คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ยุคของความกลัว
ยุคของความกลัว
พวกม๊อทกลับมาที่โบสถ์อย่างอ่อนล้า หิมะกำลังตกและดูท่าจะตกหนักขึ้นทุกๆนาที แอลีสันกอดอกมาตลอดทางเพราะความหนาวที่กัดผิวของเธอ เธอทำแบบนั้นขณะบินมาที่หลังคาของโบสถ์เช่นเดียวกับเลียม เขาก็หนาวอย่างเหลือทนมิได้ แต่แจ็คตามพวกเธอมาอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่เงียบพอที่ประสาทไวๆของภูตจะจับไม่ได้ว่าเขาตามพวกเธอมา
“แจ็ค ทำไมยังไม่กลับบ้าน เห็นมั้ยว่าหิมะตกแล้วเนี่ย”แอลลีสันถามอย่างหงุดหงิด
“ฉันยังไม่อยากกลับ”แจ็คท้วงขณะหวนคิดไปถึงป่าอันมืดมนที่เขาเรียกมันว่าบ้าน เขาอยากพูดตรงๆกับสองพี่น้องว่าเขาไม่อยากอยู่คนเดียว แต่มันก็จะทำให้เขาดูอ่อนแอ แจ็คมองสองพี่น้องแล้วพูดขึ้น
“ออ…แล้วก็อย่าบังคับฉันเลย เสียเวลา”แจ็คพูด แอลลีสันจ้องเขาตาเขียวขุ่น แต่อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆเธอคงเถียงกับเขาได้ไม่นานนักในที่สุดเธอก็ยอมเขา
“ก็ได้ เข้ามาในบ้านก่อนสิ อากาศมันหนาว”เธอพูดออกมาเป็นไอน้ำสีขาว แจ็คทำหน้าไม่มั่นใจ
“เข้ามาเถอะไม่ต้องห่วง”เลียมชักชวนฟันกระทบกันดังกึกๆ
พวกม๊อทพาแจ็คโดดลงมาทางปล่องไฟแล้วของโบสถ์ และบอกให้เขาพักที่โถงสวดมนต์ได้ เมื่อสองพี่น้องเดินขึ้นบันไดไปนอนแล้ว แจ็คก็มองหาที่ๆน่าพักสักที่ เขาพบกับเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งที่ท่าทางน่าสบาย แจ็คเหยียดตัวนอนบนนั้น เขาเอาไม้เท้ามาไว้ข้างตัว เมื่อเข้าที่แล้วเขาก็พร้อมจะหลับ แต่พยามเท่าไรเขาก็นอนไม่หลับ เขาพลิกตัวไปมาและพยามนอนอยู่ในท่าต่างๆแต่ก็ไม่ดีขึ้น เขาลุกเดินสำรวจไปรอบๆ แล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เขาเจอห้องๆหนึ่งประตูถูกแง้มไว้ เขาจึงผลักมันเบา แต่ประตูกลับส่งเสียงแอ๊ดจนเขาต้องรีบเอามือหยุดประตูไม่ให้เปิดมากไปกว่านั้น แจ็คสวดมนต์ขออย่าให้มีใครยินเสียงเขาเลย เขาเบียดตัวเขาไปในห้องอย่างรวดเร็วแล้วค่อยๆปิดประตูลง ข้างในมีเตียงสามเตียง เตียงที่หนึ่งมีหญิงชรานอนอยู่ เตียงที่สองคือเลียม และเตียงที่สามที่ติดหน้าต่างคือแอลลีสัน แจ็คย่องเข้าไป เงาของเขาสะท้อนกับแสงจันทร์ในขณะที่เดิน เขามองไปรอบๆห้องและพบเข้ากับไข่อีสเตอร์ที่ทำจากไม้สีสันสดอยู่สามฟอง เขาหยิบขึ้นมาดูอย่างพิสมัยเขารู้สึกลึกๆว่า จริงๆแล้วเขาเคยอยากได้มันมานานมาก
“แจ็ค!”แจ็คสะดุ้งโหยง หันไปตามเสียงอย่างรวดเร็วจนทำไข่ตก แจ็ครับไข่ไว้และมันก็ลื่นหลุดมือเขาและเขาก็จับไว้อีกทีแบบนี้อยู่หลายรอบราวกับนักมายากลโยนบอลมือสมัครเล่น ในที่สุดเขาก็เอามันกลับไปวางที่เดิมจนได้ แล้วสาบานกับตัวเองว่าจะไปแตะมันอีก เสียงที่เรียกเขาคือเสียงของแอลีสันนั่นเอง เขาเข้าใกล้ๆเตียงของแอลลีสันตามที่เธอเรียก
“ข้างล่างไฟไหม้หรือไง”แอลลีสันกระซิบอย่างฉุนเฉียว เขานั่งลงยองๆข้างเตียงของภูตแอลลีสันงงกับคำพูดของเธอ
