คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ศพในบ้าน
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เขาตื่นขึ้นมาช่วงตีสี่กว่าจะตีห้า เห็นป้าป้อมและป้าไหมนั้นทำกับข้าวอยู่ในครัวอย่างเร่งมือ เขารับรู้ได้ว่านี้วันพระแน่ๆ จึงรีบก้าวเท้าลงไปร่วมงานด้วยกันกับพวกเธอ ป้าป้อมสั่งอะไรเขาก็รีบทำ มันรู้สึกแปลกๆที่วันนี้ไม่ได้ยินเสียงเปียโน ตั้งแต่อธิปต้องเดินทางไปทำงานครั้งนี้ อรัญนั้นก็ไม่ได้เล่นมันอย่างที่เคย หากเข้าได้ยินเสียงเปียโนสักนิดคงรู้ว่าวันต่อมาเป็นวันพระ เขาจะได้เตรียมตัว
หลังจากที่แต่งของเสร็จแล้วเขาจึงจัดกับข้าวให้คุณลุงและคุณป้า ช่วงนี้ป้าผ่อนก็เข้าๆออกๆที่โรงพยาบาลเพื่อไปตามที่หมอสั่ง และวันนี้คุณลุงและป้าป้อมต้องพาคุณป้าไปโรงพยาบาล เขาจำต้องอยู่ช่วยป้าไหมทำความสะอาดบ้านตึกใหญ่เพราะไม่ได้ทำมานาน เขาต้องปัดฝุ่นทุกซอกที่ห้องโถงฝั่งเปียโน ครั้งแรกที่เข้ามาโซนนี้อยู่ร่วมปีไม่เคยมาเลย เขาดึงม่านทึบที่ปิดไว้ออก และลงม่านโปร่งแทน ป้าไหมหอบกองผ้ามาวางพร้อมกับแนะนำน้ำยาว่าอันไหนไว้สำหรับเช็ดอะไร
“ม่านอย่าเปิดหมด ไปเอาลง แกไม่ชอบ เปิดเอาแค่มีแสงพอ” ป้าไหมบอกพร้อมกับไปปลดม่านบังแสงลงเข้าหากันและเว้นให้แสงลอดเข้ามาแค่ศอกนึง เขาจึงทำตาม แต่มันก็ยังไม่พอแสงสว่างจะรู้ได้อย่างไรว่าเช็ดทั่วถึง เขาไม่อยากเรื่องมากเลยปล่อยเลยตามเลย เขาเห็นตี๋นั่งบันใดเช็ดกระจกอยู่ภายนอก จึงหยิบเครื่องดูดฝุ่นมาจัดการตรงผ้าม่านเสียเลย
ขณะที่เริ่มทำความสะอาดเขาก็เกิดนึกถึงวันที่เข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก มันดูกว้างและดูมีมนต์ขลังสะกดเขาให้เข้ามาที่นี่ ยังนึกถึงภาพอรัญที่ยกปืนขึ้นเล็งเขาอยู่ไม่สร่าง
“......!” เขาดับเครื่องและรูดม่านเปิดเพราะเมื่อตะกี้เขาได้ยินเสียงเบียโนชัดๆแข่งกับเสียงเครื่องดูดฝุ่นของเขา ตรงที่นั่งมันว่างเปล่า มีเพียงฝุ่นละอองที่ลอยในอากาศเห็นใด้ชัดเมื่อโดนแสง เมื่อเขาเปิดม่านจึงรู้ว่าหากแสงแดดโดนเครื่องเรือนอาจจะเสียหายได้ เขามองตามแสงไปที่เปียโน ไล่สายตาไปที่ตู้ชั้นวางหนังสือ และภาพวาดแบบไทยๆที่แสดงถุงความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยก่อน
“มีอะไร?” ป้าไหมที่อยู่ห้องโถงตรงข้ามถามเขา
“เปล่า...เหมือนได้ยินเสียงเปียโน” เขาขมวดคิ้ว
“หูฝาดรึเปล่า ไม่เห็นได้ยิน” พูดจบป้าไหมก็หันไปมองตี๋ที่หน้าต่างบานยาว ตี๋ที่เช็ดกระจกอยู่บนบันใดก็ส่องผ่านกระจกบานหน้าต่างเข้ามามอง
“ก็น่าจะ” เขาตอบ เขาปล่อยม่านและวางเครื่องดูดฝุ่นพลางเดินไปที่เปียโน และมองมันอย่างพิจารณา นึกถึงที่เขาเคยฝันถึง
“ออกสิ” เขาสะดุ้งเมื่อเสียงอรัญบอกจึงรีบถอยออก วันนี้เธอสวมซิ่นสีดำหากมองดีๆแล้วมันฝังลายทอสีเดียวกันอยู่ด้านใน และเสื้อยืดสีดำ เธอเดินมาดึงผ้าครอบเปียโนลง
“ถ้าเห็นเปิดอยู่ก็ปิดมันลง” อรัญอธิบาย เขาจึงพยักหน้าและหายสงสัยที่มาของเสียง พอมันเงียบเป็นเขาเองหรอกหรือที่คิดหนักได้ขนาดนี้ รู้สึกใจชื้นที่อรัญมา เขากลับไปเช็ดทำความสะอาดม่านต่อ พลางคิดว่าที่งานหนักที่สุดคงเป็นตี๋เพราะหน้าต่างนั้นแทบจะรอบบ้านเลยก็ว่าได้
ขณะที่เขาดูดฝุ่นไปที่ละล็อคๆ และมีอรัญยืนอยู่ที่ตู้ชั้นวางหนังสือ เขาอธิบายว่ายังไม่ได้ทำความสะอาด แต่เดี๋ยวจะทำทั้งหมดนี่แหละ ไม่นานเสียงเปียโนก็ดังขึ้นหลังจากที่เขาดูดฝุ่นเสร็จ ก็ทำโน่นนี่ไปเรื่อย คิดว่าป้าไหมคงไปเอาอะไรสักอย่าง เขาเห็นผ้าและกระบอกฉีดวางอยู่ที่ตู้โชว์เลยไปหยิบมาฉีดใส่ผ้าเพื่อเช็ดขอบกรอบหน้าต่างที่อาจจะมีฝุ่นติด เริ่มจากฝั่งทางนี้แหละค่อยไล่กลับไปห้องเดิม เมื่อเขาจะเช็ดหน้าต่างก็ต้องหยุดชะงักเพราะตรงบันใดนั้น ตี๋ไม่อยู่แล้ว เห็นแต่ถังน้ำและบันใดตั้งอยู่ อุปกรณ์ครบ
“....” เสียงบรรเลงเปียโนก็พลันหยุด เขารีบเหลียวไปมองที่เปียโนเห็นอรัญยืนนิ่งที่ตรงกลางทางเดินโถงสองห้อง เธอเงียบและมองอยู่ครู่เขาเองก็สงสัยที่อยู่ดีๆก็หยุดเล่นและมองเขาทำไม หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้น เพราะอรัญนั้นประสาทสัมผัสไวเขาเลยไม่นิ่งนอนใจ แต่ไม่นานตี๋และป้าไหมก็เดินถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเข้ามา ตี๋นั้นเดินโค้งตัวผ่านอรัญญาออกไปที่หน้าตึก สงสัยอรัญนั้นจะไปตามตี๋และป้าไหมนี่แหละที่อู้งาน
