คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
แสงออโรร่าสีรุ้งสว่างไสวหมุนวนไปอย่างรวดเร็ว มันพัดโหมกรรโชคไปรอบๆประตูมิติที่เปิดออก ลำแสงรัศมีของมันส่งเสียงเหมือนกับอากาศกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พลังงานเวทย์มนต์แผ่ซ่านอยู่ในอากาศ สายลมแห่งฤดูหนาวพัดแรงและตีไปรอบๆ แสดงพลังอำนาจยิ่งใหญ่ ที่มิอาจมีใครเทียบได้ของชายผู้นี้...นอร์ท ผู้เป็น แซนต้า ครอส
ลากเลื่อนสีแดงเลือดเทียมกวางเรนเดียรูปร่างกำยำ วิ่งไปในอากาศอย่างแคล่วคล่องว่องไวผิดกับขนาดที่ใหญ่ยักษ์ของมัน นอร์ทบังคับให้พวกกวางพาลากเลื่อนเข้าไปวนรอบๆประตูมิติที่เปิดออกอยู่สองสายรอบ เพื่อดูมุมและองศาที่ถูกต้องก่อนที่จะเข้าสู่ประตูมิติ
“แซนต้า!”แจ็คตะโกนด้วยเสียงแตกพร่าสุดกำลัง เข้าพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินด้วยความเร็วขีดสุด ความเร็วในแบบที่เขาไม่เคยมาก่อน แต่นอร์ทไม่ได้ยินเขา เหมือนกับว่านอร์ทนั้นเห็นเขาไม่มีตัวตน แจ็ครู้ว่านอร์ทไม่มีทางได้ยิน เขาจึงเร่งให้ลมที่พัดพาเขาขึ้นมานั้น พัดแรงขึ้นอีกเท่าตัว และตั้งความหวังเดียวในใจ...เขาต้องตามนอร์ทให้ทัน
ลากเลื่อนของนอร์ทเริ่มช้าลง เพราะกำลังจะเตรียมตัวเข้าสู่ประตูมิติในอีกไม่นาน นอร์ทบังคับให้เกวียนหยุดนิ่ง แล้วเขาก็ตั้งสมาธิ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่ขณะนั้นเอง เขาก็รู้สึกเหมือนลมพัดเสียงกระซิบแผ่วๆมาต้องที่หูของเขา มีใครกำลังเรียกชื่อเขาอยู่งั้นหรือ...
นอร์ทเหลียวควับมามองหาต้นเสียง เขามองไปรอบๆด้วยความฉงนที่แน่นอยู่เต็มอก แต่เขากลับไม่เห็นใครหรืออะไรเลยทั้งสิ้น มีเพียงแค่เมฆหมอกหนา และไอน้ำที่ล่องลอยอยู่ในลำแสงจ้าของดวงอาทิตย์
เขาจึงตัดใจเสีย และหันกลับมาสนใจกับประตูมิติที่ขยายออกเรื่อยๆราวกับจะฉีกท้องฟ้าให้เป็นชิ้นๆ เมฆและลมถูกดูดเข้าประตูมิตินั้นราวกับมันน้ำวนที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า นอร์ทเพ่งสายตาตรงเข้าไปในศูนย์กลางสีดำของประตูนั้น
“ย่ะ!”นอร์ทส่งเสียง สั่งให้เหล่าเรนเดียผู้ซื่อสัตย์พาลากเลื่อนใหญ่พุ่งเข้าไปสู่ประตูมิตินั้นอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกับที่แจ็คขึ้นมาเห็นเขาพอดี
“ไม่นะ...”แจ็คพึมพำ รู้สึกว่าหัวใจกำลังแตกสลาย ความสับสนวังเวงเข้าครอบงำ แต่เมื่อเขามองดูอีกที เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยความลิงโลด “ประตูมิติยังเปิดอยู่นี่!”
แจ็คพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเขาเริ่มเข้าไปในอาณาเขตของหลุมแห่งขุมพลังนั้น อากาศก็ถูกตรึงแน่นจนพร้อมที่จะขาดออก แสงสีที่เอ่อล้นอยู่รอบๆปากประตูมิติถูกดูดกลับคืนลงไปในความดำมืดของศูนย์กลาง ลมพัดโหมแรงอีกครั้ง ประตูมิติที่บัดนี้เหลือเพียงแค่สีดำได้ม้วนตัวเองให้เล็กลงอย่างรวดเร็วจนหายไปในอากาศ
และแล้ว เป็นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น แจ็คฟรอสต์ลอยอึ้งอยู่กับภาพที่เห็น เขาถูกพลังที่มองไม่เห็นก็ถูกปลดปล่อยออกมา เสียงมองมันดังราวกับเสียงของปืนใหญ่ พลังนั้นแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง มันเข้าปะทะกับตัวของแจ็คจนกระเด็นไปไกล...
