ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ้านวรา

    ลำดับตอนที่ #2 : เข้าบ้าน

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 65


    บ้าน วรา

    เขาออกปั่นจักรยานในยามเช้าตรู่ของวันแรกที่กลับมาบ้าน เขาปั่นลึกเข้าไปในอีกหมู่บ้านหนึ่ง มันเป็นทางคอนกรีตเล็กๆแคบๆเขาผ่านป่าไผ่ บ้านคนที่มีอยู่เป็นระยะ ทุ่งนา ป่าสน ลำคลองน้ำ เขาปั่นขึ้นเนินก็จะเป็นทางลาดยางสีดำและหยุดเมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง

    มันเป็นกำแพงรัวที่ฉาบปูนทื่อๆ เริ่มมีราและมอสขึ้นเกาะทำให้ดูเก่า สูงราวสามเมตร ริมรั้วมีต้นดอกเข็มปลูกเรียบกำแพง ยาวเกือบกิโลเมตร กินฟื้นที่กว้าง ประตูรั้วเหล็กทึบขนาดใหญ่สูงกว่ารั้วทำให้ไม่สามารถมองเห็นด้านในและเขาไม่เคยเห็นว่ามันเคยได้ถูกเปิดออกใครผ่านไปมาคงคิดว่าข้างในเป็นเรือนจำ ไม่ก็โรงสีข้าว เมื่อก่อนระแวกนี้ยังเป็นป่าสนและทุ่งนา แต่ตอนนี้เริ่มมีบ้านเรือนที่ทิ้งระยะห่างกันอยู่บ้าง เลยดูไม่น่ากลัวเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ระแวงนี้มันก็ยังดูโดดเดี่ยว

    เมื่อตอนที่เขาเป็นเด็กได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่า หากใครได้ย่างกลายเข้าไปลักขโมยของนั้นหาได้มีชีวิตกลับออกมาไม่ หากได้ยินเสียงปืน ยามดึกหรือค่ำคืนนั้นแสดงว่ามีหน่วยกล้าตายที่เข้าไปเสี่ยงชีวิตที่นี่ พวกเขาและเพื่อนๆเลยไม่กล้าเข้ามาระแวกนี้ เขานึกภาพไม่ออกว่ามันมีสภาพเป็นอย่างไร ไม่โรงงานก็อะไรสักอย่าง ฝั่งตรงข้ามที่นี่ยังเป็นป่าสนที่มีรั้วหนามล้อมรอบแสดงความเป็นเจ้าของ และวันนี้เขาสังเกตเห็นกล้องวงจรปิดติดอยู่เป็นระยะของรั้วและมีคนกำลังตัดแต่งต้นดอกเข็ม

    เขาปั่นจักรยานเข้าไปใกล้ ๆ เป็นชายแก่ผิวคล้ำสวมเสื้อเชิ้ดลายสก็อตเก่าตัวใหญ่ทับร่างผอมบางนั้น  สวมหมวกมีปิกและผ้าคลุมที่เปิดเฉพาะส่วนหน้าให้เห็นสีผิวกาแฟคล้ำ เขาทักจะทักทายและสอบถามแต่ดูเหมือนชายแก่คนนี้จะไม่ยอมพูดอะไร ไม่ทักทาย แค่มองหน้า คงเพราะแก้มย้อยเลยทำให้ดูเหมือนอารมณ์บูด 

    “ลุงทำที่นี่เหรอ?”

    “ไม่หรอกเขาจ้างมา” ชายแก่ร่างเล็กโกยเศษต้นดอกเข็มที่ตกอยู่พื้นลงกระบุงพลาสติกสีฟ้า

    “ที่นี่ของใครเหรอลุง?” เขาหยั่งขาจักรยานไว้และมองรอบๆ สงสัยว่าด้านในจะใหญ่สักแค่ไหน คงเพราะป่ามันเยอะมันเลยดูอึมครึมและร่มรื่น มีเพียงเสียงลมพัดผ่าน 

