คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เรียนรู้
"คุณหนูเจ้าคะ" พี่เลี้ยงที่โดนเด็กหญิงบอกให้ออกมารอด้านนอก ส่งเสียงเรียกเมื่อรู้สึกว่า คุณหนูของนางแช่น้ำนานเกินไป หากคุณหนูไม่สบายนางคงโดนตำหนิ เมื่อในห้องไม่มีเสียงตอบรับกลับก็ร้อนใจ "พี่เข้าไปนะเจ้าคะ" พอเข้าไปสายตามองที่อ่างน้ำไม่เห็นคุณหนู สองเท้ารีบวิ่งไปดูอย่างตกใจ "คุณหนู!" ชะโงกหน้าไปเห็นร่างเล็กนอนหงายลอยอยู่ในน้ำ จึงเอื้อมมือช้อนอุ้มขึ้นมา
คนกำลังหลับตานอนลอยตัวอยู่ในน้ำเพลิน ๆ ตกใจที่อยู่ ๆ ก็มีคนมาอุ้มขึ้น ข้างหูมีเสียงร้อนรนเรียกดังไม่หยุด
"คุณหนูคุณหนู เป็นอะไรไปเจ้าคะ คุณหนู"
"พี่มิ่งจี้หยุดก่อน ข้าไม่ได้เป็นอะไร" พอเห็นใบหน้าเรียวยาวตื่นตระหนก นัยน์ตาใบหลิวมีน้ำตาคลอจึงกอดปลอบ "ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง" การไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่นทำให้รู้สึกอาย แต่ทำใจว่านี่คือเด็กตัวน้อยเลยสงบใจลงได้ อีกทั้งความทรงจำที่ได้รับรู้มาก่อนนั้นมิ่งจี้อาบน้ำให้เย่ลี่จิงเสมอ
"พี่ตกใจหมดเลย เรียกแล้วคุณหนูไม่ตอบ" พลางขยับเอื้อมมือไปดึงผ้ามาห่อตัวให้เด็กหญิง พอหายตกใจก็นึกได้ "คุณหนูนอนลอยอยู่ในน้ำได้อย่างไรเจ้าคะ"
"ทำได้ตั้งนานแล้ว แต่ทุกครั้งพี่มิ่งจี้ไม่เคยเห็น" เด็กหญิงบอกอย่างอวดนิด ๆ "อ่างใหญ่เช่นนี้ข้าก็เลยเล่นไปเรื่อย อยู่ ๆ ก็ลอยตัวได้ หูอยู่ใต้น้ำจึงไม่ได้ยินเสียงเรียก "
"ครั้งหน้าพี่จะอาบน้ำให้คุณหนูนะเจ้าคะ"
"ไม่เป็นไร ข้าโตแล้วอยากทำอะไรเอง" พลางมองอีกฝ่ายอย่างมุ่งมั่น "จะได้ไม่มีใครว่าจิงเออร์เด็กอย่างไรเล่า"
นัยน์ตาใบหลิวมองใบหน้าน่ารักแก้มกลมน่าจับอย่างพยายามมองให้เป็นคนที่เรียกว่าโตแล้ว ก่อนจะส่ายหน้า 'ตั้งแต่คุณหนูฟื้น ดูจะมุ่งมั่นอยากจะโตไว ๆ มากกว่าเก่าเสียอีก แล้วยังรู้จักปลอบคนอื่นและขอโทษ'
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังรับประทานอาหารการทบทวนความทรงจำคือ การเดินตามผู้เป็นพี่ชายทั้งสองคนไปดูรอบ ๆ หมู่บ้าน อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็นทางเดินเป็นดินปนหินที่ถูกเหยียบย่ำจนแข็งแน่น ระยะทางระหว่างบ้านแต่ละหลังค่อนข้างไกล ดอกเบญจมาศดอกเล็กสีขาวสีเหลืองขึ้นสลับเหมือนวัชพืชริมทางเดิน เท้าเล็กก้าวเดินตามผู้เป็นพี่ชายที่เปรียบเหมือนมัคคุเทศก์กำลังพานักท่องเที่ยวเดินชมหมู่บ้านจีนโบราณเสมือนจริง ตามทางมีทั้งร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่และโล่งแจ้งไร้สิ่งใดบดบังแสงอาทิตย์ เสียงทุ้มเล็กน้อยตามวัยของเด็กชายบอกว่าบ้านนี้ปลูกอะไร บ้านนั้นมีหน้าที่อะไรในพรรค หน้าผาที่นางตกอยู่ตรงไหน ลักษณะการสร้างบ้านบนเนินโดยมีหินล้อมเพื่อป้องกันน้ำหลากยามฤดูฝน ดูคอกม้าที่มีม้าพันธ์ดีรูปร่างกำยำแข็งแรงหลายตัว ชาวบ้านทักทายมัคคุเทศก์และลูกทัวร์ที่มาเดินชมอย่างเป็นกันเองแต่แฝงด้วยความเคารพอยู่ในที ทุกคนแต่งตัวทะมัดทะแมง ไม่เห็นมีใครแต่งเสื้อผ้ากรุยกรายรุ่มรามสักคน
