโลเมตร)   ร้านค้าในหัวเมืองใหญ่จะมีมากกว่าและสินค้าหลากหลายกว่า ขาดสิ่งไหนก็ไปหาซื้อ  พื้นทางเดินในเมืองเป็นแผ่นหินมิใช่ดิน ของกินหลากหลาย ผู้คนอาศัยอยู่ที่นั้นมากกว่า มีเศรษฐีมีขุนนาง   แต่บ้านท่านประมุขสวยกว่าจวนเจ้าเมืองถางหยางอีกนะเจ้าคะ" 

             

                  ใบหน้าน่ารักพยักหน้าอย่างเข้าใจ จังหวะเดียวกับเสียงเคาะประตู  มารดาก้าวเดินเข้ามา

          

                 "คุยอะไรกัน" เสียงหวานของฟานถิงหรือเย่ฮูหยินถามบุตรสาว

            

                 "ลูกอยากรู้ด้านนอกหุบเขามีอะไรบ้างเลยถามพี่มิ่งจี้เจ้าค่ะ" 

             

                  เย่ฮูหยินเก็บซ่อนความรู้สึกเศร้าใจเมื่อคิดถึงอาการของบุตรสาวซึ่งจำสิ่งใดไม่ได้   ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างร่างเล็ก    "ไว้ถ้ามีเวลา แม่จะพาเจ้าออกไปเที่ยว" 

           

                   คนฟังคลี่ยิ้มอย่างดีใจ "ขอบคุณเจ้าค่ะ"  พลางมองใบหน้าของสตรีที่ลงนั่งข้างกายซึ่งตอนนี้ไม่เหมือนคนแปลกหน้าแล้ว 

       

                "ทำไมมองหน้าแม่เช่นนั้น"  แววตาของบุตรสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนยากที่จะเข้าใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแววตาของเด็ก 8 หนาว

          

               อ้อมแขนเล็กโอบกอดมารดา  "เพราะดีใจที่ได้อยู่กับท่านแม่ที่ใจดีและรักจิงเออร์ ทุกคนล้วนใจดี ไม่คิดว่าจะโชคดีเช่นนี้เจ้าค่ะ"  ถือว่าโชคดีแล้วที่ได้มาเจอครอบครัวที่รักใคร่  มีกินมีใช้ ร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์  ถึงยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นยังไงจะทำอะไรต่อไป  

            

                  ผู้เป็นมารดาหัวเราะเบา ๆ   บุตรสาวของนางรู้จักพูดรู้จักประจบเอาใจมากกว่าแต่ก่อนเสียอีกไม่อายมิ่งจี้ที่ยังยืนอยู่ด้วยเลย

        

                 ผ่านมาแล้ว 2 เดือนกับชีวิตใหม่ที่ไม่มีภาระ   หน้าบ้านตระกูลเย่มีร่างเล็กในชุดทะมัดทะแมงสีน้ำตาล ผมรวบหางม้าอย่างเด็กผู้ชาย นัยน์ตาโตเป็นประกายซุกซน ริมฝีปากรูปกระจับสีลูกท้อสดยกยิ้ม  มือเล็กถือแผ่นหนังวัวยังไม่ได้ตัดเป็นเครื่องนุ่งห่มซึ่งไปขอซื้อมาจากคนในพรรคที่รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า เท้าก้าวเดินเลยบันไดหน้าบ้านไปด้านข้างซึ่งเป็นพื้นหญ้าลาดชัน 

         

                มิ่งจี้มองคุณหนูเงียบ ๆ ตามที่คุณหนูบอกไว้ว่าไม่ต้องกังวล เพียงหาอะไรเล่นในวันที่ไม่มีเรียน ใบหน้ามีแววฉงนเมื่อเห็นเด็กหญิงจัดแจงวางแผ่นหนังลงแล้วนั่งทับ  ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อ คุณหนูนั่งลื่นลงไปด้านล่าง

        

                คนเล่นไม้ลื่นตามธรรมชาติยิ้มกว้างอย่างสนุก แม้จะมีก้อนหินตามทางแต่แผ่นหนังก็หนาพอทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ  พอถึงด้านล่างก็หยิบหนังวัวแล้ววิ่งขึ้นบันไดไปลื่นลงมาใหม่ ถึงพื้นก็เงยหน้ามองสาวรับใช้ประจำตัว  แล้วตะโกนถาม   "มีเนินตรงไหนยาว ๆ บ้างไหม"  