“เพราะไหม?” เธอถามเขา เขาพยักหน้า เมื่อเธอเดินเข้ามาจัดม่าน เขาเห็นตี๋ขึ้นบันใดเพื่อเช็ดกระจกเช่นเดิม
“เดี๋ยวห้องโน่นจะทำเอง แบ่งมาสิ” เธอพูด ป้าไหมจึงหยิบอุปกรณ์แบ่งให้เธอแยกย้าย
“เมื่อเช้าไม่เห็นเล่นล่ะ รู้ไหมตื่นสายเลย” เขาพูดกับเธอ ป้าไหมเองก็ไม่เห็นบ่นตามเขา เช็ดและทำความสะอาดเงียบๆ
“เล่นเฉพาะตอนที่คิดถึงอธิป เพราะอธิปสอนเล่น” เธอบอกพลางจัดผ้าม่าน และเดินกลับไปที่ห้องเปียโน และเปิดม่านทางซ้ายมือออกล็อคหนึ่ง และตรงไปที่ตู้หนังสือ เธอหยิบหนังสือและข้าวของออกจากชั้นทั้งหมดก่อนลงมือเช็ดฝุ่นที่ชั้น
“ต้องหาผ้าคลุมใหญ่ๆมาคลุมไว้”
“จ้าเดี๋ยวป้าจัดการให้” ป้าไหมรีบตอบรับคำ เสียงข้าวของที่ทุกคนทำความสะอาดในตอนนี้ มันทำให้กลับเข้าสู่บรรยากาศของการทำงาน ทุกคนดูขมักเขม้นในการทำความสะอาด ราวกับจะเร่งมือให้เสร็จไวๆ เสียงลมพัดผ่านเป็นระยะ พื้นที่ตรงนี้มีกันเพียงสามสี่คน ที่คอยทำความสะอาดตึกใหญ่โซนนี้ก็น่าจะใช้เวลาอยู่พอสมควร
“อื้ม!!” เขาเห็นอรัญยกมือขึ้นปิดปาก และลุกจากพื้นที่นั่งเดินไปที่หน้าต่าง เธอหันหลังให้พวกเขาอยู่ ราวจะก้มอ่านอะไรสักอย่างอยู่เงียบๆ ป้าไหมเหลียวมองเขาก่อนจะลุกไปหาเธอเขาจึงรีบตามไป และหยุดรอเธอที่ยืนอ่านบางอย่างอยู่ อรัญที่ยืนหันหลังอ่านบางอย่างอยู่อย่างนั้นนานทั้งเอียงศีรษะ
“อ่านอะไรอรัญ?” ป้าไหมเอียงตัวแล้วถามขึ้น ตอนนี้ตี๋ก็เดินเข้ามาคงนึกว่าเกิดอะไรขึ้น
“..... จดหมาย ปี 38 อาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม ..บันทึกมั้ง อธิปเขียน” เธอบอกพร้อมชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น
“น่าเกลียดไหม อ่านได้รึเปล่า ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร?”
“...แค่บอกรักเฉยๆ”
“รักใคร?” ตี๋ถาม
“....อรัญ” อรัญญากรอกตาลงและมองพวกเขา คล้ายจะบอกว่าเป็นตัวเอง ทุกคนเงียบ เขาพลางคิดว่ามีสิทธิ์ไหมที่จะรู้ เพราะหากไม่รู้คงนอนไม่หลับแน่ๆ
“อ่านหน่อยไหมอรัญ?” ป้าไหมถาม อรัญมองกระดาษแผ่นนั้นและยกคิ้วขึ้นพิจารณา
“ถ้าอ่านก็อายแย่...” เธอยิ้มผ่อนลมออกจากปาก ตี๋และป้าไหมเหลียวมองเขา คงเพราะเขาเป็นคนนอกบ้าน เขาเองก็สับสนอยากรู้ก็อยากรู้
“แต่..อธิปก็รักอรัญอยู่แล้ว เรื่องอื่นก็รู้กันดี ไม่น่าเกลียดหรอกมั้ง” เขาออกความเห็น เพราะอยากรู้ว่าความรักที่อธิปให้อรัญมันเป็นแบบไหน อยากรู้มากว่าอธิปนั้นบอกรักอรัญเยี่ยงใด ไม่เคยเห็นเมื่อเวลาอยู่กันสองต่อสองเสียที
“ไม่ดีกว่า” อรัญขมวดคิ้ว
“หื้อ...!! ป้าคาใจนะอรัญ!”
“ใช่ ไม่เห็นมีอะไรน่าอายกันแล้ว” ตี๋บอก ขนาดคนที่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กยังอยากรู้ นับประสาอะไรกับเขาที่เพิ่งเข้ามาอยู่ เขาเองก็ชักสงสัยว่าเรื่องที่เขาคิดมันอาจจะจริง หรือจริงๆแล้วทุกคนก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอธิปกับอรัญนั้นเป็นเช่นไร
“งั้นมาทำสัญญากันไหมว่าจะไม่พูดอะไร” เขาออกความเห็น หากไม่รู้คงหาโอกาสแอบอ่านแน่ๆ ซึ่งทำเช่นนั้นก็อาจจะไม่ดีเป็นแน่ แต่ดูเหมือนอรัญญานั้นจะไม่สนใจที่เขาพูด
“ต่อไปห้ามทุกคนเข้าใกล้ตู้นี้ อีก เดี๋ยวจะทำความสะอาดเอง” อรัญญาพูดพลางเก็บจดหมายและเดินกลับไปที่ตู้ ป้าไหมถอนใจอย่างเสียอารมณ์คงเพราะอยากจะเห็นเหลือเกิน เธอนั่งลงขัดสมาธิ ตี๋และเขาก็พลางนั่งลงด้วย ก็คงจะมีมีความรู้สึกเช่นเดียวกันหมดนนี่นี่แหละ
“ไม่อ่านป้าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น” ป้าไหมพูด
“สัญญาเลยจะไม่บอกใคร เรื่องอะไรก็รู้กันดีอยู่แล้ว” เขาเสริม ตี๋เหลียวมองเขาและหันมองอรัญญาที่ยืนนิ่งอยู่
“...ขอดูได้ไหม อยากเห็นอธิปบอกรักอรัญ เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก อายอะไร” ตี๋พูด
“ทำไมถึงอยากรู้นักล่ะ?”