สิ่งที่เหลือมีเพียงแต่ความว่างเปล่า แจ็คลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเพียงลำพัง เขาหันซ้ายหันขวาอย่างบ้าคลั่ง ความผิดหวังแผ่ซ่านไปตามนิ้วมือและแขนขา ทำให้ร่างกายชาและแน่นิ่งไป แจ็ครู้สึกกระสับกระส่ายอย่างถึงที่สุด เขาอยู่ไม่ได้ เขาคิดไม่ได้ เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ตัวของแจ็คสั่นด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในกระดูก เขาขบกรามแน่นและตาร้อนผ่าว ในหัวไร้ซึ่งความคิดใดๆ ทุกๆอย่างของเขาพังทลายไปหมดแล้ว แล้วนี่เขาเหลืออะไรละ...ออใช่ ความสิ้นหวังไงเล่า!
แจ็คผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาโห่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่เกาะกินเนื้อเยื่ออยู่ในอก เสียงของเขาแทรกเข้าไปในทุกอณูของอากาศ สะท้อนกลับไปกลับมาในไอน้ำ แล้วจากหายไปเมื่อแสงแดดส่องลงมา มือของแจ็คสั่นอย่างรุนแรงด้วยโทสะ เขากัดฟันแน่น เหวี่ยงไม้เท้าที่สาดแสงจ้าไปที่ข้างหน้าทีแล้วทีเล่า
พลังในกายของเขากายเป็นแสงสีฟ้าสว่างจ้าพุ่งสอดแทรกเข้าไปในอากาศอันว่างเปล่า อำนาจในใจที่วุ่นวายกัดกินความหนาวเย็นบนท้องฟ้าเกิดเป็นเกล็ดน้ำแข็งล้อมรอบกาย ส่งเสียงเปรี๊ยะๆดังลั่นไปทั้วทุกทิศทาง ผลึกแห่งความผิดหวังก่อเป็นเกล็ดใสสว่างและคมกริบได้อย่างรวดเร็ว
แจ็คสาดพลังอำนาจไปทั้วทั้งฝากฟ้า เมื่อมันแตกออกก็ร่วงกราวตกลงมาเป็นเกล็ดหิมะรูปร่างต่างๆ เขาทำแบบนี้ด้วยความโกรธไปเรื่อยๆ จนเขาเริ่มเหนื่อยและเย็นลง เขาอ่อนล้ากายจากการต่อสู่ และอ่อนล้าใจจากความผิดหวัง แจ็คหลับตาอันหนักอึ้ง
ในอกก็แสนจะปวดร้าว เขาจะใช้ชีวิตในโลกอันโหดร้ายแบบนี้ต่อไปได้อย่างไร เขาจะทนอยู่แบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน เขาจะต้องทำอะไรต่อไป ความสับสนมากมายสาดซัดเข้าถาโถม แจ็คไม่สามารถทนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป ถึงจะอยู่ไปก้ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไร เขาคิด แล้วทิ้งตัวลงมาจากความสูงเสียดฟ้า
เสียงลมกรีดร้องส่งเสียงเหมือนกับคลื่นกำลังโหมกระหน่ำ แจ็คไม่ได้คิดจะอยากตายหรืออย่างไร แต่เพียงแค่อยากหาทีเงียบๆอยู่คนเดียว ลมหนาวพัดแจ็คหลบเลี่ยงกิ่งไม้ลงมาที่พื้นหิมะสีขาวนุ่มนวล แจ็คถูกทิ้งตัวลงบนนั้น เขาจมลงไปในหิมะเพียงแค่เล็กน้อย เขาจึงต้องค่อยๆแหวกหิมะออกเหมือนผ้าห่ม ซ่อนตัวอยู่ในนั้น แล้วจมอยู่กับความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามา
.
.
.