    “ไม่รู้” ลุงดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์ เขาเห็นรถไปรษณีย์มาจอด และหยอดซองจดหมายลงกล่องใหญ่หน้าประตูรั้วจึงรีบปั่นไป แต่ไปรษณีย์นั้น ไปเสียเสียแล้ว ตรงข้างประตูรั้วมันน่าจะเคยเป็นป้ายชื่อที่ปั้นจากปูนและหลุดออกเพราะความเก่าแก่ของรั้ว เขาสงสัยในตอนนี้ว่ามันอาจจะเป็นวัดหรือสุสานจีนก็ได้ แต่ก็ไม่น่าจะใช่ 

    “วอรออาวารา..” เขาออกเสียงเบา พลางสงสัยว่าที่นี่มันคืออะไร ไม่มีบอกว่าบ้านโรงงานหรือบริษัท ชายแก่เดินถือไม้กวาดทางมะพร้าวมาหาเขาพร้อมกับจ้องมองเขา ราวกำจะตำหนิเขาที่สอดรู้สอดเห็น 

    “ที่นี่มีคนอยู่ พื้นที่ส่วนบุคคล” เขาพูดอย่างไม่มีรอยยิ้ม หนังตาตกจนเห็นแค่ตาดำ

    “ครับ ..พอดีผมว่างงานกำลังหางานเผื่อบริษัทเขาเปิด ผมเลยมาดู” เขาแก้ตัว อันที่จริงเขาก็ไม่ได้กลับมาที่นี่นานโข รวมสิบห้าปีได้ และคงจะว่างงานจริง เขานึกในใจคงไม่ได้โกหกเรื่องว่างาน 

    “ไปสมัครในเมืองโน่น คลังข้าวข้างวัดดอนใต้” ชายแก่กวาดมือจากหลังมาหน้าไล่ให้เขารีบไป เขาจึงรีบปั่นออกตัวอยากไวดูเหมือนจะกวนอารมณ์ใครเข้าแต่เช้าเอาเสียแล้ว เมื่อปั่นออกมาได้สักระยะเขาได้ยืนเสียงรถจากทางด้านใน จึงชะลอ ไม่นานเสียงดังจากประตูรั้วก็เปิดออก รถที่เห็นเป็นรถตู้ติดตัวอักษรภาษาจีนขับออกมาทางนี้และผ่านเขาไป ไม่แน่ใจว่าเป็นรถมูลนิธิหรือรถเก็บศพรึเปล่าเพราะเขาอยากจะถามเสียเหลือเกินว่าข้างในนั้นเป็นอย่างไร

     

    เขากลับมาที่บ้าน ก็เห็นพ่อกับแม่ของเขานั่งทานข้าวอยู่บนแคร่ใต้ต้นลำใย เพียงแค่เขากลับเข้ามาพ่อของเขาก็ลุกเดินหนีหยิบผ้าขาวม้าพาดไหล่เดินไปที่ตุ่มน้ำเพื่อล้างมือ และเดินไปที่หลังบ้านที่เป็นสวนพืชผักต่างๆ พ่อของเขานั้นไม่ได้ปริปากพูดกับเขาสักคำตั้งแต่เขากลับมาที่นี่เขาเองก็ไม่ได้แน่ใจว่าตนทำอะไรผิด เมื่อพ่อเขาไปแล้วเขาจึงลงไปนั่งที่แคร่กับแม่ของเขา เธอขยับถาดมาใกล้เขาเป็นการชวนให้ทานข้าว 

    “แม่..บ้านวรา ใหญ่ๆ มันเป็นโรงงานรึอะไร ทำไมมันใหญ่ขนาดนั้น เห็นมีคนมาอยู่มั้ง ทำความสะอาดเรียบร้อย” เขาชวนแม่ของเขาคุย ขณะลงมือทานข้าว เรื่องที่นั่นยังคงคาใจเขาอยู่ เปิดฉากคุยเรื่องนี้ดีที่สุด