“ก็ยังไม่เคยเห็น อธิปบอกรักอรัญสักที” ตี๋พูดตามตรง ป้าไหมพยักหน้าหงึกๆ
“said I love you but I lie” อรัญญาพูด ทุกคนงงว่าที่อรัญญาพูดคืออะไร เขานั่งแปลแล้วแต่มันแปล่งๆเลยไม่ออกความเห็นไว้ก่อนเป็นดีที่สุดเดี๋ยวเสียหน้าเปล่าๆ
“คำสุภาษิตฝรั่ง การกระทำสำคัญกว่าคำพูด” อรัญญาอธิบาย
“ไม่ ไม่ อยากได้ยินว่าอธิปบอกรักอรัญ ไอ้การกระทำใครๆเขาก็เห็น” ป้าไหมแย้ง อรัญญามองกระดาษอยู่ครู่ ก่อนเงยหน้ามาบอก
“.....มันเป็นจดหมาย ...บันทึกว่า ...ให้เกียรติอธิปเถอะ ขอร้อง” อรัญโบกมือไปมาเม้มปากอย่างพูดไม่ได้ เธอไม่ทำความสะอาดแล้วพลางเดินกลับขึ้นห้องไปเสียเฉยๆ
“ป้าจะบอกอธิปว่าอรัญอ่าน” ป้าไหมหันมองตามอรัญ เธอจึงเดินกลับมา และเปิดม่านอีกฝั่งออกพลางเหลียวมองสมุดหนังสือทุกเล่ม และเริ่มรื้อเปิด
“ชั้นนี้เป็นของอธิปหมดเลย เมื่อก่อนใครทำ?” อรัญญาขมวดคิ้ว
“ป้าป้อม ลุง”
ทุกอย่างมันดูเงียบสงบผิดปกติ ไม่มีเสียงลมหรือใบไม้กระดิก ในบ้านหลังหนึ่งที่อยู่กลางแมกไม้ในพื้นที่กว้างๆซึ่งมันไม่ต่างจากการที่ต้องอยู่ในป่ากันแค่สามคนในบ้านนี้ มันเงียบสุดๆ อรัญญานั่งคิดอยู่เงียบๆพลางถอนหายใจเป็นพักๆ พวกเขาไม่รู้ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร จดหมายฉบับเดียวทำให้คนที่อ่านถึงกับต้องคิดหนักขนาดนั้นกันเลยหรือ
ลุงปราสาทนั่งที่แคร่ที่หน้าห้องครัวในยามเย็น พลางพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก หลังจากวันนั้นอรัญก็ไม่พูดถึงเรื่องจดหมายอีกเลย และพลอยดูซึมเศร้าลงไม่พูดไม่จาอะไรให้มากความจนกระทั่งลุงถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไร เพราะถ้าหากเป็นแบบนี้เห็นทีหากอธิปกลับมาคงทำตัวกันไม่ถูก
“เรื่องบางเรื่องกะรู้กันดีอยู่ ..อธิปแกก็ป่วย ก็รู้กันอยู่จะถามอะไรให้มันมากความ” ลุงพูดขึ้น
“ป่วยยังไงครับ ผมว่าอธิปแกปกติธรรมดานี่แหละ” เขาแย้ง เพราะแค่รักน้องสาวนอกไส้ มันไม่เรียกว่ามีอาการทางจิตเลยสักกะนิด เรื่องนี้จะคุยกันกี่รอบๆก็ไม่มีวันจบ สักที
“เชื่อลุงนี่น่ะ เขาป่วยจิต ถามป้อมดู ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบนี้เหรอ” ถึงแม้เขาจะเถียงว่าอธิปไม่ได้ดูป่วยจิตแต่ลุงก็คงพูดแบบนี้อยู่ดี มันเป็นการเลี่ยงที่จะไม่ตอบหรือเปล่าเขานั้นก็ไม่รู้ด้วย เขาเหลียวมองตี๋เพื่อถามความเห็น ตอนนี้ลุงเหมือนจะเริ่มหงุดหงิด อาจจะเพราะไม่อยากตอบคำถามเรื่องความสัมพันธ์ของอธิปล่ะมั้ง
“ลุงกับป้าป้อมเคยอ่านใช่ไหม?” ตี๋เอ่ยถาม
“เออ ลุงนี่แหละฉีกออก ใครมาอ่านเข้ามันไม่ใช่เรื่องดี” ลุงตอบ
“มันก็..เป็นเรื่องที่ทุกคนในนี้ก็รู้ไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรหรอก เพียงแต่ว่าถ้าอ่านก็จะรู้ว่าอธิปคิดอะไร จะตกใจกันเปล่าๆ” ป้าป้อมที่เงียบอยู่นานก็เสริมขึ้น
“รู้แบบนี้ตอนนั้นกูเผาทิ้งไม่ดีกว่ารึ หึป้อม?” ลุงดับบุหรี่แล้ววางมือสองข้างลงหัวเข่า หันไปพูดกับป้าป้อมที่ล้างผัดอยู่เตรียมไว้ให้เขานั้นห่อเก็บเข้าแช่
“มันเป็นจดหมายแบบไหนครับลุง?” ตี๋เอ่ยถาม เขานั้นดีใจที่ตี๋นั้นก็อยากรู้อยากเห็น ป้าไหมนั้นเงียบ ไม่พูดไม่จาจัดล้างอุปกรณ์อย่างดี ขัดที่คอทัพพีล้างความมันออกในแต่ละอัน
“........” ลุงเงียบเหม่อมองรอบๆ ท่าทีเดียวกับอรัญญา เหมือนรอการตัดสินใจอยู่ เขานั้นใจจะขาดชักอยากจะรู้ว่ามันเป็นจดหมายแบบไหนกันแน่ ทำไมมันยากยิ่งนักที่จะบอกขนาดนั้น
“...ถ้าได้อ่านก็รู้เลยว่าอธิปได้น้องเป็นเมียแล้ว” ลุงพูดขึ้นยกมือขวาเกาต้นคอที่มีใบหูกระจกตกลงมา คงไม่ต้องบอกว่าเขาช็อคขนาดไหนหม้อกระทะที่เขากำลังจะเอาเข้าไปในครัวหลุดมือ ไม่รู้มันหลุดไปตอนไหนทำเขาจับด้ามไม่อยู่ ป้าป้อมหันมามองเขา เขารีบก้มเก็บ
“มันก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้นหรอกป๊อบ มันแค่ อธิปไม่ยอมแต่งงาน ไม่อยากแต่งเพราะว่ามีอรัญคนเดียว มันเลยทำให้ป้ารู้ว่ามีอรัญที่เขารักคนเดียว เข้าใจไหม?” ป้าป้อมอธิบาย ทุกคนในที่นี้ใช้ภาษาท้องที่กันอยู่แล้ว เธอบอกเขาอย่างกันเองเป็นเชิงว่าในจดหมายไม่ได้พร่ำพรรณาถึงเพลงรักบนเตียง เพียงแค่บอกว่าชีวิตนี้ขอมีอรัญเพียงคนเดียว
“แล้วตอนนี้อรัญเขาจำได้ไหมครับ เขารู้ไหม?” เขาถามกลับเป็นภาษาท้องที่เช่นกัน
“รู้สิ อยู่กันมาขนาดนี้ คงอายแหละเพราะป๊อบเพิ่งมาอยู่ แล้วอีกอยากนึง ถ้าป๊อบได้อ่านคงจะคิดว่าอธิปโรคจิตเป็นแท้ อรัญคงไม่อยากบอกเรื่องนี้หรอกป้าว่า ไม่มีอะไรหรอก” ป้าป้อมอธิบาย
“แกหายดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ผมไม่ถือเรื่องนี้ ของแบบนี้เกิดขึ้นกับใครก็ได้...” เขาหยุดพูดเมื่ออรัญเดินมา ทุกคนจึงเหลียวมองตาม
“หิวข้าวแล้ว” เธอพูด ด้วยท่าทีอ่อนแรง ป้าป้อมรีบใช้ผ้าปัดแคร่เอาเศษใบไม้ออก
“นี่ อรัญมาแล้ว มาๆมานั่ง... ไหนบอกป้าสิว่า รักอธิปไหม ให้พวกมันได้ยิน มันจะได้หายสงสัยกัน” ป้าป้อมตบแคร่เป็นการบอกให้อรัญญานั่ง เมื่อเธอนั่งลงจึงเอ่ยถาม
“ใครสงสัย?” อรัญถามพลางเปิดกระติ้บข้าวขึ้นส่อง
“นี่ไง ตี๋กับป๊อบ มันสงสัยว่าอรัญนี่รักอธิปบ้างไหม บอกมัน บอกมันไป!!”