“แจ็ค!” เสียงหนึ่งดังขึ้น แจ็คสะดุ้งโห่ยง คว้าไม่เท้าแน่นแล้วเล็งไปที่เป้าหมาย หิมะกระจายออก ถาพของไนท์แมร์ยังคงหลอกหลอนอยู่ในดวงวิญญาณของแจ็ค หัวใจในอกเต้นระรัว
แต่สิ่งที่เขาเห็นคือแอลลีสันและเลียม สองพี่น้องตะกูลม็อทเท่านั้น
“เธอหายไปไหนมา...”แอลลีสันเอ่ยถามแจ็ค สายตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวงเมื่อมองมาที่ไม้เท้าของแจ็ค มันเปล่งแสงเตรียมจะปลดปล่อยพลังอำนาจแห่งฤดูหนาว เมื่อแจ็คเห็นดังนั้น เขาก็หลบไม้เท้าลงอย่างรวดเร็ว
แจ็คสังเกตุเห็นว่ารอบๆตัวของเขาเริ่มมืดแล้ว เขารู้เขาไม่ได้หลับ แต่เหมือนว่าช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่นี่มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาอยู่กับตัวเองและคุยกับสายลมนานเกินไปจนลืมกาลเวลาไปเลยหรือนี่...
“พี่ได้ยินเรามั้ยนั่น”เลียมถามเมื่อเห็นแจ็คซึมๆไป
“เรื่องนั้น...”แจ็คพึมพำ เมื่อเขาหวนนึกถึงเรื่องประตูมิตินั่น แล้วเขาก็ใจสั่น “ฉัน...”
“แซนต้านะเหรอ”แอลลีสันพูดเสียงเบาเหมือนรู้ทัน แจ็ครู้สึกประหลาดใจที่เธอรู้ เขาจึงพยักหน้าช้าๆ
“ฉันเสียใจด้วยจริงๆ”แอลลีสันกระซิบ เลียมยิ้มปริมให้แจ็คอย่างเห็นใจ
“ถ้ามีอะไร พี่บอกเราได้นะ เพื่อนๆกันทั้งนั้น”เลียมพูด พยามทำเสียงให้สดใส แต่มันก็ปิดความรู้สึกที่มีร่วมกับแจ็คไว้ไม่มิด
แจ็คยิ้มกว้างอย่างเจ็บปวจนเห็นฟันเรียงสวยขาวจั๊ว แล้วตาของเขาก็ร้อนผาวอย่างควบคุมไม่ได้ แอลลีสันตบไหล่บางของเขาเบาๆ มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันไม่รู้ว่าต่อไปนี้จะทำยังไงต่อไปแล้วม็อท ทุกๆอย่างของฉันพังหมดแล้ว” เขากระซิบกับแอลลีสัน แอลลีมองมาทีเขาด้วยดวงตาสีเขียวอ่อนโยน แม้เธอจะไม่ค่อยเข้าใจเขาก็ตาม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่...ลองเล่าทุกๆอย่างให้ฉันฟังสิ”แอลลีสันบอก เธอกดไหล่แจ็คอย่างเบามือให้นั่งลงบนหิมะ เธอนั่งลงแล้วเลียมก็นั่งตาม ทั้งสองจ้องแจ็คอย่างไม่ละสายตา และแจ็คก็มองพวกเขากลับด้วยแววตาอันอ่อนล้า จากนั้นก็หลุบตาต่ำลง
ในที่สุด...แสงสีส้มอมแดงของดวงอาทิตย์ยามเย็นก็ละไปจากพืนโลก แอลลีสันหยิบลูกแก้วใบขนาดพอดีมือออกมา เธอกระซิบบางอย่างกับมัน แล้วลูกแก้วนั้นก็เรืองแสงสีเขียวนวลตาออกมา มันสะท้อนลงบนหิมะสีขาว และสะท้อนบนผิวของต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
“สิ่งแรกที่ฉันจำความได้คือ เอ่อ...น้ำ น้ำอยู่รอบตัวของฉัน ฉัน...ฉันกำลังจมน้ำ ใช่แล้ว!”