ใบหน้าน่ารักเคร่งเครียด ครอบครัวใหม่ไม่ใช่ชาวสวนชาวไร่ไม่ใช่เกิดในเมืองใช้ชีวิตธรรมดา แต่อยู่ในหมู่บ้านจอมยุทธที่สักวันคงไม่อาจเลี่ยงการต่อสู้ ควรจะไปให้สุดหรือขอไปบวชชีอยู่อย่างไม่ต้องกังวลดี
"คิดอะไรอยู่" เย่ตงเหิงรู้สึกน้องสาวเดินช้าลง สีหน้าครุ่นคิด
"พี่ใหญ่พี่รอง จิงเออร์ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปเมื่อโต" แล้วต้องเจอกับสายตาที่มองมาอย่างพิเคราะห์ของพี่ชาย
"เจ้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น" เย่หยางไคเปรย "ไม่เล่นไปวันวัน"
"หรือว่าน้องสามบาดเจ็บหนักครานี้ ทำให้ความคิดเริ่มโตขึ้น" เย่ตงเหิงคาดเดา
ใบหน้าเล็กถือโอกาสพยักหน้าขึ้นลง "ใช่สิ ตอนตกนึกว่าจะไม่ได้พบใครอีกแล้ว ตอนนี้จึงคิดอะไรได้หลายอย่าง" แล้วพยายามตีหน้าใสซื่อ
"เจ้าเพิ่ง 8 หนาวกว่าจะรู้ว่าถนัดด้านใดชอบอะไร สนใจช่วยท่านพ่อด้านคุ้มกันสินค้าหรือสนใจช่วยท่านแม่ดูแลคนเจ็บป่วยก็อีกนาน มาคิดอะไรตอนนี้" ผู้โตที่สุดบอกกับน้องสาว
นัยน์ตาคู่หวานมองเด็กชายอย่างทึ่ง ๆ "อายุเท่านี้คิดได้ขนาดนี้ ผู้ใหญ่อายเลย ข้านับถือ ๆ" แล้วประสานมือแบบชาวยุทธคำนับ "หากไม่ทราบอายุพี่ใหญ่แล้ว คงนึกว่าเป็นตาแก่ที่มากประสบการณ์ รู้สัจจะธรรมแห่งชีวิต"
เย่ตงเหิงหัวเราะเสียงดัง คนโดนว่าเป็นตาแก่มีสีหน้าพิลึก ก่อนจะบอกเสียงงอน ๆ "ขอถอนคำพูดว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้น"
หลังจากกลับจากเดินดูหมู่บ้าน เด็กหญิงก็ขอบิดามารดาเข้าห้องหนังสือเพื่อทบทวนความทรงจำ คนตัวเล็กที่สุดในบ้านยืนมองหนังสือเรียงกันมากมายจนเต็มผนังบนชั้น อ่านตัวอักษรออกบ้างไม่ออกบ้าง แขนเล็กยกขึ้นกอดอก เด็กอายุเท่านี้ประมาณประถม 2 ยังอ่านเขียนไม่คล่องเป็นธรรมดา แล้วถอนหายใจ ต้องเรียนรู้ใหม่สินะ หวังว่าสมองด้านภาษายังคงใช้ได้ ขณะที่ใช้สายตาไล่ดูตัวอักษรหมวดหมู่ซึ่งอ่านไม่ออกสักตัวเขียนติดไว้บนชั้น มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้หันไปมอง
"ท่านพ่อ"
"ได้หนังสือหรือยัง หนังสือภาพก็มี"
"อ่านออกบ้างไม่ออกบ้างเลยยังไม่ได้ ลูกหายดีแล้วอยากกลับไปเรียนอักษรแล้วเจ้าค่ะ" ก่อนจะตัดสินใจเส้นทางของชีวิตต้องอ่านออกเขียนได้เสียก่อน
ใบหน้าคมคายที่ดูดุดัน มีรอยยิ้มเจือในสีหน้า "ได้" บุตรสาวค่อนข้างไม่สนใจการเรียนอักษร เอาแต่สนใจวิทยายุทธ ฟื้นมาครั้งนี้บุตรสาวดูสนใจใฝ่รู้ ล้วนน่ายินดี
ไม่กี่วันต่อมา เย่ลี่จิงจึงมีอาจารย์มาสอนอักษร เป็นอาจารย์สตรีอายุราว 40 ปีท่าทางเคร่งขรึม ใบหน้าค่อนข้างเหลี่ยม มารดาบอกว่าเป็นอาจารย์ท่านเดิมที่เคยสอน แต่ความทรงจำไม่มีในหัว นอกจากจะสอนอักษรยังสอนคำนวนสำหรับเด็กด้วย เรื่องคำนวนเด็กหญิงไม่มีปัญหา ต่อให้สอนถึงตัวแปรยันแคลคูลัสก็ยังจำได้อยู่ ปัญหาคืออักษรในโลกนี้แทบจะเรียกว่า เริ่มตั้งแต่คัด กอ ไก่ ยัน ฮอ นกฮูกใหม่เลยทีเดียว
