คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : การจากลา
หลังจากที่อธิปไปต่างประเทศ ในบ่ายวันหนึ่งขณะตี๋ช้อนใบไม้ออกจากสระน้ำ อรัญนั้นนั่งดูทีวีอยู่ มันเป็นโฆษณาตัวอย่างภาพยนตร์ที่จะเข้าฉาย ตี๋วางไม้และเข้าไปยืนดูกับอรัญ อย่างให้ความสนใจ เขาได้แต่ยืนมองเด็กๆที่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีโอกาสได้ไปโรงภาพยนตร์ อรัญญาณั่งท้างคางมองทีวีที่โต๊ะญี่ปุ่น
“ฟงอวิ๋น อดดูตามเคย” อรัญพูดขึ้นเหลียวมองตี๋
“เดี๋ยวเขาก็เอามาออกทีวี” ตี๋พูด ทั้งที่สายตายังจ้องมองทีวี เมื่อไม่ได้ไปโรงเรียนก็ไม่มีอะไรทำ อรัญญานั้นได้แต่รอคอยม้วนวีดีโอที่นานๆวราจะจัดหามาให้ วันไหนมีม้วนวีดีโอมาทุกคนก็จะรวมตัวทานอาหาร ดูหนังที่ได้มา จนเครื่องวีดีโอไม่ได้พักผ่อน แย่งกันดูว่าจะดูเรื่องไหนก่อน
เพราะต้องหาอะไรทำ อรัญนั้นวิ่งเก็บมะม่วงหลังฝนตก บ้างก็ช่วยป้อมทำมะม่วงกวนมะม่วงแผ่น เมื่อเห็นว่าอรัญไม่ค่อยยิ้มและเบื่อป้อมก็จะหากิจกรรมทำอย่างจัดลานออกกำลังกายยามเย็นบ้าง เขาต้องหาล้อเก่ามาทำเสากางเนตให้กลุ่มสาวๆเล่นแบตมินตั้น บ้าง แต่อรัญนั้นกลับเงียบและดูไม่ค่อยเอ็นจอยเท่าไหร่กับการออกกำลังกาย เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออย่างเดียว เล่นเปียโนบ้าง เป็นบางครั้ง เขาได้แต่ถอนใจว่าเมื่อไหร่ อธิปจะกลับมาสักที
ตะวันสายโด่ง ไม่เห็นอรัญลงมาที่ตึกใหญ่ เขาตัดสินใจเคาะประตูเมื่อไม่เห็นเธอออกมาจากบ้านภาสิรีแต่มันไม่มีเสียงตอบรับ รีบจ้ำอ้าวไปเรียกป้อมเพื่อเข้ามาดูกับเขามันจะดูไม่เหมาะถ้าจะเข้าไปเพียงลำพัง ป้อมพยุงอรัญลงมาจากชั้นบนเธอยังสวมชุดนอนอยู่ ผิวซีดท่าทีอิดโรย เธอนั่งบนโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ไม่มีแรงเลย” เธอเหลียวมองบอกป้อม
“น่าจะไม่สบาย..เป็นมากี่วันแล้ว ตาย..ผิวซีดหมดแล้ว นั่นแหละไม่ค่อยออกมาข้างนอก”
“เดี๋ยวกินยาก็หาย” อรัญพิงพนักโซฟายกมือขึ้นกุมที่หน้าผาก เธอดูอ่อนแรงเสียจริง ไม่ว่าจะหาอะไรให้ทานก็ทานได้น้อย และดูไม่มีเรี่ยวแรง ให้ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังก็ไม่ดีขึ้น อรัญบอกว่าอยู่ดีๆก็เป็นแบบนี้ มันไม่น่าจะปกติแล้ว เขาจึงพาอรัญไปหาหมอโดยการถามความเห็นจากวราให้แน่ใจก่อน
เขาพาวรามาที่โรงพยาบาลเพราะอรัญนั้นมีอาการไม่ดีขึ้น และดูเหมือนจะมีผื่นขึ้นตามตัว เขาเกรงว่าเธอจะเป็นไข้เลือดออก วราถือไม้เท้าเข้ามาฟังผลให้แน่ใจว่าเธอเป็นอะไร แค่หลังจากที่ผ่านมาพยายามทานยาและรักษาร่วมเดือนแล้วยังไม่ได้ดีขึ้นเลย ตรวจร่างกายมาหลายอย่างก็ยังไม่พบสาเหตุเสียที
“น้องเป็นลูคีเมียนะครับคุณพ่อ”
“...โรคอะไรนะ?” วราหันมามองเขาก่อนหันไปหานายแพทย์ที่ยืนตรงหน้า
“ผู้ป่วยต้องปลูกถ่ายไขกระดูกนะครับ เป็นมะเร็งระบบเลือดแบบเฉียบพลันนะ เคสนี้หมอแนะนำให้ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์อย่างเดียวเลย แต่ตอนนี้ต้องรักษาโดยเคมีบำบัดก่อนนะครับ ...คนป่วยมีพี่น้องไหมครับหรือคุณพ่อก็ได้ ต้องรีบนะครับเคมีบำบัดตอนนี้เดี๋ยวนี้เลย?”
