ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Jack Frost : Once Upon a Winter (ภาคกำเนิดผู้พิทักษ์)

    ลำดับตอนที่ #4 : แจ็ค ฟรอสต์

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 60


                                                            

                        

                                                                  




    แจ็ค ฟรอสต์

             

     

              รายสีดำราวกับคลื่นยักษ์สูงหลายร้อยหลาถาโถมเข้าบกคลุมน่านฟ้าราวกับภายุฝนจากอเวจี ไม่ใช่แค่ที่นี่ที่เป็นเป้าหมายของฝันร้าย ทั้งนิวยอร์ก ออตตาวา อาร์เจนตินา บราซิเลีย กรีนแลนด์ แถบมหาสมุทรอาร์กติก และแอตแลนติก ไม่ว่าที่ใดเป็นที่เป็นกลางวัน ไม่ว่าที่ใดที่ไร้จันทรา ไม่ว่าที่ใดที่ไร้มวลหมู่ดาวและทรายแห่งความฝัน กำลังถูกภายุทรายสีดำเข้าโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว

                พี่น้องม๊อท อะกาท่า และเหล่าวิญญาณ วิ่งเข้ามาสู่ศาลากลางที่คิดว่าน่าจะปลอดภัย ในนั้นมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเข้ามาหลบอยู่  พวกเขารีบวิ่งไปช่วยกันปิดหน้าต่างทุกบานเพื่อไม่ให้ลมพัดทรายเข้ามาอย่างรวดเร็วและวุ่นวาย

                “ทุกคนเข้ามาหลบในนี้!”เลียมวิ่งไปที่ประตู ร้องเรียกคนส่วนหนึ่ง ที่ยังวิ่งวุ่นไม่มีที่หลบอยู่ข้างนอกให้มาหลบข้างในศาลากลาง วิญญาณอีกส่วนที่สลายหายไปอย่างลึกลับในอากาศ เมื่อทุกคนเข้ามาหมดแล้วภายุทรายก็ส่งเสียงร้องดังฮึมๆเหมือนเสียงมัจจุราชกำลังหัวเราะพร้อมปลกคุมไปทั้งเบอร์เจตส์  มันมาราวกับภายุฝนฟ้าคะนองมีอัสนีบากลั่นส่งแสงสลัวสีเหลืองไปมาอยู่ในกลุ่มเมฆทมึน

                สถานการณ์ในศาลากลางดูวุ่นวายผู้คนส่งเสียงจอแจ บางคนทำลูกหาย บางคนหายาติพี่น้องไม่เจอ อย่างนู้นอย่างนี้ ฟังดูน่ารำคานและหดหู่ แอลลีสันมองไปรอบที่หลบภัยชั่วคราว เธอเสียใจที่เธอทำอะไรไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้ แอลลีสันหันมามองคนในกลุ่ม ใบหน้าของคนไม่ต่างจากดวงวิญญาณทั้งหมดดูไร้ชีวิตชีวา น้องชายหันมามองตาพี่สาวด้วยแววสิ้นหวัง   แอลลีสันยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนท่ามกลางเสียงครึกโครมของประชาชน กำนันอดัมขึ้นยืนบนโต๊ะแล้วร้องขึ้น

                “ทุกคนอยู่ในความสงบ!”เขากล่าว ผู้คนเงียบและหันมาสนใจเขา “เราอยู่ในช่วงของเวลาคับขัน ผมขอให้ทุกคนเงียบแล้วหาวิธีว่าเราจะทำยังไงดี”

                “แต่เราไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เราควรจะทำยังไงหรือ”หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น แอลลีสันอยากจะยืนขึ้นบอกวิธีแต่เธอไม่มีความกล้าพอที่จะทำ เธอเม้มปากแน่นหลุบตาต่ำ

                ตึง! ประตูถูกทุบเสียงดังราวกับจะฉีกออกจากบาน ประชาชนสะดุ้งเฮือก ระแวดระวังและถอยห่างจากประตู กำนันอดัมชำเรืองมองไปที่ประตูอย่างหวาดระแวง

                “ใครน่ะ”กำนัลตะโกน ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ

                “ให้ฉันเข้าไปที”เสียงชายคนหนึ่งตะโกนอยู่หลังปะตู ชาวบ้านโล่งใจราวยกก้อนหินออกจากอก มีคนเปิดประตูให้ชายหนุ่มซื่อบื้อคนหนึ่งเข้ามา ชาวบ้านมองเขาตาเป็นมัน และในที่สุดเขาก็หายเข้าไปในฝูงชน แอลลีสันกลอกตาเซ็งโลก เหล่าดวงวิญญาณพากันด่าทอเขาอย่างเสียหายเพราะเขาทำให้คนข้างในตกอกตกใจ ดูเหมือนทุกอย่างจะดูดีขึ้นจากเดิมเมื่อคลายความตรึงเครียดลงบ้าง

                “ฮ่าๆๆๆ”

                ทันใดเสียงหัวเราะแหบชวนขนหัวลุกก็ดังอยู่หลังปะตูหน้าต่างทุกบาน ดังแล้วดังอีกอย่างสยดสยอง พี่น้องม๊อทสะดุ้งตัวเย็นเฉียบ มือทั้งสองนั้นชาราวกับแช่อยู่ในน้ำแข็ง ความกลัวค่อยๆทวีไปตามแขนงเส้นเลือด ความตายมาเคาะประตูหน้าบ้านแล้ว สองพี่น้องไม่เคยลืมเสียงหัวเราะนั้นเลย มันคือเสียงของพญามารนามว่า พิช ราชาแห่งความกลัว เลียมกลืนน้ำลายและบีบมือของผู้พี่

