ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ้านวรา

    ลำดับตอนที่ #6 : -

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.พ. 66


    วันไหนเขาได้ยินเสียงเปียโนแต่เช้าแสดงว่าวันนั้นเป็นวันพระมันเป็นเหมือนกริ่งที่เตือนให้ทุกคนรู้ มันอน่างนี้ทุกวันเวลาเดิมๆเขาจะเห็นเธอง่วนอยู่กับการจัดห้องของอธิป อรัญจะเป็นคนทำความสะอาดด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนมาทำความสะอาดสระว่ายน้ำ คนจากบริษัทในตัวเมืองจะเข้ามาบ้านนี้ เขาต้องจัดการทำอาหารให้มากกว่าปกติเพื่อเลี้ยงคนกลุ่มนั้น ประมาณสิบคน ทุกคนดูขมักเขม้นในการทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่

    “อธิปจะมานะถ้าแบบนี้” ลุงพูดขึ้นขณะมาเปิดสวิตที่สปริงรดน้ำในสวน 

    “ลุงจะซ่อมนาฬิกาไหมครับ?”

    “ไม่ ช่างมัน รำคาญเหมือนกันนะบางที” ลุงหัวเราะ 

    “ป๊อบ ลุง ไปหน้าบ้านครับ” เสียงตี๋ร้อง 

    หน้าบ้านมีรถขนส่งเข้ามาหลายคัน มีรถที่ขนของที่สั่งซื้อ ป้าไหมนั้นลากรถเข็นมาเพื่อลำเลียงอาหารลงรถ แล้วค่อยไปแยกว่าอะไรของใครในภายหลัง ซึ่งมันก็ใช้เวลาจัดการอยู่พักใหญ่ จนเมื่อมาถึงรถคันสุดท้าย เมื่อคนขับเปิดประตูออก ลำเลียงจักรยานลงมา สามสี่คัน หนึ่งในนั้นมีจักรยานไฟฟ้า และเสือภูเขา อีกสองคนเป็นจักรยานธรรมดามีตะกร้าข้างหน้า ที่นี่มีรถจักรยานอยู่สองคันที่มันเก่าและฝืดมาก คงถึงเวลาเปลี่ยน 

    “แกเอามาให้” ลุงสาทพูด ตี๋ยิ้มแป้นเพราะมันเป็นจักรยานเสือภูเขา คงอยากได้ 

    “อันนี้..”

    “อรัญแน่ๆ” เขาก็พลอยอดยิ้มไม่ได้เพราะแทนที่จะได้รถจักรยานยนต์แต่กลายเป็นจักรยานไฟฟ้าไปเสียนี่

    “งานงอกแน่ๆแล้ว ..อรัญเคยปั่นจักยานที่ไหน?” 

    “คันเล็กน่าจะได้ ไม่น่าจะล้ม ไม่น่ามีปัญหา” เขาออกความเห็น

    “ให้เขามาสอนเอง” ลุงบอก ก้มจูงจักรนานส่งให้ตี๋ไปเรียงจอด ก็มีรถอีกคันขับเข้ามา เมื่อจอดก็เปิดท้ายรถมีถาดบางที่คลุมด้วยฟลอยปิดหน้าสามถาด เขารู้ได้ว่าเป็นอาหาร จึงลำเลียงช่วยถือตามเข้าครัวที่ตึกใหญ่ข้างสระว่ายน้ำซึ่งเขานั้นเคยเข้ามาทำความสะอาดและซ่อมของอยู่บ่อยครั้ง เขาเห็นคนส่วนหนึ่งอยู่ที่ห้องโถงตรงข้ามกำลังจะติดตั้งเครื่องเสียงอยู่ คงเปลี่ยนเครื่องเล่นตามยุคสมัย

    “หมูหัน ไปเอามาจากภัตรคาร” ชายหนุ่มพูด เมื่อเขาเปิดดูมันเป็นหมูเป็นตัวๆ มีการหั่นเป็นชิ้นๆที่ส่วนลำตัว มีถุงน้ำจิ้มถุงใหญ่ เขาหาชามขนาดใหญ่มาเทแล้วปิดฝาไว้ เริ่มเอาชามออกมาตั้งเรียง 

    “มีสองตัว ปูผัดผงกระหรี่ แกชอบ ไปทำต้มยำโป๊ะแตกเอง เอากุ้งเบอร์ 21” ชายหนุ่มยื่นตัวมาบอกเขาเบาๆ 

    เขาไม่แน่ใจว่าอธิปอายุ40จริง ชายร่าสูงใหญ่ เดินคุยโทรศัพท์เข้ามาและนั่งอยู่ที่ขั้นบันใดตรงประตูด้านหลังหน้าสระว่ายน้ำ คุยโทรศัพท์ไม่หยุดหย่อน คงใช้แบบรายเดือน เขาใจหูหนีบโทรศัพท์กับไหล่แล้วใช้มือพันขากางเกงสแลคขึ้น ถอดถุงเท้ากองไว้ข้างๆ และพูดคุยเกี่ยวกับการขนส่งอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่ค่อยอยากสนใจฟัง ลางเริ่มจัดโต๊ะอาหารไว้ให้ เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จลุงสาทจึงเดินเข้าไปและยืนถามเบา

    “เป็นยังไง?”

    “หู้....ยุ่งวุ่นวาย ป้าแกเป็นไงบ้าง?” นั่งเหมือนชายหนุ่มคนธรรมดานี่แหละ แต่ทำไมดูเหมือนยังดูเป็นหนุ่มไม่เหมือนที่เขาจินตนาการไว้ในหัวว่าต้องแก่เป็นลุงทึนทึก

    “ไปไหนมาไหนยากแล้ว” ลุงตอบ

    “ขาดเหลืออะไรรึเปล่า..ไหนไปดูสิ” เขาลุก ลุงจึงเดินไปหยิบรองเท้าที่บันใด เป็นรองเท้าลำลองที่คงมีใครจัดไว้แต่เช้ามาวางให้ ทั้งสองเดินไปด้านหลังด้วยกัน เขารู้สึกว่าอธิปยังดูเป็นห่วงเป็นใยผู้หลักผู้ใหญ่ ดูใจดีกว่าที่เขานึกคิด ลักษณะการเคลื่อนไหวก็ยังดูไม่มีความมีอายุเลยสักนิด น่าจะสูงราวๆ 180 เซ็นได้ เขารีบลงมือจัดการทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่อรัญญาจะลงมา จะได้กลับไปที่ครัว 

    ตี๋เข้ามาและดึงโซฟานวมตัวใหญ่มาตั้งตรงทางออกหน้าบาร์น้ำใต้พัดลมเพดานที่หมุนอยู่เบาๆ เขารู้สึกว่าบ้านนี้มันเย็นและน่านอน ตี๋อธิบายว่าอธิปชอบนั่งตรงนี้เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ แล้วเดินมาช่วยเขาสำรวจความเรียบร้อย ไม่นานลุงก็เดินมามองสระว่ายน้ำที่มีเศษใบไม้ลอยอยู่จึงใช้ไม่ตักที่มีตะแกรงตรงปลายมีด้ามยามสาวตักใบไม้ออก อธิปนั้นเดินผ่านบาร์น้ำขึ้นไปยังชั้นบน 