“ปานนี้ค่อยมาถามเหรอ?” อรัญญาเหลียวมองตี๋ คงเพราะอยู่กันมานาน
“บอกมันไป อย่าเปลี่ยนเรื่อง!” ป้าป้อมย้ำ
“...รักสิก็มีอยู่คนเดียว อย่าไปว่าเขานะ” เธอตอบอย่างเฉยเมยเมย
“ไม่มีใครว่าหรอก มีแต่คนรักทั้งนั้นแหละนั่งยืนอยู่นี่” เขาบอกเธอเพื่อให้เธอสบายใจและกลับมาเป็นเหมือนเดิมเสียที
“......” เธอเงียบจ้องมองเขา เขารีบพยักหน้าให้เธอเป็นการรับปาก
เขาและตี๋ปั่นจักรยานไปรอบๆเพื่อเช็คประตูและตรวจความเรียบร้อย เขาบิดประตูทุกบาน เพื่อให้แน่ใจว่าล็อคดีแล้ว เขานำผ้าห่มผ้าปูปลอกหมอนไปเปลี่ยนเอาผืนใหม่มาใช้ พร้อมกับลงวันที่ว่าเปลี่ยนแล้วจะได้ไม่มีปัญหาในการนับผ้าห่มของป้าป้อมป้าไหม ตี๋เองก็เอามาเปลี่ยนเช่นกันเพราะมันเป็นวันสิ้นเดือน
“เออ เอาไปให้อรัญให้ป้าหน่อยป้าปวดท้อง เดี๋ยวที่เหลือบอกว่าจะไปเก็บเอาตอนเช้า” ป้าไหมชี้ลงกองผ้าอีกมือกุมท้องคงจะอยากเข้าห้องน้ำจริงๆอย่างว่า เขาและตี๋จึงวางผ้าห่มของตัวเองก่อนแล้วเอาของอรัญไปให้อรัญญาแทน
ที่บ้าน อรัญญา อรัญรับเอาหอบผ้าปูผ้าห่มเข้าไปวาง มันเป็นชุดผ้าห่มผ้าปูสีล้วนที่มีด้านนึงสีขาวอีกด้านสีไข่ ตรงแท็กป้ายยี่ห้อเขียนตัวอีกษร อออ่างด้วยปากกา
“ให้ปูให้ไหม?” ตี๋เอ่ยถามเธอ
“ปูเองได้น่า...อย่าเพิ่งไปสิ นั่งลงก่อน” เธอจ่ายมือไปที่โซฟา พวกเขาจึงนั่งลง เขามองตี๋อยู่ครู่จึงพากันนั่ง เธอเดินไปตู้หนังสือแล้วหยิบแผ่นกระดาษแผ่นนั้นอกออกวางลงบนโต๊ะ เป็นลายมือคัดไทยที่สวยที่สุด หมึกปากกาที่ซึมลงกระดาษเป็นที่เรียบร้อย ช่างเป็นลายมือที่งามเกินกว่าที่ผู้ชายจะเขียน ขนาดเห็นตัวหนังสือจากทางส่วนหัวของกระดาษ
“จะดีเหรอ?”
“อยากอ่านไหม?” เมื่ออรัญญาถาม เขาและตี๋กลับเงียบ สำหรับเขาแล้วมันเป็นการสอดรู้สอดเห็นหรือหักหลังอธิปเอามากที่ทำแบบนี้ ตี๋เองก็ลังเลอยู่ไม่นอน ต่างถอนหายใจ พอตอนนี้จะได้อ่านกลับไม่กล้านี่นะ เขาเงียบคิดอยู่ครู่ก่อนบอกอรัญญา
“ไม่..อยากฟัง ฟังแล้วจะได้ลืมจะได้ไม่จำลายมือ เดี๋ยวมันฝังใจ” เขาตอบ
“งั้น...หลับตาสิ” เธอตอบ เขาและตี๋เริ่มหลับตา อรัญเงียบอยู่ครู่จึงเริ่มอ่านออกเสียง
วันอาทิตย์ที่ 19 คุลาคม พศ.2538
พี่ไม่รู้ว่าจะเหนี่ยวรั้งคุณพ่อได้นานสักเท่าไหร่ ใจพี่จะขาดจากโลกนี้แล้วน้องรัก
หากพี่ต้องแต่งงานกับคนอื่นที่พี่นั้นไม่ได้รักเขาเลยแม้แต่น้อย พี่คงทำไม่ได้และไม่อาจ
จะทิ้งอรัญลงได้ เพราะพี่รักแค่น้องเท่านั้นในโลกใบนี้ หากเป็นไปได้อยากให้อรัญนั้น
เป็นของพี่คนเดียวและพี่ก็จะมีอรัญคนเดียว ไม่มีใครอื่นได้อีก และก็อย่าได้หวังว่า
จะมีใครได้เจออรัญอีก เพราะพี่นั้นได้หวงและรักอรัญมาก แม้แต่ผมสักเส้นก็อย่าให้มี
ใครได้แตะ ให้อรัญเป็นของพี่คนเดียวเท่านั้น
พี่นั้นอยากแต่งงานกับอรัญเพียงผู้เดียวได้แต่หวังว่าจะมีใครเข้าใจ แต่มันก็ไม่ได้
ง่ายนักที่จะบอกใครในเรื่องนี้ หากคุณพ่อได้รู้ก็คงไม่ยอมง่าย หากถึงวันนั้นที่พี่ต้องแต่ง
งานร่วมหอกับใครพี่คงไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น พี่นั้นยอมแม้กระทั่งต้องตาย
ขอเพียงแค่ได้อยู่กับอรัญ เมียรักคนเดียวของพี่ รีบโตไวๆ
อธิป
