ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ศพ) บ้านวรา

    ลำดับตอนที่ #7 : ออกจากบ้าน

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 66


    เขาเหลียวมองรอบๆ ที่นี่คงเป็นห้องของโรงพยาบาลเห็นพ่อของเขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่เก้าอี้โซฟาในห้อง เขาพลางนึกสงสัยว่าเขาฝันดอกหรือที่เขาเข้าไปที่บ้านวรามา เขาอาจจะดีใจมากหากเรื่องทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ฝันไป เขายังคงมีร่างกายอ่อนเพลียอยู่ไร้เรี่ยวแรงที่จะเล่าอะไรหรือคิดอะไรในตอนนี้ รู้แต่ว่าห้องที่เขาอยู่นี้ช่างอับจนแสงสว่างเสียจริงๆ

    “ตื่นแล้วเหรอ?” 

    “มาได้ไงนี่พ่อ?”

    “เออลุงแกไปบอก บอกให้ดูแลตัวเองให้ดีๆ เป็นไงล่ะ งานหนักไหม เล่นเอาป่วยเลยเหรอ?” 

    “ไม่ครับ”

    “เขาก็ดีนะ พ่อล่ะดีใจที่แกได้ที่ทำงานดีๆ” พ่อของเขาบอกกับเขาว่าเขาเป็นไข้หวัดใหญ่อาจจะได้พักที่นี่สองสามวันหรือเป็นอาทิตย์โดยที่เจ้าของบริษัทเป็นผู้ที่ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เขาใจหายที่ได้รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง ได้แต่หวังว่าที่เขาเห็นนั้นเกิดจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของเขา 

    “แล้วเขาไปไหนล่ะพ่อ?” เขารีบเอ่ยถามพ่อของเขาที่วางแก้วน้ำลงตู้ข้างเตียง

    “เห็นว่ามีธุระ ว่าจะติดต่อกลับมา เรื่องเงินไม่ต้องห่วงนะ เขาจ่ายมาแล้ว เห็นว่าช่วงนี้มีเรื่องยุ่งไปอีกนาน แกก็พักไปก่อนช่วงนี้ ของๆแกเขาก็ขนมาบ้านแล้ว สงสัยบ้านใหญ่เขาจะมีงาน ...ทำไมล่ะ?” พ่อเขารินน้ำแล้วหยุดถาม เขาส่ายหน้า ยินดีที่จะไม่เล่าอะไรให้ใครฟังตามที่เขาได้ตั้งใจไว้ 

    “ไม่มีอะไร” 

    “เออ ถ้าเขาจะไม่ให้ทำต่อก็ไม่เป็นไร เอาไว้ค่อยหางานใหม่” พ่อเขาพูดเหมือนจะรู้ทันว่าเขานั้นอาจจะตกงาน การเป็นผู้ใหญ่นี่เป็นอย่างไรหนอทำไมถึงรู้ทันแทบทุกเรื่องเลย ในความคิดของเขา แม้จะเป็นการปลอบใจแต่ลึกๆแล้วเขาก็เสียความรู้สึกนิดหน่อย น้อยใจที่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น 

    ผ่านไปราวสิบห้าวันได้เขาออกจากโรงพยาบาลพยายามติดต่อใครก็ไม่ได้ พยายามโทรหาตี๋ ป้าป้อม ป้าไหมยิ่งแล้วใหญ่ ในตอนนี้เขากลายเป็นคนนอกอย่างเต็มตัว เขากลับไปที่นั่นอีกก็รู้สึกว่าเงียบ ไม่มีเสียงตอบรับที่ประตูรั้ว ไปอีกทีก็เห็นว่าประตูรั้วนั้นมันล็อคอยู่ที่ด้านใน เขาแทบอยากจะน้ำตาร่วง เขากลับไปที่ในเมืองคนงานก็เอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียว แสดงว่ายังไม่อยากให้ใครรู้ล่ะ 

    เขารู้สึกแย่มากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีการติดต่อกลับมาอีก เขามารู้ทีหลังว่าเงินที่เขาได้รับนั้นเป็นจำนวนสามแสนบาท ไม่ได้หักค่าใช้จ่ายใดเลยแม้แต่น้อย มันมากโขเอาการกับการทำงานได้ปีกว่าๆ เพียงเท่านั้น ภาพอรัญและอธิปที่ปั่นจักรยานด้วยกันนั้นยังติดตาเขาอยู่ มันเป็นความสุขของที่นั่นจริงๆ และเขายังรับไม่ได้ว่าเรื่องนั้นมันได้จบลงแล้ว ทางนั้นเองคงมีเรื่องมากมายที่จะจัดการเขายังไม่อยากที่จะเข้าไปรบกวนในตอนนี้ 