    ตึง!! ตามมาด้วยเสียงกระจกแตกและเสียงกรีดร้องของอรัญดังขึ้น เขาและตี๋หยุดมือมองชั้นบน 

    “......?” ไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างหยุดไม่ได้ดังลงมา ลุงถอนหายใจโล่ง

    “...รอด ลูกโม่มั้งดัง แบบนี้” ลุงบ่นเมื่อป้าป้อมเดินมาและแหงนมองชั้นบน 

    “เป็นไง..รอดสินะน่ะ ...พี่น้องเขาเล่นกัน” ป้าป้อมพูดด้วยรอยยิ้ม

    “กระจก...ได้เปลี่ยนอีก” 

    “เดี๋ยวเขาลงมาป้อมไปเก็บเอง”พูดจบเธอก็เดินตรงยาวผ่านบ้านอรัญญาและภาสิรึออกไปทางห้องผ้า

    “เขาเล่นกันแบบนี้เหรอลุง?” เขาเอ่ยถาม 

    “ไม่...น่าจะขึ้นไปไม่บอก สงสัยจะนอนอยู่ ได้ยินเสียง อรัญเลยตกใจ” ลุงอธิบาย 

    พวกเขารวมตัวกันที่แคร่หน้าห้องครัวเพื่อทำของกิน เขาตำส้มตำถาดใหญ่ให้กับทุกคนในครัว เลยโดนตักเตือนว่าอย่าให้อรัญได้เห็น เดี๋ยวจะลำบาก เห็นตี๋หามกรอบกระจกไปทางด้านหลัง เป็นอันว่าอธิปโชคดีที่หลบทัน และน่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะเจออะไรที่ขึ้นไปหาอรัญแบบนั้น มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้  เสียงเพลงสากลยุค 70 ดังอยู่ในบ้านตึกใหญ่ เขาอยากจะใช้ตี๋เอาของกินไปไว้ที่นั่นเพราะไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวาย เมื่อตี๋ติดงานอยู่เขาจึงต้องไปเอง เห็นอรัญญานั่งนวดเท้าให้อธิปที่นอนหลับตาอยู่ จึงรีบก้าวผ่านแบบรวดเร็ว

    “แกซื้อให้จริงๆ” ตี๋เดินยิ้มมา หลังจากที่จัดเตรียมเครื่องดื่มอย่างเหล้าให้อธิปเสร็จเรียบร้อย

    “เห็นไหม ถ้าอรัญบอกเดี๋ยวก็ได้” ป้าป้อมดันถาดอาหารส่งให้ตี๋ทาน เพราะยังต้องคอยเดินไปอยู่เป็นระยะ เมื่อบ้านล็อคเรียบร้อย ตี๋ถึงจะเข้ามาได้ เป็นอันว่าวันนี้บ้านปิดแล้วเรียบร้อยหลังจากที่ทุกคนไป ป้าป้อมเล่าว่า คงจะเป็นการขอโทษขอโทษที่อรัญเคยแตะต้องตัวตี๋และทำให้ตกใจ มันเป็นการทำขวัญแบบนึงของอรัญ 

    ป้าป้อมรีบยกถาดส้มตำออกจากวงกับข้าวเพราะอรัญเดินมา พวกเขาเลยพลอยลุกออกไม่เว้นกระทั่งลุงสาท เธอดมมือที่ดูเหมือนจะมีคราบมันจากน้ำมันนวดเท้าเขาคิด เธอเดินไปหาลุงสาทยื่นมือให้ลุงดม

    “หอมไหม?”

    “ไม่ได้กลิ่น” ลุงบอก 

    “ไหนเอามาให้ป้าดมสิ?” ป้าป้อมบอก อรัญโน้มตัวยื่นมือไปใส่ขมูกป้าป้อม

    “อูย หอมๆ ไม่มีตีนไหนหอมเท่าอธิปอีกแล้ว” เธอพูดเหมือนเยินยอที่อรัญปรนนิบัติอธิป อรัญเบ้ปาก ก่อนเดินกลับไปที่บ้านของเธอ ทุกคนจึงเดินเข้าวงกับข้าว คงรู้สึกเหมือนเขา นึกจะมาก็มา มาแบบแปลกๆ 

    “สงสัยเขาหลับ” ลุงชะเง้อส่อง ก่อนเดินไปตึกใหญ่เงียบๆ 

    “เตรียมผ้าขึ้นบ้านรึยัง?” ป้าป้อมหันไปถามป้าไหม

    “เรียบร้อย”

    “ถ้าอธิปตื่นก็เดินไปบอกอรัญเอา” ป้าป้อมทิ้งท้าย 

    ตัวเขาไม่ได้สนใจอะไร ผ่านไปพอฟ้าเริ่มมืดเขาจึงก่อไฟเตรียมใช้ถ่านยัดลงหม้อไฟที่จะใส่ต้มยำโป๊ะแตก เพราะอธิปคงกำลังจะตื่น เขาใช้พื้นที่ครัวท้ายสวน ตี๋ที่ปั่นจักรยานไปรอบๆก็กลับมานั่งในศาลากับเขา คงรอจัดเตรียมของช่วยเขา เขาจัดการพับกระดาษทิชชู่ผืนใหญ่ใส่แก้วไวน์ไว้ประดับโต๊ะทานข้าวและของใช้อื่นๆ 

    “ไปไหนล่ะ?” อธิปลุงนั่ง กระพริบตาส่ายหน้า ตี๋ส่งผ้าเย็นให้ลุงสาทที่ยืนอยู่ในบ้าร์เหล้าให้ลุงเป็นคนเอาไปให้ เสียงตบถุงดัง ปั้ก!! 

    “จะอาบน้ำแล้วเหรอ?” ลุงถามเบาๆ เขาได้ยินเพียงเสียงคุยเลนรีบเร่งมือ 

    “ครับ...กินเหล้าเหรอ?” อธิปถามลุงจึงหัวเราะ 

    “มาดูเฉยๆ ว่าไม่เคยกินขวดนี้” 

    “เอ้า..ลองกินดู ชอบไหม ถ้าชอบก็เอาไปกิน เอาไปทั้งขวดนี่แหละ” เขาได้ยินเสียงลุงผ่อนลมออกจากปาก คงกระดกเพียวเลยได้รสชาติ 

    “ป้อม.... ไปบอก” ลุงยื่นตัวออกมาจากบ้านเรียกป้าป้อม ไม่นานเมื่ออรัญเดินมาเธอก็เดินตามอธิปขึ้นไปยังชั้นบน เมื่อทุกคนเงียบ เขาจึงไม่กล้าถาม รีบเดินกลับครัว 