ดูเหมือนมันจะเลี่ยนหากผู้ที่อ่านไม่ใช่อรัญ เขารับรู้ถึงเสียงอันทรงพลังและความรู้สึกของอธิปเขียนถึงเธอได้เป็นอย่างดี มันเป็นเหมือนกระดาษที่ระบายความรู้สึกที่อธิปได้มีให้อรัญ ไม่มีอะไรที่จะต้องอายเลย คนภายนอกก็คงจะไม่เข้าใจต้องมาสัมผัสความรู้สึกนี้ด้วยตัวเอง บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมไม่ให้พูดเรื่องภายในกับใคร เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ เพียงแค่เพราะอายุห่างกันทั้งอธิปก็เลี้ยงอรัญในฐานะน้องสาวก็เท่านั้น มันเป็นเรื่องที่โลกภายนอกไม่ยอมรับกัน
“ไงล่ะ ยิ่งกว่า moment of romance อีก” อรัญพูดขึ้นเมื่อพวกเขาลืมตา เขานั้นอยากจะถามอรัญเสียเหลือเกินว่า รู้สึกอย่างไรที่มาเล่าเรื่องอธิปบอกรักตัวเองแบบนี้ มันแปลกๆอยู่เหมือนนะ นี่อาจจะเป็นเพราะว่าทำไมอรัญไม่ยอมอ่านแต่แรก เท่ากับว่าตอนนี้อรัญนั้นยอมรับแล้วว่าตกเป็นภรรยาของอธิปน่ะสิ
“ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลย” เขายิ้มบอกเธอ สำหรับเขาแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ที่อธิปอายุสี่สิบต้นๆก็ยังดูหล่อเหลา ไม่ใช่ตาแก่โรคจิตเสียหน่อย ยิ่งนับย้อนไปเมื่อวันที่เขียนจดหมายนี้เมื่อสิบปีก่อนคงหล่อเอามากถือเป็นรุ่นพี่พวกเขานี่เอง ถ้านับอายุอรัญในตอนนั้นก็คงจะ 12 ปีได้
“ซึ้งกว่าในหนังเยอะเลย” ตี๋หัวเราะเบาๆ
“เคยมีคนรักรึยังนี่?” เขาหันไปถามตี๋เพื่อเปลี่ยนเรื่อง ตี๋ส่ายหน้า อรัญจึงหัวเราะ
“ยังเลย ยังไม่เคยรักใครเลยสักคน ...ป้าป้อมป้าไหมเหรอ น่าจีบตรงไหน” ตี๋พูดเล่นเอาเขากับอรัญหัวเราะลั่น
อธิปขับรถเข้ามาแล้วโชคดีที่ตี๋มีโทรศัพท์เลยรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องไปเปิดประตู หากมาเห็นเขาและตี๋อยู่ในบ้านอรัญญาคงถูกฆ่าตายก็เป็นได้ ดีที่เขาทำธุระเสร็จแต่หัววันเลยคิดว่าจะปั่นจักรยานรอบๆเป็นเพื่อนตี๋ จะได้เป็นการออกกำลังกายภายในตัว ทั้งอากาศก็ไม่ได้ร้อนมากมาย ปั่นเสร็จก็ไปอาบน้ำนอนและแยกย้ายก็คงจะหลับสบายดี
เขาปั่นผ่านโรงจอดรถ ห้องเก็บผ้าเห็นพี่ไหมออกมาจากห้องเก็บผ้าพอดี ในมือถือห่อผ้าและผ้าเช็ดตัวอยู่จึงจอดรับ
“ไปไหมป้าไหม?”
“ไปๆ รอด้วย” เขารอป้าไหมล็อคลูกบิดและใส่กุญแจสายยูอยู่ครู่ก่อนเดินลงบันใดสองขึ้นที่เฉลียงมา เธอเอาผ้ามาวางที่ตะกร้ารถอย่างกระหืดกระหอบ มีเหงื่อที่หน้าผาก
“ไปบ้านอรัญญา” เธอหอบ
“ลืมเปลี่ยนผ้าอีกแล้วใช่ไหม?” เขาตอกย้ำเธอ เขาเองก็หอบเพราะปั่นไปหลายรอบ ป้าไหมนั่นชอบลืมใส่ข้าวของบ้านอรัญญาอยู่เป็นประจำ
“เดี๋ยวบ๊อปจอดรถแล้วไปเอาน้ำกับของกินไปไว้ให้แกด้วยนะ วันนี้อธิปจะนอนบ้านอรัญล่ะดูท่า ใครจะรู้ว่าจะนอนบ้านอรัญเนาะพี่ก็ไม่เคยเห็นสักครั้ง” เธอพูดพลางหอบ
“ได้ๆ” เขารับคำพลางเลี้ยวเข้าซอยหน้าตึก
“ไม่ทันแล้วใช่ไหมนี่” ป้าไหมพูดเพราะอธิปนั้นสวมผ้าขนหนูผืนใหญ่ผืนเดียวเป็นที่เรียบร้อยพลางรับของจากป้าไหม เขาเดินผ่านเห็นแผงอกเป็นสัดส่วนของอธิปทั้งยังมีกล้ามเนื้อที่ส่วนแขนเมื่ออธิปหยิบเสื้อคลุมขึ้นสวม เขารีบไปเอาน้ำแพค และของในตู้เย็นที่ใช้แช่เครื่องดื่ม อย่างที่อรัญเคยสั่ง เขาตัดสินใจหยิบกระป๋องเบียร์ที่ป้าป้อมเคยแข่ไว้มาใส่ตะกร้าด้วยสองกระป๋อง เผื่อเหลือเผื่อขาดไม่ต้องมาหลายรอบ เมื่อเดินมาเขาเห็นอธิปหยิบเงินส่งให้ป้าไหมใช้ให้ไปซื้อบุหรี่
“...ไหนล่ะร้านค้า?” ป้าไหมหัวเราะ
“บ้านพี่ป้อมไง แกมี ไปขอซื้อต่อแกมาที่เหลือกะเก็บไว้”
“...เออ ใช่”
“เดี๋ยวผมพาไปครับ” เขาบอกรีบส่งของให้อธิปเอาไปวางไว้ในบ้าน แล้วปั่นจักรยานพาป้าไหมไปห้องผ้า
