ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ศพ) บ้านวรา

    ลำดับตอนที่ #13 : เปลี่ยนไป

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 66


    กลางดึกคืนหนึ่ง เขาต้องลืมตาตื่น แน่ใจว่าเมื่อตะกี้ได้ยินเสียงปืนลั่น เขานอนฟังอยู่ครู่ว่ามันเป็นเพียงความฝันหรือเรื่องจริง เมื่อมันดังอีกครั้งเขาจึงรีบลุกเพราะมีเสียงคนร้อง เพราะภรรยาของเขาที่เพิ่งมาอยู่ก็รู้สึกตัวเช่นกัน เขาบอกเธอให้ลุกมาล็อคประตูและรอจนกว่าเขาจะกลับมา เขาล้วงใต้ที่นอนและหยิบปืนออกมาตามที่ตาสงบอกให้เขาพกติดตัวไว้ เขานั้นไม่ค่อยเชื่อว่าโจรขโมยยังจะมีอยู่ นี่มันหมดยุคสมัยคนขี้ขโมยแล้ว 

    เขาพยามฟังเสียงในความเงียบ รู้สึกบ้านที่ก่อสร้างนั้นมีเสียง เขารีบวิ่งแบบหลบๆไปทางนั้น เห็นเพียงบันใดไม้ที่กำลังจะถูกลากขึ้นไปเหนือกำแพง เขายิงที่เหนือกำแพงนั้นทันที พลันพวกมันต่างร้องส่งเสียงพร้อมกับเสียงย่ำเท่าผ่านกิ่งไม้และใบไม้อีกฝั่งดังไกลออกไปอย่างว่องไว เปิดแน๊บ!! อย่างไม่สนใจอุปกรณ์ที่ทิ้งไว้

    “แม่มัน!” เขาอุทาน ตี๋รีบปั่นจักรยานมาพร้อมไฟฉายส่อง

    “มันมาลักเหล็กเส้น ตอนกลางวันได้เปิดประตูไว้มั้ง?” เขาบอกพลาง

    “ไปดูบ้านใหญ่ก่อน อรัญยิงชิบหายหมดแล้ว!” 

    “ไปบอกป้อม ลุงจะดูก่อนว่ามันไปหมดรึยัง” เขาบอก

    ตำรวจเข้ามาตรวจพื้นที่และเก็บหลักฐาน เขาแจ้งกับทางบริษัทในเมืองอธิปจึงรีบมา เขาเองก็เพิ่งจะรู้ว่าอรัญนั้นมีใบอนุญาตใช้อาวุธปืนแบบสากล เพราะเธอเป็นนักกีฬายิงเป้าบิน อย่างไรเสียมันก็ไม่จำเป็นเพราะดูเหมือนว่าที่นี่จะเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบ่อยครั้ง และดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่จะรู้จักกับวราเป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ พลางบ่นต่อว่าโจรนั้นไม่หลาบจำเสียทีที่มาที่นี่ออกบ่อยครั้ง 

    “พวกขี้ยามั้งนี่...สงสัยจะอยากลองของ” พูดพลางหัวเราะ และยืนมองบันใดลิงและเหล็กเส้นที่ยังขนไม่ไม่หมด ตรวจสอบทั้งด้านนอกด้านใน ว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่ และดูเหมือนว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่ประตูบ้านนั้น เสียหาย ต้องทำประตูบานใหม่ และต้องทำให้เหมือนของเก่า 

    “แบบนี้ อีกนาน กว่ามันจะหลาบ เดี๋ยวจัดการให้ ที่เหลือก็ไม่น่าจะมีปัญหา ตาสงไปไหนแล้วยังอยู่ไหมนี่?”

    “ไปบ้านวราแล้ว..ในเมือง” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม 

    “เออ ว่าจะเขาไปแวะหาอยู่ ต่อไปกะตรวจสอบให้ดี กล้องวงจรปิดกะมี ติดได้ก็ติด” 

    “ครับ ต้องบอกทางนั้นแหละครับ แล้วแต่ทางนั้นเลยทุกอย่าง”

     

    “กลับมาทำไม..ไม่มีอะไรแล้ว” อรัญญานั่งลงบนโซฟาห้องโถง พูดขึ้นเมื่อเห็นอธิปมา

    “ประตูบ้านพัง บอกไม่มีอะไร” อธิปชี้ ไปที่กลุ่มคนที่มาดูประตูบานพับเพื่อทำเปลี่ยนใหม่ อรัญยกคิ้วมองต่ำ เมื่ออธิปลงไปนั่งข้างเธอ และเล่นมืออรัญญา 

    “ก็มันจะเข้ามา จะให้เปิดต้อนรับรึไงกันล่ะ” 

    “ก็ไม่ได้ว่า ตกใจรึเปล่าล่ะ?” 

    “ไม่หรอก...พี่แม้วเป็นไงบ้าง ท้องโตรึยัง?” 

    “โตแล้ว...เดี๋ยวจะให้เขามาติดกล้องวงจรปิด ทีนี้แหละจะได้เห็นคนเข้านอกออกใน อยู่แต่ในบ้าน เข้าใจไหม?” อรัญลุกขึ้นให้อธิปนอนเล่นบนโซฟาที่เป็นไม้บุนวมลายดอก เธอจัดหมอนอิงที่เข้าชุดให้อธิปได้นอนได้ถนัด ก่อนที่จะเดินไปปิดม่านลงและกลับลงไปนั่งข้างลำตัวอธิป 

    “ไม่ไปไหนหรอก เห็นอธิปสบายดีก็โล่งใจล่ะ ต่อไปก็ดูแลหลานคุณพ่อดีๆ รู้รึเปล่า?” 

    “คนเยอะแยะไม่ต้องห่วงหรอก ได้เล่นเปียโนมั่งรึเปล่า?” อธิปใช้สองมือจับที่เอวเธอ

    “ไม่ เล่นไม่เป็น” เธอปรายตามามองเขาก่อนมองอธิป คงไม่อยากปิดบังอีกต่อไป 

    “ก็ยังขี้เกียจอยู่ดี ไปอาบน้ำไหม?” อธิปนั้นคงเข้าใจว่าอรัญญานั้นขี้เกียจ ไม่พอยังมีหน้ามาชวนน้องไปอาบน้ำ กลางวันแสกๆ อาบวันละสองครั้งก็เห็นจะพอแล้ว 

    “ที่นี่ไม่ใช่โรงน้ำชานะ” เขาหัวเราะเมื่ออรัญญาพูดแบบนั้น เธอเบาเสียงเพราะเดี๋ยวใครจะได้ยินเข้า

    “ก็ใครว่าใช่ล่ะ แค่กลับมาอาบน้ำอยู่บ้าน” อธิปจับมือเธอไปวางบนอก

    “งั้นจะนวดเท้าให้ดีกว่า ไปทำงานถ้ากลับมาตอนเย็นจะอาบให้ ดีรึเปล่าล่ะ?” 

    “งั้นก็รอตอนเย็นก็ได้ ..จะมานอนนี่แหละ แต่จะกินข้าวมาจากโน่นเลย ไม่ต้องรอ ห้ามกินปลาร้า ของดอง” อรัญอมยิ้ม คงเพราะเพิ่งแย่งผักดองกับป้อมไปเมื่อเช้านี้ ป้อมนั้นเกิดหิวทำต้มยำวุ้นเส้นใส่ผักกาดดอง เพราะอากาศเย็นอรัญญามาเห็นก็แย่งป้อมซดยกชามสแตนเลสขนาดใหญ่ ขนาดเพิ่งเกิดเรื่องยังกินได้หน้าตาเฉย เหมือนไม่กังวลเรื่องใดเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้ยังพยักหน้าให้อธิปอีกอย่างรับปากเป็นมั่นเหมาะ

     

    “ขอแค่หายดีก็พอ จะอะไรก็ได้” อรัญพูดหลังจากที่เขาพูดขอบคุณเธอจากใจ เพราะอธิปดูดีขึ้นแม้บางครั้งจะยังดูสับสนอยู่บ้างแต่ก็พูดจารู้เรื่องอย่างคนปกติ เธอมองไข่ดาวสองฟองที่ป้อมทำให้ เธอเหยาะซอสลงและตามด้วยพริกไทยก่อนใช้ข้าวเหนียวจิ้มลงที่ไข่แดง เขาหัวเราะเพราะช่างเป็นคนที่กินง่ายเสียจริงๆ

    “อรัญว่าน้องก็น่าจะรักอธิปเหมือนกันแหละ..ดูจากที่เขาทำ เขาก็ไม่ได้ทำไม่ดี” เมื่ออรัญญาพูดนั้นยากที่จะไม่มีรอยยิ้ม ป้อมยิ้มวางหม้อที่ขัดลงแล้วเอ่ยถาม