      

                 คนโดนถามอึกอัก เมื่อก่อนคุณหนูก็ชอบเล่นไม่เหมือนเด็กหญิงเป็นประจำแต่ก็ไม่เคยมีประหลาดเช่นนี้  นางควรสนับสนุนหรือห้ามปรามดี  หรือว่าดีกว่าแอบไปปีนหน้าผาเหมือนครั้งที่แล้ว  คิดแล้วอย่างไรก็อยู่ในสายตา    "หลังโรงม้าเจ้าค่ะ เดินอ้อมไปไม่ไกลมีเนินให้คุณหนูเล่นแบบเมื่อครู่ได้ " 

       

                  "ไปกันเถอะ" เสียงเล็กใสบอกแล้วก้าวเดินไปทันที โดนไม่รอมิ่งจี้เพราะรู้อยู่แล้วว่า สาวรับใช้ประจำตัวมีวิทยายุทธ ต้องตามทันแน่นอน  ระหว่างทางเจอเด็กอายุไม่ห่างกันมากก็ชวนไปเล่นด้วย  

           

                     ร่างบอบบางของมิ่งจี้ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นด้านล่างใต้ร่มไม้  แหงนหน้ามองเด็กชายหญิง 5 คนรวมคุณหนูวิ่งขึ้นไปบนเนิน ก่อนคุณหนูจะบอกให้จัดลำดับก่อนหลัง โดยใช้วิธีจับต้นหญ้าสั้นยาว  ใครจับได้หญ้าเส้นสั้นได้เล่นก่อน  คุณหนูเสียสละเป็นคนสุดท้าย  ไม่นานก็เห็นเด็กยืนเรียงแถวเพื่อรอเล่น   เสียงหัวเราะเอะอะของเด็ก ๆ ดังก้อง  ทุกคนดูสนุกสนานยามลื่นลงมาแล้ววิ่งขึ้นไปใหม่ รอบที่ 2 เสียงเล็กใสของคุณหนูหัวเราะเสียงดัง  ต่อจากนั้นเด็ก ๆ ก็วิ่งวนขึ้นไปใหม่อีกหลายรอบอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 

      
               ภายในบ้านตระกูลเย่  

               

               ร่างแข็งแรงกำยำนั่งอ่านรายงานอยู่ในห้องทำงาน  ใบหน้าคมเข้มเงยหน้าจากงานเอกสาร เมื่อภรรยาเดินเข้ามาพร้อมของว่าง

         

              "พักสักครู่เถิดเจ้าค่ะ"  เย่ฮูหยินบอกสามีพลางวางขนมเปี๊ยะขนาดพอดีคำบนโต๊ะซึ่งไว้พักทานอาหารว่างและรับรองแขกสนิท  

         

               "วันนี้ลี่จิงไม่มีเรียน ลูกไปซนที่ไหน"  ที่ผ่านมาเขาได้รับรายงานว่า บุตรสาวไปเดินเล่นตามสวนของคนในพรรค บางวันก็ไปขลุกอยู่ที่โรงครัวกลางหมู่บ้านแต่มิได้สร้างเรื่องวุ่นวาย  เพียงพูดคุยและสอบถามเรื่องต่าง ๆ  หรือว่าลี่จิงพยายามทวนความทรงจำที่หายไป 

     

                "ไปเล่นอยู่กับเด็กในหมู่บ้านเจ้าค่ะ"   

      

                เย่ฮวงเทียนพยักหน้า   "นางแข็งแรงดีแล้วใช่หรือไม่" 

     

                 "ร่างกายนางแข็งแรงดี  มีเพียงความทรงจำที่ไม่กลับมาจริง ๆ เจ้าค่ะ" น้ำเสียงหวานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

     

                  ชายหนุ่มมองสีหน้าภรรยาที่ไม่มีความเศร้าเจือวิตกกังวลอย่างที่ผ่านมา  "นางมิได้กลัวพวกเรา ไม่ปิดกั้นตัวไม่ซึมเศร้าเพราะจำอะไรไม่ได้ แต่สนใจสิ่งรอบตัว ถึงจะซุกซนน้อยลงก็นับว่าดี เจ้าคงสบายใจขึ้นแล้วสินะ" 