“อะไรนะ”
“ฉันถามว่าข้างล่างไฟไหม้หรือไง เธอถึงไม่มีที่อยู่ต้องขึ้นมานี่”แอลีสันว่า แจ็คหรี่ตาใส่เธอเมื่อได้ยินคำพูด
“ฉันนอนไม่หลับ”แจ็คสารภาพ
“แล้วมาบอกฉันหาพระแสงด้ามง้าวอะไร”แอลลีสันด่า แจ็คทำหน้าหงอยตาเขาฉ่ำไปด้วยน้ำ ใสและบริสุทธิ์ราวแก้ว แอลีสันพึ่งได้เห็นใกล้ๆแบบนี้ครั้งแรก บอกได้คำเดียวคือเขาหล่อมาก เธอรู้สึกใจอ่อนจนอยากจะร้องไห้ออกมา แอลลีสันหันหน้าไปเรียกเลียมเบาๆ
“รู้แล้วๆฉันนอนฟังอยู่”เลียมกระซิบกลับ เลียมลุกขึ้นนั่งมองแจ็คด้วยสายตาเย็นชา “ข้างล่างไฟไหม้หรือไงแจ็ค”เลียมพูดตามแอลลีสัน แจ็คย่นหน้าใส่เขาอย่างไม่พอใจ พี่น้องย่องลงจากเตียงและค่อยๆเลื่อนเตียงทั้งสองมาชนกันทำให้เตียงมีพื้นที่มากขึ้น ทั้งคู่ไล่แจ็คไปนอนติดหน้าต่างโดยมีเลียมอยู่ตรงกลางและแอลลีสันอยู่ถัดจากเลียม แจ็คทำให้แอลลีสันนอนไม่หลับ เธอชะโงกหน้าขึ้นมาแอบมองเขา เขาก็ไม่หลับเช่นกันแต่เขากลับนอนมองเธออยู่ แจ็คยิ้มให้แอลลีสัน เขาทำปากเป็นคำว่าขอบคุณให้เธอแล้วพลิกตัวไปทางหน้าต่างและหลับไป แอลลีสันยิ้มออกมาบางๆอย่างอ่อนโยนและหลับตาล
….
ในเช้าที่สดใสแจ็คตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นที่สุดในชีวิตของเขา เขามองออกไปข้างนอกหน้าต่าง อากาศข้างนอกสดใสเหมือนฤดูร้อนราวกลับว่าโลกลืมไปว่านี่คืนธันวาคม นกบินผ่านหน้าต่างไป แจ็คลุกขึ้นมาและมองออกไปนอกหน้าต่าง เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ทั้งโลกกลายเป็นฤดูใบไม้ผลิ! ต้นแปะก๊วยต้นใหญ่ที่อยู่หน้าโบสถ์ผลิใบเต็มที่ ท้องฟ้าสดใสมีเมฆบางๆลอยเต็มฟ้า แจ็คหัวเราออกมาอย่างสดใสเหมือนสภาพอากาศ
“เฮ้! ฉันว่าพวกเธอคงต้องอยากเห็นนี่”แจ็คพูด แต่เมื่อเขาหันหลับมาและดึงผ้าห่มออก…เตียงทั้งสามมีหุ่นไล่การูปร่างไม่สมบูรณ์นอนอยูแทนทั้งสามคน แจ็คตกใจและหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินถอยออกมาจากเตียงราวกับว่ามันเป็นของไม่ดี แจ็คใจเต้นไม่เป็นสัพ เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสาม จากเหตุการณ์เมื่อคืนมันทำให้เขาใจไม่ดี แจ็ควิ่งเอาตัวกระแทกประตูใหญ่ออกผางและวิ่งลงบันไดไป เขามองไปรอบๆไม่มีใครหรือสิ่งมีชีวิตใดเลยอยู่ในเมือง เขาโดดเดี่ยว…อีกแล้ว เขาทรมานในอกอย่างเจ็บปวด เขากระโดดขึ้นไปบนฟ้าและเหาะไปเหนือเมืองอย่างรวดเร็ว
“ม๊อท!”เขาร้องราวจะขาดใจ “แอลลีสัน เลียม พวกเธอหายหัวไปไหนกันหมด”
ทันใดเมฆดำก็เริ่มบดบังแสงอาทิตย์ลมร้อนพัดปะทะตัวเขาจนเขาลอยไปอีกทางอย่างควบคุมไม่ได้
“ลมหยุด ลมฉันบอกให้แกหยุด”ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลมไม่ฟังคำสั่งเขาอย่างเคย แจ็คยังลอยไปเรื่อยๆไปยังป่า ฝนห่าใหญ่ตกลงมา เขารู้สึกร้อน ร้อนมากๆ เขาลอยไปชนกับยอดสนและตกลงมากระแทกกับพื้นน้ำแข็งของบึงกลางฤดูร้อน ทั้งเจ็บตัวและเจ็บใจทั้งสับสน ภาพมืดไปหมดเขาเหนื่อยจนไม่อยากลืมตาขึ้น เขาตัดสินใจจะนอนสักพัก แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เขาบอกตัวเองและพยามยืน แขนขาหนักราวตะกั่วแถมอ่อนปวกเปียกไปหมดและเจ็บอย่างเหลือทน