    “ทำยังไง ไหนเล่าให้ป้าฟังสิ” เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย มันน่าจะเป็นการหลอกถามอรัญญา

    “ก็...อ่อนโยน น่ารัก จะนอนก็ห่มผ้าให้ หอมแก้มจนแก้มจะช้ำหมดแล้ว นี่” เธอเอียงหน้าแล้วชี้ เขาหัวเราะ

    “แล้วชอบเขารึเปล่าล่ะ?” เขาส่งบุหรี่เข้าปากและต่อ 

    “ก็ชอบนะ น่ารักดี เป็นใครทำแบบนี้ก็รัก แต่ถ้าไม่ใช่เขาล่ะคงไม่เอาด้วยแน่” สีหน้าเรียบเฉย ทานต่อ ป้อมจึงลุกเดินไปใกล้ๆ ส่งกล่องกระดาษทิชชู่ให้อรัญญาได้รับเอา 

    “แบบนี้ไม่เอายาคุมหน่อยเหรออรัญ เดี๋ยวป้าสั่งให้” ป้อมพูดขึ้น อรัญญายกปิดปากเธอแทบจะสำลั่กที่เพิ่งทานเข้าไป แล้วก็สำลั่กจริงๆ ป้อมใช้กำปั้นทุบหลังเธอเบาๆ

    “จะบ้าเหรอ ไม่มีอะไรสักหน่อย แล้วนี่ ถ้าป้าสั่งก็แสดงว่าไม่ตี๋ก็ลุงแหละอ่ะ!” ป้อมยืนตรงมือสองข้างท้าวเอวขมวดคิ้ว ก่อนหัวเราะขึ้น 

    “เออนะ ถ้าป้าสั่งคนก็ต้องคิด..อ้าวแล้วที่ผ่านมา เวลาอาบน้ำไม่อายตายคาอ่างเหรอ?”

    “ก็อายทำไงได้ล่ะ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ” อรัญญาพูด ป้อมทำปากถามอรัญญามุบมิบน่าจะถามเรื่องสัปดน อรัญญาคล้ายจะยิ้มมองป้อมแต่ไม่ได้ตอบ

    สำหรับเขาแล้ว หากเป็นอรัญญาอธิปมีสิทธิ์เต็มที่ เขาคิดว่าไม่ผิดหากจะทำกับอรัญญาแต่กับภาสิรีที่เป็นคนที่เลี้ยงดูมานั้นออกจะพิลึกพิลั่นอยู่สักหน่อย เขาก็แค่ไม่อยากให้อธิปล้มป่วยลงเพราะคนๆเดียวส่งผลให้กับทั้งบ้าน แต่อรัญญานั้นดูฉลาดกว่าภาสิรีมากนักเขาจึงไม่ค่อยเป็นห่วงสักเท่าไหร่เพราะรู้จักเอาตัวรอด ทั้งดูอ่านใจอธิปออกตั้งแต่แรกเห็นอย่างไม่ต้องอธิบายให้มากความ 

    เขาขนปืนของวราแบ่งมาเข้าตู้เซฟบ้านอรัญญาเพราะเธอไม่ได้นอนที่ตึกใหญ่ทุกวัน จวบจนกระทั่งบ้านที่สร้างไว้ใส่เสื้อผ้าสร้างเสร็จและกำลังจะทำตู้ อรัญนั้นมองกองผ้าไหมและหยิบขึ้นมอง

    “...สวยจัง ...อาทิตย์นี้ขอสมุดวาดภาพกับดินสอสี อุปกรณ์เครื่องเขียน ขอครบชุด” อรัญญาพูดขณะพูดก็มองผ้าไหม เขาหันไปพยักหน้าให้ตี๋จดลงกระดาษ 

    ทุกอย่างมันถูกจัดสรรมาโดยกมลา คำสั่งแค่นั้นแต่มันมีมาทุกขนาด ขนาดดินสอมีทุกเบอร์ ทุกประเภท เขาหยิบดินสอแท่งสีฟ้าขึ้นมองเพราะมันมีหลายด้าม อรัญญาจึงบอกว่าดินสอสีมันเข้มต่างกัน อรัญญานั่งอธิบายให้ตี๋และทุกคนเข้าใจ 

    แม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ก็ถูกนำมาประกอบให้เป็นรูปร่างที่ห้องนั่งโถงบ้านอรัญญา หนังสือนิยายต่างๆ นิตยาสารรายเดือนบ้าง ถูกส่งมา เมื่ออรัญญาเห็นหนังสือแนะนำก็สั่งไป ไม่เกินสัปดาห์หนังสือที่ต้องการก็จะมา เธอร่างแบบขึ้นและระบายสีชุด มันเป็นผ้าไหมจับชายสบัดเหมือนที่ภาสิรีเคยใส่ ป้อมจึงถามเธอว่าให้สวมแบบนี้ให้หรือเปล่า เพราะเธอและไหมเคยสวมให้ภาสิรีมาแล้ว ทุกคนแปลกใจที่อรัญญาน่าจะรู้ว่าภาสิรีเคยใส่ 

    อรัญญานั้นเริ่มใช้ชีวิตอยู่ในโลกส่วนตัว จะออกมาได้ก็ตอนที่อธิปมา เขาเริ่มตื่นเต้นหนักเมื่อนาฬิกาเจ้าปัญหาเดี๋ยวเตือนเดี๋ยวไม่เตือนและบางทีในวันโกนหรือวันพระ เสียงเปียโนมันจะดัง หากอธิปไม่อยู่ที่นั่น ป้อมต้องหาอาหารคาวหวานไปไหว้ไม่ได้ขาดหาย จากนั้นจะมีการฝากซื้อล็อตเตอรรี่กันเกิดขึ้น เขาได้แต่ส่ายหน้า

    “อันนี้เอาไปบ้านอรัญญานะตี๋ ตั้งไว้หน้าบ้านนั่นแหละเดี๋ยวป้าป้อมไปเปลี่ยนให้เอง” ป้อมสั่งตี๋

    “ไปทำบ้านภาสิรีเป็นเพื่อนด้วย” ป้าไหมบอกป้อม 

    “กลัวอะไร เห็นกันมาแต่ไหนแต่ไร” เขาพูด

    “เหวย..ลุงยังไม่ได้เห็นเฉยๆหรอก กลัวแต่เห็นแล้วจะวิ่งก่อนเพื่อน!” 

    “เขาไม่หลอกหรอก มาดีไหมล่ะ?” 

    “มาตอนไม่มีผมก็น่าตกใจอยู่นะลุง ครั้งก่อนก็เยี่ยวแตก ถามป้อมดู ..ไม่ตลก” เธอทิ้งท้ายเมื่อป้อมหัวเราะ 

    “ก็บอกน้องไปสิว่ามาทำความสะอาดให้ อย่ามาให้ตกใจ” ภรรยาของเขาพูด นั่งตำหมากอยู่ที่แคร่ในศาลา 

     

    เขาได้ยินเสียงเปียโนและเห็นรถอธิปจอดอยู่ด้วยความที่ดีใจจึงรีบขึ้นตึกใหญ่และถอดรองเท้า เห็นอธิปเล่นเปียโนอยู่กับอรัญญาเลยไม่อยากรบกวน จึงเดินเข้าไปที่บาร์กะจะชวนอธิปดื่มย้อมใจ ขณะที่เขายืนเลือกมองขวดเหล้าเขาแทบสะดุ้งเมื่อเห็นอรัญญานั่งอยู่ที่โซฟา ทั้งสวมชุดที่เขาเห็นเมื่อกี้นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น มองเขานิ่งๆ 

    “.........” อรัญญาละหน้าจากหนังสือมาเหลียวมองเขาอยู่ เขานั้นตาค้างหากมองไม่ผิดเขาเพิ่งจะเดินผ่านเธอและอธิปมานี่

    เขารู้สึกมือชาหน้าชาพลันขนลุกเพราะเพียงชั่วแว๊บเดียวเขาเพิ่งคิดได้ว่าอรัญญานั้นเล่นเปียโนไม่เป็น ฉะนั้นคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คืออรัญญาตัวจริง อรัญญามองเขานิ่งอยู่ครู่ เธอรีบลุกและเดินมาหยิบขวดเหล้าออกจากมือของเขา เธอเปิดขวดเหล้านั้นและหงายแก้วเทเหล้าหนึ่งส่วนสี่ลงแก้ว เธอมองเขาและมองแก้วเป็นการบอกให้เขาดื่ม เขาจึงทำตามนั้น 

    “.....” เขาดื่มกรึบเดียวหมดแก้วพลางปล่อยกลิ่นอายเหล้าออกทางปาก เขาวางแก้วและรีบเดินออกทางหลังบ้านแบบไม่สนที่จะกลับไปสวมรองเท้าที่หน้าบ้านอีกเลย เขายืนนิ่งคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาเพียงไม่กี่นาทีนี้ เสียงบรรเลงเปียโนยังดังอยู่ ส่วนอรัญญานั้นเหมือนจะรู้ว่าเขานั้นได้เจออะไรมาถึงปฏิบัติกับเขาแบบนั้น แสดงว่าอรัญญานั้นเคยเจอภาสิรีมาแล้วจริง 

    “เป็นอะไร?” ไหมยิ้มถามขณะนั่งตั่งไม้ล้างชามในกาละมังหน้าครัว ทั้งๆที่มีครัวมีที่ล้างแล้วแต่คงถนัดล้างในกาละมังมากกว่า

    “เจอแล้ว” เขาลูบหน้าอกบอกไหมไป มันหวิวๆเหมือนขามันไม่มีแรงจะเดิน ไหมหัวเราะในลำคอใช้ข้อมือที่ยังเปียกชื้นดันหน้าผาก 

    “หนูบอกแล้ว เป็นไง!?”