“เพิ่งรู้ว่าป้าป้อมแกสูบบุหรี่นะนี่” เขาพูดขึ้นเมื่อออกจากซอยแล้ว มิน่ามีริมฝีปากที่ดำ เป็นเรื่องเซอร์ไพรท์สุดๆ นึกภาพเมื่อป้าป้อมสวมชุดขาวไปวัดหรือไหว้พระ และมีวันที่ดื่มเบียร์จนเมามายที่ริมสระ ในวันปีใหม่ที่ทำอะไรกินกัน มันช่างขัดแย้งกันไปหมด แต่อย่างว่าทุกคนมีอีกด้านเสมอ ป้าไหมหัวเราะ
“พี่ป้อมแกเฟี้ยวจะตายตอนเป็นสาวหนักกว่านี้อีก ชอบกินชอบสนุกนัก”
อยากจะบอกว่า ป้าป้อมนั้นมีบุหรี่อยู่มาก ราวกับเป็นร้านขายเสียเอง เธอหยิบแบ่งไปให้อธิปสามสี่ซอง เขารู้สึกว่าบ้านนี้ มีครบทุกอย่างจริงๆ ขนาดเครื่องดื่มยังมีครบ หลากหลายรถชาติทั้งแข่ทั้งไม่แข่ ขนมห่อก็ยังมีราวกับย้ายร้านขายของมาไว้ที่นี่ ขนาดที่นี่ในห้องนี้ ผงซักฟอกและน้ำยาซักผ้านับได้คงกุลุดนึงพอดีมีใช้ทั้งปี รวมทั้งผ้าอามัย กระดาษชำระ ตั้งเรียงๆบนชั้นราวกับร้านค้าปลีก
ไม่นานเขาก็เอากลับไปส่งซึ่งป้าไหมก็ต้องไปด้วยเพราะเป็นผู้ที่ถูกใช้ เห็นอรัญญานอนดูหนังบนโซฟากับอธิปในห้องนั่งเล่น ป้าไหมจึงวางไว้บนโต๊ะและทำการล็อคบ้าน เขาและป้าไหมยังต้องไปทำหน้าที่ปิดล็อคตึกใหญ่เพราะดูเหมือนอธิปคงค้างที่บ้านอรัญญาและค่อยมาเปิดให้ในตอนเช้าตรู่
ติ้ง...!! เสียงเปียโนดังขึ้นขณะเขากำลังจะใส่กุญแจ ป้าไหมสะดุ้งโหยง เขาส่องผ่านม่านคงไม่เห็นจึงเปิดประตูเข้าไปดูเมื่อเห็นตี๋ปั่นจักรยานมาพอดี เขาเปิดไฟที่ห้องโถง เห็นฝาครอบเปียโนนั้นเปิดอยู่ จึงปิดลงตามที่อรัญเคยบอก เขาถอนหายใจเฮือกนึงก่อนเดินกลับไปปิดไฟ ในใจนั้นถือเสียว่าเปียโนนั้นเตือนเขาให้ปิดฝาครอบคีย์เปียโนทุกครั้งที่เห็นมันเปิด เมื่อกลับออกมาเห็นสองคนยืนนิ่งอยู่ ป้าไหมจึงปัดแมลงที่บินบนหน้าเธอ
“เสร็จยัง ไวๆ น้ำยังไม่อาบ” ป้าไหมพูดพลางดึงเขาให้ออกมาจากในตัวบ้าน
“พากันกลัวเหรอ?” เขาหัวเราะถาม เพราะทุกคนดูตื่นๆ ยืนรอเขาคนเดียว ไม่คิดเลยว่าทุกคนจะมีอารมณ์นี้ที่บ้านนี้
“อย่ามาบิ้วด์” ป้าไหมบอกพลางหัวเราะรีบจัดการล็อคประตู
เขาลืมตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงเปียโน มองนาฬิกาแค่ราวๆตีสี่สิบนาทีเศษ เขาส่ายหน้าสะบัดความง่วงออกพลางลุก เพราะวันพระเพิ่งจะผ่านเลยไปแท้ๆ เขาเดินออกจากครัวเห็นลุงและป้าป้อมเองก็ออกมา เสียงเพลงบรรเลงที่เล่นก็ต่างจากแต่ก่อน เขาจำได้ว่าช่วงนี้อธิปไปค้างที่บ้านอรัญญาออกบ่อยครั้ง พลางสงสัยว่าใยจึงเล่นเปียโนยามนี้ เขาเดินไปทางหน้าตึกเพราะด้านหลังนั้นยังไม่เปิดประตู
“ลุงครับ”
“อธิปน่าจะเมา” ลุงพูด เขาแลเห็นอธิปบรรเลงเพลงอยู่ด้านใน เขาจึงคัดสินใจไม่เดินเข้าไปและกลับออกมาทางเดิมเห็นอรัญญายืนอยู่ระเบียงบ้านของเธอ เมื่อลุงเดินตามเขามาเธอจึงเดินเข้าไปด้านใน คงเพราะลุงต้องการที่จะคุยด้วย เขาเห็นลุงหยุดเดินและมองเขาจึงกลับเข้าครัว
เมื่อรุ่งสางฟ้าเริ่มสว่างเขาจึงไปจัดของที่ครัวตึกใหญ่ เห็นอธิปหลับอยู่บนโซฟาและมีอรัญนั่งเฝ้าเมื่อเห็นเขามาเธอจึงตามมาที่ครัว เธอสวมชุดนอนที่มีผ้าคลุมแล้วนั่งลงบนโต๊ะ
“จะกินอะไรไหม?” เขาถามเบาๆ
“ขอน้ำชา” เธอจัดระเบียบเสื้อคลุมให้มิดชิด
“คุณลุงจะพาป้าไปหาหมออีกวันไหนก็ไม่รู้” เขาชวนเธอคุยกลบความเงียบ เธอนั่งเงียบ มีสีหน้าไม่สู้จะดีนักราวกับว่ามีเรื่องจะพูดแต่ก็ไม่พูด เขาจึงยกชุดน้ำชาไปให้และถามเธอว่าขนมปังไหม เธอพยักหน้า
“เบื่อไหม อยู่ที่นี่?” เธอถามเขาเมื่อเขาวางจานขนมปังให้เธอ เธอสบัดมือนิดหน่อยให้เขานั่ง
“ไม่นะ...ทำไมอธิปถึงเมา?”