“อธิป พี่ชายเขาได้ไหม?” วราเอ่ยถาม
“ถ้าพี่น้องคนละพ่อจะได้เหรอ?” เขาแทรกถามเพราะสงสัยหากเป็นโรคเลือดแล้วมันต้องเกี่ยวข้องทางสายเลือด
“ถ้ามีสายเลือดเดียวกันล่ะได้ครับแต่ต้องตรวจอีกทีว่าเข้ากันได้..จะเป็นญาติก็ได้นี่ครับ” เพียงเท่านั้นวราถึงกับทรุดพิงพนัก
“.......ตายห่าล่ะ”
มันเป็นบ้านหลังใหญ่ที่เก่าแล้วอยู่อีกอำเภอหนึ่งไกลออกไปจากตัวเมือง เขาและวราจอดรถเข้าไปในบ้านเมื่อถูกภรรยาของไพรัชเชิญ เขาเล่าทุกอย่างให้ฟังว่าภาสิรีนั้นป่วย ต้องการไพรัชนั้นเข้ามาช่วยเหลือโดยด่วน เพราะไพรัชเป็นพ่อโดยแท้น่าจะช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน เธอนั่งฟังนิ่งๆก่อนหันไปถามญาติๆในบ้าน
“ไพรัชไม่อยู่แล้วนะ ...ลูกสาวอีกคนก็อยู่เมืองนอกกับบ้านพ่อเขา เมียก็เปลี่ยนไปเรื่อย ไม่ได้ข่าวเลย จะทำไงล่ะทีนี้?”
“......” เขาได้แต่เหลียวมองวราที่นั่งเงียบๆ เธอเรีกหญิงคนหนึ่งซึ่งถือสมุดบันทึกมาให้เธอ
“เดี๋ยวดูก่อนนะ แน่ใจว่าจดเบอร์ไว้อยู่ ...เอ โทรออกนี่ต้องกดอะไรนะ อ่ะดู” เธอยื่นสมุดมาให้
“....ใครล่ะนี่?” เขาเหลียวมองตัวเลขบนสมุดมันมีอยู่มากมาย
“ก็พ่อเขาไม่อยู่ เมียเขาก็อยู่ไหนก็ไม่รู้ ก็ต้องไปเอาพี่เขามาล่ะถึงจะรอด ต้องไปตามเอาล่ะ นี่... ชื่อ อรัญญา”
“อธิปมันจะมารึยัง?” สายฝนโปรยปราย วรานั้นนั่งพิงเก้าอี้โยกมองสายฝนที่ตกอยู่ภายนอก เอ่ยถามขึ้น ขณะที่เขานั้นพยายามติดต่อกับทางต่างประเทศ ซึ่งวราเองก็คงทิ้งกิจการที่นี่ไปไม่ได้ การที่จะให้ทางนั้นมาเองก็ดูเหมือนจะเป็นการรบกวนมากเกินไปหรือเปล่า ทั้งยังไม่รู้ว่าเมื่อไปหาแล้วเธอจะยอมมาไหม มันช่างเป็นเรื่องที่ยากและลำบากในการตัดสินใจ
“น่าจะไวๆนี่ล่ะ” เขาตอบ อธิปน่าจะไปได้เดือนกว่าๆแล้ว เขาเองก็แทบจะไม่ได้จำ พยายามนั่งนึกวันเวลาที่ผ่านมา มันมีเรื่องให้ต้องทำมากมายจนไม่ได้สนวันเดือนปี ที่แน่ๆตอนนี้ อรัญนั้นดูไม่ได้เลย ซูบผอมอาการไม่ดีขึ้น อาเจียรทุกครั้งที่มีการทำเคมีบำบัด เสียงฝนยังดังอยู่ วรานั่งเงียบอยู่นานก่อนพูดขึ้น
“...รู้ไหมว่าถ้าเขาตายมันจะเกิดอะไร?”