เปรี้ยง! อัสนีบากกลางภายุฝนฟ้าคะนองส่งเสียงสนั่นไปทั่วทั้งปฐพีราวกัมปนาท แจ็คตกใจและล้มลง ตัวของเขาเปียกปอน เขานั่งอย่างหมดหวังบนพื้นน้ำแข็งเย็นเฉียบ เย็นจับใจ เขาไม่เคยรู้สึกเย็นเท่านี้มาก่อน เข้ายกมือทั้งสองขึ้นมามอง แล้วเขาก็แทบหยุดหายใจ ตัวของเขากำลังละลาย! ราวเหมือนกับน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ เขาเอามือลูบหน้าตัวเอง สีของคิ้วสีดำและจมูกสีชมพูกระสีน้ำตาลแดงและแก้มสีเทาของเขาติดมือเขามาอย่างน่าสยดสยอง เขากำลังจะหายไปจากโลกเขาตระหนัก ฟ้าผ่าเปรี้ยงส่งแสงไปทั่วทุกสารทิศ หัวใจของเขาตกไปอยู่ตาตุ่ม เขามองมือของตัวเองแล้วใจหายวาบ น้ำตาสีฟ้าเหมือนสีตาของเขาผสมกับสีดำของขนตาไหลออกมาจากตาทั้งสองเองเฉยๆโดยที่เขาไม่ได้ร้องไห้
“ดูนี่สิ ดูเด็กชายผู้น่าสงสาร”เสียงแหบๆสะท้อนก้องไปทั้งป่า แจ็คมองไปรอบๆเพื่อหาต้นเสียง ทันใดทรายสีดำก็พัดไปรอบๆป่าและตัวเขา ทันใดชายอายุประมาณสามสิบตัวผอมสูงสวมชุดสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา แจ็คมองเขาด้วยดวงตาที่อิดโรย
“เธอเป็นอะไรไปหลานชาย”เขาเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล
“ผม…คือผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”แจ็คพูดได้เพียงเสียงกระซิบ
“เธอดูไม่ดีเลยหลานชาย” ชายผู้นั้นเอามือข้างหนึ่งไขว้หลังย่อเข่าลงพินิจเขา ชุดสีดำของเขายาวจนกรอบพื้น “แต่ข้าว่าข้าช่วยเจ้าได้นะ”
ชายชุดดำยกมือที่เอาไปไขว้หลังไว้ออกมาพร้อมกับไม้คทายาวสีดำออกมา แจ็คเดาว่ามันน่าจะทำมาจากโลหะ ที่ยอดของมันเป็นรูปหัวม้าขดอยู่ในลักษณะของตัว s เขายกมันขึ้นไปแตะที่มือของแจ็ค ทั้งที่มันกำลังละลายอยู่แท้ๆแต่คทาก่อไอสีดำมาหุ้มมือของเขาไว้ราวกับถุงมือ แจ็ครู้สึกดีขึ้น มือของเขาหยุดละลายแล้ว ไอสีดำลามไปจนเกือบจะครึ่งแต่แขนแต่ก็หยุดลง ชายชุดดำยกคทาออกและมองแจ็คด้วยแววตาเจ้าเล่ห์อย่างปิดไม่มิด
“รู้มั้ยข้าเป็นใคร”เขาถามอย่างเย็นชาและยืนขึ้น แจ็คส่ายหัว แต่คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้แจ็คหายสงสัย แต่มันกลับทำให้ใจของเขาแทบหยุดเต้น
“ข้าคือ บูกี้แมน รู้จักมั้ย พิช แบล็ค ผู้พิทักษ์ความกลัว”
ขณะที่เขาพูดม้าทรายสีดำนับพันตัวก็ปรากฏตัวไปทุกๆที่มากมายเกินกว่าที่แจ็คจะเคยเห็น ตอนนี้เขาเผชิญอยู่กับพิชแห่งฝันร้าย แจ็คกวาดมือไปทั่วๆเพื่อหาอะไรป้องกันตัวแต่เขาลืมไปว่าเขาไม่ได้นำไม้เท้าวิเศษออกมาจากโบสถ์ เขาหมดหนทาง
“ถ้าไม่อยากจะเป็นแบบนี้ …แจ็ค มาอยู่กับข้าสิ นี่มันยุคของความกลัว รับรองเจ้าจะมีทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่างที่เจ้าอยาก”พิชพูดด้วยเสียงราวกับกำลังเป็นผู้ประกาศโฆษณา