                กึงๆๆๆๆ

                ประตูหน้าต่างโดนเขย่าจากภายนอก ทุกชีวิตหยุดหายใจไม่มีอะไรหรือผู้ใดขยับ ทุกสิ่งจับตามองอยู่ที่แขกไม่ได้รับเชิญหลังประตู ทรายสีดำไหลเข้ามาทางที่ใส่ลูกกุญแจลงไปบนพื้น โดยไม่มีใครทันสังเกต น่าเสียดายกว่าจะมีใครสักคนรู้ก็สายไปแล้ว ทรายดันตัวจนไขล็อคกุญแจได้สำเร็จ ประตูค่อยๆเปิดออกส่งเสียงลั่นกลบความเงียบงันทั้งมวล มีเพียงเสียงแอ๊ดของประตูและเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะของเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ลมอันหนาวเหน็บพัดเข้ามาในศาลากลางดับเทียนทุกเล่ม ความมืดกลืนกินแสงสว่างอย่างน่าใจหาย

                “ข้ารู้ว่าทุกคนกลัว....นั่นแหละข้าชอบ”เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความวังเวง ผู้คนแตกฮือออกเป็นวงกว้าง ที่ยืนอยู่ตรงกลางฝูงชนคือชายตัวผอมผมดำเหมือนควันสีเดียวกับชุดยาวรุ่มร่ามสีดำราวรัตติกาลของเขา ที่ชายชุดของเขาเคลื่อนไหวไปมาเหมือนกับควันโดนลมพัด ลักษณะคล้ายกับรูปของคนกำลังเคลื่อนไหวไปมาขอความเมตตาแทบเท้าของเขา ผู้คนถ่อยหางออกมาจากชายแปลกหน้าและวิ่งไปที่ประตู แต่ไม่ทันได้ออกไปสู้โลกภายนอกไนท์แมร์จำนวนหนึ่งก็เหาะมาขวางประตูไว้ก่อน การจราจรชะงักลง ชายชุดดำหัวเราะออกมาอย่างชอบใจเชิงซาดิสต์

                “แอลลี เราต้องพาคนพวกนี้ออกไป”เลียมกระซิบแอลลีสัน แอลลีสันมองไปรอบๆ ไม่มีทางออกเลย หน้าต่างถูกปิดลงกลอน ประตูมีฝันร้ายคุมอยู่ แล้วประตูหลังล่ะที่นี่มีประตูหลังซะที่ไหน แอลลีสันคิดหนัก

                “เอางี้ ฉันจะดึงความสนใจ เธอหาจังหวะชุลมุนแหวกแนวกันพาพวกนี้ออกไป โอเค?”แอลลีสันสรุปแผน

                “แอ็กกี้”แอลลีสันกระซิบมองตาอะกาท่า “ดูแลพวกวิญญาณด้วย” เมื่อแอลลีสันฝากหน้าที่เสร็จแล้ว เธอก็สูดหายใจเข้าลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวบรวมความกล้า แล้วสนทนากับบูกี้แมน

                “ท่านต้องการอะไร”แอลลีสันตะโกน ทุกคนแม้แต่พิชก็หันมามองเธอด้วยความสนใจ พิชหรี่ตาสีเหลืองเหมือนงูพิษจ้องเข้าไปในตาของเธอ แอลลีสันกลัว กลัวที่สุด ขาของเธอชาไปหมดแล้ว แอลีพยามควบคุมตัวเองไม่ให้สั่นไปกว่านี้

                “มีมากมายที่ข้าต้องการ”พิชกระซิบแต่ยังคงทรงพลังเฉกเช่นราชา แอลลีสันกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อได้ยินพิชพูด

                “เอ่อท่านมาที่นี่ทำไม ท่านมีจุดหมายอะไร ท่านพอจะมีอะไรให้เราช่วยไหม ท่านคือใครแล้ว”แอลลีสันคิดทางหนีทีไล่ไม่ออก ได้แต่ถามกลั้วหัวเราะใจดีสู้เสือแก้บรรยากาศเครียดๆ

                “เสียมารยาทจริงสาวน้อย”พิชพูดเสียงหวาน แอลลีสันแทบหยุดหายใจไม่ทัน “ ทำไมไม่ให้โอกาสข้าถามเจ้าบ้างล่ะ เอาล่ะ เช่นเจ้าชื่อเสียงเรียงนามอะไรสาวน้อย”

                “หนู” แอลลีเม้มปากพูด พิชหรี่ตาจ้องเธอราวกับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาสนใจในตัวแอลลีสัน แล้วเขาก็พูดขัดจังหวะขึ้น