    “อะไร?” ตี๋ที่เดินมาสมทบถามขึ้น

    “ลุงเจออรัญหลอก” ไหมยังคงมีเสียงหัวเราะไม่หยุด 

    “ผ่านมามึงเห็นอรัญนั่งเล่นเปียโนกับอธิปไหม?” เขารีบหันไปถามตี๋ 

    “เห็น” ตี๋เองก็เห็นแต่ใยดูมิได้ตื่นตระหนกเหมือนอย่าเขา 

    “นั่นไง! กูว่าแล้ว” เขายกขาขึ้นตี ยังรู้สึกเจ็บอยู่ 

    “จะหลอกได้ยังไง ผมก็เห็นอยู่นี่”

    “ก็อรัญเล่นเป็นที่ไหน!!” เขาและไหมพูดแทบจะพร้อมกัน 

    “.....” ตี๋ยืนกระพริบตาปริบๆ 

    “บอกแล้ว...ไม่พากันเชื่อ เจอเองเป็นยังไง มันเป็นยังไง ลุง!!” ไหมทั้งหัวเราะทั้งพูดประชดประชันเขา เขาเองก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร นี่มันกลางวันแสกๆแท้เชียว 

     

    หลังจากวันนั้นมาไม่ว่าเปียโนมันจะดังตอนไหนก็ช่าง หากอธิปไม่อยู่เขาจำต้องย้อมใจด้วยน้ำจัณฑ์ บ่อยเข้าก็มีสักกรึบก็คงดี ด้วยความเกรงใจเหล้าของวราเขาจึงขออนุญาตวราสั่งเหล้าธรรมดาเข้ามาดื่มภายใน เขาเล่าที่เห็นให้วราฟังและเล่าประสบการณ์ตรงของทุกคนเป็นการยืนยันว่า เขาเลือกที่จะย้อมใจด้วยแอลกอฮอล คำสั่งได้รับอนุมติทันที ตกเย็นวันนั้นมีรถมาส่งของ เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลทั้งสิ้น 

    เขาเหลียวมองอธิปที่นั่งมองอรัญญาขณะทานข้าว ก่อนจะตักผัดผักให้เธอ

    “ผอมลงรึเปล่า?” 

    “...ไม่นะ” เธอมองแขนตัวเอง อธิปใช้หลังมือแตะหน้าผากเธอ เขารู้สึกว่าอรัญนั้นชักสีหน้าเก่ง เธอเงียบไม่ค่อยพูดมากเมื่ออยู่กับคนอื่นๆ แต่เมื่อเวลาอยู่กับอธิปนั้นกลับดูเป็นปกติจนเหลือเชื่อ

    “ตัวก็ไม่ร้อน” อธิปบ่น

    “สบายดี...อธิปทานเยอะๆสิ รึกับข้าวไม่อร่อย?” อรัญญายิ้ม ตักกับข้าวให้อธิปบ้าง เขารู้ว่าเธอเบื่ออาหารจืดจึงทานไม่ค่อยเยอะเมื่ออธิปมา 

    “อร่อย ทำไมไม่ค่อยกิน อย่าบอกว่าไปกินปลาร้ามานะ” 

    “ไม่นะ มีกินปูดอง ป้าป้อมตำอร่อ..ย” เธอเผลอปากพูดในที่สุดจึงตักข้าวใส่ปาก

    “บอกว่าอย่ากินของดอง มันมีแต่พญาธิ ของแบบนั้นกินไปได้ยังไง!!” อธิปวางช้อน เหลียวมองเขา สายตาแบบนั้นมันสายตาที่ดุดัน โกรธเมื่อไหร่สายตาแบบนี้จะมา 

    “มันเหลือไม่กี่ตัวเขาเลยตำกินกิน พอดีอรัญมาเห็นเลยได้ลองกินไปนิดเดียว” เขาเลยอธิบาย

    “ห้ามมีของแบบนี้ในบ้าน เดี๋ยวจะสั่งคนครัวไว้ ฝากซื้อตอนไหนตัดออกเลย!” 

    “ครับ” เขารินเหล้าเป๊กนึงย้อมใจ วันไหนอรัญญาสวมผ้าซิ่นต้องมีบ้างล่ะสักกรึบสองกรึบ ยิ่งอยู่บ้านนี้ด้วยแล้วเขาไม่รู้จะเจออีกเมื่อไหร่ อย่างไรเสียอธิปคงไม่รู้ว่าหลังบ้านนั้นมีปลาหมักเป็นโอ่งเป็นไห เพราะต้องทำไว้กินกันเป็นปีๆ แต่ตอนนี้ตบปากรับคำอธิปไว้ก่อน

    “อย่าว่าลุงเลย สัญญาเลยว่าจะไม่กินอีก ของแบบนี้บ้านไหนก็ต้องมีไว้บ้างล่ะ” เธอยื่นนิ้วก้อยเล็กให้อธิป รอเกี่ยว อธิปนั่งมองเธออยู่ครู่ก่อนจะทานข้าวต่ออย่างไม่สนใจว่าน้องสาวนั้นจะง้อ 

    “หือ ไม่รักกันแล้วเหรอ งั้นอิ่มนะ” อรัญญาวางช้อนเหลียวมองท่าทีของอธิป อธิปจึงวางช้อนและโอบเธอให้เธอลุกมานั่งตัก อรัญญานั้นยิ้มแป้น เขารู้สึกว่าอรัญญานั้นช่างเอาอกเอาอธิปได้ดีเสียจริงๆ ราวกับถอดแบบภาสิรีมา หรือว่าเป็นฝาแฝดกันเลยมีนิสัยเดียวกัน 

    “ถ้าสัญญาก็ต้องทำ” อธิปบอกเธอที่อยู่ตรงหน้า อรัญญาพยักหน้าและหอมแก้มอธิปอย่างเอาอกเอาใจ หอมแก้มซ้ายขวาๆสลับกันไปมาเหมือนที่อธิปนั้นเคยทำกับเธอ อธิปพอใจจึงปล่อยเธอกลับไปนั่งที่ เขาจึงโล่งใจ

     

    เขานั่งที่แคร่ไม้เห็นอรัญยืนจัดของที่ริมหน้าต่างห้องอธิป พลางนึกในใจว่าเป็นคนที่กล้าอยู่บ้านนั้นได้แม้ว่าในบางวันจะอยู่คนเดียวก็ตามที อธิปดูดีขึ้นมากดูขรึมขึ้นมาก คงเพราะทำงานหนักและได้เข้าสังคม มันอาจจะช่วยเขาได้ออกมาในโลกแห่งความจริง ไม่เหมือนพวกเขาที่ดำดิ่งอยู่กับอดีตของที่นี่ พักนี้เขาเองก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนมากนัก 

    แล้วยิ่งอรัญที่ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย ทั้งยังไม่ค่อยได้คุยกับใครมากนัก  เขาจึงรู้สึกเป็นห่วง ที่เธอทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นโดยที่ไม่ได้เหลียวมองตัวเองเลยว่าสภาพในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่มันผลักดันให้อธิปได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง อรัญญาเริ่มใส่ซิ่นไหมที่กมลาส่งมาให้เรื่อยๆ และบอกพวกเขาว่าถ้าเห็นภาสิรีก็คิดเสียว่าเห็นตัวเธอ อรัญญาบอกว่าห้ามวิ่งเพราะกลัวภาสิรีจะน้อยใจ

    “ไหมไม่สนล่ะลุง วิ่งได้วิ่ง อรัญต้องไปบอกน้องว่าอย่ามาถึงจะถูก” ไหมที่ใช้ไม่กวาดทางมะพร้าวกวาดเศษใบหูกระจงที่แคร่หน้าครัวมากองรวมกันก่อยใช้โกยตักลงกระบุง