    “เป็นไง เจอบ้างไหม?” พ่อเขาถามเมื่อเขากลับมา เขาลงไปนั่งแคร่ไม้กับพ่อและแม่ของเขา กระทั่งตอนนี้ยังนึกถึงแคร่ไม้ที่หน้าห้องครัวอยู่ เขาอยากกลับไปที่นั่น ต้องยอมรับว่าตอนนี้เขาคิดถึงที่นั่นจริงๆ พอออกมาจากที่นั่นก็เหมือนอยู่กันคนละโลกอย่างเห็นได้ชัด ในตอนนี้เขารู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านั้น เขาจะอยู่ดูแลทั้งสองคนให้เป็นอย่างดี 

    “...สงสัยจะไม่ได้กลับไปแล้วล่ะพ่อ เจ้าของบ้านกับน้องสาวแกจะย้ายไปอยู่เมืองนอก” เขาบอก 

    พลางช่วยพ่อของเขาจัดการกับดอกกระเจี๊ยบตากแห้ง ช่วงนี้เขาต้องหาอะไรทำเพื่อที่จะไม่ว่างคิด แต่มันก็วนกลับมาที่เดิม เขาอยากให้อรัญญานั้นลองทานน้ำกระเจี๊ยบที่เขาทำบ้าง แต่ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว เขารู้สึกว่า น้ำตาของเขามันพร้อมจะหลั่งออกมาอยู่ตลอดเวลา เจ็บกว่าตอนที่เขานั้นกลับมาที่นี่เสียอีก

    “เออ..น่าเสียดาย เขาใจดี ลุงเขาเทียวมาเยี่ยม ซื้อของมาฝากบอกเจ้านายให้เอาเงินมาให้ ...จะเอาไปเลยไหมล่ะเงินน่ะ?”

    “พ่อก็ใช้สิ ..แต่เก็บไว้ให้สักหน่อยก็ดีเผื่อได้ไปหางานที่อื่นอีก”  

    “เออ จะเอาก็มาบอก พ่อไม่ใช้หมดหรอก” ดูเหมือนสัมพันธภาพของครอบครัวเขาจะดีขึ้นมากตั้งแต่เขาได้ไปที่นั่น แต่ตอนนี้เขากลับสูญเสียที่นั่นไปเสียแล้ว รู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูกเอาเสียทีเดียว เขาไม่น่าป่วยเลยในตอนนั้น ถ้ายังมีสติยืนอยู่ได้จะได้ไม่ต้องห่างไกลจากใครอีก 

    “พ่อครับ” เขาเรียก พ่อของเขาที่นั่งคัดแยกผักอยู่บนแคร่เหลียวมาบองเขา

    “....มีไร?”

    “.....ผมอยากบวช” มันเป็นสิ่งที่ทำให้พอเขาถึงกับน้ำตาคลอเบ้าเมื่อได้ยิน 

    ขณะที่เขารอฤกษ์บวชอยู่นั้นเขาได้มีโอกาสกลับไปยังบริษัทในเมือง เพื่อที่จะขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาได้รับเขาเข้าทำงาน ครั้งนี้เขาได้เข้าไปยังบ้านที่อยู่ด้านหลัง ตัวบ้านด้านล่างมีเสาที่ทำด้วยอิฐแดง เขาเห็นบ่อปลาคาฟขนาดใหญ่ที่จัดทำสวนสวนหย่อม ปลาคาฟตัวใหญ่ว่ายทวนน้ำอยู่หลายสิบตัว ทุกพื้นที่สะอาด หากบ้านสะอาดเก่าอยากไรก็น่าอยู่ เขาถูกเชิญเข้าไปในบ้าน ที่มีโซฟาไม้สักขนาดใหญ่แกะลักเป็นลวดลายสีดำเข้ม มีแจกัน และเขาเห็นรูป อธิป ที่เป็นสีขาวดำขนาดใหญ่และรูปอรัญญาสองภาพอยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง เป็นขาวดำเช่นกัน ที่พื้นมีแจกันลายครามขนาดใหญ่ตั้งอยู่สองฝั่งของรูปและมีโต๊ะตั้งตรงกลางระหว่างแจกัน มีรูปที่เขาเคยเห็นทั้งสิ้น รูปที่อรัญญาอยู่กับอธิปตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโต 

    คนที่ออกมาพบเขาเป็นผู้หญิง ผมยาวเลยหน้าอกลงมา ผิวพรรณงาม ทาปากสีพีช และยังสวมเสื้อแขนกุดสีดำ กางเกงสีดำ ตาโตจมูกโด่งหน้าคม เป็นคนสวยเลยทีเดียว เธอเชิญให้เขานั่งที่เก้าอี้เดี่ยว และมีคนยกน้ำมาให้เขา เขาแน่ใจว่าเธอเป็นภรรยาคุณอธิปโดยแน่แท้ 