    “มันเป็นที่ดินบ้านคนนี่แหละ มันก็มีคนมาอยู่นานแล้ว สิบกว่าปีได้ แต่ก่อนทิ้งจนจะร้าง แต่มีคนเฝ้าจนตายคาที่เฝ้าหลายรุ่น น่าจะเป็นเจ้าของที่กลับมาอยู่ เห็นนานๆจะเข้ามาที” เธอพูดเป็นภาษาถิ่นอธิบายอย่างไม่เร่งรีบ มันน่าจะจริงเพราะเขาเพิ่งเห็นรถเก็บศพออกมาจากที่นั่น บ้านคนที่ระแวกนั้นก็ดูเหมือนจะต่างคนต่างอยู่ นานๆจะมีบ้านสักหลัง ถึงใหญ่โตหรูหราแต่รั้วของบ้านยังตั้งใจจะโชว์อวดบ้าน ให้ได้เห็นด้านในบ้านที่อลังค์การงานสร้าง แต่ที่ตรงนั้นกลับปิดทึบไม่ให้เห็นด้านในเอาเสียอย่างนั้น 

    “ยังกับเรือนจำใครจะอยากไปอยู่” เขาบ่นพลางปั้นข้าวเข้าปาก 

    “มี เขาว่ามี แต่ไม่ออกมา ไม่เคยได้ออกมาให้คนเห็น” 

    “ถ้าคนไม่เคยเห็นแล้วใครบอกล่ะแม่?”

    “....นั่นสิ” เธอหัวเราะในลำคอก่อนที่จะลุก 

    เขาขับรถจักรยานยนต์ไปตามบ้านต่างๆที่เพื่อนสมัยเด็กเคยอาศัยอยู่ บ้างก็ไปอยู่ต่างจังหวัดบ้างก็อยู่ต่างอำเภอ บ้างก็ย้ายกันไปทั้งครอบครัว เขาได้ยินคำอวดมั่งอวดมีตามประสาชาวบ้านที่คุยโม้โอ้อวดลูกของตนว่าเก่งหาเงินได้เยอะ ส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวและยังสร้างบ้านให้อยู่ เป็นอย่างนี้แทบทุกที่ ทั้งที่ยุคสมัยมันเจริญไปด้วยเทคโนโลยีแล้วแต่ผู้คนยังคงความหัวโบราณยึดติดกับความคิดเดิมๆ ทั้งที่ที่ที่เขาอยู่นี้เป็นย่านชานเมืองแท้ๆ ไม่ได้อยู่บ้านนอกคอกนาเสียหน่อย แต่ทำไมผผู้คนยังทำตัวเหมือนคนบ้านนอก 

     

    บ่ายคล้อย เขาขึ้นมานอนบนห้องของเขาที่บ้าน หนังสือเรียน โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้า เตียงนอน ทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิม เขายังไม่อยากที่จะหางานทำในตอนนี้ ได้แต่เหลียวมองภายนอกที่เป็นหลังคาหน้าบ้านของเขาและบ้านตรงข้ามที่คงเพิ่งสร้างเสร็จในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาถอนหายใจ ร่วมอาทิตย์แล้วที่พ่อของเขาไม่ยอมจะพูดคุยกับเขาและวันนี้มันก็เป็นอย่างเคย ในบรรดาพี่น้องของเขาพ่อไม่คุยกับเขาแค่คนเดียว มันผิดตรงไหนแค่เพราะเขาไม่มีใคร และการว่างงานก็เป็นเรื่องปกติ 

    เขาหาเรื่องออกมาขับรถเล่น และออกไปที่บ้านแห่งนั้นอีกครั้ง แปลกใจครานี้ประตูมันเปิดค้างอยู่แค่นิดเดียว ขับที่ขับรถเครื่องเข้าได้สบายอยู่แล้ว ตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปอย่างไม่ลังเล หากมีใครพบเขาจะบอกว่าแค่เป็นการหลงเข้ามา มันเป็นสวนสนามหญ้า ต้นหูกระจงปลูกเป็นแนวทางเข้า มีต้นไม้ใหญ่ๆให้ร่มเงาในสวน 

    เขาขับเข้าไปตามทางที่น่าจะให้รถขับได้ มันไม่น่าจะเป็นบ้านหลังเดียว มันน่าจะมีหลายหลังในนี้แต่ตั้งห่างกัน เพราะเขาเห็นจากไกลๆ เขาขับมาไม่นานก็พบที่จอดรถที่ก่อด้วยปูนเป็นเพิงหลังคายังมีรถยนต์จอดอยู่สามสี่คันเขาขับไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ๆข้างที่จอดรถ มองเห็นบ้านที่มีหน้าต่างบานยาวๆตีกรอบไม้เป็นช่องสี่เหลี่ยมในหน้าต่างอีกที เขาเดินขึ้นบันใดที่เป็นหินอ่อนสามสี่ขั้นและหยุดมองประตูที่เปิดอยู่ มันเป็นประตูไม้ที่เป็นบานพับสามสี่ชั้นเข้าหากันสองฝั่ง เขาลังเลว่าจะถอดรองเท้าดีหรือไม้เพราะพื้นมันสะอาด เขาถอนหายใจก่อนถอดรองเท้าและเดินเข้าไป 