“ฉันจะไปอยู่กับแกได้ยังไง ไม่! ฉันไม่”แจ็คปฏิเสธขณะที่เขาละลายเร็วขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าตกใจ
“โอ้! ข้าไม่ต้องการคำตอบตอนนี้หรอก ข้าต้องการให้เธอกลับไปคิด”พูดเสร็จม้านับพันก็กระโจนเข้าใส่เขาอย่างหิวโหย แจ็คใช้แขนทั้งสองป้องกันตัวเองคิดว่าคงจะเสร็จพวกมันเสียแล้ว แต่ทันใดภาพก็นิ่งสนิทราวกาลเวลาหยุดเดินทุกอย่างค้างอยู่ในอากาศราวภาพถ่าย
“แจ็ค”มีคนเรียกชื่อเขา เป็นเสียงผู้หญิงที่เล็กและเบามากซึ่งเขาไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน เขามองไปรอบๆอย่างสงสัย
“แจ็ค พี่เอาแต่แกล้งฉัน”มันดังอีกครั้ง ฟังดูโหยหาอาวรเหลือเกิน
“แจ็ค”เขามองไปทางซ้ายทีขวาทีหาต้นเสียง
“แจ็ค…ฉันกลัว”
“ใครน่ะ”เขาถาม เสียงดังพอที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ แต่แล้วน้ำแข็งใต้ตัวเขาก็แตกออก เขาหล่นลงไปในความมืดอย่างรวดเร็วราวเขาเป็นตะกั่ว และในที่สุดความมืดก็ครอบงำเขา ความมืดและความหนาวเย็นดั่งภาพสุดแรกในความทรงจำของเขา
….
“แจ็คๆ แจ็ค ฟรอสต์!”เสียงเลียมเรียกเขา แจ็คตกใจตื่น ลุกผลุงขึ้นมาจากเตียงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่และหอบอย่างแรง หัวเขาหมุนมึนตึบราวกับเขาเอาหัวไปฝาดพื้นมา เขามองไปรอบๆ เขายังอยู่ในห้องชั้นสองของโบสถ์ ยังเป็นกลางคืนอยู่ เลียมและแอลลีสันมองเขาอย่างไม่ละสายตา ทุกอย่างยังปกติสุข ข้างนอกหน้าต่างหิมะตกหนักมากอย่างเคย นี่เขาฝันไปหรือนี่ แจ็คคิด
“พี่เป็นอะไร”เลียมถาม
“ฉันฝันร้าย”แจ็คบอก เขาหยิบไม้เท้าเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น มันทำให้เขาเย็นใจลง
“นี่อย่าบอกนะว่าเธอมีความสามารถมากขนาดหลับลึกได้ภายในสามนาที”แอลีสันว่า
“ห้ะ! นี่นึกว่าฉันหลับไปเป็นวันแล้วซะอีก”แจ็คพูดเสียงสูง สองพี่น้องชูวว์ปากพร้อมกัน แจ็คลืมไปว่าถัดไปอีดเตียงมีแม่ชีนอนอยู่
“นี่แค่สามนาที ออ…ไม่สิ สามนาที สิบวินาที…สิบเอ็ดวิฯแล้ว”เลียมกระซิบกวนอย่างน่าปวดหัว แจ็คมองเขาหน้าตาย
“ไม่เป็นไรนอนต่อเหอะ”แอลลีสันกระซิบขึ้น แจ็คใช้ข้อมือทั้งสองข้างปิดตาเครียดๆ ลุกขึ้นยืน แล้วถอนหายใจ
“ฉันนอนไม่หลับ”เขาพูด
“เราก็นอนไม่หลับ คิดว่าภูติที่ไหนเขานอนกันล่ะ แต่เราต้องทำตามที่มนุษย์เขาทำ”แจ็คนั้นทอดตามองมาที่เธอ
“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”สองพี่น้องพูดได้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“แต่ฉันตาไม่หลิ่ว ไม่ต้องมาบังคับฉัน”ว่าแล้วแจ็คก็เดินไปที่ประตู เปิดผางออกแล้วเดินออกไป สองพี่น้องมองตามเขาไป
“เชื่อเถอะ เดี๋ยวเขาก็กลับมา”แอลลีสันกล่าว
“พี่พูดอย่างที่ผมคิดอยู่ตอนนี้แป๊ะเลย”เลียมกระซิบกลั้วหัวเราะ
“เรามันพี่น้องกันนี่หว่า”แอลลีบอก
“ไป…ไปหลิ่วตาตามเมืองนี้กันได้แล้ว”เลียมเย้า แอลลีสันยิ้มแล้วทั้งคู่ก็แกล้งหลับต่อไป
….