    ความสงสัยมันอยู่ในหัวแต่เขาทำนิ่งเฉยเพราะถ้าทุกคนไม่พูดเขาก็ไม่ถาม ไม่อยากจะถามแต่มันก็อดคิดไม่ได้ บางครั้งก็ดูห่างเหินจนดูเหมือนไม่ได้คิดถึงกันจริง บางครั้งก็ดูมากเกินไปที่จะหยอกล้อกันแบบเด็กๆ เสียงหัวเราะของอรัญยังติดหูเขาอยู่คงเพราะโดนพี่ชายหล่อนหยอก ต่อให้เขามีน้องสาวแบบนี้ก็คงจะไม่หยอกล้อหรือล้อเล่นแตะเนื้อต้องตัวน้องเพราะน้องก็โตแล้ว แต่เขาก็คงไม่มีสิทธิ์คิดเรื่องที่อรัญขึ้นไปอาบน้ำให้พี่ชาย 

    เสียงสาทวิจารย์เหล้าที่ได้มาให้ป้อมฟัง ป้อมนั้นดูเยินยอกับของที่แต่ละคนได้รับ และดูจะชื่นชมอธิปเหมือนที่ชื่นชมอรัญญา ขณะที่เขาเตรียมจัดล้างจานชามที่ไม่ใช้แล้ว เห็นอรัญญาที่เดินออกมาจากตึกใหญ่เพื่อกลับบ้าน เธอเหลียวมองลุงสาทก่อนเลี้ยวเดินเข้าซอกไป คงทานอาหารกันเสร็จแล้ว 

    “ไปสิลุง เขาจะกินเหล้า” ป้าป้อมบอก 

    อธิปนั้นสวมกางเกงผ้าแพรสีดำและเสื้อกล้ามนั่งดื่มอยู่ เขาจัดหม้อไฟชุดใหม่เสริฟ กลายเป็นลุงสาทที่ต้องนั่งดื่มกับอธิปเมื่ออธิปเชิญให้นั่งเป็นเพื่อน ทุกอย่างเริ่มเงียบสงบ เขาเก็บถ้วยชามที่ทานแล้วใส่ถาดและเปลี่ยนเซทใหม่ให้ รวมทั้งลุง ทั้งสองนั่งเงียบๆดื่มเงียบๆ 

    “ขัดใจเหรอ?” ลุงสาทถามด้วยเสียงเนิบๆด้วยรอยยิ้ม คงเพราะได้ที่ เขาเห็นตี๋ปั่นจักรยานเพื่อสำรวจอีกครั้ง นี่คงเป็นรอบสุดท้าย และป้าป้อมเริ่มปิดบ้านทางส่วนหน้าอยู่ อธิปใช้แขนเกี๋ยวพนักพิงเก้าอี้ข้างหนึ่งนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าไปมา 

    “ไม่หรอก.. ก็อย่างที่เป็น” อธิปตอบ เขารีบจัดการยกถาดจานเปล่ากลับออกไปที่ครัวเพราะเกรงใจที่จะฟัง 

    เวลาผ่านไปก็เริ่มดึก เขาต้องนั่งรอเพื่อที่จะเคลียร์ถ้วยชามที่เหลือ เขาเห็นคุณอธิปเดินไปที่บ้านของอรัญจึงลุกเดินเข้าไปที่ห้องครัวตึกใหญ่เพื่อไปช่วยลุงเก็บของ เขาเก็บอย่างเงียบๆไม่สอบถามอะไร กันการถูกตำหนิว่าสอดรู้สอดเห็น เมื่อจัดเก็บของเสร็จแล้ว ลุงก็ปิดบ้านตึกใหญ่ 

    “เขาไปนอนกับน้อง...เรื่องปกติ อรัญไม่มาก็ต้องไปตาม” ลุงบอกเบาพลางเช็คประตู ไม่นานก็เห็นอธิปเดินจูงอรัญมา ลุงจึงหยุดมือและเปิดออกให้เข้าไป ลุงรอให้อรัญล็อคบ้านจากทางด้านในจึงเดินกลับกับเขา  เขาเริ่มเคลียร์สิ่งของชุดสุดท้าย ป้าป้อมที่มาเอาน้ำก็หยุดคุยกับลุงสาทที่เหมือนจะเมาไม่ยอมเลิกดื่ม 

    “ไปตามเองเลย ไม่ใช้ใคร” เสียงลุงบอกกับป้าป้อม 

    “ป๊อบ ไม่ต้องตกใจนะเขานอนด้วยกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก จนป่านนี้ก็ยังนอนอยู่” ป้อมเข้ามาเปิดตู้และหยิบแก้วน้ำพลาสติกไปสองสามใบ 

    “เอามาคืนด้วยนะครับ อย่าให้ผมต้องตาม” เขาย้อนป้าป้อมที่เคยพูดกับเขาเมื่อครั้งที่เขาเพิ่งมา เขาจงใจเปลี่ยนเรื่องเอง ป้าป้อมนั้นหัวเราะชอบใจ 

    “ป้าบอกไว้เฉยๆ..ป๊อบไม่ได้อยู่นี่ตั้งแต่เด็ก เห็นแล้วอาจจะตกใจ อย่างตี๋มันอยู่นี่มันเลยเฉยๆ” ตี๋นั้นอาศัพยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนตอนเรียนหนังสือนั้นก็อาศัยรถไปโรงเรียนเข้าออกบ้านนี้พร้อมกับอ้อด ตี๋หัวไม่ดี เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณอธิปก็เลยสอนหนังสือให้พร้อมกับสอนการบ้านอรัญ ไม่ว่าจะบอกอะไรสอนอะไรตี๋ก็ทำตาม เมื่อโตจนมาถึงประถมศึกษาปีที่หก คุณอธิปก็ไม่ให้เข้าใกล้อรัญอีกเลย ตี๋เองก็ทำตามนั้น

    ป้าป้อมเล่าว่า อธิปอุ้มอรัญตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ ทำให้ดูเหมือนเป็นพ่อเสียเองทั้งที่อายุเพิ่งจะยี่สิบ เรียนจบแล้วก็ดูแลอย่างดีจนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่หัดมีเมียมีลูกตั้งแต่เด็ก ทุกคนต่างเข้าใจว่าอรัญนั้นเป็นลูกของอธิปมาโดยตลอดและอธิปก็ไม่ได้แก้ตัวแต่อย่างใด จะอาบน้ำก็อาบให้น้องตัวเองก็อาบด้วย นอนด้วยกันทั้งที่อรัญนั้นก็เริ่มโต ไม่มีใครอยากจะแยกหรือย้ายที่นอน ถึงขนาดที่ว่าเมื่ออรัญเริ่มมีระดูนั้น คนที่ถูกสอนให้ใช้ผ้าอานามัยคืออธิป เขาจะสอนอรัญด้วยตัวเองเพราะไม่อยากให้คนอื่นมารับรู้ อรัญเองก็ไม่ได้เขินอายถ้าอธิปว่าอะไรก็ตามนั้นเลย อรัญนั้นรักอธิปมาก ไม่เคยถกเถียงเรื่องอะไรเลยสักครั้ง