    มันเป็นห้องโถงที่แยกเป็นสองฟาก ฟากซ้ายทางที่เขาจอดรถนั้น เป็นห้องโถงที่มีเปียโนตั้งอยู่ และมีโซฟาเครื่องเรือนเก่าๆ ตกแต่ง อย่างเรียบง่าย ฝั่งขวาที่ผนังนั้นจะมีจำพวกตู้โชว์แบบต่ำๆ วางของเรียงราย และมีกรอบรูปแขวนติดผนัง ขนาดแตกต่าง มันเป็นงานศิลปะบางอย่าง เขาไม่กล้าละลาบละล้วงเดินดูขนาดนั้น แต่เห็นตู้นาฬิกาลูกตุ้มตั้งอยู่ด้านในสุด 

    ตรงหน้าเข้า มีแจกันขนาดใหญ่และสูงเสมอตัวเขาตั้งทั้งสองฝั่งทางเข้าหากเขาตรงเข้าไป มันเป็นพื้นต่างระดับ เขาก้าวเท้าม่อีกส่วนในของบ้านเป็นที่เรียบร้อย ทางด้านซ้ายนั้นมันเป็นห้องที่มีประตูด้านหน้าเป็นผนังไม้เหนือประตูเป็นชั้นวางเหล้าที่ทำด้วยไม้ล้วนๆมีเหล้าหลากหลายขนาดและรูปทรงของขวดมันแปลกแตกต่างยาวไปจนสุดอีกฝั่งเป็นเคาท์เตอร์บาร์ทำด้วยไม้ และชั้นวางที่แก้วที่เป็นกระจก มีอุปกรณ์วางบนตู้ไม้ด้านใน ต่อจากตรงนี้มันเป็นประตูไม้ที่มีกรอบกระจกทรงสี่เหลี่ยมอยู่ด้านบนทั้งสองข้างที่ปิดเข้าหากันได้แต่มันเปิดอ้าอยู่ และข้างนอกนั้นเป็นสระว่ายน้ำ 

    ส่วนฝั่งขวาด้านในนั้นเมื่อเดินเข้ามาจะมีบันใดทางขึ้นไปยังชั้นสองต่อจากบันใดทางขึ้นเป็นห้องโถงที่ผนังตีโค้งเป็นทางเข้าแบบกว้างๆ ด้านในนั้นเป็นหน้าต่างแบบเดียวกันทั้งหมดเรียงหลายๆบานเต็มผนัง โซฟาเต็มมุมสามเหลี่ยวที่ด้านใน สีทองปักลายขนาดใหญ่ หากจะนั่งจริงสิบคนก็นั่งได้ มีโคมไฟระย้า มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงตั้งอยู่หัวมุมทางเข้าที่ติดฝนั่งฝั่งบันใด ตู้โชว์มีกรอบรูปสีซีเปียตั้งเรียงกันอยู่ เป็นรูปเด็กผู้ชายที่แต่งตัวคล้ายผู้ดีอังกฤษ กางเกงขาสั้นสีขาว ถุงเท้ายาวรองเท้าหนัง เสื้อแบบมีปกที่สายคาดไหล่ ยืนถ่ายคู่กับรถรุ่นต่างๆสมแล้วที่น่าจะมีฐานะ 

    เขาสะดุดตารูปหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างผู้ชายที่นั่งอยู่ น่าจะเป็นรูปแต่งงานไม่ก็รูปครอบครัว เขาน่าจะเป็นคนเดียวกันกับเด็กผู้ชายในภาพเก่าๆนั้นก็เป็นได้เพราะลักษณะดวงตาและโครงหน้าคล้ายกัน ถัดจากนั้นมีชั้นหนังสือที่น่าจะเป็นหนังสือเก่าๆ มีทั้งภาษาอังกฤษและนิยายแปลต่างๆ หนังสือเก่านิตยสารเก่าๆตั้งแต่สมัยเขาเป็นเด็กได้ หลากหลายเล่มตีพิมพ์ตั้งแต่สมัยปี พศ.2525-2530 ขึ้นไป ผ้าม่านสีทองที่มีรอยขาดเพราะความเก่าแก่จนกรอบ เขารู้สึกว่าย้ายกลับมาสู้ ปี 2530 ประมาณนั้น และหากเป็นยุคนั้นจริงบ้านหลังนี้คงจะเป็นคนมีฐานะ สมแล้วที่ใครๆก็อยากจะเข้ามาเยือน มาเยี่ยมชมแม้จะเสี่ยงตายก็ยอม

    เขาเดินก้าวลงบันใดออกมายังสระว่ายน้ำ กระเปื้องมันเป็นสีฟ้าซีดๆ มันยาวเท่าขนาดบ้านและมีกำแพงที่ติดกระจกทึบกั้นประดับไม่ให้ดูโจ่งแจ้ง เขาเดินไปยังฝั่งซ้ายที่เป็นห้องที่ไม่ได้เข้าไป เหลียวมองประตูกระจกแบบเลื่อนเปิดอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปดูห้องนั้น มันเชื่อมต่อกับห้องโถงภายนอก เพียวแต่ผนังภายในครึ่งล่างถูกตกแต่งเป็นไม้ มีโต๊ะทานอาหาร และมีชั้นทำครัวแบบไม่เป็นทางการ มันสะอาดเกินที่จะเป็นครัว มีตู้เย็นแบบมินิบาร์ ตู้อบ มีจานชามวางเรียงๆกัน ที่นั่น 

    มันเงียบเกินไปดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ที่นี่ เขาเดินไปเลื่อนประตูไม้ ออกไปทางเค้าท์เตอร์บาร์น้ำ ที่น่าตกใจคือ เขาเห็นผู้หญิง สูงประมาณ 160-165 ผมยาว ผิวขาวซีดเพราะสวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ แต่ที่แปลกไปกว่านั้น เธอสวมซิ่นไหมสีม่วงลายประยุกต์เขาไม่แน่ใจว่าเป็นกางเกงหรือซิ่นมันคลุมยาวถึงเท้าคาดเข็มขัดทองแค่เสี้ยววินาทีที่เขาอยากจะบอกว่ามันเป็นผ้าซิ่นไหมที่สวยมาก แต่เขาไม่เคยเห็นวัยรุ่นคนไหนในยุคนี้สวมแบบนั้น และที่สำคัญคือ ในมือเธอถือปืนลูกซองซึ่งเขาไม่รู้ว่ารุ่นอะไรแต่เธอกำลังเล็งมาทางเขาอยู่!! 

    เขารีบยกสองมือขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งขยับไปยังทางออกอย่างช้าๆ 

    “....ผะ..ผมมาสมัครงานครับ” เห็นจะเป็นเรื่องจริงก็คราวนี้ที่ว่ากันว่าเข้ามาแล้วตายไม่ได้ออกไปไหน คุณพระคุณเจ้าหากเขาวิ่งตอนนี้หวังเพียงแต่ว่าเขาจะหลบมันได้ทัน เขาสวมถุงเท้าและหากเขาวิ่งก็คงยากที่จะรอด เธอหมุนตามองศาที่เขาเคลื่อนย้าย สายตาเธอแน่นิ่งจนเขารู้ว่าเธอเอาจริงๆแน่ๆ 

    “...” เขาพยายามค่อยๆก้าวถอยหลังขึ้นพื้นต่างระดับ เธอไม่พูดจา เล็งอย่างเดียว

    “อ้าว...อย่าวิ่งหนุ่ม อย่า” เสียงทุ้มๆเยือกเย็นมาจากชายแก่ร่างสูงแต่งกายสุภาพเก็บชายเสื้อสวมเข็มขัดตาสีน้ำข้าว ปัดผมเป๋ข้าง จมูกโด่งคม ที่เข้ามาจากทางสระว่ายน้ำ ยกมือสองข้างระดับเอวขึ้นลงช้าๆค่อยๆย่องตามจังหวะ มาเห็นเข้า แต่เธอก็ไม่ยอมลดปืนยังถือเล็กเขาอยู่ แทนที่จะห้ามเธอกลับห้ามเขาเสียนี่ นี่มันอะไรกัน!!