“อะไรนะ!”เลียมร้องเสียงดัง เขาหันไปมองตาพี่สาวเหมือนกำลังจะสื่อสารกัน แอลลีสันก็อยู่ในแววตาตื่นตระหนกเช่นกัน
สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาเห็นคือ แจ็คไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งกับน้องสาวที่บึงหลังหมู่บ้านชาวสก็อต แอลลีเตือนไม่ให้เขาไปที่นั้นเพราะเขาจะประสบกับอันตราย งั้นข่าวซุบซิบนินทากันออกมา ว่าแจ็คตกลงไปในน้ำแข็งแล้วหายตัวไปนั้นก็เป็นเรื่องจริงสิ งั้น...แจ็คที่พวกเขากำลังนั่งคุยอยู่ด้วยนี่ตายแล้วหรือ... พวกเขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหน้าตาและท่าทางของแจ็คถึงเปลี่ยนไป ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยมาก แต่สองพี่น้องคู่นี้ก็สังเกตุได้ แล้วนี่เขารู้รึเปล่า...ว่าตัวเองตายไปนานแล้ว
“เราต้องบอกเขามั้ย”เลียมกระซิบ
“ไม่ ยังไม่ใช่ตอนนี้”แอลลีสันกระซิบตอบ
“มีอะไรงั้นเหรอ”แจ็คถาม สองพี่น้องสะดุ้งเฮือก
“เปล่า ไม่มีอะไร เล่าต่อเถอะ...แล้วยังไงต่อ”แอลลีสันแก้ตัวเสียงสูง
“โอว...”แจ็คพึมพำอย่างไม่เชื่อดีกับเธอนัก แต่เขาก็เล่าต่อ
“จากนั้น ฟ้าก็มืด ฉันกลัวมาก ฉันไม่รู้ว่าฉันกำลังจะไปไหน แต่แล้ว...ฉันก็เห็นดวงจันทร์ มันใหญ่และสว่างมาก แล้วฉันก็ได้ยินเสียงของดวงจันทร์นั่น เขาบอกกับฉันว่า ฉันคือ แจ็ค ฟรอสต์...”
“ชายจากดวงจันทร์!”เลียมร้อง แอลีสันหันมามองหน้าของน้องชายด้วยความหวัง ชายจากดวงจันทร์ชุบชีวิตให้กับแจ็คงั้นหรือ... แอลลีสันมองเข้าไปในดวงตาของเลียมแบบลึกๆอีกที ราวกับกำลังจะบอกว่า ไม่ใช่แค่ให้ชีวิตนะเลียม เธอสังเกตุมั้ย...ตอนที่แจ็คมีชีวิตอยู่ เขาไม่มีพลังน้ำแข็งนี่ งั้นก็หมายความว่า ชายจากดวงจันทร์ให้พลังอำนาจกับเขามาด้วย สองพี่น้องคู่นี้เข้าใจกันดีจากการคุยผ่านสายตา แต่แจ็คมองหน้าของสองพี่น้องคู่นี้ด้วยความฉงน
“ฉันรู้ว่าคือชายจากดวงจันทร์ แต่...จากนั้นเขาก็ไม่ได้บอกอะไรฉันอีกเลย ฉันเร่ร่อน และฉันก็เจอกับผู้คนเข้า ฉันพยามจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขา แต่...”แจ็คกลั้นใจ แล้วปล่อยความหนักแน่นในใจออกมา
“พวกเขามองไม่เห็นฉัน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของฉัน จากนั้นก็มาเจอกับพวกเธอ แล้วฉันก็เจอซานต้าที่เธอบอกว่าสนิทกับชายจากดวงจันทร์ แต่ตอนนี้เขาไปแล้ว แค่นั้น จบ!”
“เป็นไปไม่ได้”แอลลีสันกระซิบรอดไรฟัน “เธอต้องจำได้มากกว่านี้สิ”
“ฉันจำได้แค่นี้จริงๆ มีเรื่องอื่นอีกเหรอ”แจ็คถาม
“พี่จำเรื่องไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งหรืออะไรอย่างอื่นไปม่ได้เลยเหรอ”เลียมถามกลับ
“ไม่เห็นจะจำได้เลย ว่าแต่ ไอเล่นสเก็นน้ำแข็งนี่มันคือ?”แจ็คพูดเบาๆ พี่น้องสองคนตาเบิกกว้าง ดูเหมือนทั้งสองจะแทบหยุดหายใจไปเลย
...ทำไมชายจากดวงจันทร์ถึงลบความทรงจำของเขาละ....เลียมส่งแววตาถามแอลลีสัน