“......?”
“มันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม พ่วงคนที่ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ต้องมาเสียใจ บ้านนี้ก็จะล่ม... รู้ไหมเมื่อก่อนมันเป็นหนักแค่ไหน ขนาดไม่กล้าพาไปโรงบาล กลัวเขาบอกว่ามันเป็นบ้า ...กูยอมทั้งนั้นแหละขอให้มันกลับมาเป็นคนธรรมดา ถึงจะรู้ว่ามันจะเอาน้องเป็นเมียกูก็ยังยอม” วราพูดช้าๆ และลูกกระเดือกกระเพื่อมเพราะกลืนน้ำลาย ในมือกำไม้ตะพตอยู่
เขาใจหายวาบเมื่อรู้ว่าวรารู้มาโดยตลอด รู้สึกหน้าชาและใจเสียเพราะเขามีความลับที่ไม่รู้ว่ากี่อย่างต่อกี่อย่างที่มันอัดอั้นตันใจอยู่มาก อย่างไรเสียอรัญนั้นต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อไม่สามารถเข้าออกเยี่ยมได้ตามปกติในตอนนี้ หากต้องรออธิปนั้นกลับมาก็เกรงว่าจะไม่ทัน เขาใช้นิ้วนวดขมับ ไม่รู้เป็นบุญหรือกรรมกันแน่ที่วราต้องมีชีวิตแบบนี้และต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
ผ่านมาร่วมสองอาทิคย์เขาสั่งป้อมให้ดูแลทางฝั่งโรงพยาบาล ตอนนี้วรานั้นแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาต้องอยู่ดูแลทางนี้เพื่อไม่ให้เพื่อนของเขาต้องมาเจ็บป่วยไปอีกคน เขาได้แต่หวังว่าทางอเมริกาจะมีใครที่ติดต่อกลับมา เขาได้แต่รอและนับวินาทีได้เลยหวังว่าใครสักคนต้องโทรมา
RRRRR!!!
“สวัสดีครับ” เขารีบรับสาย
“นั่นใคร คุณพ่อวราอยู่ไหม?”
“แม้วเหรอ...แม้ว ฟังนะ อรัญไม่สบายหนักมากตอนนี้อยู่โรงพยาบาลได้ยาแล้วกลับไปอยู่บ้าน”
“..ขนาดไหน?”
“มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน เห็นว่าเม็ดเลือดขาวมันเกินแสนรึยังไงนี่ล่ะ หมอต้องปลูกถ่ายไขกระดูกเท่านั้น”
“แล้วจะไปเอากับใคร ตารางบินกลับก็อีกสี่วัน...เดี๋ยวนะต้องเช็คดูก่อนว่ากลับเร็วกว่านี้ได้รึเปล่า” เสียงกมลาเงียบหายใจ เขาจึงตัดสินใจพูดขึ้น
“ไปเอาน้องเขามาได้ไหม พ่อเขาเสียแล้ว เห็นว่าอยู่เมืองนอกเหมือนกัน เดี๋ยวลุงเอาเบอร์ติดต่อให้” ในความคิดของเขา เมืองนอกก็น่าจะอยู่ใกล้กัน มันง่ายกว่าหากจะแวะรับตัวน้องสาวอรัญเดินทางมาด้วย จะได้ไม่เป็นการเสียเวลา แวะรับเอาตัวมาเลย
“อยู่นอกเหรอ ..ที่ไหน?”