     

    มันเป็นวันเข้าพรรษา เขาและป้อมจึงพากันทำลางไม้ให้อรัญได้จุดเทียน ตี๋ทำขาตั้งลางไม้ไผ่ เอาลำไผ่มาตั้งไว้เพื่อวางกะลาเทียนอีกที ตี๋ขัดกะลาจนเรียบ ป้อมจึงต้มเทียนเทลงกะลามะพร้าวเล็กๆก่อนใส่ไส้ไว้จุด ทำเสียหลายๆอัน เพราะอรัญญาจะได้มีความสุขที่ได้ทำกิจกรรมบ้าง ไม่รู้ว่าอธิปนั้นจะได้มาหรือเปล่าเพราะลูกชายคนแรกก็เพิ่งจะเกิด

    อรัญจุดเทียนในกะลาเทียนที่ป้อมตั้งใจทำไว้ให้ได้มีสันบ้าง ป้อมเองก็มักจะหาเรื่องมาเล่า และให้ตี๋มาร่วมด้วยเป็นบางครั้งในช่วงเวลาแบบนี้เพื่อสร้างความสุขเล็กๆในบ้าน รวมทั้งภรรยาของเขาเองก็มานั่งให้ป้อมตำหมากให้เคี้ยว อรัญญานั้นจะนั่งฟังทุกคนคุยกันเงียบๆ ทั้งเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ เรื่องอธิป และรวมถึงเรื่องภาสิรีในวันที่เกิดเหตุ 

    “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ รักเขาบ้างรึเปล่าล่ะ?” ภรรยาของเขาถามอรัญญา นั่งเหยียดเท้าบนพื้นเฉลียงบ้านในมือถือพัดเพราะคืนนี้ไม่มีลมกระดิก อรัญญามองหน้าภรรยาของเขา 

    “อื้อ” อรัญญาพยักหน้ายกคิ้ว

    “เป็นผู้หญิงจะพูดก็ให้มันมีหางเสียง แบบนี้ใครเขาจะมารัก ถ้าไม่ติดว่าเขาเลี้ยงมาแต่เด็กแต่เล็กเขาจะรักรึปล่าล่ะ ถ้าเขาเบื่อเขาก็ไม่มาหา เขาไม่มาก็จะคิดไปเรื่อยล่ะว่าเขาไม่รัก ก็จะมานั่งน้อยอกน้อยใจอยู่แบบนี้ พอเขามาก็ไม่ได้แสดงออกเขาจะรู้ไหมล่ะ แสดงออกมันไปเลยเป็นไรล่ะ รักไม่รักก็ช่างมัน ทางนั้นก็เอาใจยาก คิดไม่เหมือนคนทั่วไป เอาแต่ใจ แม่เขาตามใจมาแนวนั้น” 

    อรัญญานั่งฟังมองภรรยาเขาพล่ามตาค้าง ทุกคนเองก็เงียบ เธอไม่ได้บ่นเพียงแค่นั้นแต่เธอร่ายยาว ยิ่งอายุมากขึ้นคำพูดก็จะมีมามากมาย ทุกคนที่นั่งมองนั่งฟังอยู่ก็อมยิ้ม 

    “.....” อรัญญานั้นเมินหน้าใส่ภรรยาของเขาอย่างจงใจทำ ก่อนจะปรายตาเหลียวมองอีกครั้ง ป้อมจึงหัวเราะกลบเกลื่อน หลังๆมานั้นอรัญญาพูดน้อยนับคำได้ ไม่ว่าใครชวนคุยอะไร ก็เหมือนจะทำอยู่คนเดียว อรัญญานั้นยังนั่งฟังภรรยาเขาบ่นต่อ นั่งฟังเงียบๆอย่างไม่รู้สึกรู้สา ตี๋ที่ปั่นจักรยานมาก็นั่งฟังห่างก็หัวเราะเบาๆ แต่อรัญญาก็นั่งฟัง 

    “ป้าก็อย่าไปถามอรัญสิ อรัญเขาก็เป็นแบบนี้” ไหมออกความเห็น พอให้มีเรื่องให้ถกให้พูดคุย ตี๋นั้นก็ปั่นจักรยานไปเฝ้าประตูรั้ว เพราะกลัวว่าใครจะมาจะได้เปิดประตูได้ทัน 

    เมื่อทุกคนเริ่มแยกย้ายเขาจึงเริ่มปิดบ้านตึกใหญ่ เสียงนฬิกามันดังเขาเห็นอรัญถือลูกซองเล็งมาทางเขา 

    “ลุงเอง” รู้สึกขนขาลุกวาบ เธอเล็งไปรอบๆ เขารีบจับด้ามปืนและหันไปทางอื่นเป็นการห้าม 

    “เห็นอะไร?” เขาถาม สายตาเธอยังมองรอบๆอยู่ไม่เลิก เธอยืนนิ่งสายตานั้นบอกเขาว่าเธอเงียบฟังอะไรบางอย่าง ไม่นานเธอจึงเดินไปที่เปียโน ซึ่งเขานั้นไม่กล้าที่จะเข้าใกล้มัน แต่จำต้องเดินไป เธอยื่นปืนมาให้เขาก่อนจะปิดฝาครอบคีย์เปียโน เมื่อเรียบร้อยแล้วเธอเหลียวมองเขา

    “ถ้ามันเปิดอยู่ก็ให้ปิด จะไม่ได้ยินเสียงอีก” ยิ่งเธอพูดยิ่งขนลุกและเสียวสันหลัง เธอใช้มือเลื่อนเก้าอี้เก็บ เมื่อพยักหน้าเขาจึงส่งปืนคืนให้เธอ 

    “จะนอนไหนวันนี้?” เขาเปลี่ยนเรื่องถาม 

    “คงนอนที่บ้านเดี๋ยวจะอยู่ปิดบ้านเป็นเพื่อน” เธอพูด

    “ครับ” เขานั้นอยากจะคิดเหลือเกินว่าเปียโนมันเสียหรือไร มักจะเล่นเองอยู่เสมอ คงต้องหาหลวงปู่ดีๆสักองค์มาแขวนคอเสียแล้วล่ะมั้ง เขาเดินไปส่งเธอเข้าบ้านรอจนกว่าเธอล็อคบ้านทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงเดินกลับไปยังบ้านด้านหลัง และคิดจะเบิกค่าติดหลอดไฟสปอร์ตไลท์ดวงเล็กที่สนามหญ้าด้านหลังอีกสักหน่อย หวังว่าวรานั้นคงไม่ขัด 

     

    “เป็นยังไงบ้างมีลูกแล้ว?” เขาเดินเล่นกับอธิปในสวน 

    “เพิ่งมีเตี่ยก็อยากได้อีกล่ะ!”

    “ฮ่ะ” เขาหัวเราะ

    “ต้องจัดให้แกสิ อยากได้อีกกี่คน ก็ให้คนอื่นเลี้ยงไป เลี้ยงเองไม่ไหวหรอกทั้งทำงาน ไหนจะน้องอีก” อธิปล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้างเหลียวมองโดยรอบทั้งพูดคุย และหยุดที่บ้านภาสิรี ลมพัดแรงพลอยให้ใบไม้ปลิวไสวลงมากันเป็นกลุ่ม อธิปเงียบเหลียวมองดูบ้านภาสิรี ทั้งที่เดินผ่านบ้านอรัญญามาเมื่อกี้ 

    “ยังทำกับข้าวให้น้องทุกวันรึเปล่า?”

    “ครับวันพระ” อธิปคงรู้ตัวดีแล้วและแยกแยะได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เขาจึงตอบไม่ลังเล ไม่นานอธิปก็เดินย้อนกลับไปที่บ้านอรัญญา เขาเห็นอรัญญานอนอยู่โซฟาห้องนั่งเล่น ประตูบ้านเปิดอยู่อธิปจึงเคาะให้รู้ตัวว่ามา เมื่ออรัญญาเดินถือผ้าห่มนวมออกมาหาอธิปจึงกอดเธอที่เข้ามาซบ และเอนตัวไปมา

    “ไปหาน้องบ้างรึเปล่า?” อธิปก้มลงถามอรัญยาที่ซบอกอยู่ 

    “ไปทุกวัน” เขาตอบแทนเธอที่ดูไม่ค่อยจะเปิดปาก อธิปยังกอดเธอไม่ยอมละเอนตัวไปมา และก้มลงหอมแก้ม เขาตกใจนิดหน่อยที่ตอนนี้แม้ว่าอธิปจะรู้แล้วว่าอรัญญาเป็นอรัญญาก็ยังกอดอรัญญาและปฏิบัติกับเธอเหมือนเดิม

    “ดูหนังอยู่เหรอ?”