“ไม่รู้หรอก คงไม่มีความสุขน่ะ”
“แล้วเขาต้องการอะไรล่ะ?” เขาจึงถามเธอพลางใช้มือบีบหน้าขาของเขาเพราะรู้สึกปวด
“ถ้าเขาบอกก็คงดี เราก็ไม่ค้องมานั่งถามกันอยู่นี่” พูดจบเธอก็ยกแก้วชาขึ้นดื่ม
ช่วงบ่ายของวันเขาได้ยินเสียง ตู้ม!! มีคนกระโดดน้ำที่สระ กระโดดแล้วเงียบไปเลยจนมันดูผิดปกติ เขาและลุงจึงลุกจากแคร่ไปดูใกล้ๆ เขาเห็นอธิปอยู่ในน้ำกับอรัญที่ระดับความลึกประมาณ สามเมตร ทั้งสองยังไม่ยอมขึ้นมา อรัญนั้นตัวลอยใต้น้ำอย่างจมดิ่งและนิ่งเฉยไม่มีอาการกระเสือกกระสน แค่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในน้ำอย่างนั้น
“รอ สิบวิถ้าไม่ขึ้นโดดเลย” ลุงบอกเขาที่ตั้งใจจะกระโดดอยู่แล้ว ไม่นานอธิปก็ว่ายไปหาเธอและพาเธอขึ้นมาเหนือน้ำ อรัญตาแดงก่ำและไออย่างสำลั่กน้ำในอ้อมกอดอธิป เขาตื่นเต้น มันราวกับว่าอธิปเหมือนกำลังจะฆ่าอรัญเสียอย่างนั้น
“คิดจะทำอะไร น้องว่ายน้ำไม่เป็น” ลุงไม่มีรอยยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ป้าไหมที่รีบวิ่งเอาผ้าขนหนูมาให้
“ลืม...ไม่เป็นไรใช่ไหม” อธิปบอกและเปลี่ยนมาให้อรัญเกาะหลังเข้าฝั่งและถามอรัญ อรัญส่ายหน้าเธอดูตกใจมากกว่าสนุก เขาช่วยดึงอรัญขึ้นนั่งขอบสระน้ำ
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ลุงส่งผ้าขนหนูให้อรัญ เธอส่ายหน้าก่อนจะยิ้มและหัวเราะออกมานิดหน่อย
“ตกใจหมดเลย” เธอใช้ผ้าซับหน้า แล้วส่งยิ้มให้อธิป
“ไปเปลี่ยนผ้าก่อนไป ลุก” ลุงบอกเธอ แต่เขานั้นใจยังสั่นไม่เลิก
“ไม่เป็นไร อธิปขึ้นไหม?” อรัญเอนตัวลงขอบสระมองอธิป อธิปว่ายน้ำมาจูบเธอต่อหน้าเขาและลุงและป้าไหม ก่อนจะพยักหน้า
“ป้าจะไปเอาชุดมาให้” ไหมพูดก่อนรีบเดินไปที่จักรยาน
“ไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ เดี๋ยวลุงดูเขาเอง ไป พาอรัญไป” เขาจึงรออรัญลุกและพาเธอเดินกลับ เสื้อเชิ้ตที่เธอสวมนั้นแนบเนื้อเห็นบราสีดำที่เธอสวม เธอใช้ผ้าขนหนูเดินเช็ดศีรษะพลาง อย่างไรเสียเขาก็รู้ว่าเธอเพิ่งจะปรับอารมณ์ให้ดูเหมือนไม่เป็นอะไร ทั้งที่เธอนั้นคงตกใจอยู่เช่นกัน มันแสดงออกด้วยท่าทีที่ปิดไม่มิด
เขาพิงผนังข้างบ้านอรัญญา เหลียวมองพุ่มไม้ของตึกใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า มองเห็นแมลงเต่าทองที่บินมาเกาะที่ใบไม้ เขารู้สึกเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ที่อรัญนั้นกำลังเปลี่ยนผ้าอยู่ในบ้าน ได้ยินเพียงเสียงป้าไหมพูดคุยหรือปลอบใจอรัญอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ได้ยินเสียงอรัญเลยแม้แต่น้อย เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้อรัญนั้นคิดอะไรอยู่
เขายอมรับตรงๆว่าเขานั้นเริ่มที่จะกลัวความคิดของอธิป หากว่าอรัญนั้นว่ายน้ำไม่เป็นก็เท่ากับว่าจงใจที่จะปล่อยอรัญให้อยู่ในน้ำ เขาพลางนึกในใจว่าอรัญนั้นคิดอะไรอยู่เมื่ออยู่ในน้ำ เขาชักจะกลัวและไม่อยากปล่อยให้เธออยู่กับอธิปเพียงลำพัง หากว่าเคยบอกว่าอธิปนั้นเคยป่อยเขาว่าตอนนี้แหละที่น่าจะป่วยอยู่ หากทิ้งไว้นานอาจจะกำเริบขึ้นมาอีก และตอนนี้นั้นอธิปเล่นเปียโนและดื่มทั้งวันและคืน มันเป็นเพลงที่ฟังดูเศร้าอยู่ตลอดเวลา
เขาเห็นอรัญสาวเท้าเดินด้วยความเร็วขึ้นตึกใหญ่จึงรีบตามเธอไป อรัญนั้นเดินไปที่ชั้นหนังสือพลางหยิบหนังสือเล่มใหญ่ที่สุดออกจากชั้น และเดินก้าวเท้าขึ้นห้องโถงเปียโนที่มีอธิปเล่นบรรเลงเพลงอยู่ เธอเหวี่ยงหนังสือฟาดเข้าที่ศีรษะอธิปจากด้านหลัง อธิปหยุดและหันกลับไปหาเธอ เธอเหวี่ยงแขนกลับเพื่อฟาดปกหนังสือเข้าหน้าอธิปอีกรอบ
“หยุดสักที!!” เธอร้อง อธิปทั้งหน้าแดงและเงียบจ้องมองเธออยู่นิ่ง ก่อนที่ตัวจะเอนและล้มลงจากเก้าอี้ เขานั้นตื่นเต้นทั้งก้าวเท้าไปหาอธิป ไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำ
“อรัญ” ตี๋ตาเบิกกว้างเดินเข้ามามองสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนวิ่งเข้าไปหาอธิป
“..หนวกหู” เธอหายใจหนัก พูดขึ้นก่อนที่จะทิ้งสมุดลงพื้นแล้วเดินหนีไปเสียเฉยๆ
“โทรไปเรียกลุงหน่อย” เขาบอกตี๋
ลุงพาอธิปนั้นออกจากบ้านไปปล่อยให้พวกเขานั้นอยู่กันลำพังเพราะป้าป้อมต้องไปเฝ้าคุณป้าที่โรงพยาบาล เมื่อทราบเรื่องลุงเองก็ดูตกใจอยู่ไม่น้อย เขาได้แต่เล่าว่าอรัญนั้นคงทนไม่ไหวแล้วที่จะเป็นแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอรัญทำกับอธิปแบบนี้ ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
สองวันต่อมาอธิปก็กลับมาด้วยท่าทีที่ปกติและคุยอย่างปกติ ไม่กินไม่ดื่มอีก เอาแต่นอนพักคงเพราะไม่สบายจากอาการที่ป่วยและทานยา แต่เสียงเปียโนที่อธิปเล่นมันยังติดหูเขาอยู่ ท่วงทำนองแบบนั้นเอาออกจากหัวไม่ได้เสียที มันทำให้เขามีอาการปวดหัว อรัญญาเองก็ดูจะอ่อนเพลียดูเหมือนจะกินไม่ค่อยได้และนอนไม่เต็มที่