“อังกฤษ”
“จะบ้าเหรอ!! ให้ตายสิ พ่อเอาเบอร์ติดต่อมาให้หนูเลย เดี๋ยวนี้ แล้วเขาชื่ออะไรล่ะ?”
“อรัญ อรัญญา!”
เธอเริ่มมีอาการผมร่วงและผ่ายผอมลงเขาได้แต่ส่ายหน้าเพราะมันต้องใช้ระยะเวลา ช่วงเวลาแบบนี้กลับรู้สึกว่ายากลำบากที่จะให้กำลังใจเพราะเขาไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาทำให้รู้สึกดี ไม่มีรอยยิ้มจากสีหน้านั้นเมื่อต้องโกนผมทิ้ง นึกถึงคำของหมอที่บอกว่าผู้ป่วยต้องการกำลังใจอย่างมากแต่อรัญนั้นดูเหมือนจะไม่มีกำลังใจใด นอกจาก การรออธิปมา
“อรัญ...ได้ยินป้ารึเปล่า...อธิปจะมาแล้วนะ อดใจรอก่อน” สภาพอรัญตอนนี้ไม่เห็นจะไหว ไม่เหมือนอย่างที่คนป่วยคนอื่นๆที่ป่วยเป็นโรคเดียวกัน มันแย่กว่ามากนัก อรัญส่ายหน้าไม่อยากไปรักษาอีกแล้วเธอบอกว่าไม่ไหว
“..อย่าให้มา ไม่อยากได้ยาแล้ว อย่าให้พี่อธิปมาเห็นสภาพนี้” เธอส่ายหน้าและพูดอย่างอ่อนแรง น้ำตาคลอเบ้า มันทำให้ป้อมน้ำตาไหลต่อหน้าเธอ ใช้สองมือปิดหน้าหลับตาซับน้ำตา
“อย่าร้องๆนะ หมอบอกต้องมีกำลังใจเยอะๆ เดี๋ยวอธิปมาแล้ว ต่อไปให้อธิปพาไปให้ยา” เขาบอก หากเป็นอธิปพาไปน่าจะดีกว่านี้ อรัญคงอยากได้กำลังใจมากกว่านี้
“ใส่ผ้าซิ่นแบบที่พี่แม้วใส่ให้ได้ไหม?”
“..อยากสวยใช่ไหม ยืนได้ไหมล่ะ มา เดี๋ยวป้าไปเอาซิ่นไหมมาให้” ป้อมใช้คอเสื้อเช็ดน้ำตาทั้งสูดน้ำมูก เขากลับออกจากบ้านภาสิรี เดินไปที่บาร์เหล้าเลือกหยิบมาขวดหนึ่ง รินลงแก้วทั้งกระดก อากาศอบอ้าวไม่มีแสงแดด เขาเหลียวมองสระน้ำด้านนอก ยืนค้ำบาร์อยู่ ตี๋เดินผ่านมาทั้งมองหน้าเขาก่อนจะนั่งลงตรงบันใดทางขึ้นบ้าน
ตั้งแต่อรัญไม่สบาย บ้านนี้ก็ค่อยเงียบลงไปทุกวัน ยิ่งอธิปไม่อยู่ด้วยแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของอรัญ มันนานจนต้องนึกถึงและอยากให้กลับมาวุ่นวายกันอย่างเก่า เขาไม่รู้ว่าระหว่างอรัญไม่อยู่กับอธิปไม่อยู่อันไหนจะเงียบเหงากว่ากัน เหลียวมองสระน้ำเงียบๆ เขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่พยายามคิดว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร ทำไมก่อนหน้านี้อรัญนั้นไม่มีอาการป่วยใดแสดงออกมาให้เห็นก่อน จะได้รักษาทัน
“เป็นไร?” เขาถามเมื่อเห็นตี๋นั่งเงียบมองสระน้ำไม่พูดไม่จา
“ลุง ผมกลัวครับ” เขารู้ว่าตี๋อาจจะมีอาการเสียใจเลยไม่ซักถามอะไรต่อ ถือวิสาสะรินเหล้าอย่างเดียว