    “อื้อ..แม้วส่งเครื่องเล่นซีดีมา” เธอบอก อธิปพยักหน้าให้เธอก่อนหันมายกมือให้เขามันแสดงว่า ค่อยคุยกัน พร้อมกับพาอรัญเข้าไปในห้องนั่งเล่นคงอยากอยู่กับน้อง เขาจึงปล่อยให้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน

    เขาเดินไปหาป้อมที่ครัวเก่าท้ายสวนซึ่งป้อมกำลังคัดเลือกผักเสี้ยนอยู่ เธอเทเกลือและกำลังจะคั้นผักอยู่พอดี ป้อมทำไว้เป็นกาละมังไว้กินกันระยะยาว เขาส่ายหน้าไปทางด้านหลังให้เธอรู้ว่าอธิปมาแล้ว และอาจจะมาเยี่ยมภรรยาของเขาซึ่งก็เป็นบางที ป้อมมองแล้วตีมือไหมให้ช่วยกันรีบคั้น

    “อยู่บ้านน้องอาจจะไม่มาง่ายดอก แต่เร่งมือหน่อยกะดี หน่อไม้เอาไว้ทีหลัง” เขามองกาละมังหน่อไม้ที่ถูกหั่นไว้ แต่เห็นลงเกลือเสียแล้วไม่น่าจะทัน ป้อมหันมาคั้นหน่อไม้และให้ไหมคั้นผักแทนจะได้เสร็จเร็วๆ เขาเดินไปหยิบผ้ากันฝนมาคลุมตุ่มน้ำเล็กๆหลายสิบใบที่หลังบ้านตาสง ตี๋จัดทำพวกผลไม้ดองเกลือไว้ อย่างลูกมะยม มะม่วง และมะขาม กระท้อน ตามฤดูกาล 

    หลังๆมาต่างพากันขยันทำของหมักดองกันบ่อยบ่อยเมื่อรู้ว่าอรัญญาชอบ ยิ่งป้อมนั้นพยายามเอาใจอรัญญาเพราะอรัญญานั้นจะได้ช่วยเอาใจอธิป ทุกคนรู้ว่าอธิปเหนื่อยและมีภาระเพิ่มมากขึ้น หากเกิดเครียดขึ้นมาปัญหามันจะหนัก และเพราะวราช่วยดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ไม่ว่าใครต้องการอะไรก็ได้กันทั้งนั้น เขาเองก็ได้ทีวีเครื่องเล็ก มาไว้ในบ้าน เทปวิทยุของป้อมหากเสียหรือเก่ามากแล้วเห็นสมควรเปลี่ยนก็เปลี่ยนให้ เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ มันมีมากปานร้านค้าเลยทีเดียว ช่วงนี้คนจึงเริ่มเข้าออกบ่อยขึ้น บ้างก็เอารถคันที่ไม่ใช้แล้วมาจอดบ้านนี้  มันแสดงถึงฐานะทางการเงินของบ้านวราว่าก้าวหน้าขนาดไหน

    และตัวเขานั้นก็ไม่จำเป็นที่จะเทียวไปมาอีกอยู่เรื่อย เพราะซ่อนโทรศัพท์ที่อธิปเคยโยนทิ้งเอาไว้ จำเป็นก็เอาออกมาใช้โทรหาวราบ้าง เริ่มพอเพียงกับความต้องการเพราะอยู่ที่นี่ต่างก็มีความสุขกันดี แม้ต้องมีระแวงโจรที่เข้ามาลักของอยู่บ้าง และอรัญญานั้นกลับพูดไม่ค่อยมากความก็ตามที เขาพยายามปรับความเข้าใจและทำความรู้จักกับความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้ให้มากที่สุด เพราะยิ่งเป็นแบบนี้แล้ว เขายิ่งรู้สึกเกรงใจเธอมากขึ้นทุกวัน และรู้สึกว่าเธอเป็นลูกของวราคนหนึ่งจริงๆ 

    บ่ายคล้อย เขาเห็นอธิปเดินขึ้นชั้นบนจึงรีบตามขึ้นไป อธิปเข้าห้องนอนของภาสิรี ที่มีศพอยู่ในนั้น เขารีบสาวเท้าเข้าไปห้ามมืออธิปที่จะเปิดฝาโลงที่ตอกไว้แล้ว เขาดึงบ่าอธิปให้หันหน้ามาทางเขาและให้เลิกสนใจกับโลงศพ 

    “จะกวนน้องทำไม?”

    “ก็คิดถึง ไม่ได้เหรอ?” 

    “คิดถึงก็ไปกอดคนนั้น ร่างนี้แห้งแล้ว ออกไปร่างใหม่แล้ว” เขาบอก 

    “.....” อธิปลดมือลง เดินไปนั่งที่เตียงนอนของน้อง เขาคิดแม้กระทั่งว่าหากป้อมขึ้นมาเปลี่ยนผ้าแล้วเห็นรอยนั่งอาจจะตกใจ

    “เออ...คนเป็นมีให้กอดไม่พอใจ” เขาพลางบ่นทั้งปิดฝาโลง อธิปเหลียวมองผ้าปูบนเตียงและลูบมัน

    “เขามานอนเหรอ?”

    “...ตอนแรกก็นึกว่าจะนอนห้องนั้น แต่บางครั้งป้อมก็บอกว่าน้องมานอนห้องนี้” เขาพยักหน้าก่อนที่จะพูด ยอมรับใจอรัญญาที่ไม่ได้กลัวและขึ้นมาอยู่ที่นี่คนเดียว อธิปนั่งเงียบ

    “ก็คิดซะว่าอรัญญาเป็นคนๆเดียวกัน ..จิตใจจะได้ไม่มีปัญหา” เขาเสริมขึ้น ทีเมื่อก่อนทำอะไรไม่เห็นจำเป็นต้องคิด ไม่มีหยุดคิด แต่ตอนนี้กลับมาคิดมากเอาเสีย อธิปใช้ศอกค้ำเข่าประสานมือวนนิ้วหัวแม่มือไปมา ก่อนที่จะลุกเดินออกจากห้อง เขาถอนหายใจก่อนที่จะตามออกไป ยิ่งเสียงนาฬิกาเจ้าปัญหามันดังด้วยแล้วยิ่งต้องรีบลงไปให้ไว 

    อรัญญาเปิดถุงกระดาษขนาดใหญ่ด้านในมีชุดชั้นในที่เข้าเซทกันอยู่ เธอหยิบชุดชั้นในสีดำลายจุดสีขาวมีชายระบายช่วงตะเข็บเนินอก ป้อมนั้นอมยิ้ม อรัญเหลียวมองอธิปที่นั่งอยู่บนโซฟาไขว่ห้างอยู่ในมือถือรีโมททีวี อธิปปรายตามองเธอก่อนมองทีวี

    “วาโก้เชียว” ป้อมยิ้มแป้นแซวอรัญ มันมีทุกแบบทุกสีทุกลาย 

    “รู้ได้ไงว่าไซส์ไหน?” อรัญขมวดคิ้วถาม อธิปลูบคางทำไม่สนใจ 

    “...ไม่กลัวเขาหาว่าโรคจิตเหรอ?” อรัญถามต่อ 

    “แม้วเขาไปด้วยใช่ไหมอธิป....ไปอรัญไปลองดูก่อน” ป้อมหัวเราะ แต่อธิปไม่ตอบ เลยชวนอรัญไปห้องน้ำเพื่องลองชุดชั้นในกัน 

    เสียงป้อมกรีดร้องอย่างพออกพอใจให้ห้องน้ำ มันคงจะพอดี เขาเหลียวมองอธิป เห็นจะจริงที่อรัญถามอธิป ขนาดเขาเองยังไม่เคยเลือกชุดชั้นในให้กับเมีย แม้จะรู้ไซส์รู้อะไรก็คาดเดาไซส์ไม่ถูกหรอกของแบบนี้ กับภาสิรีนั้นอธิปซื้อมาให้มันเป็นเรื่องปกติ แต่นี่อรัญญา มันทำให้เขารู้สึกเขินแทน เพราะเธอไม่ใช่เด็กๆแล้ว ต่อไปหากเซทไหนที่มีมาเป็นโหลๆก็คงไม่พ้นอธิปที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะใส่

    “ลุงยังไม่เคยจะซื้อให้เมียใส่ขนาดนี้ ให้เลือกคงจะเลือกไม่เป็น” เขายิ้มพลางเทเหล้าลงแก้ว 