...เค้าคงไม่อยากให้แจ็คได้รู้อะไรบางอย่างละมั้ง อย่างเช่น จำตอนนั้นได้มั้ยเลียม พวกชาวบ้านตอนที่รู้ข่าวว่าแจ็คตายแล้ว มีบางคนไม่เสียใจกับการตายนี้เลย พวกเขากลับดีใจซะด้วยซ้ำว่าคนที่คอยพาลูกๆของพวกเขานิสัยเสียได้ตายไปแล้ว คิดดูสิถ้าแจ็คได้ยินจะเป็นยังไง แล้วไหนจะแม่ ไหนจะน้องอีก...แอลลีสันบอก
...แล้วเราควรจะบอกเรื่องครอบครัวกับแจ็คมั้ยพี่...เลียมสงสัย
...ถ้าชายจากดวงจันทร์ลบความทรงจำของเขาซะเกลี้ยงขนาดนี้ เขาคงไม่อยากให้แจ็คจำเรื่องครอบครัวได้ละมั้ง งั้นก็อย่างพึ่งบอกเลย พี่ว่า ชายจากดวงจันทร์กำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ ถ้าแจ็ครู้เรื่องพวกนี้คงไม่ดีแน่...แอลลีสันบอกเลียม และเลียมก็เห็นด้วย เขากระพริบตาช้าๆที่หนึ่ง
...เราต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ เราจะบอกเขาไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องค้นพบตัวเองในที่สุด จนกว่าจะถึงวันนั้น เราต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ให้เงียบที่สุด...แอลลีสันหลับตาลงอย่างยาวนาน แสดงถึงการเลิกคุยกันได้
“พวกเธอทำอะไรน่ะ”แจ็คสงสัย “เห็นจ้องกันตั้งนานแล้ว”
“โทรจิตน่ะ เธอไม่อยากรู้หรอก เชื่อฉันสิ”แอลลีสันบอก
“แล้ว ทั้งวันนี้พวกเธอไปไหนมา”แจ็คถามเปลี่ยนเรื่อง เขาเลิกสนใจเรื่องโทรจิตหรืออะไรพวกนี้ดีกว่า สนไปก็รังแต่จะทำให้อารมณ์เสีย
“ออ...พวกเราไปดูที่เมืองกับหมู่บ้านใกล้เคียงน่ะ พวกชาวบ้านบางส่วนคิดว่า เป็นแค่พายุทรายที่พัดมาจากทะเลทรายโซโนลันที่อยู่ทางใต้น่ะ แต่บางส่วนก็รู้ว่าเป็นพวกไนท์แมร์ แล้วก็อีกอย่าง...ตอนนี้ เราอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้วแจ็ค ชาวบ้านบางคนรู้แล้วว่าเราไม่ใช่มนุษย์ เราต้องกลับไปที่บ้านของเราแล้วจะเริ่มแผนใหม่ แต่ฉันว่านะ ไนท์แมร์เล่นไปโจมตีซะครึ่งโลกขนาดนี้ คงต้องมีการประชุมใหญ่ที่บ้านเราแน่นอน”แอลลีสันอธิบาย
“โอ้...เสียใจด้วยจริงๆ”แจ็คพูด
“ไม้ต้องเสียใจหรอก จะช้าหรือเร็ว ยังไงก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี”เลียมพูด
“บ้านเหรอ”แจ็คสงสัย
“แอตแลนติสน่ะ”เลียมร้องด้วยความตื่นเต้น “เราไม่ได้กลับบ้านมาหลายสิบปีแล้ว”
“แอลแลนติสนี่คืออะไรกัน ทำไมไม่เคยได้ยิน”แจ็คถาม
“ก็เป็นทะเล แล้วก็มีประตูมิติ แล้วก็มีซากเมือง ปลาเยอะมากเลยนะ ไก้ล ไกล ต้องเดินทางกันยาวเลย...”เลียมพูดอย่างรวดเร็วจนฟังไม่รู้เรื่อง
“หยุดๆๆๆเลยเลียม”แอลลีสันปรามด้วยเสียงใสกลั้วหัวเราะ “เธอพูดเร็วไปแล้ว”
“อ้ะ!...มันคืออะไร ฉันอยากรู้จริงๆนะ”แจ็คเร้าพลางยิ้มกว้าง แค่ฟังเลียมเกริ่นก็น่าสนุกแล้ว “เล่ามาให้หมดเลย เอาทุกอย่าง”
“เธอแน่ใจนะ เรื่องมันยาวมาก”แอลสีสันถาม
“แน่สิ”แจ็ครับเสียงใสเหมือนกับเด็กๆ
“ก็...เมื่อนานมาแล้ว ในยุดทองของจักรวาล มีดาวชื่อม็อททาเลียนอยู่ดวงหนึ่ง ผู้คนที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนั้นอาสาที่จะร่วมต่อสู้กับ เฟีร์ยลิงค์ หรือ เทพแห่งความกลัว ร่วมกับขุนศึกผู้พิทักษ์ มายาวนาน