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง อรัญได้จดหมายมาจากโรงเรียน อะไรที่ได้มาจากโรงเรียนอรัญนั้นจะให้อธิปได้ดู โดยมันเริ่มที่ว่าวันหนึ่ง มันมีซองจดหมายที่ไม่ได้จ่าหน้า เป็นซองที่มีลายการ์ตูนรูปหัวใจ อรํญก็ยังให้อธิปนั้นได้เปิดอ่านก่อน แค่อธิปนั่งอ่านเท่านั้นแหละ

    “บ้านแตก...!!” ป้าป้อมหัวเราะ 

    อธิปเผาจดหมายนั้นทิ้งทันที และสั่งว่าห้ามไม่ให้อรัญพูดกับใครก็ตามที่พยายามจะเข้ามาคบหา แต่ด้วยว่าอรัญนั้นเป็นคนหัวดีเพื่อนๆเยอะและอยากเข้ามาหาเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนชื่นชม วันหนึ่งมีเสียงโทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้น มันดังเป็นครั้งสุดท้ายเพราะหลังจากนั้น อธิปทุบโทรศัพท์ทุกเครื่องในบ้านพัง จะออกงานไหนขึ้นรับประกาศนียบัตรอะไรอธิปก็ไม่ให้ขึ้นไปรับเด็ดขาด แค่มันถูกส่งมาที่บ้านก็พอ ยิ่งห้ามก็ยิ่งหนักจนเมื่อมาเจออ้อดที่ช่วยอรัญในวันนั้น ทุกคนเลยเป็นอยู่กันอย่างที่เห็น อรัญก็ไม่ได้ไปเรียนต่อที่ใดอีกเลย โดยมีอธิปสอนหนังสือที่บ้านด้วยตัวเอง 

    หลังจากที่อ้อดออกจากบ้านนี้แล้ว อธิปก็เริ่มออกจากบ้านไปช่วยกิจการครอบครัวแบบไปเช้าเย็นกลับอยู่ทุกวันโดยมีอรัญที่อยู่เฝ้าบ้านแบบนี้ตั้งแต่นั้นมา ด้วยเกรงว่าอธิปจะโกรธเมื่อเธอพูดหรือคบกับใครจึงไม่สนใจที่จะออกไปไหนอีกเลย 

    “แล้ว ..คุณนายแกเป็นยังไงครับรู้เรื่องนี้รึเปล่า?” 

    “รู้ รู้ทุกอย่างนั่นแหละ” ลุงบอก พลางพ่นควันบุหรี่ 

    อธิปนั้นถูกหมั้นหมายกับลูกสาวของเพื่อนอีกคนมาตั้งแต่เด็ก ยังไงอธิปก็ไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้เสียทีกระทั่งคุณวราสั่งให้แต่งงานเสียที อธิปจึงแต่งงานช้ากว่าใคร กระนั้นก็ยังเทียวไปมาเพราะคุณนายเองก็เป็นคนขยันขออยู่เฝ้าช่วยอธิปดูแลกิจการ แรกๆอธิปจะไปมาทุกวัน ขนาดวันแต่งงานยังกลับมาบ้านก่อนที่จะกลับไปเข้าเรือนหอ ไปมาแบบนี้ทุกวันไม่เคยขาด อธิปไม่ให้อรัญไปไหน ทางนั้นจะชวนให้ไปอยู่ร่วมกันเพราะอธิปจะได้ไม่ต้องเหนื่อย ด้วยอธิปก็ไม่ยอมให้ใครได้เห็นอรัญจึงปล่อยให้เป็นแบบนี้เรื่อยมา 

    ต่อมาก็เริ่มมีการเดินทางเพื่อไปทำธุรกิจ อธิปก็มาอาทิตย์ละครั้ง และต่อมา เดือนละครั้ง แต่ละครั้งจะไม่เกินหนึ่งเดือน และมันก็เริ่มมาเป็นสองเดือนหรือสามเดือนครั้ง มีครั้งนี้แหละที่อธิปไม่มาถึงหกเดือน แต่อธิปก็บอกว่าจะอยู่ที่นี่นานหน่อยแม้ว่าจะต้องไปทำงานก็ตาม 

    “ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีใครห้ามอธิปได้ ..ที่จริงอธิปจะไม่แต่งเลยก็ได้แต่เขาเห็นใจพ่อเขา เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน” 

     

    เขาคนโจ๊กในหม้อก่อนที่จะตักแบ่งไว้สำหรับทุกคน ทั้งตั้งเรียงไข่ที่ลวกไว้ลงถาด เขายังต้องยกไปไว้ที่ห้องอาหารตึกใหญ่ที่ตี๋ตอนนี้คงเสียบน้ำร้อนไว้แล้ว ตี๋วางถุงปลาท่องโก๋ลง พร้อมทั้งถุงขนมปังที่น่าจะมีคนเอามาส่ง แล้วช่วยเขายกของไปตั้งไว้ที่ครัวบ้านอธิป อรัญนั้นเดินผ่านห้องอาหารออกไป ตี๋สะดุ้งใช้มือแตะหน้าอก 

    “ตกใจหมด” ตี๋พูดกับเขาเบาๆ คงเพราะอรัญไม่ได้รวบผม เขาหัวเราะก่อนที่จะกลับไปที่ครัวเห็นอรัญยืนรวบผมอยู่ 

    “มาที่นี่ทำไม?”

    “ตักมา หิวแล้ว!!”  เธอถลกซิ่นนั่งลงแคร่ เขามองเธออยู่ครู่เดินเข้าไปในครัวตักโจ๊กและตอกไข่ให้เธอ 

    “ไม่เอาหมู” เธอเงยหน้ามองเขา เขาถอนหายใจเพราะไม่ถามเธอเอง มันช่วยไม่ได้ เขาไปเอาจานเล็กและช้อนมาช้อนหมูออกจากถ้วยให้เธอ อันที่จริงเปลี่ยนถ้วยใหม่อาจจะง่ายกว่าแต่เขาไม่อยากทานตอนนี้ เลยต้องทำแบบนี้  

    “ขอบใจ” เธอแตะที่แขนของเขา เขาคิดว่าไม่เป็นไรหรอก หากจะตายตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรจะเสีย เขายื่นผ้าเช็ดปากให้เธอกางรองที่ตักกันสิ้นเปื้อน เขามองขาข้างที่หย่อนลงแคร่เล็บเท้าของเธอไม่มีสีอีกแล้ว เธอไม่ได้ทาเล็บเท้าอย่างเคย เธอเหยาะซอสและพริกไทยลงถ้วย 

    “จะกินอะไร นมรึโอวัลติน?” เขารู้สึกว่าไม่ได้คุยกับเธอมานานเลยรู้สึกว่าอยากจะคุย 

    “อะไรก็ได้” เธอตอบ เขาเลยเทชาจีนให้เธอแทนและเดินกลับมาที่แคร่นั่งลงต่อหน้าเธอ เธอก็นั่งทาน

    “สรุปกางเกงในใส่ได้พอดีรึเปล่า?” เธอถามขึ้น เล่นเอาเขารู้สึกอาย ไม่คิดว่าเธอจะถามเขาแบบนี้ 

    “ได้” เขาตอบเธอ 

    “แน่ะ บอกแล้ว!!” เธอตีมือลงขา เขาหัวเราะที่เธอเป็นแบบนั้น นั่งพลางมองเธอทาน เรื่องที่เขาฟังเมื่อคืนนี้รู้สึกสงสารและเห็นใจเธอที่ต้องอยู่แบบไม่มีใครกล้าคบเพราะคนๆเดียวแท้ แล้วหากเธอได้ออกไปป่านนี้จะเป็นคนแบบไหน เธอปัดผมออกจากใบหน้าและยังจับผมที่รวบมาด้านหน้าไว้ 

    “มัดผมให้ไหม?” คิดว่าตอนนี้อธิปคงยังไม่ตื่น หากทำแบบไม่เห็นคงไม่เป็นไร 

    “เอาสิ” เขารีบลูก หากเปียผมแบบธรรมดาก็อาจจะพอได้ เขาทำแบบที่ป้าป้อมทำให้เธอ 

    “น่าจะตัดได้แล้ว” เธอพูด 

    “ตัดให้ไหม?”