    “....” อธิปไม่ได้ตอบ ลุกขึ้นเดินมาหยิบเหล้าที่เขาเพิ่งเทและเดินไปพิงประตูยืนดื่มเงียบๆ เสียงป้อมวิจารย์ชุดชั้นในยังดังอยู่ในห้องน้ำ อรัญญาคงไม่ลองกางเกงในให้ป้อมดูเพราะนุ่งซิ่นลำบาก เขาเห็นอธิปน่าจะหัวเราะเบาๆก่อนยกเหล้าขึ้นดื่มอีก ดื่มเพียวและไม่มีกับแกล้มเลยสักนิด เขานั้นอยากจะได้มะนาวหั่นจึงเดินไปเข้าครัวใหม่ หาอะไรให้อธิปได้รองท้องก็เห็นจะดี

     

    อรัญนั่งพิงโซฟาที่อธิปใช้นั่งพักผ่อนหน้าบาร์ เธอนั่งอ่านหนังสือนิยายฝรั่งบนพื้นเงียบๆ ถึงนานครั้งอธิปจะมาสักครั้งแต่ก็อยู่ครั้งละสามสี่วัน ข่าวดีก็มีมาอีกครั้งเมื่อกมลาภรรยาของอธิปนั้นท้องอีกแล้ว เมื่อไหร่ที่มีการเดินทางไปนานๆกลับมาจะมีข่าวดีทุกครั้งอธิปเล่นแบบหัวปีท้ายปีเลยทีเดียว ทุกครั้งที่มีข่าวดี จะมีอาหารดีๆมาส่งบ้านนี้ด้วย กลายเป็นธรรมเนียมไปเสียแล้ว ครั้งนี้กมลาท้องลูกแฝดเสียด้วย เขาได้อารมณ์ดีไปอีกวันเพราะคงสาแก่ใจวราที่คราวนี้จะได้หลานเพิ่มอีกสองเป็นสามคนแล้ว บริษัทในเมืองคงมีเลี้ยงใหญ่แน่ก็คราวนี้ 

    “ยังจะเอาอีกนะน่ะ” อธิปบอกเขาว่าวรานั้นอารมณ์ดีแค่ไหนและยังต้องการเพิ่มอีก ยิ่งเยอะยิ่งดี เขาอดยิ้มไม่ได้ เพราะอธิปเริ่มตามใจวราที่จัดหาพี่เลี้ยงมาช่วยกมลาเป็นที่เรียบร้อย

    “แล้วบอกแกว่ายังไง?”

    “มีน่ะมีได้แต่ให้ไปเลี้ยงกันเอาเอง ทางนี้เลี้ยงคนเดียวก็พอแล้ว” อธิปยกแขนซ้ายขึ้นรองศีรษะ ท่าทีโล่งใจของอธิปเมื่อเวลามาพักผ่อนที่นี่นั้นมันทำเขาอารมณ์ดีขึ้น เขาจะใช้เวลาคุยแค่ช่วงสั้นๆในทุกครั้งที่อธิปมาและจะปล่อยให้อรัญญาดูแลอธิปต่อ มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งกับการมาจนเขาเคยชินและรู้หน้าที่เป็นอย่างดี

     

    มีรถขนของเข้ามาส่ง มีวัตถุดิบสดๆ เข้ามาส่ง ป้อมนั้นสั่งกระทะเนื้อย่างมาพร้อมเตาอย่างละสองชุด เธออยากให้อรัญญาได้ทานอะไรใหม่ๆบ้างจัดการหั่นผักหมักเนื้อต่างๆเอง เธอมองหัวผักกาดดองแล้วถอนหายใจ เพราะลืมว่าอรัญญานั้นกินไม่ได้ถ้าหากอธิปอยู่ด้วย ไหมเทถั่วงอกลงกาละมัง และเปิดน้ำใส่กาละมังอีกใบแช่ผักชนิดอื่นๆ และแยกแช่วุ้นเส้น

    “น้ำจิ้มล่ะป้อม?” เขาถาม 

    “เดี๋ยวป้อมจัดการเอง ลุงกะเดินไปบอกตี๋เตรียมตัวมากินพอ” ป้อมจัดการผ่าปลาหมึกเอาตาออกและโยนลงหม้อที่ใส่น้ำไว้

    “แกได้ลูกผู้หญิงรึผู้ชายล่ะลุง?” ไหมถามพลางหยิบคอเสื้อขึ้นเช็ดแก้ม

    “ผู้ชาย ทั้งสองคน” เขาแจ้ง เป็นอันว่าได้ลูกชายสามคนแล้ว เขานึกถึงเสียงหัวเราะของวราที่ใส่กำไลข้อเท้าให้หลาน 

    “โว้ว...อาวราคงจะยิ้มไม่หุบนะ” ป้อมยิ้มกว้าง 

    “ยิ้มขนาด” เขาบอกพลางมองภรรยาของเขาที่นั่งอยู่แคร่ ช่วยปลิดก้านใบผักที่ใช้ไม่ได้ออก เธอหันมาถามเขา

    “ดีแล้ว เขายังจะเอาอีกไหมล่ะ?”

    “เอาอีก..” เขาหัวเราะ 

    “ถ้าได้ปีล่ะคนสองคนแบบนี้จะไม่เป็นสิบโน่นเหรอ” ไหมหยุดมือมองป้อม

    “ก็คงจะอย่างนั้น” 

    “ แกเลี้ยงได้ วราบอก สิบคนก็ยังเลี้ยงได้” เขาอธิบาย

    “อาวราแกนี่สุดยอดไปเลยเนาะ” ป้อมหัวเราะ 

     

    ตกเย็น พวกเขาจัดการปูเสื่อกินกันที่สนามหญ้าหน้าบ้านของเขาเพราะไม่อยากขนย้ายไกลและไม่สามารถทานในบ้านได้ อธิปนั่งเหยียดขาข้างหนึ่งให้อรัญนั่งหน้าอย่างที่เคยเป็น คอยคีบคอยย่างให้น้อง ต้องดูดีๆว่าเนื้อนั้นสุกแล้วหรือยัง คงกลัวว่าอรัญญานั้นจะไม่สบายหากได้ทานของไม่สุก อรัญญาหมวดคิ้ว เธอมองถาดผักในส่วนของป้อมไหมและตี๋ ที่แยกเตาทาน ป้อมรีบดันถาดผักหลบสายตาอธิปที่กำลังตักผักและน้ำซุปให้อรัญญา ตี๋อมยิ้มเพราะเกรงว่าอธิปจะเห็นผักดอง และอรัญคงอยากกิน 

    “ปลาหมึกสุกง่ายหรอก” อรัญญาหันไปมองอธิปที่คีบชิ้นปลาหมึกขึ้นส่องแล้วส่องอีก คงจะรอกิน ด้วยความที่กลัวว่าน้องจะได้ทานของไม่สุก อธิปจึงวางลงถ้วยให้เธอ และตึกน้ำจิ้มให้ตึดเดียว มันน้อยมากเพราะกลัวว่าอรัญญานั้นจะเผ็ด อรัญญาจึงคีบชิ้นปลาหมึกชิ้นนั้นส่งเข้าปากอธิป

    “เผ็ดไหม?” เธอถามขณะอธิปเคี้ยว อธิปพยักหน้า เธอขมวดคิ้วใช้ตะเกียบแตะน้ำจิ้มขึ้นชิม

    “ไม่เผ็ดสักนิด” อรัญญาบอกทั้งส่ายหน้า

    “ทานได้เหรอ.. ไม่ทำแบบไม่เผ็ดให้น้อง?” อธิปเหลียวมองป้อมที่เป็นคนทำน้ำจิ้ม ป้อมได้แต่ยิ้มและไม่เถียง มันไม่ได้เผ็ดเลยสักนิดเพียงแต่อธิปนั้นกลัวว่าอรัญญาจะเผ็ด  

    “น้องกินได้อยู่อธิป” ป้อมบอก อธิปใช้ตะเกียบตีลงตะเกียบอรัญญาที่กำลังจะพลิกชิ้นเนื้อบนเตา อรัญญาขมวดคิ้วแต่เมื่ออธิปเหลียวมองอรัญญาก็ทำหน้าปกติแบบรวดเร็ว  

    “เดี๋ยวจะคีบให้ กินอย่างเดียว” อธิปบอก อรัญเหลียวมองและนั่งกินเงียบๆ เขาที่นั่งอยู่ข้างภรรยาตรงข้ามอธิปและอรัญนั้นไม่ออกความเห็น เพียงแค่ยิ้มเอ็นดูอรัญที่ถูกขัดใจแต่แสดงออกไม่ได้  

    เขานั้นชวนอธิปคุยเรื่องลูกเพื่อให้อธิปนั้นไม่ต้องใส่ใจกับอรัญมากนัก เมื่ออธิปเผลออรัญญานั้นรีบส่งชามยื่นไปทางป้อมที่ลวกผักดองไว้ให้ ตบทับด้วยวุ้นเส้นและผักอื่นๆ อรัญญานั้นชกชามตักซดกินอย่างรีบ พลางคีบชิ้นเนื้อให้อธิปบ้างจะได้ไม่สนใจชามของเธอ ไหมนั้นหัวเราะขึ้น คงเพราะการทำแบบนี้เป็นการสร้างความตื่นเต้นไปอีกแบบ ทั้งตี๋ที่หัวเราะเบาๆ 