“ฉันไม่กลับไปแล้ว!”แจ็คตะโกนอย่างเหลือออดขณะบินผ่านภายุหิมะที่ตกหนัก เขาโดดลงไปที่หลังคาของหอคอยหอหนึ่ง เขาตวัดไม้เท้าอย่างเกรี้ยวกราดราวกับเป็นอาจารย์กังฟูด้านกระบี่กระบอง ลมพัดแรงขึ้น หิมะตกหนักขึ้น ผลึกน้ำแข็งลามออกมาจากปลายเท้าของเขาลามไปตามหลังคาของหอคอย เมื่อเริ่มเบื่อเขาก็นั่งลงพัก เขาก้มหน้าซบเข่าตัวเอง เขาตื่นขึ้นมาในโลกซึ่งเขาฟันธงเลยว่าไม่ใช่ที่ของเขา แต่ครู่หนึ่งแจ็คก็เงยหน้าขึ้นมองหาดวงจันทร์ แต่เมฆปังแสงจนหมดสิ้น มันทำให้แจ็คหงุดหงิดมากขึ้น เขานอนไม่หลับ นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่เขานอนไม่ได้นี่สิปัญหา มันเหมือนกับคำสาป มันทำให้เขาเบื่อหน่าย
“มันจะมีอะไรน่าเบื่อไปมากกว่านี้อีกไหม”แจ็คถามตัวเอง แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีใครมาอยู่ข้างๆเขา รับฝังเขา และตอบคำถามอย่างแน่นอน แววตาของแจ็คสะท้อนถึงความเศร้า เขาถอนใจขณะหรี่ตามองทะลุภายุหิมะออกไปในที่ไกลแสนไกล ข้างนอกนั่น ไกลออกไปจากที่ๆมีแต่หิมะ ข้ามป่าสน ข้ามเทือกเขา ข้ามมหาสมุทร ข้ามไปยังอีกแผ่นดิน โลกที่ทั้งชีวิตเขาไม่เคยรู้จัก มันมีอะไรอยู่…แน่นอนมันมีการผจญภัยและความสนุกรอเขาอยู่ไง แจ็คคิดในใจ
“ลม!”แจ็คตะโกนขึ้น ลมภายุส่งเสียงหวีดหวิวตอบรับเขาราวกับเสียงพูด “ข้างนอกนั่น ข้ามเทือกเขาไปคืออะไร”แจ็คถามลม ลมพัดแรงขึ้นและแรงขึ้น ในอึดใจเดียว หยดน้ำหลายหยดใหญ่ๆที่ถูกลมพัดมาหยิกผิวหน้าของเขา แจ็คตกใจเขาใช้มือลูบหน้าตัวเอง มีหยดน้ำติดมือของเขามา เขาเอามันมาชิม
“เค็ม”เขากระซิบ “น้ำเค็ม มันคืออะไร”เขาร้องบอกลม ลมพัดเกล็ดหิมะมามันก่อตัวในอากาศ เป็นรูปเคลื่อนไหวของน้ำขึ้นลงสลับกัน ลมพัดเกล็ดหิมะนับแสนม้วนรูปคลื่นมาท้วมแจ็ค มันเบาบางและเย็นสดชื่น เขาหัวเราะตาหยีอย่างร่าเริง แต่เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พบกับฝูงปลาหิมะนับร้อยว่ายผ่านเขาไปอย่างอัศจรรย์ เขามองตามมันไปอย่างไม่ละสายตา แล้วทันใดปลาวาฬเกล็ดหิมะตัวใหญ่มหึมาแทบจะบังท้องฟ้าได้ทั้งหมดก็ว่ายมาเฉียดหัวเขา แจ็คตกใจและแทบหลบมันไม่ทัน เขามองไปรอบๆตัวอย่างสนุกสนาน บนยอดคลื่นเกล็ดหิมะมีโลมาปากขวดครอบครัวหนึ่งเคลื่อนคลาอย่างอิสระอยู่บนนั้น ลูกโลมาเกล็ดหิมะตัวเล็กตัวหนึ่งว่ายผ่านภายุหิมะมาหาเขา มันว่ายไปรอบๆเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น พอแจ็คจะเอื้อมมือไปจับมัน เจ้าโลมาน้อยก็ว่ายหนีไปเสียเฉยๆ
“ว้าว!”แจ็ค ฟรอสต์ กระซิบ “มีสิ่งสวยงามแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอ”ในที่สุดภายุหิมะที่หงุดหงิดก็หายไปจากฟ้า เมฆดำลอยออกไป จันทร์กระจ่างสดใสอยู่บนฝากฟ้า แจ็ครู้สึกเป็นสุขเหมือนกับสภาพอากาศ ทุกๆอย่างสงบเงียบเช่นเดียวกับใจของเขา
….