    “ลุง...ผมมาสมัครงาน”

    “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ” ชายแก่ตัดบท แสดงว่าให้เขาทำแบบนี้จนกว่าจะค่อยๆออกไป เขายังคงถอยช้าๆ รู้สึกว่ามันไกลมากกว่าตอนเดินเข้ามา ชายแก่เดินนำหน้าเธอมาหาเขา เธอลดปืนลง เขาถอนหายใจเอามือจับหน้าอก เธอยังยกปืนขึ้นอีกครั้ง

    “อย่าครับ...ค้านซ่อมบ้าน” ชายแก่พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด มันเบาและดูไม่ตื่นเต้น แต่เธอก็ไม่ยอมลดมือ ก้าวเท้าขึ้นมา เขาเห็นเท้าเธอทาเล็บสีเดียวกับสิ้นที่เธอสวม ที่ข้อเท้ามีกำไลเท้าเหมือนทารกสวมเหมือนสีทองเหลืองไปงั้น เมื่อมาถึงตรงที่เขาถอดรองเท้าเขาจึงหยุด ค่อยๆสอดเท้าเข้ารองเท้าผ้าใบอย่างช้าๆ 

    “อย่าพูด!!” นั่นเป็นคำแรกที่เธอพูดออกจากปาก ทั้งที่เขาไม่ได้พูด

    “เขาบอกว่าออกไปอย่าไปบอกใครเรื่องที่มาที่นี่....รีบรับปาก” ชายแก่อธิบายและบอกเขาเบามาก ทั้งยกมือต่ำๆข้างเขา 

    “ครับ..ครับ ไม่บอกใครเลยครับ” เขาหายใจแทบไม่ทัน เธอน่าจะรุ่นเดียวกับเขาแท้ๆ แต่เขายังสงสัยว่า ที่เห็นนี่ผีหรือคน ก็เขาไม่เคยเห็นใครแต่งกายแบบนี้มาก่อนในชีวิต 

    “สัญญา!!” เธอตะคอก

    “สัญญาครับ!!...ไปได้รึยัง?” เขาหันไปถามถามลุง 

    “เดี๋ยว......ไปได้” เขาบอกเมื่อเธอลดปืนลง เขารีบกระโดดข้ามขึ้นบันใดทั้งวิ่งไปที่รถและรีบบิดกุญแจพร้อมกดปุ่มสตาร์ทรถกลับอย่างไว  แทบจะจำทางออกไม่ได้ว่าเคยมาทางไหนแล้ว เขาว่ามันน่าจะเข้าออกได้หลายทาง เพราะดูเหมือนจะซับซ้อนหน่อยนึง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ผ่านประตูรั้วออกมาได้ เมื่อออกมาได้ไม่ทันไรเสียงประตูก็ปิดลง รู้สึกได้ว่ามันวังเวงจับจิต!!

     

    เขานอนก่ายหน้าผากบนเตียงยามค่ำคืน ตรงหน้าบ้านมีไฟถนนยากที่จะเห็นท้องฟ้าในเมื่อมันสว่าง  พลางนึกถึงหน้าผู้หญิงที่เขาเพิ่งไปเจอมา เรื่องที่แม่เขาพูดนั้นอาจจะเรื่องจริง ตัวเธอแปลกๆ การพูดการจา อากัปกิริยา ไม่เหมือนคนทั่วๆไปที่เขาเคยเจอ เธออยู่ที่บ้านกว้างๆแบบนั้นได้อย่างไร หรือบ้านอื่นนั้นมีคนอยู่ เขานั้นชักอยากจะรู้ว่าอยู่แบบนั้นได้อย่างไร ท่าจะตัดขาดจากทุกอย่างเสียจริงๆ เป็นเขาจะอยู่ได้หรือ เพราะแค่ที่บ้านเขานั้นมีคนไม่พูดด้วยเขายังเบื่อเยี่ยงนี้ เขาตัดสินใจจะลองไปสมัครงานตามที่ลุงทำสวนบอก เผื่อว่าจะได้มีโอกาสเข้าไปที่บ้านหลังนั้นอีก จวบจนกระทั่งตอนนี้เขายังสงสัยว่าเธอเป็นผีหรือเปล่า