      

               "เจ้าค่ะ  เป็นข้าที่กังวลมากไป" 

        
               ทางด้านเด็กหญิงซึ่งอยู่ในหัวข้อสนทนาของผู้เป็นใหญ่ในหุบเขาเลือนราง  กำลังยืนแหงนหน้ามองท้อง ฟ้าสีฟ้าสดแขนเรียวเล็กชูขึ้นเหนือศีรษะอยู่บนเนินสูง  ตะโกนเสียงดัง "ข้าชื่อ เย่ลี่จิง"   พลางมองเด็กคนอื่นที่นั่งลื่นลงไปแล้วยิ้มกว้าง   'จะใช้ชีวิตวัยเด็กให้คุ้มเลยทีเดียว'   แล้ววิ่งลงแทนที่จะรอนั่งลื่นไถลลงไป
        

                 นัยน์ตาใบหลิวของคนที่นั่งมองอยู่ตลอดเบิกกว้างอย่างตกใจ ลุกพรวดถีบตัว เตรียมไปรับร่างเล็กที่วิ่งซอยเท้าลงเนินอย่างน่าหวาดเสียวว่าจะกลิ้งตีลังกาหน้าทิ่มลงมาก่อนจะถึงพื้น   แต่เย่ลี่จิงที่วิ่งลงเนินมาอย่างกับเครื่องเล่นความเร็วสูงก็เพียงแค่หยุดตัวเองไม่ได้เมื่อถึงพื้นราบ ต้องวิ่งเลยไปอีกไกลพอสมควร  

       

                   ร่างเล็กที่เพิ่งทำเรื่องตื่นเต้นหวาดเสียวก้มหน้าลง  เมื่อมิ่งจี้หน้าหงิกหน้างอ พูดอบรมสั่งสอนมิให้เล่นอันตรายเช่นนั้นอีกเสียหูชา 

     

                    ".......หากเป็นแผลที่ใบหน้าจะทำเช่นไร คอก็อาจหักแขนขาหัก....  ทำไมคุณหนูไม่กลัวเจ็บตัวเช่นนี้  ... กี่ครั้งแล้วเจ้าคะ.....คุณหนูต้องหัดระวังมากกว่านี้เจ้าค่ะ...ถ้าท่านประมุขทราบ..."  

          

              ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากัน พยักหน้ารับทั้งที่ก้มหน้าก้มตาเพื่อซ่อนสีหน้าที่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ตอนวิ่งลงพยายามรักษาสมดุลไม่ให้ล้ม  แต่พอหยุดไม่ได้ก็ทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นและสนุก  เสียงแจ้ว ๆ ของมิ่งจี้ที่ควบตำแหน่งพี่เลี้ยงเด็ก คุมประพฤติและดูแลรับใช้เข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง แต่เอาเถิดต่อไปจะระวังมากขึ้น 

    ----------------
    เครดิต satit.up.ac.th
    เวลากลางวัน พื้นที่บริเวณไหล่เขาได้รับความร้อนมากกว่าบริเวณพื้นที่ราบหุบเขา ณ ระดับสูงเดียวกัน ทำให้อากาศร้อนบริเวณไหล่เขายกตัวลอยสูงขึ้น (ความกดอากาศต่ำ) เกิดเมฆคิวมูลัสลอยอยู่เหนือยอดเขา อากาศเย็นบริเวณหุบเขาเคลื่อนตัวเข้าแทนที่ จึงเกิดลมพัดจากเชิงเขาขึ้นสู่ลาดเขา เรียกว่า “ลมหุบเขา” (Valley breeze)
    หลังจากดวงอาทิตย์ตก พื้นที่ไหล่เขาสูญเสียความร้อน อากาศเย็นตัวอย่างรวดเร็ว จมตัวไหลลงตามลาดเขา เกิดลมพัดลงสู่หุบเขา เรียกว่า “ลมภูเขา” (Mountain breeze) ในบางครั้งกลุ่มอากาศเย็นเหล่านี้ปะทะกับพื้นดินในหุบเขาซึ่งยังมีอุณหภูมิสูงอยู่ จึงควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ ทำให้เกิดหมอก (Radiation fog)






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×