    “ผมมาขอบคุณครับ ที่เคยรับผมเข้าทำงานครับ” 

    “ตกใจรึเปล่า?” เธอถามเขา

    “ครับ” เขาไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร 

    “บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร..มีทุกอย่างครบ แต่ไม่มีความสุข” เธอพูด สีหน้าปราศจากความรู้สึก เธอนั่งไขว่ห้างสองมือค้ำข้างลำตัวมองรูปที่แขวนบนผนัง 

    “ผมรู้ว่าบ้านนี่บ้านคนจีน แต่ผมจะมาบอกว่าผมจะบวชให้เขาครับ” 

    “งั้นก็ขออนุโมทนาบุญ ขาดเหลืออะไรรึเปล่าล่ะ?”

    “ไม่ครับ ขอบคุณสำหรับที่จัดให้ทุกอย่าง...แต่ผมอยากรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไหนครับ ผมอยากไป” เธอบอกตำแหน่งที่น่าจะเป็นสุสานที่อยู่ย่านชานเมือง ซึ่งก็ห่างไกลจากที่นี่อยู่โขเพราะต้องข้ามไปอีกทางฟากหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เธอกำลังจะไปที่นั่น ไม่นานก็เห็นเด็กผู้ชายสี่คน ที่วิ่งแข่งกันลงมาจากบันใดพร้อมด้วยการแต่งกายอย่างขาวดำ เขาได้แต่ยิ้มเมื่อเห็นเด็กประมาณห้าหกขวบมายืนมองเขาพร้อมกับยิ้ม เขาคิดถึงอธิปขึ้นมาจับจิต 

    “ลูกชายหมดเลยเหรอครับ?” เขาถาม

    “ใช่... หล่อเหมือนพ่อเขาล่ะ” เธอหัวเราะ 

    “ใช่ครับ เหมือนปานคนเดียวกัน แล้วบ้านนั้นเอายังไงครับ?” เขาเอ่ยถาม

    “ก็ยังไม่รู้ว่าคุณพ่อแกจะเอายังไง ตอนนี้ทุกคนก็แยกไปจัดการเรื่องส่วนตัว คงติดต่อไม่ได้สิ แต่เดี๋ยวก็คงจะมากันนั่นแหละแต่ไม่รู้ว่าตอนไหน เพราะป้าผ่อนเมียลุงแกก็เสียเหมือนกันนี่ ที่เหลือก็ให้เขาไปจัดการกันเอง คงต้องใช้เวลาล่ะ”

    “...ครับ” 

    “ถ้าวันไหนไม่มีที่จะไปก็มานะ บ้านนี้ไม่ทิ้งใครอยู่แล้ว ไม่มีงานแต่ที่นี่มี มาเถอะ” เธอบอกเขา มันทำให้เขาถึงกับน้ำตาคลอเบ้าซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าของที่นี่มาก

    จนป่านนี้แล้ว เขาก็ยังไม่กล้าที่จะถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งเรื่องโลงศพ ทั้งเรื่องการตายของทั้งสองคน หากวันนั้นเขาไม่ได้เห็นรอยเลือดอะไรหรือมีใครที่น่าจะป่วยแล้วตาย เขาถึงจะกล้าถาม แต่นี่ไม่ใช่ สรุปแล้วเขาก็ไม่ได้ไปที่สุสานเพราะรู้สึกว่ายังทำใจไม่ได้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงแล้ว เขาก็ห้ามอะไรไม่ได้ เหลือแค่สิ่งที่ต้องทำคือเก็บความลับของบ้านนั้นไว้ในความทรงจำเพียงเท่านั้น มันยากที่จะทำ เขาได้แต่หวังว่าสักวัน เขาอาจจะลืมได้จะได้ตั้งต้นชีวิตใหม่เสียที 

    เขาไม่อยากจะเชื่อโชคชะตาที่นำพาเขามาบวชที่วัดแห่งนี้ ทั้งที่อยู่นอกเมืองแท้ๆ ไกลจากตัวเมืองหลายสิบกิโล เขาเจอลุงปราสาทห่มผ้าเหลืองอยู่ที่นี่ เขานั้นมีเรื่องมากมายที่อยากจะรู้ และครั้งนี้เขาได้แต่หวังว่าจะได้รู้ความจริงจากปากเสียที เขาต้องเรียกลุงว่าหลวงลุงสาทแล้วเพราะท่านได้ห่มผ้าเหลือง ท่านบอกว่าท่านยินดีที่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ทั้งความจริงและที่มา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×