                “ฉันจำเธอได้สาวน้อย เธอคือ แอลลีสัน ม๊อททาเลียน”แอลลีสันใจหายวาบ เขาเรียกชื่อจริงของเธอ แอลลีหันไปมองน้องชาย สายตาของเลียมหวาดหวั่นโดยสิ้นเชิง พิชหัวเราะหึๆ    “เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ยังจำได้มั้ย ภูติอย่างพวกเจ้าได้สู้อย่างกล้าหาญ แต่ดูสิตอนนี้สิ เจ้ากลับมา กลับมาในร่างของภูตปวกเปียก”พิชหัวเราะและมองไปรอบๆชาวบ้านเริ่มกระซิบกันดังเหมือนเสียงผึ้งแตกรัง แน่นอนประเด็นคือ แอลลีสันไม่ใช่มนุษย์ เมื่อพิชได้ยินจึงพูดขึ้นว่า

    อ้าว! นี่เจ้าไม่ได้บอกพวกเขาหรอกหรือว่าเจ้าน่ะเป็นภูต หรือว่าเจ้าไม่ไว้ใจมนุษย์ เจ้านี่มันขี้ระแวงไม่ทิ้งเลือดม๊อททาเลียนจริงๆสาวน้อย อาข้าได้กลิ่นชัยชนะในศึกครั้งนี้มาแต่ไกลเลยพิชพล่าม แอลลีสันฟังเขาและจำได้ เมื่อหนึ่งร้อยสิบปีก่อน ราชาแห่งฝันร้ายกลับมามีอำนาจในยุคสงครามบนโลกมนุษย์ ในสงครามเมื่อมีการต่อสู้ย่อมมีความกลัว เมื่อมีความกลัวมันจะปลุกให้ราชาแห่งฝันร้ายกลับมาเรืองอำนาจ พิชขยายความกลัวของเขาไปทั่วทุกหย่อมหญ้าอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่จะตั้งตัว เทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่ นำโดย เอสที. นิโค นอร์ท หรือ แซนตาคลอส  อี.อีสเตอร์ บันนี่มันด์ หรือ กระต่ายอีสเตอร์ ทูธเทียน่า  หรือ ราชินีแห่งเทพธิดาฟันน้ำนม แซนเดอร์สัน แมนสนูซซี่ หรือ แซนแมนผู้โปรยความฝัน และยังมีเหล่าภูต ก๊อบลิน แฟรี่ และโนม พวกเขาทั้งหลายได้แรงสนับสนุนจาก มิม หรือ ชายในดวงจันทร์ นำทัพเข้าโรมรันกองทัพฝันร้ายของพิช แต่ไม่ว่าวิธีใดก็ไม่สามารถกำจัดพิชได้สำเร็จ จนในที่สุดกองทัพตัดสินใจขับไล่ราชาแห่งฝันร้ายกลับลงไปอยู่ใต้พื้นโลกในที่อันมืดมิด แต่คราวนี้กลับกัน พิชวางแผนบุกแบบบกองโจร มันสายเกินไปกว่าจะรวบรวมคนได้สำเร็จ แอลลีสันคิด เธอรวบรวมสมาธิ อย่างไรก็ตาม เธอต้องพาชาวบ้านออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน เธอต้องเบนความสนใจของพิช เมื่อภูตสาวคิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น

                “ราชาแห่งฝันร้าย หนูจะไม่อ้อมค้อมและนอกเรื่องอีกต่อไป ในเมื่อท่านรู้ว่าพวกเราเป็นใคร ราชาแห่งฝันร้ายก็ขอให้ท่านจงรู้อีกข้อไว้ว่า เราชาวม๊อททาเลียน จะไม่ปล่อยให้ฝันร้ายที่ไหนมาหยามถึงหน้าประตูบ้านอย่างนี้”ภูตสาวกล่าวด้วยวาจาที่ห้าวหาญที่สุดเท่าที่จะทำได้ ว่าแล้วแอลลีสันก็กางปีกภูตสีน้ำเงินออกแล้วกระโจนเข้าไปหาพิชอย่างใจกล้า แต่แล้วทรายสีดำจากชายชุดของพิชก็กลายเป็นไนท์แมร์ร่างกายกำยำขวางเธอกับองค์ราชาไว้อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า แอลลีสันเธอก้มหลบพร้อมแปลงร่างเป็นตัวพังพอนวิ่งลอดใต้ท้องม้าไปอย่างว่องไว พังพอนกลับร่างเป็นภูตอีกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าพิชรวดเร็วจนตาแทบมองไม่ทัน แอลลีผู้กล้าหาญใช้จังหวะที่พิชยืนอึ้งอยู่เตะตัดขาเขาจนล้มไม่เป็นท่า ประชาชนแตกฮืออีกครั้ง เลียมใช้จังหวะชุลมุนแปลงร่างเป็นแรดหนุ่มวิ่งเข้าชนเหล่าไนท์แมร์ที่ขวางอยู่หน้าประตูจนแตกกระจายไปคนละทิศละทาง ชาวบ้านหยุดวิ่งและดูเหมือนจะหันมากลัวแรดหนักสองตันแทน เลียมกลับร่างเป็นภูตเมื่อเห็นดังนั้น

                “หนีไป ย้ายก้นออกไปกันได้แล้ว”เลียมตะโกน เมื่อชาวเมืองดูเหมือนจะเข้าใจ พวกเขาก็รีบกรูกันออกไป ก่อนที่เมฆทรายสีดำในอากาศจะกลายเป็นไนท์แมร์นับร้อยเข้าโจมตีอีกครั้ง