ในที่สุดแสงตะวันก็สาดส่องโลกอันเหน็บหนาวอีกครั้ง แอลลีสันเปิดหน้าต่างออกรับความอบอุ่นอันมีค่ายามเช้า เธอชอบแสงแดดและมันจำเป็นอย่างมากในช่วงหน้าหนาวที่ยาวนานแบบนี่ในเพนซิลวาเนีย เกล็ดน้ำแข็งเกาะเต็มกระจกทั้งบาน เธอเอานิ้วขูดๆมันเล่น เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆหน้าต่างเพื่อจะได้เห็นผลึกน้ำแข็งสวยๆได้ชัดขึ้น เธอมองอยู่นาน เธอเห็นหน้าคนอยู่ในกระจกหน้าต่างที่ขึ้นฝ่า แอลลีขยี้ตา และมองอีกรอบ ใช่มันเป็นหน้าคนจริงๆหน้าคนที่เศร้าหมองสีฟ้า ใต้ตาดำคล้ำเหมือนผีดูดเลือด เธอจ้องดีๆ เขากระพริบตานี่ รูปหน้าบนกระจกกระพริบตา เดี๋ยวก่อน กระพริบตานี่!
“เฮ้ย! ผี”แอลลีสันร้องด้วยความตกใจ เธอเซถ่อยหลังไปชนเตียงและหงายหลังไปทับเลียมที่นอนอยู่ น้องชายตกใจตื่นลุกพรวดขึ้นทันที เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด การลุกของเลียมได้ผลักแอลลีสันที่นอนทับอยู่กลิ้งตกจากเตียงไปกองบนพื้นดังโครม! แม่ชีสะดุ้งตื่นและลุกลงจากเตียงอย่างหุนหันแต่เธอกลับก้าวลงมาเหยียบแอลลีสันที่นอนอยู่บนพื้นอย่างโชคร้าย แอลลีสันร้องเสียงอ๋อย ทำให้แม่ชีรู้ตัวแล้วยกเท้าออกจากอกของเธออย่างสำนึกผิดแล้วพยุงตัวเธอขึ้นมา
“พระเจ้า! เกิดอะไรขึ้น แม่ได้ยินเสียงลูกทั้งสองคนร้อง”แม่ชีพูดแล้วถอนใจเหนื่อยๆ “เมื่อคืนนี้แม่ฝันร้ายมาก”
“เอ่อ หนูไม่เป็นไรค่ะ จริง...”แอลลีสันหยุดพูด ไม่วายชายตามองวิญญาณที่ทะลุหน้าต่างและกำแพงตรงมายังเธอ “...จริง”เธอพูดต่อให้จบประโยค พร้องส่งสายตาไปบอกให้น้องชายของเอมองไปที่หน้าต่าง
เลียมที่งัวเงียหันไปตามที่พี่สาวแนะนำและเมื่อเห็นวิญญาณสีฟ้าเขียวเดินทะลุเตียงและขาเขาไปเลียมก็ตื่นเป็นปลิดทิ้งทันที และไปหยุดต่อหน้าพี่สาวของเขา ดูเหมือนแม่ชีที่เป็นมนุษย์ธรรมดาจะมองไม่เห็นวิญญาณ เลียมผายมือออกทำสีหน้าเชิงบอกว่า เฮ้!แอลลีทำอะไรสักอย่างสิ…
“แม่คะ หนูไปก่อนนะคะ รู้สึกไงไม่รู้บอกไม่ถูก”แอลลีสันบอก ผละจากแม่ชี แล้ววิ่งลงบันใดไป เลียมตามเธอไปเช่นเคย
สองพี่น้องออกมานอกโบสถ์ อย่างที่คิดไว้ ข้างนอกเต็มไปด้วยคนตายเดินปะปนกับคนเป็น
“เกิดอะไรขึ้น”สองพี่น้องพูดพร้อมกัน
“โว่ว!ฉันเคยเห็นผีนะ แต่ไม่เคยเห็นเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย”เลียมพูด
“ไปดูรอบๆกันเหอะ” แอลลีสันบอกน้องชาย สองพี่น้องวิ่งไปที่ลับตาคนแล้วแปลงร่างเป็นนกนางแอ่นแล้วร่อนไปเหนือเมืองทันที