เสียงลมหวีดหวิดพัดผ่านราวกับพายุจะมา อากาศที่เคยร้อนเริ่มมีไอเย็นมา แสดงว่าอาจจะมีฝนในเร็วๆนี้พลันตี๋ก็รีบลุกวิ่งขึ้นชั้นบนปิดหน้าต่าง เขาเองก็ต้องปิดประตูหน้าบ้าน และแง้มประตูริมสระไว้ เพื่อระบายอากาศนิดหน่อย และออกไปจัดเก็บของแห้งที่ครัวเก่าเห็นภรรยาเขากำลังหาผ้ากันฝนคลุมพวกฟื้นกิ่งไม้แห้งที่กองๆใต้ต้นไม้ เตรียมรับฝนที่กำลังจะมา
เสียงป้อมร้องไห้สะอื้นหนักด้านบนบ้านภาสิรี ร่ำไห้ร้องเรียกหาเขาอยู่ เขาตอบรับด้วยคำว่า เออ คำเดียว ไม่อยากจะขึ้นไปยังชั้นบนนั้น ตามมาด้วยเสียงไหมร้องขึ้นทั้งวิ่งเข้าบ้านภาสิรี เขาเห็นตี๋ปั่นจักรยานมาตามทางคอนกรีตที่เปียกชื้นและเต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้ใบไม้ เขาล้วงกุญแจรถจากกระเป๋า กวัดมือบอกตี๋
“ลุง ใครเป็นไร?”
“ไปเปิดประตู อรัญไปแล้ว! ไปบอกป้าด้วย” เขาสั่ง
“...วรา ลูกไปแล้วนะ เรารักษาเขาช้าไป” เขาวางมือลงบนไหล่วรา เพียงเท่านั้นวราถึงกับน้ำตาไหลมีเพียงเสียงจากลำคอใช้หน้าซบไม่ตะพดที่อยู่ในมือ เมื่อเขามาแจ้งว่าอรัญนั้นไปแล้ว อธิปต้องเปลี่ยนเที่ยวบินภายในประเทศจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง ที่ทางบ้านต้องแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันการเสียชีวิตทั้งจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยโดยไว
อธิปนั่งดื่มเงียบๆ นำโลงขึ้นมาตั้งบนห้องนอนอรัญที่ตึกใหญ่หลังจากจัดพิธีสวดเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นอธิปก็เป็นแบบนี้ นั่งดื่มเงียบๆ ไม่ได้เอะอะหรือโวยวายแต่อย่างใด ซึ่งตั้งแต่กลับมาเขาก็ไม่ได้เห็นกมลาภรรยาของอธิปอีก ไม่ว่าจะถามอะไร อธิปนั้นก็ไม่ยอมที่จะพูดคุยอะไรเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขานึกถึงคำพูดของวรา เขาเพิ่งเริ่มเข้าใจความเจ็บปวดที่วรามี เพราะอธิปขึ้นไปนอนในห้องนั้น ทำให้เขาต้องไปนอนเป็นเพื่อน ด้วยกลัวความคิดของอธิป มันเป็นอยู่แบบนั้นมาโดยตลอด
“มันไม่ยอมเผาใช่ไหม?” วราพิงพนักเก้าอี้ในห้องทำงานเงียบๆ ที่มีเพียงแสงจากโคมไฟส่องแสงสลัว เอ่ยถามขึ้นเมื่อเขามาเยือน มันไร้คำที่จะพูดเยียวยาจิตใจ ภรรยาของเขาเองก็ได้แต่น้ำตาไหลเมื่อรู้ข่าว จากคนที่ชอบบ่นไปตามประสา กลายเป็นคนเงียบ ไม่พูดออกความคิดเห็นอะไร
“ครับ”
“ฝังล่ะ?”
“ไม่...เอายังไงกันดี?” กว่าจะพูดกันได้ตอนนี้ก็ยาก เขานั้นต้องเดาความคิดวราว่าคิดอะไรอยู่กัน คิดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า วรานั้นยังนิ่งงัน
“ปล่อยไปก่อน เตรียมที่เตรียมทางไว้แล้ว รอโอกาสก่อน ...แม้วเจอตัวอรัญแล้วจะกลับวันอาทิตย์นี้ เตรียมตัวให้ดี”
ความคิดเห็น