                แอลลีสันโบกมือให้น้องชายของเธอออกไปดูคนข้างนอก เลียมพยักหน้าและออกไป แอลลีสันถอนหายใจและกลับมาเผชิญหน้ากับราชาฝันร้ายอีกครั้ง แต่แล้วไนท์แมร์ก็กระโจนเข้าหมายจะทำร้ายเธอ แต่แอลีสันหลบได้อย่างหวุดหวิด ม้าปีศาจไล่เธอไปรอบๆศาลากลางอย่างว่องไว ฟันแหลมๆของมันเกี่ยวผ้าคลุมของเธอขาด ลมเย็นของฤดูหนาวเข้าปะทะผิวของเธอ พิชยืนขึ้น จ้องเธอด้วยตาสีเหลืองวาวโรจน์แทบลุกเป็นไฟ

                “เจ้ากล้าหาญกว่าเมื่อร้อยปีก่อนมากนะแอลลีสัน แต่รู้มั้ย ทำไมข้าถึงได้เลือกที่จะมาเยี่ยมเยือนและหนู่บ้านเล็กๆนี่ก่อนที่จะไปเมืองใหญ่”พิชพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความเกรี้ยวกราด ทรายที่เท้าของเขากลายเป็นไนท์แมร์อีกหลายตัวและโผขึ้นไปบนฟ้าเพื่อไล่จับเธอ แอลลีโดด เลี้ยว หลบ และโดด ตีลังกา เลี้ยว แล้วหลบ อย่างฉวัดเฉวียน น่าหวาดเสียว เธอโผขึ้นไปที่เพดานแล้วกระโดดหลบการโจมตีอีกที ม้าชนเพดานทะลุ แต่เธอปลอดภัย

              เพราะข้ามีธุระ มีเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังจะไปเป็นเจ้าชายแห่งฝันร้ายพิชพูดต่อ แอลลีสันกระโดดหลบ เธอวิ่งไปรอบๆหาจังหวะเข้าจู่โจมราชา แต่ทุกครั้งที่เธอเข้าใกล้พิชเขาจะสลายกลายเป็นควันและไปโผล่ยังที่อื่นที่ใกล้ตัวเธอ

    แอลลีสันหงุดหงิดอย่างมาก เธอไม่สามารถแตะต้องตัวพิชได้เป็นครั้งที่สอง ความเร็วและความคล่องแคล่วของเธอน้อยลง จนในที่สุดฝูงไนท์แมร์ก็สามารถเข้าล้อมเธอทีเผลอได้ เธอไม่มีทางหนี แอลลีสันเดินถอยหลังช้าๆตาสีเขียวของเธอวาวโรจน์ราวตาเหมือนนกเค้าแมว

                ภูตม๊อททาเลียนควรสวามิภัคต่อข้า ไม่ใช่เหล่าผู้พิทักษ์จอมลวงโลกนั่น โดยเฉพาะเจ้าแอลลีสัน ข้าจะยกตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งฝันร้ายให้เจ้าเสียงของพิชดังก้องอยู่ในหูเธอ มันหลอกหลอนประสาทเธอ แอลลีสันกลัว กลัวสียงนั้นมาก แอลลีสันมองไม่เห็นเขา เธอเหวี่ยงแขนไปรอบๆกะว่าคงจะฟาดเขาเข้าสักที แต่ไม่พิชยึดแขนเธอไว้ด้วยมือขวาสีเทาของเขา ใบหน้าของราชาถมึงทึงและเยือกเย็น แอลลีสันกลัวเขาจนแทบทรุดเขาลง ราวกับเขากำลังดูดวิญญานจากตัวของแอลลีสันด้วยเพียงการจ้องเข้าไปในตาของเธอ ใจของแอลลีสันเหมือนกับว่ามันหยุดเต้น เธอรู้สึกเหมือนตายไปแล้ว พิชยังมองเธอด้วยความเย็นชาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทรายถูกพัดไปวนรอบมือของเขาก่อเกิดเป็นคทาโลหะสีดำปลายแหลมเล็งมาที่เธอ แต่เมื่อแอลลีสันเห็นมันแล้วก็ตื่นจากภวังค์ พิชกำลังจะใช้มันจบชีวิตอันยาวนานของเธอ เธอต้องหนีเดี๋ยวนี้! แอลลีสันยกตัวเอาเท้าทั้งสองขึ้นยันอกพิชอย่างว่องไว ชั่วเสี้ยววินาทีที่คทาจะลงปลิดชีพเธอ แอลลีสันดีดตัวเต็มแรง แรงที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ พิชหงายหลัง แอลลีสันหลุดจากมือพิช แต่เขาไม่หงายจนล้ม เขางอตัวไปข้างหลังเท่านั้น ทันทีที่ราชาโยกกลับมาและคว้าข้อเท้าของถูตไว้ได้ทัน แอลลีสันตกใจและหันกลับมามองเขา

                ข้าขอแนะนำให้เจ้าภาวนาให้แจ็ค ฟรอสต์ กลับมาเร็วๆพิชกระซิบ เท่านั้นเอง แอลลีสันก็ตีความออก พิชจงใจมาเบอร์เจสต์หมู่บ้านเล็กๆแทนที่จะไปเมืองใหญ่ เพราะต้องการแจ็คเป็นพวก เด็กชายกับเจ้าชายแห่งฝันร้ายที่เขาพูดถึงคือแจ็ค ถ้าพลังของ แจ็ค ฟรอสต์ ผนวกกับ อำนาจของความกลัวเมื่อไรล่ะก็โลกถึงกาลอวสารแน่ แอลลีสันคิด