    “เดี๋ยวช่างก็มา” เขาสงสัยขึ้นมาทันที หากมีช่างแล้วทำไมไม่ตัดแต่แรก มารอลุงสาทที่ลืมแล้วลืมอีกทำไม?

    “กูทำไมไม่ตัดทุกปี ยาวก็ตัดเลย” 

    “ต้องเอาผมให้อธิป” 

    “....!”

    “เอาไปทำวิกผม..ให้ภาสิรี”

    “ภาสิรีเป็นอะไร?” เขาหยุดมือถามเธอ แต่แต่มาอยู่นี่เขาไม่รู้เลยว่าภาสิรีเป็นใคร 

    “เป็นลูคีเมีย ..มะเร็ง พี่สาวอรัญเอง” เธอพูดและหยุดทาน เขาถักเปียต่ออยู่ครู่ก่อนวางเมือบนไหล่เธอ 

    “สวยแล้ว” เขาตบไหล่เธอลงรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวเธอเศร้าเมื่อเขากลับมานั่งที่เดิมก็เหลียวเห็นอธิป ที่ยืนมองเขาอยู่ ใจเขาหายวาบ เพราะไม่รู้ว่ามองเขานานหรือยังมองเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ นานหรือยัง เห็นอะไรบ้างไหม เขารีบลุกยืน แต่อธิปยืนนิ่ง ก่อนหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน 

    “เป็นอะไร เห็นผีเหรอ?” เธอถามก่อนตักโจ๊กเข้าปาก ก็เห็นอยู่ว่าอธิปมายืนมองตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาหยิกแขนว่ามีความรู้สึกไหมหรือเขาตายไปแล้วแต่ไม่ทันได้รู้ตัว มันมีความรู้สึกว่าเจ็บ อรัญหัวเราะ

    “เป็นอะไร?”

    “เปล่า...ไม่อยากเป็นเหมือนพี่อ้อดน่ะ” เธอขมวดคิ้วแต่ก็ทำหน้าเฉยๆทานต่อ อย่างน้อยก็โล่งอกที่ตอนนี้เขาไม่โดนซ้อมอย่างที่ทุกคนเล่ากัน เขาเริ่มสับสน หรือที่อธิปไม่ทำเขาคงเพราะรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไร หรือมองว่าเขาอาจจะเป็นพวกชายรักชายเลยไม่หวง เป็นแบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องพะวง 

    “เมื่อกี้ได้ทำอะไรรึเปล่า ว่าเห็นแกยืนอยู่นานแล้ว?” ลุงจ้ำอ้าวเดินมาหาเขา 

    “ก็ไม่นะครับ แค่เปียผมให้เฉยๆ” เขาตอบ ลุงยืดตัวตรงและลูบท้อง 

    “เขาเป็นอะไร?” ลุงหันไปมองอรัญญา

    “เรื่องมันก็นานแล้ว ตอนนั้นกับตอนนี้มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ” เธอยิ้ม และทานต่อยกถ้วยเรียงคำสุดท้าย ก่อนที่จะลุกไปล้างมือและกลับเข้าบ้านเพราะฟ้าเริ่มสางแล้ว

    “...จริงของอรัญ” ลุงเงียบก้มมองดินก่อนเงยหน้ามาพูด เขาหัวเราะ 

    “เวลามันผ่านมานานแล้ว คนเราก็เปลี่ยนกันได้” 

    คุณอธิปนั่งทานอาหารเช้าคนเดียว กระทั่งเขาเก็บถ้วยชามทำความสะอาดก็ไม่มีวี่แววว่าจะโกรธ ไม่พูดไม่คุยไม่ถาม แค่นั่งเหม่อมองสระว่ายน้ำใช้แขนที่พาดบนโต๊ะใช้หลังมือดันหมับ นั่งเหยียดขาออก เขาไม่สนใจเพียงแต่ทำหน้าที่ให้เสร็จ สายๆ ประตูบ้านเปิดมีช่างทำผมเดินลงจากรถที่จอดหน้าตึกใหญ่ เป็นผู้ชายร่างผอมกางเกงขาเดพ เสื้อเชิตสีขาว ย้อมผมทองเดินเข้ามาในบ้าน ลุงจึงบอกให้ตามไปที่บ้านอรัญญา 

    ช่างใช้มือกุมหน้าออกเมื่อเห็นอรัญญาเดินออกมานั่งเก้าอี้ที่หน้าบ้าน เขาตี๋และป้าป้อมจึงออกห่างให้ช่างได้ใช้เวลา จัดเก้าอี้และมีกระจกบานใหญ่ออกมาตั้งตรงหน้าเก้าอี้ ก่อนที่จะใช้ผ้าคุม พร้อมกับรวบผมของอรัญญาพร้อมกับใช้หนังยางธรรมาดารัดผมระดับอก จำนวนสองข้อ ช่างเล็งกรรไกรที่ต้นแขนเธอ 

    “จำได้ไหมคะ ไม่เจอกันนานเลย” ช่างชวนเธอคุย

    “ไม่” เธอตอบ ช่างหยุดมือและมองเธอที่กระจก 

    “ไม่เจอกันแค่นี้ทำเป็นไม่ทัก ก็ใครล่ะที่ตัดให้มาตลอด” ช่างทำท่าทีงอนอรัญญา ตี๋ยิ้มเพราะช่างสะบัดมากเกินไป 

    “เอาล่ะนะ” ช่างบอกอรัญญาที่ตีคิ้วให้ จึงลงมือตัดที่เหนือข้อยางรัด ตัดเสร็จก็ส่งผมให้ลุงสาททันที ลุงสาทรับและเอาใส่ถุงซิบล็อคขนาดใหญ่ 

    “เลาล่ะ มา!! จัดการทำผมสวยกันเถอะ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอเพิ่งสระผมมา” พูดทั้งเชิดชูคอสะบัดไหล่จัดการเอากิ้บที่ผ้ากันเปื้อนขึ้นหนีบ ทำอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ จนไม่อยากเชื่อว่ามันเสร็จในเวลาไม่ถึงสิบนาที ตัดซอยกรรไกรเสร็จก็จัดการเป่าเอาเศษผมออก เป่าผมสั้นๆแป๊บเดี๋ยว ผมแห้งก็พริ้วไสว