“ดูแลกันดีๆ อย่าปล่อยให้มีเรื่อง ถ้ามีให้รีบโทร” ลุงสั่ง เพราะตอนนี้ทางคุณป้าก็ดูว่าจะมีอาการไม่ค่อยจะดี เขารีบจัดการทุกอย่างตามปกติ เมื่อยามว่างก็ชวนอธิปกับอรัญนั้นดูหนังจะได้ไม่เงียบเหงา พวกเขาพักทุกอย่างมาดูแลทั้งสองคนจะดีที่สุด อธิปที่นอนหนุนหมอนบนตักอรัญนั้นก็ดูปกติ ยิ้มพูดคุยและหัวเราะ อรัญก็วิจารย์หนังตามปกติ
เขามองละอองฝนที่อยู่ภายนอกโปรยปรายลงสระน้ำ คงจะย่างเข้าฤดูฝนแล้ว เขานั้นปิดหน้าต่างเก็บผ้าไว้แต่วันกันแล้วเลยไม่มีอะไรน่าห่วง อธิปนั้นทั้งนอนเล่นมืออรัญที่วางอยู่บนอก วันนี้อากาศไม่ร้อน เธอเปิดหนังเรื่อง เดอะ เมทริกซ์ ภาคแรกซึ่งตี๋เองก็ชอบมาก เราดูกันต่อเรื่องอื่นๆอีกที่เป็นแนวแอคชั่นอย่างนั้นทั้งวัน
การที่ทุกคนกลับมาเป็นปกตินั้นทำให้เขารู้สึกโล่งและไม่ลำบากใจ เขาขอตัวเร็วกว่าคนอื่นในวันนี้เพราะรู้สึกมีอาการปวดศีรษะ เขาปิดครัวและทานยาที่ลุงเคยเอามาให้เขา เพราะพรุ่งนี้เขายังต้องตื่นแต่เช้า ตี๋และป้าไหมก็รีบทำส่วนของตัวเองให้เสร็จ แต่สำหรับเขาในตอนนี้นั้นไม่ไหวแล้ว
“ป๊อบ” เขาได้ยินเสียงอรัญเรียก แต่เมื่อลืมตาตื่นกลับเป็นเสียงของตี๋ จ้องมองนาฬิกาก็ตีห้ากว่าแล้ว เขาตื่นสายเลยรีบลุกไปเปิดประตู
“ไหวรึเปล่า ถ้าไม่ไหวก็พักก่อน ป้าไหมทำข้าวต้มกุ้งอยู่”
“ไม่เป็นไร ขออาบน้ำแป๊บนึง”
เขายกข้าวต้มกุ้งไปไว้ที่ตึกใหญ่ เมื่อคืนนี้เขาหลับเสียสนิทเลยทำให้ตื่นสายและการรีบนั้นคงทำให้เขามีน้ำมูกและยังคงมีอาการปวดศีรษะอยู่บ้าง ทั้งวันนี้ยังอากาศเย็น เมื่อคืนน่าจะมีพายุ เศษใบไม้และกิ่งไม้ร่วงอยู่บนทางเดินกระจัดกระจายวันนี้คงมีงานหนักที่ต้องจัดการ รู้สึกว่างานเข้าวันที่ป่วยเสียจริง ฟ้าสางบ้านเริ่มเปิด ตี๋ก็ออกไปปั่นจักรยานโดนรอบคงเตรียมเปิดประตูให้ลุงที่จะกลับมาในช่วงเช้าของวันนี้ จวบจนจะแปดโมงเช้าแล้วยังไม่เห็นมีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาซึ่งมันผิดปกวิสัย
“...” เขาจ้องมองไปที่บันใดทางขึ้นนานพอสมควร เขานั้นอ่อนเพลียมากและกะว่าเสร็จงานเช้าจะขอเข้าไปพักซึ่งเขานั้นก็แจ้งลุงเป็นที่เรียบร้อย เพียงแต่ว่าตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่ลงมาเสียที เขานั้นหยิบตะแกรงริมสระมาช้อนใบไม้ออกจากจะฆ่าเวลา เป็นการทำแบบลวกๆ เวลามันผ่านเป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่มีใครลงมาอีก
เขาก้าวขึ้นบันใดอย่างไม่คิด เมื่อมาถึงชั้นบนนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าห้องทางขวามือเข้านั้นเป็นห้องของอธิปที่เปิดแง้มอยู่ เขาเห็นเพียงขาที่อยู่บนที่นอนนั่นแน่นิ่ง ในใจนั้นคิดว่าอยู่คงจะยังไม่ตื่น เขาเลยปล่อยไปก่อนเพราะห้องด้านหน้าเขานั้นตรงผนังมีรูปแขวนติดอยู่มากมาย เขาเดินไปเปิดม่านทึบออกให้เบาที่สุด ในตู้โชว์ของมันมีพวกถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรตั้งเรียงอยู่ แต่เขาไม่สนใจมองแค่เฉพาะรูปถ่ายและดาบที่ตั้งโชว์อยู่เป็นชั้นๆ อธิปนั้นสมัยหนุ่มคงเรียนเคนโด้มาเพราะชุดที่สวมใส่อยู่
เขามองโซฟาที่ตั้งตรงมุมผ้าม่านนี้รู้สึกว่าสีมันแดงและน่านั่งเอามากมันเป็นผ้ากำมะหยี่ และมีชุดโต๊ะทำงานและเขียนหนังสือ หากนั่งมุมนี้แล้วคงสงบมากขึ้น เขาสนใจที่จะเปิดเข้าไปดูห้องตรงข้ามกับห้องนอนของอธิป ที่น่าจะเป็นห้องพระเสียมากกว่าว่ามันจะใหญ่สักแค่ไหน เพียงแต่เขาตกใจที่มันต่างจากห้องทั่วไปมาก เพราะเขาเห็นโลงศพตั้งติดอยู่กับผนังด้านใน ไม่เท่านั้นมันยังมีรูปอรัญอยู่บนโลงใบนั้น ทั้งโต๊ะเครื่องแป้งที่ทำจากไม้ เตียงนอนที่อยู่ข้างๆโลงศพนั้นเป็นเตียงนอนรุ่นเก่าที่มันมีตู้ที่กระจกบานเลื่อนเปิดปิดอยู่ตรงหัวนอนที่ทำเป็นชั้นวางของได้ โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้า ขาเขาเริ่มหมดแรงและแทบจะก้าวไม่ออกเมื่อเขาเห็นหุ่นที่สวมวิกผมตั้งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง
ในเสี้ยววินาทีนั้นใจเขาเต้นระรัวคำถามมากมายมันเกิดขึ้นในหัว หากในโลงนั้นเป็นอรัญแล้วใครกันที่พูดคุยกับเขาอยู่ทุกวันและหากแม้ว่าอรัญนั้นมีฝาแฝดแต่เขาไม่อยากจะคิดว่าอธิปนั้นกินอยู่บนนี้ได้อย่างไรกัน เขาก็สงสัยว่าในนั้นมีศพจริงหรือไม่ แต่เขานั้นก็อยากจะอาเจียรขึ้นมา หากไม่มีใครอยู่ในโลงศพนั้น ใครกันจะเอามาประดับบ้าน เขาได้ยินเสียงรถของลุงสาทกลับมาแล้ว อยากจะก้าวขาออกจากห้องนี้ยังไม่แรง แต่เขาต้องออกความพยายาม
เขารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกกระอักกระอ่วน อาการเวียนหัวเริ่มมีมากขึ้น เขาเริ่มหน้าชา แน่นหน้าอก รีบปิดประตูแล้วออกมาจากห้องเห็นชายผ้าซิ่นของอรัญนั้นเข้าไปในห้องของอธิป เขารีบเดินอย่างกับขาที่ล็อคไม่ค่อยจะไปอย่างใจ เขาอยากจะสอบถามอรัญญาให้รู้เรื่อง แต่เมื่อเขาเปิดประตูออก เขาเหลียวเห็นที่นอนที่เต็มไปด้วยเลือดและอธิปที่นอนทับอรัญอยู่บนอกที่เต็มไปด้วยรอยเลือด เขาได้ยินเสียงเรียกหาเขาที่ชั้นล่างและอยากจะตอบรับแต่เขานั้นทรงตัวไม่อยู่ แล้วมือที่จับล็อคประตูนั้นสั่นเทาเกินที่จะรับน้ำหนักตัวเขาได้ไหว
“.......”
ความคิดเห็น