ลายมือไก่เขี่ยเป็นเช่นนี้ เขี่ยจนไส้เดือนชักดิ้นชักงออีกต่างหาก ริมฝีปากเล็กบางเม้มเข้าหากัน สูดหายใจเข้า ก่อนจะตั้งหน้าจับพู่กันคัดอักษรต่อ วันแรกอักษรแทบจะเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้า น้ำหมึกหยดเป็นดวง เส้นอักษรหนาบางไม่มีความสม่ำเสมอ แต่... ทุกคนล้วนบอกว่าความจำเรื่องการคัดอักษรของเย่ลี่จิงมิเปลี่ยนไป น่าดีใจหรือไม่ที่เป็นเด็กประถม 2 ได้อย่างแนบเนียน
ตารางการเล่าเรียนของเย่ลี่จิงต้องเรียนกับอาจารย์ 2 วิชาคืออักษรและคำนวน 2 วันต่อสัปดาห์ นอกเหนือจากนั้น หากเป็นโลกเก่าของณิริณจะเรียกว่าการเรียนรู้แนวบูรณาการ ประสบการณ์ชีวิต เรียนรู้นอกสถานที่ 4 วันต่อสัปดาห์ มีวันหยุด 1 วันและหนึ่งในสี่วันที่ต้องออกมาเรียนรู้คือการขี่ม้า เพราะผู้เป็นพี่ชายขี่คล่องแล้วจึงบังคับม้าออกวิ่งเข้าไปในป่า มีเพียงนางที่ฝึกอยู่ที่โรงฝึก
เด็กหญิงวัย 8 หนาว บังคับม้าให้เดินได้คล่องดั่งใจนึกเมื่อเรียนได้ 4 ครั้ง ทุกคนล้วนเข้าใจว่าเพราะเย่ลี่จิงเคยหัดขี่ม้ามาก่อนถึงจะความสูญเสียความทรงจำก็ยังมีความเคยชิน คนขี่ได้ก็ไม่มั่นใจนักว่าเพราะอะไร เพียงแต่รู้ว่า ขาต้องแข็งแรง ใจต้องไม่กลัว จำวิธีบังคับให้ได้ ท่าทางต้องถูกหลัก เท้าทั้ง 2 พยายามให้ขนานกับตัวม้า ทรงตัวให้เป็นก็สามารถทำได้
เมื่อการเรียนขี่ม้าวนมาอีกครั้งร่างเล็กบนอาชาขนาดกลางสีน้ำตาล ควบม้าวิ่งเหยาะ ๆ ออกไปนอกลานฝึก โดยมีคนในพรรคขี่ม้าตามดูแล ลมปะทะหน้ายามบังคับม้าวิ่งรอบหมู่บ้าน แม้ใบหน้าจะตั้งตรงแต่สายตาเหลือบมองแปลงปลูกผักกาดขาว แปลงปลูกกระหล่ำปลี สวนท้อ สวนสาลี่ มีต้นส้มและองุ่นบ้างประปราย แววตาหม่นแสงลงเมื่อนึกถึงบ้านที่ต่างจังหวัด สวนมะม่วง กล้วย มะนาวขึ้นงามเป็นทิวแถว ผลิดอกออกผลให้กลับไปช่วยบิดามารดาเก็บขาย ตอนนี้ให้คนอื่นเช่าไปเพราะต่างคนมีอาชีพของตนไม่มีใครสานต่อ มือเล็กขาวดึงบังเหียนบังคับม้าให้เดินไปหยุดหน้ากังหันน้ำวิดน้ำจากลำธารให้ไหลไปตามคลองที่ลัดเลาะไปตามบ้านเพื่อสามารถตักใช้น้ำได้สะดวก หมู่บ้านนี้เจริญในระดับหนึ่ง แต่โลกนี้มีอะไรหรือไม่มีอะไรบ้างก็ไม่รู้ มีโลหะชนิดไหน มีเรือหรือไม่ มีอาวุธอะไรอีก ภายนอกมีสงครามไหมหรือสงบสุข ตลอดระยะเวลา 1 เดือนกว่าที่ผ่านมายังไม่ได้สนใจอะไรจริงจัง ใบหน้าเล็กเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หากจะต้องอยู่ทีนี่จริง ๆ ไม่มีเทวดามาให้พร คงต้องหาความรู้รอบตัวให้มากขึ้นจะได้หาจุดยืนที่พอใจและมีความสุขในการมีชีวิตในโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้
----------------
แยกระหว่างสำนักกับค่ายพรรคออกจากกันเพราะมันต่างกัน
สำนักนั้นจะมีการถ่ายทอดวิชาอยู่ภายในสำนัก บุคลากรภายในจะแบ่งเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์คล้ายๆ กับโรงเรียน
ส่วนค่ายพรรคหรือสมาคมนั้นจะเป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์สอดคล้องกันไม่จำเป็นต้องศึกษาวรยุทธ์ร่วมเป็นระบบเหมือนบริษัท หรือเป็นคนที่อยากทำงานให้พรรคเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่พรรคจะมอบให้ก็สามารถเข้าได้
เครดิต คุณindyneverdie ใน pantip
ความคิดเห็น