    “ผมงามมาก ไม่ต้องไดร์ให้ผมเสีย...เสร็จแระ” เธอใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ดึงกิ้บออกจากผ้าคลุมมาสะบัดและพับเก็บ 

    “สวยใช่ไหมล่ะ หน้าไม่เปลี่ยนจากเมื่อก่อนเลย” เธอเบ้ปากอย่างอมยิ้มๆ ขณะที่อรัญญาจ้องมองกระจกตรงหน้า อรัญญาใช้มือจับที่แก้มทั้งสองข้างและหันไปมา เธอได้ผมประบ่าความยาวที่เนินหน้าอกช่วงบนมาอย่างสวยงาม เขาเองยังคิดว่าหน้าเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดูกลายเป็นสาวหน้าเก๋ขึ้นมาเลย ช่างมีฝีมือจริงๆ 

    ทุกคนก็ต่างจ้องมองแล้วเหลียวสบตาลุงสาท 

    “งามที่สุด” ลุงสาทบอก

    “ว๊าย!! บอกแล้ว ตั้มซะอย่าง” ช่างบอก เขาเห็นลุงสาทชำระเงินด้วยแบงค์พันสองใบ ช่างยิ้มหวานค่อยๆดึงเงินออกจากมือลุงและไหว้อย่างมีจริตจะก้าน อรัญญาลุกเข้าบ้านและปิดประตู

    “สงสัยจะอาย ไม่ได้เจอคนมานาน อย่าถือสา” ลุงบอกช่าง 

    “แต่สวยเหมือนเดิมเลยนะ ยิ่งโตยิ่งสวย คนบ้าอะไรเนี่ย” ป้อมที่นั่งอยู่ที่พื้นดินหัวเราะท่าที่ช่าง

    “เธอก็แรดได้ใจป้า” ทุกคนอยู่คุยเป็นเพื่อนช่างจนกระทั่งเก็บของเสร็จ เมื่อช่างขึ้นรถตี๋ก็ปั่นจักรยานรีบไปเปิดประตูรั้ว 

    เขากวาดใบไม้หน้าตึกใหญ่ เห็น อรัญญาออกมายืนมองเขาอยู่ มันทำให้เขาตกใจสองต่อ ต่อแรกนี่มันเพิ่งจะบ่ายสามโมง ต่อที่สอง นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเธอผมสั้นและไม่สวมซิ่น เธอสวมกางเกงวอร์มขาจั้มสี่ส่วนสีเทา รองเท้าหนังสีขาวแบบใส่เล่น เสื้อยืดสีขาวมีลายการ์ตูน ผมที่สั้นลงมันดูหนาและฟูขึ้น ดูสบายตา เขารู้สึกสบายตัวแทนเธอ 

    “ปั่นยังไง?” เธอจูงจักรยานไฟฟ้าออกมา เขาเหลียวมองรอบๆก่อนวางไม้กวาดลง ตอนนี้อธิปไม่อยู่ไม่น่าจะมีปัญหา เขาบอกเธอให้ขึ้นนั่ง แล้วปั่นเหมือนที่ตี๋ปั่น แต่ต้องปั่นไวๆไม่อย่างนั้นจะล้ม และถ้าอย่างนั้นเอาขาลง

    “เดี๋ยวจะจับท้ายให้ ลองดู” 

    “อื้อ..ไป!!” เธอตั้งท่าเขาจึงดันรถและบอกให้เธอปั่น 

    “ได้แล้ว ไปแล้วนะ!!” เป็นครั้งแรกที่เห็นอรัญญาหัวเราะร่า เธอปั่นไปจนสุดทาง เขาลืมสอนให้เธอเบรกแต่อรัญนั้นรู้จักใช้เท้าลากชะลอ เมื่อจอดได้เธอชูสองมือโบกมาทางเขา เขาอดยิ้มไม่ได้ เธอดูเหมือนคนปกติขึ้นทุกวันๆ ไม่เหมือนวันแรกที่เจอ  เธอพยายามจะปั่นกลับมาอีกเขาได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดพอดี

    “....!!!” เขาเห็นอรัญญาปั่นจักรยานมาด้วยความเร็วและรถที่กำลังจะเข้ามานั้นเป็นรถของอธิป เธออาจจะเบรกไม่ทันก็ได้ เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี อรัญญากำลังจะใกล้เข้ามาจะบอกตอนนี้คงไม่ทัน เขาทิ้งไม่กวาดพยายามวิ่งไปที่ถนน 

    “เบรก!!!” เขาตะโกน เมื่อรถยนต์นั้นเบรกและที่ลงมาเป็นอธิปที่รีบลงรถและวิ่งไปที่จักรยานที่เธอปั่นมา อรัญญญากำลังเอาขาลงและอริบรีบใช้สองแขนสอดเข้าที่ลำตัวเธอและปล่อยให้รถล้มลกก่อนที่จะถึงตัวรถยนต์ได้พอดี

    “....!!” เขาหายใจหอบ อรัญญาที่ถูกอุ้มอยู่ตาเบิกโพรงมองอธิป เธอหายใจหนัก เขาไม่รู้จะโดนต่อว่าหรือไม่ได้แต่ยืนจังงัง รู้สึกโกรธตัววเองที่ช้า ตัดสินใจช้า แค่แตะตัวเธอเพื่อช่วยมันจะยากอะไร ตายเพราะช่วยคนก็ช่างมัน ตอนนี้เขาจะโดนว่าหรือเปล่าที่ไม่ช่วย อธิปวางเธอลง 

    “อยากตายหรือยังไง?” อธิปพูดเบาๆ 

    “ก็ปั่นไม่เป็น ขอโทษ” เธอขมวดคิ้วเหลียวมองอธิป อธิปกลับไปดับเครื่องรถและเก็บจักรยานที่ล้มลงขึ้น ก่อนจะโยนกุญแจรถให้เขา และจูงจักรยานให้อรัญญา 

    “นั่ง” อธิปสั่ง อรัญญาจึงลงไปนั่ง 

    “อันนี้พอปั่นมากๆมันจะมีพลังงานไฟฟ้า ใช้นั่งเหมือนรถมอเตอร์ไซค์ได้ ถ้ากดปุ่มนี้...มือต้องกำเบรกเมื่อจะหยุด มือวางแบบนี้ อ้าวแล้วลองกำ มันไปไม่ได้แล้วเห็นไหม... ข้างขวาบิดค่อยๆมันก็ไปเองแล้ว ลองดูนะ” อธิปก้มตัวลงพูดกับเธอ  เธอพยักหน้าตาม และเมื่อจบเธอก็ลองบิด 