จนวันหนึ่ง ขุนศึกคนนี้ผ่ายแพ้ให้กับเทพแห่งความกลัว พิทช์แบล็คจึงถือกำเนิดขึ้น ในสมัยนั้น พิทช์ท่องไปทั่วพร้อมกับไนท์แมร์ที่เกิดขึ้นมาจากความมืด ตอนนั้นเขาเรืองอำนาจมาก เขาและกองทัพกลืนกินดวงดาวต่างๆด้วยความกลัวจนดาวดับแสง และ...ตายในที่สุด”
“จนเขามุ่งหน้ามาถึงดาวที่เป็นบ้านเกิดของชายจากดวงจันทร์ เขาครอบครองมันแล้วก็กลืนกินมัน ไม่นาน เราเหล่าชาวม็อททาเลียนก็รู้ว่าคงไม่มีทางรอดเมื่อพิทช์มาถึงดาวของเรา แต่พิทช์มาถึงดาวของเราเร็วกว่าที่จะตั้งตัวทัน ปีศาจของพิทช์เข่นฆ่าคนของเรา คมดาบ หอก ปืน ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ พวกชาวม็อททาเลียนที่เหลืออยู่จึงขึ้นเรือท่องดวงดาวมา แล่นหนีออกมาจากดวงดาวในระหว่างที่พิทช์ไม่รู้ตัว แล้วเร่ร่อนไปกลางมหาสมุทรอันว่างเปล่านั้น”
“เคว้งคว้าง ไร้บ้าน ทุกข์ทนทรมานอยู่หลายสิบปี ในที่สุด เราก็พบกับโลก...”แอลลีสันเล่า ตาของเธอเหม่อลอยขึ้นไปยังดวงดาวที่เต้นรำอยู่บนทางช้างเผือกที่อยู่บนฝากฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ตัวของแจ็คเองก็มองขึ้นไปบนนั้นเช่นกัน แล้วเขาก็มองกลับลงมาที่แอลลีสันและเลียม
“พวกเธอเป็นเทวดาเหรอ”แจ็คถาม แอลีสันและเลียมหัวเราเบาๆ
“อย่าเรียกว่าเทวดาเลยพี่... เรียกม็อททาเลียนเถอะ”เลียมพูด
“แล้วไงต่อ...พวกเธอมาที่โลกเลยเหรอ”แจ็คถามต่อ
“เราเจอกับโลกและตัดสินใจจะทำให้ที่นี่เป็นบ้านหลังใหม่ แต่เมื่อมาถึง เราก็พบว่าที่นี่มีแผ่นดินนั้นมีผู้ครอบครองอยู่แล้ว พวกเขาเรียกตัวเองว่ามนุษย์ พวกเราส่วนหนึ่งจึงอาศัยอยู่บนแผ่นดินร่วมกับมนุษย์ แต่พวกที่เคยเป็นผู้พิทักษ์ตัดสินใจว่าจะอยู่ในมหาสมุทร พวกเขาจึงตามหาที่อยู่ที่เหมาะสม และพวกเขาก้เจอเข้ากับมหานครขนาดใหญ่ยักษ์ที่จมอยู่ ณ ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก ชื่อของเมืองนั้นคือ แอตแลนติส เราจึงสร้างที่อยู่ใหม่ไว้ใกล้ๆกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น โดยเชื่อมประตูมิติไว้ใกล้กับผิวน้ำเพื่อเป็นทางเข้าออก เมื่อเวลาผ่านไป แอตแลนติสก็กลายเป็นศูนย์กลางของพวกภูตทั้งทั้งโลก”
“ว้าว...”แจ็คกระซิบรอดไรฟัน มีเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ เขาอยากจะไปเยี่ยมแอตแลนติสดูสักครั้งแล้วสิ
“เธอจะกลับเมื่อไร”แจ็คถามอย่างตื่นเต้น
“อาจจะคืนนี้ ดึกๆหน่อย อย่างแรก เราต้องไปเอาปีกของฉันที่พวกฮ็อปก๊อบลินก่อน และ...”แอลลีกล่าว
“ฉันไปด้วย!” แจ็คโพล่งขึ้นอย่างใจร้อน
“ฮ้ะ!”เลียมร้องเสียงดัง
“แจ็ค แต่...”แอลลีสันเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ เขาจะไปกับเธอได้เหรอ แต่เธอก็ปล่อยแจ็คทิ้งไว้ที่เบอร์เจสต์คนเดียวแบบนี่ไม่ได้อยู่ดี
“ขอให้ฉันไปด้วย ได้โปรด...”แจ็คขอร้อง
“ทำไมพี่ถึงอยากไปละ มันห่างไกลจากที่นี่มากเลยนะ”เลียมร้อง