                แกไม่ใช่ของจริง ฉันไม่กลัวแกแอลลีสันกระซิบตอบไล่ความกลัวไปจากตัวของเธอ พิชเบิกตากว้างใส่เธอด้วยความทึ้งในคำพูดที่ส่องประกายนั้น ไม่นานเขาก็ขมวดคิ้วด้วยโทสะ พิชออกแรงดึงข้อเท้ามากขึ้น แอลลีสันกระพือปีกสุดแรงเกิดแต่ก็ไม่สามารถต้านแรงที่บีบข้อเท้าของเธอได้ มันทำให้เธอเจ็บ เขาคงสะใจมากที่จะทำให้เธอหยุดบิน เธอจะไม่ยอมทำตามเขา แอลลีสันคิด ทันใดม่านตาดำของแอลลีสันก็ขยายออกกลบตาสีเขียวของเธอ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ทันใดภูตสาวก็พ่นไฟสีฟ้าออกมาพร้อมกับลมหายใจเหมือนมังกรหวังให้มันเผาจ้าวแห่งฝันร้าย พิชปล่อยข้อเท้าของเธอ ไฟอันร้อนแรงถูกทรายกันไว้ก่อนที่จะต้องตัวราชาแห่งความกลัว แต่ก่อนที่ไนท์แมร์จะไล่จับเธอทันแอลลีสันก็บินหนีออกไปทางประตูเสียแล้ว

               

     

    ….

               

                เบอร์เจสต์ชุมชนเล็กๆได้เกิดการต่อสู้อันเร่าร้อนที่ทำให้หมู่บ้านกลางเทือกเขาน้ำแข็งแทบลุกเป็นไฟ

                จะไม่ลุกเป็นไฟได้อย่างไร ในเมื่อสองพี่น้องภูตไม่มีกำลังพอที่จะต่อกรกับไนท์แมร์เกือบทั้งกองทัพ ทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้อะไรที่มันรงกว่ากำลัง ทั้งคู่เปิดประตูไปสู่ความเป็นภูตอีกบาน ภูตสายพันธ์ม๊อททาเลียนไม่ได้แค่แปรงร่างเป็นอะไรได้ตามใจ บินได้ และคล่องแคล่วเท่านั้น พวกเขายังสามารถพ่นไฟได้อีกด้วย แต่ความสามารถอันหลากหลายนี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งหน่วยรบพิเศษของพิชได้ โดยที่ทั้งเมืองเกือบจะเป็นเถ้าเพราะความประมาดของในการพ่นไฟสองศรีพี่น้อง

                ไกลออกไปจากการจลาจลอันวุ่นวาย ไกลออกไปข้ามเทือกเขาไปสองลูกใหญ่ๆ ไกลออกไปจากเมฆหมอกและภายุหิมะ ไกลเข้าไปในป่าสนไทก้าฉ่ำน้ำแข็ง หิมะหยุดตกและวางตัวอย่างสงบเงียบอยู่ที่พื้นป่า ท่วงทำนองชีวิตในป่านิ่งและงดงาม แต่เพียงไม่นานเสียงโห่ร้องแห่งความเบิกบานก็ดังก่องไปทั่วป่าอย่างร่าเริง กลบบรรยากาศอันเงียบขรึมขอป่าไปอย่างมหัศจรรย์ เสียงนั้นไม่ใช่ใครอื่น มันคือเสียงแห่งความสุขของ แจ็ค ฟรอสต์ นักผจญภัยตัวยงนั่นเอง เขาสัมผัสต้นไม้ทุกต้นขณะเหินไปบนฟ้า แจ็คทำให้ป่ากลายเป็นสีขาว ทุกๆกิ่งสีดำของต้นไม้มีเกล็ดน้ำแข็งสีเงินเกาะอยู่ทุกอณูราวกับมีคนเอาแป้งไปทา แจ็ค ฟรอสต์ แห่งฤดูหนาวโลดโผนไปในอากาศราวนักกายกรรมมือดี เขาหัวเราะร่าพร้อมกับตวัดไม้เท้าวิเศษไปรอบๆเพื่อแช่แข็งภูมิประเทศอันเงียบเหงาให้ดูมีชีวิตชีวา

     