    “ได้แล้ว!!” ดูอรัญญาไม่ตื่นเต้นแล้ว

    “อย่าหันมา!!” อธิปบอกเธอ มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงยืนมองเงียบๆ เขาส่งต่อกุญแจให้ลุงสาทที่เดินมามองอธิปสอนจักรยานอรัญเช่นกัน จึงเดินไปหยิบกระบุงใบไม้ ไปเทที่หนองน้ำเพราะมันเต็มแล้ว เมื่อเดินกลับมาที่โรงจอดรถยังเห็นอธิปใช้จักรยานอีกคันปั่นข้างๆอรัญ เขารู้สึกว่ามีคนมองเขาอยู่จึงเหลียวมองที่ชั้นบนของตึก เห็นม่านมันขยับราวกับมีคนแอบดู 

    “อะไร?” เสียงลุงสาทถามเขา 

    “มีคนอยู่ข้างบนลุง” เขาเลี่ยงและจะเดินขึ้นตึก 

    “ไม่มี ลุงเพิ่งลงมา” ลุงดึงเขาไว้ 

    “เกิดเป็นขโมยรึเปล่า?” เขาบอก 

    “เอางี้ ลุงจะขึ้นไปเอง รอดูอยู่นี่ ถ้ามีคนวิ่งลงมาก็จัดมันเลย” ลุงห้าม เขาก็ลืมไปว่าห้ามขึ้นชั้นบน ทั้งตอนนี้อธิปก็อยู่ เลยพยักหน้า เขากวักมือเรียกตี๋ที่ผ่านมาพอดี

    “ ไปดักหลังบ้าน มีคนอยู่ข้างบน ลุงกำลังขึ้นไปดู” ตี๋รีบพยักหน้า และปั่นไปจอดท้ายตึกใหญ่ ที่ตรงสระว่ายน้ำ ตี๋พยักหน้าให้เขาว่าพร้อมแล้ว เขายืนมอชั้นบนเห็นลุงเดินมาเปิดม่านทึบออกและมองมาทางเขา ลุงเก็บม่านทึบและเอาม่านโปร่งลงแทน ทั้งยังเปิดหน้าต่างบานสั้น ราวกับไม่มีอะไร เขาเหลียวมองข้างล่างว่ามีใครไหมก็ไม่มี จึงเหลียวมองตี๋ที่ส่ายหน้ามองเขา 

    ที่ชั้นสามลุงเองก็เปิดหน้าต่างแทบทุกบานและดึงมุ้งลวดออกแทน เหมือนไม่มีอะไร เขาได้แต่สงสัยว่าหรือเขานั้นคิดไปเอง เหลียวมอง อรัญที่ฟากโน่นไกลๆกำลังพยายามปั่นจักรยานไปมาอย่างมีความสุข 

    “มีไหม?” ลุงถามเมื่อเดินออกมา เขาส่ายหน้า 

    “ลุงดูดีรึยัง?” 

    “ดี ..ของอยู่ครบ ปืนก็ครบ” 

    “แน่ กล้องวงจรปิดก็มีไปกลัวอะไร” ลุงบอก เขาจึงพยักหน้าให้ตี๋ ตี๋จึงปั่นจักรยานไปต่อ 

    วันนี้มีของเข้ามาส่ง เขาเช็คดูมีไก่สด ปลาและผักหลายชนิด มีข้อความบอกว่า ไก่อบ แกงส้มแป๊ะซะปลาช่อน ปลานึ่งมะนาว เมี่ยงปลาทู เขาอ่านรายการและมองของจำนวนมาก ป้าป้อมจึงเดินเข้ามาเตรียมของ แจ้งให้เขาทราบว่าคืนนี้ทุกคนในบ้านจะทานข้าวพร้อมกัน มันทำให้เขาแปลกใจ 

    “สงสัยอธิปอยากกินข้าวกับน้อง..ทำตัวตามสบายเลยไม่ต้องไปคิดมาก” ป้าป้อมพูด เขานึกถึงเมื่อเช้าที่อธิปมองคงคิดว่าอรัญเบื่อหน่ายที่จะทานข้าวกันสองคน แต่เปล่าเลย เธอมาเวลาที่หิวและไม่อยากรอก็เท่านั้น และอีกอย่างให้ทำตัวตามสบายอย่างไรไหว ก็อธิปนั้นไม่น่าจะเข้ากับใครได้ 

    ของให้ห้องอาหารตึกใหญ่นั้นถูกจัดชิดผนังมีเสื่อปูแทนที่ อาหารจึงตั้งเรียงรายอยู่กลางเสื่อ แต่เนื่องด้วยอธิปนั้นดูตัวใหญ่ เขาจึงยกแคร่ไม้สักกับป้าป้อมมาวางที่ประตูบานเลื่อน เห็นพ้องต้องกันว่าให้อธิปนั่งแคร่กับอรัญญาและพวกตนนั่งที่พื้นแทน ก็ดูน่าจะลงตัวไปอีกแบบ ไม่ได้ห่างกันเลย เครื่องดื่มน้ำอัดลม และเบียร์กระป๋องถูกนำออกมาแช่เพื่อรอเวลา 

    โชคดีที่คุณป้าผ่อนภรรยาคุณลุงมาร่วมทานข้าวด้วย เขาจึงคอยดูแลอย่างเป็นกันเอง ทุกคนพูดคุยกันและสอบถามสารทุกข์สุกดิบคุณอธิปอย่างกันเอง ตี๋ก็นั่งข้างๆเขาที่ที่ไกลจากอธิปและอรัญมากที่สุด อธิบนั่งหย่อนขาตรงบันใดข้างประตู อรัญก็คอยตักของกินส่งไปให้ วันนี้ป้าป้องสงบปากสงบคำไม่พูดเรื่องนิทานลามกและพูดเหมือนพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่ เขาสะกิดตี๋แล้วส่ายหน้าไปทางป้อม ส่วนคุณลุงที่ขึ้นไปนั่งบนแคร่ก็ดื่มเหล้าไม่ค่อยทานอาหารเสียเท่าไหร่ อรัญเลยห่อเมี่ยงคำใส่จานให้เป็นระยะ เขารู้สึกว่าเธอก็ไม่ได้ดูห่ามๆอย่างที่คิด แค่ไม่ค่อยแสดงออกว่ารักแค่นั้น พอถึงเวลาและโอกาสก็ค่อยเผยท่าทีออกมา 

    “ไหนล่ะ น้องบอกคิดถึงแล้วพี่บอกน้องรึยัง?” เขาเพิ่งเห็นป้าป้อมดื่มเบียร์ก็วันนี้ พอเริ่มได้ที่เธอก็พูดเสียงดัง หลังจากที่ป้าผ่อนกลับไปพักผ่อนแล้ว อธิปเหลียวมามองอย่างยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขาว่ามันดีที่ป้าป้อมเป็นแบบนี้ หากคืนนี้ไม่มีป้าป้อมคงน่าเบื่อ กินเสร็จและแยกย้าย แสงไฟใต้น้ำนั้นสะท้อนขึ้นมาบนผนังและเพดาน เขาเห็นจมูกที่โด่งออกมาเป็นสันจากด้านข้างของอธิป 

    “เร็ว บอกคิดถึงน้องรึยัง?” ป้าป้อมหลันหลังไปพูดเพราะมือจับที่ไหล่อรัญ อรัญนั้นนั่งจัดผักห่อเป็นคำๆ เขาว่าเธอเล่นมากกว่าทาน แต่เมื่อห่อเสร็จก็เอี้ยวตัวส่งเข้าปากอธิป 

    “น่าน เห็นไหม น้องออกจะรักปานนี้ พี่ก็ต้องรักน้องบ้างแหละ” ดูเหมือนป้าป้อมพยายามพูดราวกับว่าให้ทั้งสองคนคืนดีกัน หรือเพราะกลัวอธิปจะต่อว่าอรัญเลยปกป้องแบบนี้ ป้าไหมเริ่มใช้มือตีเข่าป้าป้อม 

    “มากินๆ มัวแต่พูด” ป้าไหมบอกเมื่อป้าป้อมหันมา 

    “เอาก็ให้คุยกับน้องนุ่งมั่งสิยายไหม”

    “กินเข้าไปเยอะๆน่ะ เหล้าเบียร์ ตื่นไหวไหมพรุ่งนี้?” 