    อรัญญาโยกหัวไปมาตามจังหวะเพลง เมื่อเพลงจากเครื่องเล่นเทปของป้อมดังขึ้นเบาๆ เธอหยิบน้ำอัดลมขึ้นมาดื่ม มันเป็นเพลง ทั้งรักทั้งเกลียด ของกุ้ง ตวงสิทธิ์ อธิปนั้นเหลียวมองอรัญญาที่ดูอารมณ์ดี ไม่นานเธอก็หยุดทำเมื่อเห็นอธิปเหลียวมอง ทุกคนคงจะคิดเหมือนกับที่เขาคิดเพราะเนื้อเพลงมันยังไงๆอยู่ อรัญยื่นหน้าไปมองอธิปใกล้ๆพลางขมวดคิ้ว พออรัญทำแบบนั้น อธิปจึงเลิกทำ

    “...เป็นไปได้ยังไง ทั้งรักทั้งเกลียด?” อรัญญาถามอธิป 

    “รักเป็นรึยังก่อนจะเกลียด?” อธิปหน้านิ่งถามอรัญกลับพร้อมกับวางแก้วเหล้าที่เขาเพิ่งชงส่งให้ลงพื้น เธอหยุดและเงียบราวกับกำลังฟังเนื้อเพลง 

    “รักน่ะเป็นนะ แต่ยังไม่เกลียดสักที” อรัญญาตอบอธิป อธิปเอียงหน้าหลบตาไปทางอื่นก่อนเหลียวมองอรัญญาอีกรอบ ป้อมสะกิดไหมให้ดูอธิปที่น่าจะเขินอาย อธิปปรายตามองอรัญญาอยู่ ที่สุดก็เอ่ยถามขึ้น 

    “รักใคร?” 

    “เอ๋า!! ยังมีหน้ามาถาม” อรัญญาไม่ยิ้มใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อ ปรายตามองอธิปแต่มือจิ้มน้ำจิ้มจุ่มทั้งชิ้นเนื้อรีบคีบเข้าปากอย่างไว อธิปยังนั่งนิ่งเงียบ อยู่ครู่ 

    “ไปรีเปิดใหม่สิตี๋” อธิปสั่ง ตี๋จึงลุกไปกรอเพลงนั้นและเปิดใหม่  

    “รู้รึยังอธิปว่าน้องรักใคร?” ป้อมถามด้วยรอยยิ้มพลางรีบตักชิ้นผักกาดดองจัดให้อรัญ อันที่จริงนั้นคงไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเพลงอะไรหรอก อรัญนั้นพยายามเบนความสนใจอธิปเพราะอยากกินผักกาดดองและน้ำจิ้ม ป้อมคงจะพอใจที่ทำน้ำจิ้มถูกใจอรัญญาเลยทั้งตักทั้งแถม

    “รู้แล้ว” อธิปพูดพลางเหลียวมองอรัญญา 

    “ใครล่ะ?” ป้อมถาม อรัญญาใช้ปลายตะเกียบด้านบนเกาที่ลำคอ อธิปพลางจัดผ้ารองกันเปื้อนที่ตักให้อรัญญา 

    “เฮียเหรอ?” อธิปถามอรัญญาว่าใช่ตนเองหรือเปล่า ทั้งหน้าและลำคอแดงก่ำ กระทั่งแผงอกยังแดง อรัญญาคงมองเห็นเช่นเดียวกัน เธอนิ่งก่อนตอบ

    “...ก็มีอยู่คนเดียว จะใครล่ะ เอา กิน” อรัญคีบชิ้นเนื้อลงถ้วยให้อธิป

    “หน้าแดงแล้วครับ อธิป” ตี๋บอกอธิป อธิปจึงหันกลับไปหยิบเหล้าขึ้นดื่ม

    “อายแล้วเหรอ?” เขาพูดขึ้นมองอธิปที่นั่งฝั่งตรงข้าม

    “ไม่อายได้ไง ก็มันพูดขนาดนี้!!”  อธิปไม่ได้ยิ้มตอบ ทุกคนหัวเราะที่อธิปเป็นแบบนี้ ปกติจะไม่หน้าแดงและยิ้มอย่างพอใจ ไหงวันนี้เกิดอายน้องขึ้นมาเสียเฉยๆได้ เขารู้ว่าอธิปนั้น อาจจะอายอรัญญาที่เป็นอรัญญา ไม่ใช่ภาสิรีแน่นอน อธิปอาจจะมองว่าเป็นคนละคนกันแล้ว อธิปดึงม้วนกระดาษชำระออกมาหลายแผ่นซับเหงื่อที่คอให้อรัญ ป้อมจึงลุกมารวบผมให้อรัญ 

    “ผมยาวแล้ว จะตัดให้มั้ย...!?”  เธอต้องหยุดเพราะโดนอธิปตีมือลงที่แขนเธอ

    “ไปล้างมือก่อน” ไหมจึงท้วงติง

    “อ้อ ลืมๆ” ป้อมหัวเราะมองอธิปก่อนจะลุก เธอเดินไปล้างมือและปลิดดอกจำปาจากต้นมา อธิปเก็บขามานั่งขัดสมาธิให้ป้อมได้มัดผมให้เธอ ป้อมเปียผมให้อรัญญาและทักดอกที่ผมถักหลังใบหู เสร็จก็กลับไปล้างมืออีกครั้ง 

    “ผมยาวก็ดี สวยดี” อธิปเหยียดขาออกเช่นเดิมและยื่นหน้าไปหอมแก้มอรัญญาต่อหน้าทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เธอกดคิ้วลงเล็กน้อยก่อนชักสีหน้าปกติ คงรู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่อธิปทำ

    “ร้อนจะตาย” อรัญญารีบเปลี่ยนเรื่อง

    “ร้อนก็ไปอาบน้ำ” อธิปพูด

    “ไม่ กินกันต่อๆ” อรัญญายิ้มโบกตะเกียบไปมา 

    “ร้อนเพราะอายอธิปหรอก ใช่ไหมอรัญ?” ป้อมพยายามชวนคุยตามที่เขาบอก เพราะอรัญญานั้นดูอารมณ์ดีขึ้นเมื่ออธิปกลับมา ชวนคุยให้ดูเหมือนปกติทุกอย่าง จะได้กลับเข้าสู่บรรยากาศเดิมๆ อรัญญานั้นเงียบมองหม้อเนื้อย่าง ก่อนเหลียวมองอธิปและพยักหน้าให้อธิป 

     

    เขานับนิ้วมือตั้งแต่อรัญญามาอยู่ที่นี่ก็น่าจะห้าหกปีแล้ว อธิปนั้นก็มีลูกถึงสี่คนหัวปีท้ายปี ระยะหลังมานี้อธิปมาเดือนละครั้งไม่ก็สองเดือนครั้ง คงมีกิจการที่ต้องดูแลอยู่มาก เขาเดินตามอรัญญาเพื่อสำรวจบ้านและเธอเดินไปที่นาฬิกาเจ้าปัญหาที่เดี๋ยวตีบ้างไม่ตีบ้าง และสำรวจว่ามีอะไรที่ต้องซ่อมแซมและเปลี่ยนใหม่ นั่นมันก็หลายสิบปีแล้วที่เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ 

    “ลุง..ฟังอยู่รึเปล่า?” 

    “หือ มีอะไร?” 