    เขาได้ยินเสียงพูดคุยเรื่องครอบครัวของเพื่อนบ้านจะแต่งงานแต่จะมีงานบวชก่อนงานแต่ง มันคงสร้างความลำบากใจให้กับพ่อของเขาเพราะเขายังไม่คิดจะมีเรื่องนี้อยู่ในสมอง พ่อของเขาลุกขึ้นจากวงกับข้าวทันทีที่เห็นเขาลงมาข้างล่าง เขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่เดินไปทานข้าวเช้ากับแม่ของเขาและแจ้งข่าวว่าจะไปสมัครงานที่บ้านนั้น แม่ของเขาหัวเราะพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า 

    “จะอยู่ได้ไหมล่ะ?”

    “ก็ไม่น่าจะมีปัญหา” เขาอยากจะบอกแม่ของเขาว่า ข้างในนั้นมันไม่ได้เป็นโรงงานหรือโรงสีอะไร เป็นบ้านคนนี่แหละ เขาคิดว่าคงเพราะเจ้าของได้ที่ตรงนี้มาในตอนที่ยังไม่เจริญ น่าจะมีโจรมากในสมัยนั้นเลยสร้างกำแพงรั้วแบบนั้น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

    “เห็นเขาว่ากันว่าลูกสาวเขางามแท้ๆ” แม่เขาพูดภาษาถิ่น เขาเห็นจะจริง ผิวพรรณงาม แต่ที่อยากรู้มากกว่าคือใครนี่แหละที่เป็นคนเอาไปพูด 

    มันเป็นโรงเก็บข้าวสารขนาดใหญ่ เขาจอดที่ฝั่งข้างวัดและเดินถือซองเอกสารเข้าไปที่นั่น ผู้คนมามายที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครสนใจเขาสนแต่งานที่ทำ เขาเห็นห้องที่น่าจะเป็นออฟฟิตจึงเดินไปทางนั้น เห็นชายแก่เดินออกมาจากห้อง ลุงคนนั้นหัวเราะเสียงดังเมื่อเขายกมือไหว้ นัยตาของลุงดูเหมือนจะใสๆ เขาไม่แน่ใจว่าใช่เพราะหัวเราะหรือเปล่า?

    “เดี๋ยวเรียกคุณนายให้” ชายแก่พูดให้เขาไปรอในห้อง 

    สรุปว่าเขาไม่ได้เจอคุณนายอย่างที่ลุงบอก เขาพูดคุยสอบถามกับลุงคนนั้นแทน เขาจึงบอกไปตามตรงว่าเขาไม่มีที่ไป ไม่อยากเริ่มต้นอะไรใหม่อีกครั้ง อยากอยู่สงบ เขาไม่มีใครมาวุ่นวายหรือเกี่ยวข้องในชีวิตแน่นอน คอนนี้อยู่บ้านเขาอึกอัดมากเพราะมีปัญหากับครอบครัว เขาอยากหางานทำ และยื่นซองเอกสารให้คุณลุง สองชั่วโมงกว่าเป็นอันว่าตกลง ทำสัญญาเริ่มงาน ลุงแจ้งกับเขาว่าปกติจะไม่รับคนนอกเข้ามาทำงาน แต่เด็กๆลูกหลานยุคนี้อยากเดินตามทางเดินของตัวเองจึงหาคนมาทำงานแบบนี้ยาก เพราะมันดูเหมือนขาดอิสระภาพราวกับติดคุกเอาเสียอย่างนั้น  หากเขาอยู่คนเดียวเป็นและรักสงบก็ไม่มีปัญหา เขาต้องจดแผนที่บ้านให้กับลุง และต้องกลับไปเตรียมของทุกอย่าง 