                “โว้ว! สนุกเป็นบ้า”แจ็คร้องเสียงดังไปทั่วป่าจนแสบแก้วหู ดังจนสัตว์น้อยใหญ่ในป่าพากันตกอกตกใจ เหล่านกที่ได้ยินเสียงแจ็คทั้งฝูงบินขึ้นมาจากยอดไม้กลายเป็นเงาเล็กนับร้อยสีดำทาบกับฝากฟ้าสีสวยสดใส กวางป่าที่ได้ยินเสียงของเขาก็ต่างสะดุ้งโหยงเผ่นหนีอย่างอุตลุดไปคนละทิศละทาง แจ็คผู้ซุกซนมองสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าแล้วหัวเราะพร้อมกับถลาเล่นลมอย่างเพลิดเพลิน แจ็คตีลังกากลางอากาศแลโผไปเหนี่ยวยอดต้นสนจนมันเอนไปตามแรงของเขา    แจ็คบินโคจรไปรอบๆยอดสนอย่างสนุกสนานราวกับกำลังเต้นรำเขาทำให้ยอดสนอ่อนยวบหมุนเป็นวง หิมะเล็กๆหล่นออกมาจากใบสนนับพัน ในที่สุดแจ็คก็เหวี่ยงตัวอันผอมบางของเขาขึ้นไปนั่งยองๆอยู่บนยอดของต้นสนอย่างมหัศจรรย์ น้ำหนักราวธาตุอากาศของเขาไม่ได้ทำให้ยอดอ่อนของต้นไม้หักเลย แจ็คกลับอาศัยอยู่บนยอดไม้ได้อย่างสบายๆราวกับนินจามีวิชาตัวเบา  สักพักแจ็คก็ลุกขึ้น ยอดไม้ไหวเอนเล็กน้อยแต่เขากลับยังทรงตัวอยู่ได้ง่ายๆ เขาก้าวเท้าไปยังยอดต่อไปและต่อไปอย่างมั่นคง แจ็คมองไปยังพื้นหิมะสีขาวเบื้องล่างที่มีสีดำของก้อนหินแซมอยู่บ้าง ดูเป็นภาพที่ชวนมอง แต่แล้วเขาก็เห็นกับกระต่ายสีหิมะตัวหนึ่งหากินอยู่ที่พื้นป่า แจ็คกระโดดลงจากยอดไม้ และลอยเข้าไปหาเจ้ากระต่ายน้อยอย่างเงียบๆ

                “เจ้าตัวเล็ก”แจ็คกระซิบเสียงนุ่ม แต่กระต่ายป่ากลับหันมามองเขาและวิ่งหนีไปในป่า

                “เฮ้!รอด้วย”แจ็คร้องและเหาะตามมันไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานแจ็คก็ไล่ทัน เจ้ากระต่ายอยู่ใต้ท้องเขานี่เอง ทันใดเจ้ากระต่ายก็หักเลี้ยวและทิ้งแจ็คไปไกล แจ็คไล่มันไม่ทัน เขารู้สึกเสียดายและหมดสนุก แต่แล้วเขาก็หันไปข้างหลังก็พบกับฝูงกระต่ายที่จ้องเขาอยู่หน้าสลอน ต่างคนต่างจ้องกัน แจ็คเลิกคิ้วหรี่ตาแล้วยิ้มพราย เขาจะเล่นเกมจับกระต่าย

                แจ็ค ฟรอสต์ ไล่ล่ากระต่ายอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ยากสำหรับเขาพอดู กระต่ายที่คล่องแคล่วสามารถหายไปจากสายตาของเขาด้วยเพียงการวิ่งแล้วหักเลี้ยวกะทันหันได้อย่างรวดเร็ว แจ็คผู้ซุกซนลัดเลาะแมกไม้สีดำอย่าเฉียบคมราวกับสุนัขจิ้งจอกสีขาวแสนกล เขาบินซอกแซกลัดเลี้ยวฉวัดเฉวียนวูบวาบแว๊บไปแว๊บมาอย่างคล่องแคล่ว แจ็คเล่นเกมของเขาอย่างสนุขสนานและว่องไวเต็มไปด้วยการดังทางและไหวพริบ แม้เขาไม่มีความทรงจำที่จะรู้ว่าตนเองเป็นใครแต่เขาก็ไม่กังวลกับมัน แจ็คกลับยังอบอวลไปด้วยความร่าเริงของเด็กวัยรุ่นอยู่ล้นปรี่เต็มหัวใจที่เย็นช่ำสดชื่นมีชีวิตชีวาของเขา

                “ฮ้า!”เขาร้องขึ้นอย่างรู้ทัน ในขณะที่เจ้ากระต่ายขนปุยตัวหนึ่งหักเลี้ยวอีกครั้งเขาก็ตัดสินใจกระโดดเข้าตระครุบ หิมะกระจาย ในที่สุดแจ็คก็จับมันได้สักตัว เขาใช้รักแร้หนีบไม้เท้าคู่กายไว้โดยที่อุ้มกระต่ายขนนุ่มนิ่มด้วยมือทั้งสอง เจ้าสี่ขาดิ้นเป็นดิ้นตายและพยามจะขวนแจ็คด้วยความตกใจกลัว

                “โอเคๆ ฉันรู้ว่าแกไม่อยากอยู่ในมือฉันหรอก”ว่าแล้วแจ็คก็ค่อยๆวางเจ้ากระต่ายอย่างเอ็นดู พอกระต่ายน้อยถึงพื้นมันก็ตะกุยหิมะเผ่นหนีเข้าไปในป่าลึก แจ็คนั่งมองและหัวเราะเบาๆอย่างเมตตาตามหลังมันไป มีอะไรมากมายในโลกนี้ที่มหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ที่ทั้งชีวิตของเขาจะจินตนาการถึงรอเขาอยู่อีกเป็นล้านที่จะให้เขาได้เปิดตาและเปิดใจเรียนรู้โลกใบใหม่อันกว้างใหญ่ใบนี้ แจ็คคิดด้วยความตื่นเต้นเต็มประดา เขาหัวเราะดังขึ้นและลุกขึ้นยืน

     