รอบเมืองอันหนาวเย็นเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณเดินเปะปะไปทั่วมากกว่าชาวบ้านเองเสียอีก แต่ทุกอย่างสงบสุขคงเป็นเพราะมนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นวิญญาณ แต่เหตุใดถึงได้มาชุมนุมกันเยอะแบบนี้ คงเป็นเพราะเด็กผู้หญิงคนนั้น แอลลีสันมองต่ำลงไปสังเกตเด็กหญิงผมยาวสีดำอายุประมาณเจ็ดขวบที่อยู่ถัดไปจากจัตุรัสกลางเมือง เธอกำลังพูดคุยอยู่กับวิญญาณจำนวนหนึ่ง พี่น้องม๊อทโฉบลงไปเกาะที่ต้นไม้ที่มีหิมะเกาะอยู่ตามกิ่งที่อยู่ใกล้ๆเธอ หน้าตาของเธอหน้ารักตาสีฟ้าของเธอคล้ำเหมือน แจ็ค ฟรอสต์ พี่น้องม๊อทจำได้พวกเขาเคยเอาหนังสือเทพนิยายไปคืนให้เธอเมื่อสี่เดือนก่อน เธอชื่อ อะกาท่า พวกม๊อทเรียกเธอว่า แอ็กกี้ เธอเป็นเด็กที่มองเห็นคนตาย
“ไม่ คุณไม่เข้าใจ หนูไม่ค่อยถูกกับคนเมืองนี้”แอ็กกี้บอกกับเหล่าวิญญาณสีฟ้าอมเขียวเหมือนคนจมน้ำตาย
“แต่นี่มันคือวิกฤตร้ายแรงมาก หนูคือคนเดียวที่เข้าใจว่าพวกเราพูดอะไร”วิญญาณป้าแก่คนหนึ่งกล่าวกับเธออย่างเมตตา
“แต่หนูเป็นแค่เด็กนะค่ะ คุณนายมอนโล หนูไม่กล้า”แอ็กกี้ตอบอย่างหวาดหลัวและไม่มั่นใจ ตลอดการเจรจาเธอหลุบตาต่ำหน้าตาของเธอดูหม่นหมอง พี่น้องม๊อทอยากรู้เหลือเกินว่าพวกเธอคุยอะไรกัน ทั้งสองจึงโฉบลงมาจากต้นไม้ ลงไปบนพื้นหิมะแล้วกลับร่างเป็นภูตดังเดิม เหล่าวิญญาณและเด็กน้อยต่างตกใจและดูท่าจะวิ่งหนีพวกเธอ
“เดี๋ยวอย่าพึ่งไป!”เลียมร้อง พลางกางนิ้วออกห้ามทั้งหมด
“ขอโทษที่ไม่มีมารยาท แต่อย่าว่าเราสองคนสะเออะเลย ขอถามหน่อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น”แอลลีสันหุบปีกภูตและถามออกมา แต่ทุกคนกลับเงียบและจ้องพวกเอตาเขม็ง แอลลีสันหน้าแตกยับเยิน
“ขอโทษนะนางฟ้า คือพวกเธอสองคนเป็นใครกันจ้ะ”ในที่สุดผีป้ามอนโลถามขึ้นเธอผายมือไปยังทั้งคู่ สองพี่น้องถลึงตาใส
“ฉันไม่ใช่นางฟ้า ฉันเป็นภูตม๊อท”ทั้งคู่ตะโกน
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ทำไมมีพวกผีมาเดินเพ่นพ่านเยอะแบบนี่เนี่ย”เลียมร้องขึ้นอย่างหมดหวัง
“น้อยๆหน่อยไอหนู หัดมีสัมมาคารวะ พูดดีๆซิ”ผีชาวนาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“โห…ผมอ่ะนะอายุร้อยสิบสองแล้วลุง ลุงไม่ต้องมาสอนผมเลย”เลียมกล่าวพลางกางปีกใหญ่สีครามขู่เตือนถึงต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาของเขา พวกวิญญาณพากันตกอกตกใจ แอลลีสันใช้แขนรวบปีกทั้งสี่ของน้องเธอไว้
“เอ่อ ขอโทษค่ะ พอดีไอน้องชายมันกำลังเข้าวัยรุ่น”แอลลีสันก้าวมาห้ามน้องชายของเธออย่างอับอาย
“พี่อ่ะ”เลียมร้องอย่างอดเสียดายมิได้