    เขาจัดเตรียมเสื้อผ้าใส่กระเป๋า อยากเริ่มงานให้ไวที่สุด ทิ้งรถจี้บคันเก่าไว้ที่บ้านของเขาให้พ่อเขาได้ใช้งานมัน เพราะลุงบอกว่าไม่จำเป็นจะต้องใช้ มันมีกฏตายตัวอยู่แต่เดี๋ยวจะค่อยๆแนะนำให้รู้จัก เขาเก็บกระเป๋าลงมารอที่แคร่ไม้ ดูแม่เขาหรือพ่อของเขาคงไม่ห่วง โดยเฉพาะพ่อของเขาที่ไม่ได้ใยดีเขาเสียแต่แรก ไม่นานรถยนต์ สีดำก็มาจอดตรงประตูบ้าน เป็นลุงคนเดิมที่ลงมา สุนัขของเขาวิ่งไปที่รถคันนั้นพร้อมกับนั่งมอง  เขาแม่และพ่อจึงลุกไปต้อนรับ

    “เสร็จละยัง ลาพ่อแม่รึยัง?” ลุงเอ่ยถาม

    “มันจะไม่ไปสร้างความลำบากให้เหรอ?” พ่อของเขาพาดผ้าขนหนูขึ้นไหล่ พูดภาษาถิ่น ก่อนเหลียวมองที่รถเมื่อมีเสียงปิดประตู ลุงก็หันกลับไปที่รถพลางถามว่ามีอะไร พ่อของเขาจึงเดินออกไปที่ประตูรั้ว ไม่นานประตูรถก็เปิดออก เขาเห็นผ้าซิ่นคราวนี้เป็นสีดำทองโผล่ชายลงมาก่อนที่เธอเธอจะลงมาจาก เธอจัดชายผ้าซึ่นเป็นชั้นๆหลายชั้นเหมือนชักชายสบัดคาดเข็มขัดทองซิ่นเธอยาวถึงเท้าเกือบลากดิน เธอวางสุนัขลงตรงหน้าพ่อของเขา มันเป็นแค่สุนัขบ้านๆธรรมดาๆ ไม่มีสายพันธ์ คงรู้สึกผิดที่ไปหยิบจับของคนอื่น

    “อย่าออกมาครับ” เสียงลุงบอก แต่เธอยืนนิ่ง ไม่ได้มีรอยยิ้ม พลันพ่อของเขามองเธอและมีรอยยิ้ม

    “แม่มันนชื่อ แข่งแหล่ง” แข่งแหล่ง ที่หมายถึงผอมกระหร่อง พ่อของเขาพุดกับเธอเป็นภาษาอีสาน  เดินมาที่โต๊ะในบ้าน หยิบส้มให้เธอลูกนึง เธอไม่ได้ยื่นมืออกมาแค่หงายผ่ามือและก้มหน้าไม่สบตาใคร พ่อเขาจึงวาง เธอจึงเดินกลับไปขึ้นรถ

    “ไม่ค่อยได้ออกมาคุยกับใคร เลยไม่รู้ความ คุยเป็นแต่กับคนในบ้าน” ลุงอธิบายเป็นภาษาถิ่นเช่นกัน แต่พ่อของเขานั้นดูอารมณ์ดี ท้าวเอวสองข้างยืนมองรถ

    “กี่ปีแล้วที่ไม่ได้ออกมา?” 

    “สิบ...ได้มั้ง เกิด 26 ปีนี่ 48 เนาะ” ลุงหงายมือนับเขาเลยรู้ว่าเธออายุเท่ากับเขา

    “โอ้!! มิน่า..ไม่เจ็บไม่ไข้?”

    “เป็นไรมากๆถึงได้พาออกมา ก็คนธรรมดานี่แหละ” ลุงจบแบบนั้นคงเพราะพ่อของเขาถามมากไป ลุงจึงส่งนามบัตรที่มีเบอร์โทรศัพท์ให้พ่อแม่ของเขาบอกไม่ต้องห่วงเพราะอยู่ใกล้แค่นี้ พ่อของเขาจึงหันมาหาเขา

    “ไป ..มีไรก็ติดต่อมาบอก ทำงานดีๆ” พ่อของเขาดันหลังเขาเอากระเป๋าไปเกิบท้ายรถ เป็นครั้งแรกที่พ่อของเขาพูดกับเขา 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×