                “ลม!”แจ็คตะโกน ลมค่อยๆแรงขึ้นและในที่สุดก็โหมกระหน่ำกรรโชกทั้งป่า แรงและดังเหมือนเสียงหัวใจของผู้เรียกมันมา ลมพายุพัดแจ็คหายขึ้นไปบนฟ้าสิ่งที่เหลืออยู่บนพื้นคือเสียงหัวเราะที่เจือจางอยู่กับหิมะ ดังก้องอยู่ในป่า สะท้อนอยู่ในหุบเขา และมันจะไม่มีวันจางหายไปจนวันสิ้นโลกา

                “วู้ฮู้ ฮู้เร่!”แจ็คร้องออกมากึกก้องไปทั่วทั้งฝากฟ้า เกล็ดหิมะตามหลังเขามากับสายลมเหมือนยามนางเงือกว่ายน้ำแล้วมีฟองคลื่นตามหลัง สวยงามและน่าชื่นชม แจ็คล่องไปบนฟ้าด้วยความเร็วราวกับจรวดส่งเสียงแหวกอากาศดังอื้ออึงเหมือนเสียงธนูที่ถูกยิงออกจากคันศรของพระราม เขาไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ตัวของเขาพุ่งผ่านทุลุเกลียวเมฆทุกก้อน ฉันขึ้นมาสูงแค่ไหนแล้ว เมื่อคิดอย่านั้นแจ็คจึงมองลงไป จากตรงนี้เขามองเห็นคืออาณาจักรเมฆผืนใหญ่มหึมาราวกับแผ่นดินสีขาวที่เกิดจากไอน้ำนับล้านๆตัน แต่เมื่อแจ็คมองขึ้นไปข้างบนก็แสนสุดจะประหลาดใจ เขาขึ้นมาสูงมากจนท้องฟ้าที่เขามองเห็นเดิมทีที่สีฟ้าสดใสเริ่มเจือจางเป็นสีหม่นม่วง และไม่อยากเชื่อ! ท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยหมู่ดาว ทางช้างเผือกระยิบระยับพาดผ่านน่านฟ้าราวกับมีคนเอานมสดไปสาดไว้บนผืนผ้าสีม่วง แจ็คขึ้นมาสูงมากจนเกือบจะออกไปนอกโลก แจ็คลอยอึ้งจ้องมองออกไปในอวกาศอันไกลโพ้น หมู่ดาราที่เขาไม่อาจเอื้อมไปไขว่คว้ารายรอมอยู่รอบกายของเขา แจ็คไม่เคยเจออะไรที่มหัศจรรย์เท่านี้มาก่อน

                “สวรรค์เหรอ”แจ็คพึมพำกับตัวเอง แล้วเอื้อมมือไปข้างหน้า ดวงตาสีฟ้าของเขาสะท้อนภาพของดาราจักรเลื่อนลอย แต่เอื้อมมือเท่าไรเขาไปไม่ถึงมัน แจ็คถอนใจแต่ไม่ท้อแท้เขาชักมือกลับ แล้วหัวเราะอย่างตื่นเต้น “ฉันพบสรวงสวรรค์”แจ็คกระซิบกับตนเองอย่างไม่อยากเชื่อในสายตาของตน“พระเจ้า!ฉันค้นพบสวรรค์ ไม่อยากเชื่อ”แจ็คตะโกนหัวเราะเสียงดัง เขาควบคุมตัวเองไม่ให้กระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความสุขไม่ได้ แจ็คอยู่ไม่สุข เขาย่อตัวใช้แขนโอบตัวเองหอบหัวเราะอย่างตื่นเต้น เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าตอนนี้ เขาคือนักผจญภัยที่เก่งที่สุดในโลกเขาคิด แจ็ค ฟรอสต์ ไม่เคยมีความสุขอย่างนี้ จากที่เขาเคยซ่อนตัวจากผู้คนที่มองไม่เห็นและไม่ได้ยินเขาเหมือนกับว่าเขาตายไปแล้ว โดดเดี่ยวตัวคนเดียวอยู่ในความมืดและต้องเผชิญกับความเหงาอันแสนทรมาน เขาไม่เคยอยากจะเกิดมาบนโลกนี้ เขาอยากจะหายไปเสีย และเขาน้อยใจเหลือเกินที่ต้องตัวคนเดียว เขาแทบจะทนรอให้ความตายมาพรากเขาไปจากโลกนี้เสียมิได้ จะอยู่ไปทำไมถ้าไม่มีอะไรต่างจากสัตว์เลย พูดก็ไม่มีใครได้ยิน อยากจะร้องไห้ให้ใครรู้ก็ไม่มีใครเห็น จะหนีไปให้ไกลก็ทำไม่ได้ เขาก็ไม่เข้าใจอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเองเหมือนกัน เขาโหยหาเพื่อนโหยหาอย่างบ้าคลั่ง มีที่ใดในโลกกว้างใหญ่นี่ไหมที่เด็กชายตัวคนเดียวจะได้พักใจที่เจ็บปวดรวดร้าว ได้มีเพื่อน ไว้หัวเราะ ไว้ร้องไห้ ไว้สนุก ไว้ระบายและไว้รัก แต่วันนี้ถึงแม้เขาจะตัวคนเดียว แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะใช่ชีวิตนี้ต่อไป อย่างน้อยเขาก็คุยกับลมได้ แต่เพราะอะไร มีความรู้สึกบางอย่างมันอัดอยู่ในหัวของเขาราวกับจะระเบิดออก แจ็คไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต เป็นความรู้สึกที่สวยงาม ความรู้สึกที่หอมหวน แจ็ค ฟรอสต์ คิดไตร่ตรองหลับตาแน่นแล้วผ่อนลมหายใจอันเย็นเยือก