    “ฝาครอบคีย์..มันเปิดอีกแล้ว” 

    “ก็จะ อรัญสิมาเล่น” เขาคงเมาเลยพูดไปตามที่คิด 

    “....อื้อ” ที่สุดอรัญญาก็พยักหน้าและเดินไปที่หน้าบ้านเมื่อเห็นรถเข้ามาจอด เป็นวราที่ลงมาจากรถ เธอเดินลงบันใดไปหยุดตรงขั้นบันใดสุดท้ายเพราะไม่ได้สวมรองเท้า เลยไม่อยากลงพื้นและคงกลัวแดดส่อง เธอยกมือไหว้และโค้งลง มองเด็กผู้ชายที่ลงรถมา วรามองเด็กแล้วใช้ไม้ตะพตยื่นไปทางอรัญญาแล้วพูด

    “อรัญญา น้องพ่ออธิป” อรัญญานั่งลงขั้นบันใดมองเด็กที่เดินเข้ามาหา เธอเอียงหน้ามองเด็กราวกับไม่เคยเห็นมานาน เด็กชายยิ้มและจับหน้าอรัญญา เธอใช้มือจับตัวเด็กและโอบกอดเมื่อเด็กกอดเธอ 

    “ชื่ออะไร?” อรัญญาแหงนหน้าถาม

    “ทิน ..ทินกร ลูกคนโต สี่ขวบกว่า” วราบอก 

    “ผมยาวมาก..” ทินกรจับผมเธอมาเล่น อรัญญามองทินกรที่เล่นผมเธออยู่ หากเธอนั่งก็ลากพื้นเลย อรัญญายังเหลียวมองทินกรอย่างพินิจ มองอยู่นาน 

    “สำเนาถูกต้อง” เธอพูด วราหัวเราะ และให้คนขับรถพาทินกรไปเดินเล่น เขายกเก้าอี้หวายที่มีเบาะรองนั่งออกมาให้วราและอรัญญาได้นั่ง อรัญญาหยิบไม้ตะพตของวราขี้นมอง ทั้งมองขาของวราอย่างพิจารณา วราจึงเหลียวมองเขาเพราะท่าทีของอรัญญานั้นคงเปลี่ยนไปมาก ตามที่เขาเคยบอก 

    “เบื่อบ้างรึเปล่า อยู่แต่ที่นี่” วราถามเธอ เธอรีบคืนไม้ลงที่เดิมส่ายหน้าแค่ครั้งเดียว เธอดูตื่นตระหนกเหมือนกับกลายเป็นคนตื่นคนในทำนองนั้น อรัญญายังมองหน้าวราไม่หยุด 

    “เป็นอะไร?” วราถามเธอ เธอเหลียวมามองเขา ก่อนพูดขึ้น วราโน้มตัวไปจับแขนอรัญและออกแรงอรัญจึงลุงและเดินเข้าไปหา วราแบมือออกให้เธอวางมือลง และใช้มืออีกมือกุมมืออรัญญา 

    “จำพ่อได้รึเปล่า?” วราถามอรัญญา อรัญญามองที่มือก่อนจะพยักหน้า 

    “ทีนี้ ถ้าไม่แน่ใจอะไรให้แตะดู นี่ คนแท้ๆ ชัดๆ มีร่างกาย มีเนื้อหนัง แตะได้ จับได้ ถ้าเป็นโจรเห็นคน มันจะวิ่งหนีมันไม่อยู่ให้แตะก็เก็บมันเลย” วราอธิบายมองหน้าอรัญญาและชี้ไปทางที่โจรมันจะวิ่งไป เป็นการอธิบายเล็กน้อย อรัญญานั้นมีรอยยิ้มขึ้นบ้าง เขานั้นอยากรู้ว่าหากมีลูกสาว วราคงสอนลูกแบบนี้แหละ 

    “ได้มือถือกันแล้วใช่ไหม?” วราถามเธอ เธอพยักหน้า 

    “ถ้าได้ก็โทรมาหาพ่อบ้างนะ ไม่ได้เจอกันนานพ่อคิดถึง” 

    “ไม่รู้จะคุยอะไร” เธอพูดและหยิบกาน้ำชารินให้วรา วราเหลียวมองเขา คงเพราะเจออรัญท่าทีแปลกๆ และพูดห้วนๆ หากอธิปไม่มานานเข้าจะเป็นแบบนี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ ก่อนจะปรับตัวได้ 

    “ไม่ค่อยได้คุยกับใคร ..อย่าถือสา” เขาอธิบายสั้นๆ วราหันมองเธอ

    “คิดถึงอธิปรีเปล่า?” 

    “คิดถึง” เธอพยักหน้า 

    “เดี๋ยวมันก็มา อาทิตย์หน้านี่แหละ ...ว่าแต่ น้องยังอยู่รึเปล่า มารึเปล่า?” วราจึงถาม อรัญพยักหน้าแล้วแหงนมองมาที่เขา

    “มา เป็นพักๆ ตกใจ” เขาหัวเราะเบาๆ ลูบท้องเพราะรู้สึกว่าท้องอืด 

    “เอ้า..แล้วมาแบบไหนล่ะ?” 

    “ก็มาแบบนี้แหละ อรัญใส่ชุดไหนก็มาชุดนั้น ต้องแยกให้ออกว่าพี่รึน้อง” เขาพูดเบาๆพลางหัวเราะเพราะคำพูดแบบนี้ใครฟังก็ว่าตลก เขาอธิบายเสริมไปอีกหน่อยว่า บางครั้งก็แทบไม่ต้องแยกเพราะมาแบบไม่มีผม ตอนที่มาแบบไม่มีผมดูป่วยและไม่สบายเอามาก ดูเศร้า ไม่น่าจะพูดคุยด้วย แต่หากมาบางครั้งนั้นเขาก็นึกว่าเป็นอรัญญา พูดคุยอยู่นานถึงรู้ว่าพูดอยู่คนเดียว 

    “เอ...ถ้าไม่เอาน้องไปทำศพก็คงจะอยู่ที่นี่ จะเอาน้องออกไปได้กันรึยัง?” วราเอ่ยถามอรัญญา 

    “ก็..จะรู้ได้ยังไงว่าอธิปจะไม่เผาบ้านทิ้ง” มันเป็นคำพูดที่แปลก แต่ดูเหมือนเธอจะเปรียบว่าถ้าหากอธิปรู้คงโกรธมากอาจจะเผาบ้านทิ้ง 

    “ใช่ ไอ้บักห่านี่มันไม่ธรรมดา ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป” วราพูด

    “บักห่านี่..” อรัญญาหัวเราะคำนั้น ทำให้วราพลอยยิ้มไปด้วย คงจะเอ็นดูอรัญญาเอามากๆ ใช้หลังมือแตะเส้นผมเหนือขมับอรัญญา ซึ่งอรัญญาเอนตัวออกหน่อยนึงก่อนจะปล่อยให้วราทำ 

    “ไม่มีใครกล้าจับอรัญ กลัวอธิปมาเห็นจะโดนฆ่าตายก่อน” เขาบอกวราเบาๆ วราหยุดมือหันมามองเขา 

    “ถ้ามันไปไหนนานๆ ก็พาเขาออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะ เจอคนบ้างจะดี ได้คุยกับคนอื่นจะได้ไม่ลืมโลกข้างนอกนั่น” 

    “ไม่กล้าหรอก ขึ้นมาแต่ละทีปานจะฆ่าคนได้” เขาอธิบาย 

    “แล้วมันยังนอนห้องนั้นอยู่รึเปล่า?”

    “บางคืน..ถ้าไม่เห็นหีบคงจะหนักหนาอยู่” อรัญญาตอบ 

    “เวลามันมานี่มีอาการแปลกๆบ้างรึเปล่า การที่บอกว่ามันโรคจิต?” วราหันมาถามเขา 

    “ไม่..แต่บางครั้งก็มีหลงว่าอรัญเป็นน้อง บางครั้งก็ทำเหมือนว่าอรัญยังเป็นเด็กน้อยอยู่ แต่บางทีก็เหมือนจะรู้ว่าคนละคนกัน เอาแน่ไม่ได้สักที..แล้วอยู่ข้างนอกไม่เป็นเหรอ?” เขาถามกลับ

    “ไม่...เหมือนคนปกติทุกอย่าง สงสัยจะดูน้องจนเคยตัว..เอาอย่างนี้นะ เดี๋ยวเรื่องศพจะจัดการเอาคนมาทำเอง รอเวลามันไปเมืองนอกก่อน เห็นมันพาเมียมันไปเมืองนอกทีไรกลับมากูได้หลานทุกที สงสัยอยู่ว่ามันมีอะไรดีที่นั่น” วราอธิบาย เขาพลันหัวเราะ มันเป็นการชวนคุยแบบเพื่อนคุยกันเหมือนเดิม 

    “ไม่ลองไปดู ไปพักผ่อนกับเขา” เขาออกความเห็น 

    “ใครจะดูหลาน” วรายิ้มกว้างหัวเราะในลำคอจนมีน้ำตา พลันมองอรัญญาแล้วส่งยิ้มให้ 

    “พ่อขอบใจ” วราวางมือบนมืออรัญญาที่วางตรงเข่า อรัญญามองหน้าวราก่อนพยักหน้าให้ มันดูเหมือนคนไม่มีมารยาทที่คุยกับผู้ใหญ่แบบนั้นแต่วรานั้นเข้าใจเธอดี วรายังคงมองเธอด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างไม่มีคำพูด แต่ที่สุดแล้ววรารินน้ำชาให้อรัญญาแล้วพูดขึ้นว่า 

    “เออ เป็นนางฟ้ากันหรือไงถึงลงมาช่วยคนบ้านนี้” มันเป็นการพูดลอย วรามองอรัญญาแล้วยิ้ม 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×