“นั่นไม่ใช่ปัญหา”แจ็คพูด สายตาเรียบเฉย พลางมองใบหน้าที่ไม่แน่ใจของสองพี่น้อง “ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเธอจะให้ไปด้วยรึเปล่า”
“เธอก็รู้นี่...”แอลลีสันพึมพำ มองเขาด้วยแววตาที่อยากจะทดสอบ เขาคงอยากจะไปจริงๆ “เธอเร็ว เธอไม่ต้องนอนหลับ เธอมีพลังพิเศษ เธอฉลาด เธอมีคุณสมบัตครบทุกอย่างกับการเดินทางนี้ แต่ฉันขอถามเธออย่างหนึ่ง...ทำไมเธอถึงอยากไป หืม”
“นั่นสิ ผมก็อยากรู้”เลียมพูดเสริม
“ฉันอยากจะไปผจญภัย!”แจ็คตอบอย่างไม่ต้องรอช้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่เมื่อมองหน้าของสองพี่น้องแล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะไม่พอใจในคำตอบนี้ แจ็คจึงถอนใจแล้วพูดขึ้น
“ฉันอยากรู้ว่าฉันเป็นใครกันแน่ ฉันอยากรู้ว่าทำไมชายจากดวงจันทร์ถึงไม่บอกอะไรฉันอีกเลยนอกจากชื่อ บางที...ถ้าฉันเริ่มออกเดินทาง ฉันก็จะได้เรียนรู้ อะไรใหม่ๆที่กำลังรอฉันอยู่ข้างหน้านั่น บางทีฉันอาจจะได้เจอกับผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ขอร้องเถอะม็อท...ให้โอกาสกับฉันสักครั้ง ฉันไม่มีใครอีกแล้วนอกจากะพวกเธอ”แจ็คพูดแล้วถอนใจปลงตกอีกครั้ง “ฉันอยู่ลำพังมาตลอด ต่อไปนี้ ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยน ฉันจะจบความเดียวดายของฉันลงด้วยน้ำมือของฉันเอง พวกเราร่วมต่อสู้มาด้วยกันนะ มีอะไรทำให้พวเธอไม่ไว้ใจฉันอีก”
“แจ็ค...”แอลลีสันพึมพำ เขาช่างมีความรู้สึกที่สวยงามและความตั้งใจที่แรงกล้าซะเหลือเกิน ทั้งสองพี่น้องมองหน้ากันและเงียบไปครู่หนึ่ง...
“ไป!”เลียมร้องด้วยความลิงโลด “ให้เขาไปกับเราเถอะแอลลี”
“แน่นอน...”แอลลีสันกล่าว พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน แจ็คเองก็ยิ้มกว้าง
“ขอบคุณ...เธอ พวกเธอทั้งสองคนเลย”
แสงของลูกแก้วของภูตสาวนั้นหาได้จืดจาง มันกลับยังคงเปล่งแสงสม่ำเสมออย่างสวยงาม แจ็คและสองพี่น้องม็อทคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน ในระหว่างที่ดาราจักรโคจรข้ามท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไปอย่างไร้จุดหมาย เสียงหัวเราะแห่งมิตรภาพล่องลอยอยู่ในอากาศ เช่นเดียวกับเสียงเพลงโบราณที่เล่าขาญถึงตำนานที่ยังคงกึกก้องอยู่ในผืนป่า
หิมะนิ่งและป่าสงบ ต้นสนต่างทิ้งกิ่งก้านแห้งเรียวยาวสีเทาไว้กับเกล็ดน้ำแข็งคมกริบ ยอดไม้นั้นไม่ไหวติงราวกับภาพวาดที่จิตรกรฝีมือดีสรรค์สร้าง แสงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงแต่ลำแสงรัศมีสีส้มอมม่วงทาบผ่านอยู่บนฝากฟ้า และเปล่งประกายสะท้อนอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร
บนฟากฟ้าสีหม่นอันเหงาหงอยนั้น มีเมฆก้อนใหญ่ๆลอยเท้งเต้งอยู่กลางเวหาอย่างเว้งว้าง ทอดเป็นเงาแนวยาวทับซ้อนกับขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่ เทือกเขาแห่งอเมริกาเหนือตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ยามเมื่อแสงรัศมีของดวงสุริยาส่องผ่าน จะปรากฎเป็นแนวเงากว้างใหญ่ไพศาลทาบไล้ลงมาบนผืนทวีป...จนดินแดนแห่งนี้อยู่ใต้เงาแห่งขุนเขา ดั่งในตำนานบรรจงแต่งแต้มไว้