“คือ… เราพิทักษ์ที่เมืองนี้อยู่ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นถึงได้วุ่นวายไปทั้งเมืองอย่างนี่ละค่ะ”พูดจบแต่อย่างเดิมพวกผีพากันอึ้งเงียบใส่เธอ แอลลีสันกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย
“แอ็กกี้!”แอลลีสันร้องออกมาอย่างเหลืออด สาวน้อยสะดุ้งโหยงก้าวออกมากข้างหน้าฝูงชนที่ตายแล้ว
“หนู…หนูก็ไม่รู้ค่ะ พวกเค้าบอกหนูว่าเรากำลังมีวิกฤต”แอ็กกี้พูดอย่างไม่มั่นใจอย่างเคย
“วิกฤตอะไรสาวน้อย”เลียมถาม อะกาท่าน้อยกลอกตาทางซ้ายทางขาวไปมาพยามหาทางออก แล้วในที่สุดเธอก็พูดขึ้น
“เจ้าแห่งฝันร้ายกำลังวางแผนยึดโลกกลับสู่ยุคมืดของเขา เขาส่งฝันร้ายไปทั่วทุกแห่งบนโลก แต่เพราะเมื่อคืนก่อนแซนแมนส่งทรายแห่งความฝันมากำจัดฝันร้ายจนหมด เจ้าแห่งฝันร้ายจึงวางแผนจะส่งม้าไนท์แมร์มาโจมตีเราในตอนกลางวัน ตอนที่แซนแมนไม่ได้ส่งทรายแห่งความฝันมาปกป้องเรา”แอ็กกี้พูดอย่างหวาดกลัว สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ เรามีปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ
“เราต้องไปบอกให้ทุกคนรู้”เลียมกระซิบ
“ไม่ได้หรอก ไม่มีใครเชื่อพี่ เค้าจะบอกว่าพี่เป็นแม่มดหมอผี”แอ็กกี้พูดด้วยเสียงสั่นๆ “เหมือนกับที่เค้าบอกว่าหนูเป็น” เมื่อได้ยินคำพูดที่เศร้าหมองอย่างนั้น แอลลีสันก็คุกเข่าลง วางมือขวานบไหล่ของเธอ จ้องเขาไปในดวงตาอันทุกข์ตรมของเธอ
“เธอไม่ใช่แม่มดสาวน้อย การที่เธอมองเห็นวิญญาณคือพรสวรรค์ของเธอ”
“แต่ทุกคนกลัวหนู ไม่มีเด็กคนไหนเล่นกับหนู หนู ทรมานเหลือเกิน”แอ็กกี้สะอื้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้ พี่น้องม๊อทเองก็ด้วย อะกาท่าเกิดมาพร้อมกับความแตกต่าง มันทำให้คนกลัวสิ่งที่เธอมี กลัวสิ่งที่เธอทำ เธอโดดเดี่ยวมานานมากสำหรับมนุษย์ เด็กๆในเมืองเกลียดเธอ ไม่มีใครคุยกับเธอ ถึงมีก็น้อยมาก
“แล้วไงล่ะจ้ะ ใครจะแคร์ ในเมื่อหนูพูดความจริง หนูไม่ได้โกหกเหมือนพวกที่อ้างว่าตัวเองเห็นเหมือนสิบแปดมงกฎบางคน”ป้ามอนโลปลอบเธอ
ทันใดท้องฟ้าก็มืดมน แต่ไม่ได้เป็นเพราะเมฆ มันเป็นเพราะทรายสีดำที่หมุนวนไปรอบราวกับภายุใต้ฝุ่น ทั้งเมืองจับตามองกลุ่มทรายขนาดยักษ์ แอลลีสันมองมันตาไม่ขยับ การเตือนนี้สายไปแล้ว
“หนี…”เธอกระซิบ แต่เมื่อทุกอย่างยังนิ่งอยู่เธอก็เริ่มขึ้นเสียง “หนีๆๆๆ ไป ไปกันได้แล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งกลุ่มจึงวิ่งเข้าหาที่ปลอดภัย ในเวลาแบบนี้ไม่มีอะไรให้คิด ม๊อทไม่เคยสู้กับทรายแห่งฝันร้ายมหาสารแบบนี้มาก่อนในรอบร้อยปี แต่ตอนนี้เธอเผชิญหน้าอยู่กับมันเพียงแค่สองพี่น้อง โดยปราศจาก แจ็ค ฟรอสต์ หรือผู้ช่วยเหลือใดๆ
ความคิดเห็น