                พี่น้องม๊อทชื่อนี้ย้ำไปมาในหัวสมองของแจ็ค พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกในโลกที่รับฟังเขา ทำไมล่ะ ทำไมถึงได้มองเห็นเขา ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกัน แจ็คอยากรู้คำตอบเหลือเกิน เกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำที่หายของเขา พวกพี่น้องม๊อทเท่านั้นหรือที่สัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของเขา คำตอบนั้นอาจจะไขโจทย์ทุกโจทย์ที่เขาสงสัย เขาเกิดมาเพื่ออะไร แล้วทำอย่างไร ทำวิธีใด ผู้คนและทุกสรรพสิ่งบนโลกถึงจะมองเห็นเขา บางทีเขาอาจจะไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไป แจ็คคิด เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คำตอบนี้มา

                คิดแล้วก็อดมองไปที่หมู่บ้านเล็กๆที่จากมาไม่ได้ แจ็คมองไปรอบๆเขาเห็นแต่เมฆและหมอก แจ็คบินกลับลงมาข้างล่าง แต่เมื่อพ้นกับหมู่มวลเมฆาที่บดบังการมองเห็นของเขา ลงมาเบื้องล่าง สิ่งแรกที่เขาเห็นทำให้เขาตกตะลึง

                ทรายสีดำแห่งฝันร้ายนับหมื่นสายไหลอบอวลไปในอากาศทั่วทุกๆที่ แต่ละสายใหญ่มหึมาสายที่เล็กที่สุดก็ใหญ่เท่ากับลำต้นของต้นสนแล้ว แจ็คต้องหลบบางสายที่เกือบตวัดฟาดกับตัวของเขา แจ็ค ฟรอสต์ ตวัดไม้เท้า ลำแสงสีฟ้าพร้อมกับหิมะระยิบระยับพุ่งจากปลายเท้าไปแช่แข็งทรายสายหนึ่ง มันแข็งเป็นอัญมณีสีดำทันทีที่สัมผัสไอรัศมีสีฟ้าจากไม้เท้า อัญมณีทรายสีดำหนักเพราะน้ำแข็งและร่วงจากฟ้าลงไปแตกที่พื้นน้ำแข็งทันที แต่ไม่ทันไรทรายสายใหม่ก็ไหลมาแทนทรายสายที่หายไป มันมากเกินกว่าที่จะแช่แข็งได้ทั้งหมด  แจ็คมองไปทางหมู่บ้านเบอร์เจสต์ที่อยู่ไกลแสนไกลก็รู้ ณ วินาทีนั้นเลยว่า ทรายที่ล้อมตัวของเขาอยู่เทียบไม่ได้กับทรายแห่งฝันร้ายที่กำลังเข้าจู่โจมหมู่บ้านเล็กๆนั่น

                เบอร์เจสต์ในสายตาของแจ็คปกคลุมไปด้วยเมฆฝนฟ้าคะนองแห่งฝันร้ายที่มีฟ้าแลบน่ากลัว ถึงเขาไปก็ไม่มีประโยชน์เขาไม่สามารถสู้กับฝันร้ายมหาสารขนาดนี้ได้หรอกแจ็คคิด แล้วเมื่อเขารู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาแจ็คก็อยากจะตบหน้าตัวเองที่คิดอะไรขี้ขลาดแบบนั้น คนมากมายตกอยู่ในอันตรายของภายุทรายมรณะ เขาจะต้องช่วยคนเหล่านั้นแม้จะมองไม่เห็นเขาก็เถอะ และที่สำคัญ พี่น้องม๊อทคือกุญแจดอกเดียวที่จะไข้ความพิศวงทั้งหมดที่เขามีได้ เขาไม่ใช่คนกล้าหาญ ใช่! และเขาก็ไม่ใช่คนกลัวตายเช่นกัน คิดแล้วเลือดเย็นๆในกายของแจ็ค ฟรอสต์ ก็เดือดพล่านด้วยไฟแห่งความกล้าที่โชติช่วง เขาเคยบอกกับตัวเองแล้วว่าเขายอมทำทุกอย่างที่จะได้คำตอบนั้นมา แน่นอนเขายอมแม้แต่จะตายเพื่อจะปกป้องผู้คนและพี่น้องม๊อท

                “ลม!”แจ็คตะโกนอย่างห้าวหาญ ลมหนาวโหมปะทะกับทรายสีดำ พัดมันกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง “เรามีปัญหาแล้ว”แจ็คพูดยิ้มเยาะ แล้วเปลี่ยนมาตีหน้าตึงขึงขัง ดวงตาสีฟ้าของเขาวาวโรจน์ดุจกองเพลิงมอดไหม้ แจ็คกระชับไม้เท้าวิเศษที่เปรียบได้กับอาชาชาญศึกของเขา เมื่อเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนไม้เท้าสัมผัสได้ถึงเจตนาอันแรงกล้าของเขา มันก็พากันเรืองแรงสีฟ้าแห่งเวทย์มนต์ตอบรับ

                “ลม พาฉันไปที่หมู่บ้านนั่น!

     

    © themy�butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×