สายลมเย็นแห่งฤดูหนาวลามเลียก้อนหินและหมู่พรรณพณา ส่งเสียงหวีดๆปนไปกับกับเสียงร้องคร่ำครวญดังเอี้ยดอ้าดจากกิ้งสนแห้งที่เสียดสีกัน กลายเป็นจังหวะศักดิ์สิทธิ์ที่หาฟังได้ทั่วทุกหนแห่งในยามนี้
กลิ่นของหิมะเคล้ากับกลิ่นของใบซีดาร์ ปรากฎเป็นกลิ่นฉุนเย็นลอยมาตามอากาศ มาปะทะกับใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมสีขาวบริสุทธิ์
เขาสวมกางเกงและผ้าคลุมที่ทำจากหนังวัวสีน้ำตาลเปื้อนผลึกน้ำแข็ง ใส่เสื้อท่าทางอุ่นสบายที่ทำจากฝ่ายป่าที่หาได้ตามท้องไร่ท้องนา แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูเตะตาก็คือ เขาถือไม้เท้าหงิกงอประชิดกาย และเขาก็ไม่ได้สวมรองเท้า
เท้าเรียวของเขาย่ำลงไปบนหิมะหนาได้อย่างสบายโดยไม่จมลงไปแม้แต่นิ้วเดียว และไม่โดนหิมะกัดด้วยเช่นกัน ผิวของเขาเป็นสีขาวซีดอมม่วงเหมือนดั่งคนตาย เพราะเลือดในกายของเขานั้นไม่ไหลเวียนอีกต่อไปแล้ว มือของเขาผอมและแห้งหยาบกร้านจากการทำไร่
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเรียวยาวเหมือนกับผู้เป็นแม่ คางเห็นเป็นสองชั้นเล็กๆเหมือนกับผู้เป็นพ่อ แก้มของเด็กหนุ่มผู้นี้ตอบบาง และมีกระสีแดงเข้มขึ้นอยู่ประปรายบนเนินแก้มและจมูกที่รั้นสวยของเขา ดวงตาคมโตทั้งสองถูกประดับด้วยนัยน์ตาชุ่มสีฟ้าเข้มดุจมหาสมุทร คิ้วเรียวหนาทั้งสองทำให้ดวงตาดูเด่นชัดขึ้นและดูเป็นมนุษย์ขึ้น
...เพราะนั้นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาได้รับตกทอดมาจาก แจ็คสัน โอเวอร์แลนด์ ฟรอสต์...เด็กหนุ่มที่พึ่งตายไปแสนเนิ่นนาน
และบัดนี้...เด็กหนุ่มคนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแทน เขาคือ แจ็ค ฟรอสต์ ผู้ควบคุมอำนาจแห่งหิมะและน้ำแข็ง
โดยได้รับการคืนชีพและพลังมาจาก...ชายบนดวงจันทร์ ทั้งๆที่เขาได้มีหนึ่งในพลังที่มีอำนาจที่ทรงพลังสุดในโลกไว้ครอบครอง แต่เขากลับ...ไร้ซึ่งความทรงจำ
เขาเป็นใคร...และเขาต้องทำอย่างไรต่อไป ไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับเขาได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้คือ การออกเดินทางเพื่อตามหาคำตอบนั้น ก้าวเล็กๆของเด็กหนุ่มจะต่อเติมสิ่งที่เขาทำหายไปได้หรือไม่นั้น...เขาไม่รู้เลย อะไรที่รอเขาอยู่ข้างหน้า...นั่นก็เป็นสิ่งที่ยากจะหยั่งถึง แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจในการเลือกที่จะออกผจญภัยครั้งใหญ่นี้เลย แม้ว่ามันจะผ่านไปหลายร้อยปี...ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วความสงสัยและคำถามมากมายเหล่านั้นจะไม่ถูกทำให้กระจ่าง แต่การออกเดินทางครั้งนี้
มันคือการเดินทาง กาลครั้งหนึ่งในฤดูหนาว อันยิ่งใหญ่
ความคิดเห็น