    ขณะที่ป้าป้อมกับป้าไหมคุยกันอธิปก็ส่งแก้วเหล้าให้อรัญ ตี๋จึงลุกไปรินให้และที่แปลกคือเมื่อรินเสร็จแทนที่จะให้คุณอธิปเลย แต่กลับส่งให้ลุงสาท ลุงสาทจึงส่งให้อรัญ คงอยากให้อรัญเอาใจอธิป เมื่ออรัญรับเหล้าไปวางข้างตัวเสร็จ เขาเห็นอธิปเล่นมืออรัญอรัญและมองมือนั้นอยู่ เขาจึงแกล้งไม่เห็น ตี๋เองก็เช่นกัน 

    “เหนื่อย” เธอพูดกับอธิป พูดเสร็จอธิปก็ลุก

    “กินก่อนนะ อย่ารีบไปไหน” อธิปคว้าไหล่อรัญญาไปเข้าประตูอีกทาง เขาไม่เห็นว่าจะเดินผ่านบาร์น้ำ คงอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหน้าบาร์ พวกเขาจึงนั่งทานกันต่อ 

    “มา ป้าจะเล่านิทานให้ฟัง”

    “ป้อม” ลุงสาทห้าม

    “ไม่เอา มีแต่เรื่องตลกๆทั้งนั้น” ตี๋เริ่มพูดคุยเมื่ออธิปไป 

    “......!!” ไฟมันดับลง มืดสนิททุกที่ ลุงลุกจุดไฟแช็ก ไปต่อที่เชิงเทียน เขาเองก็ลุก และหยิบไม้เบสบอลในตะกร้า และเดินออกไปยืนริมสระน้ำ ทุกคนนั้นเงียบ หากโจรจะเข้าบ้านวันนี้มีเรื่องกับเขาแน่ๆ เสียงดังแกร็ก แกร็ก !! มันเป็นเสียงหมุนลูกโม่ปืนพกของลุงคงง้างเช็กกระสุน เขาพยายามมองทั้งสองฝั่ง ตี๋เดินเข้าไปที่บาร์ หยิบไฟฉายอันใหญ่ออกมา ยืนตรงประตูทางเข้าออก สาดไฟฉายไปทั่ว เขาเดินไปรอบๆอยู่ครู่ 

    “โทรไปการไฟฟ้า” เขาบอกทุกคน ตี๋จึงล้วงมือถือส่งให้เขา เขาเห็นป้าป้อมลุกหยิบเชิงเทียนแบ่งไปที่ห้องนั่งเล่นที่อรัญนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาซบอธิปอยู่ อธิปรับปืนจากลุงและวางลงบนโต๊ะ ข้างๆโซฟา เขาใช้เวลาไม่กี่นาทีก็โทรติด ยังไม่ทันที่จะแจ้งอะไรเจ้าหน้าที่ก็แจ้งจุดเกิดเหตุที่อยู่ย่านนี้พอดี เกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าทำให้ต้องใช้เวลาสักระยะนึง มันช่วยให้เขาโล่งอก 

    ตี๋และลุงแยกไปหาคุณป้าที่บ้านด้านหลังเพื่อที่จะจุดเทียนให้ เขาเลยอยู่ที่เดิมกับป้าๆที่กำลังยกข้าวของขึ้นตั้งบนแคร่ ตัดสินใจปิดประตูที่บาร์ไว้แล้วมานั่งที่ห้องอาหาร ให้เข้าออกได้ทางเดียว ขณะที่รอจนกว่าไฟฟ้าจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เขานั้นก็ไม่ได้ไว้ใจเพราะโจรมักจะลักลอบใช้โอกาสนี้อยู่เป็นประจำ 

    “มันไม่มีหรอกน่า โจรที่ไหนจะกล้ามา ยิงให้ไส้แตก” อธิปพูดขึ้นพร้อมกับส่งปืนให้อรัญญาที่รับไปวางข้างตัว

    “...รั้วสูงตั้งสามเมตร เข้ามาก็ออกไม่ได้อยู่ดี” อรัญญาอธิบาย อธิปลุกและหยิบไฟฉาย อันเล็ก

    “..จะนอนแล้ว” 

    “ขึ้นไปส่ง” อรัญพูดพร้อมกับลุก ป้าป้อมจึงถือเชิงเทียนเดินตาม 

    “อุ้ย!!” ป้าป้อมร้องเมื่อเดินลงมาที่บันใดพร้อมอรัญ อรัญหันควับถือปืนขึ้นเล็งคราวนี้เป็นปืนพกเดินไปทางห้องโถง เห็นทีบ้านนี้จะมีคลังแสงเยอะจริงอย่างลุงบอก เขารีบปิดประตูและเดินตามเข้าไป มีแค่แสงสลัวจากแสงเทียนที่ป้อมถือ เขาหยิบไฟถายอีกอันสาดไปมาที่ทางเดินห้องโถง เพื่อมองว่ามันมีอะไร

    “ชู่วววว...” อรัญห่อปาก เขารีบหันไฟฉายไปตามมือ ไม่นาน ปัง!! ตามมาด้วยเสียงกระจก ปัง ปัง!! อรัญยิงอีกรอบ มันเริ่มมีเสียงกระหืดกระหอบคราวนี้มีร่างดำๆดิ้นออกมาจากซอกตู้ เสียงป้าป้อมร้องโวยวาย ตามมาด้วยเสียงที่วิ่งลงมาและเสียงเปิดประตู อรัญยังเล็งปืนอยู่ตาม ด้วยว่าน่าจะเป็นที่ตัวเล็กกว่าเขารีบเดินเข้าหาร่างนั้น และสาดไฟฉายไปหาร่างนั้นที่จมมุมนั่งคุดคู้ใช้มือบังหน้า อรัญหยิบเชิงเทียนจากป้าป้อมมาถือ

    “ใคร ใครล่ะ?” เสียงป้าป้อมร้องถาม ปนเสียงร้องป้าไหม เขาเป็นชายที่ผอมโซ มีขอบตาดำ หน้าตอบ มีหนวดเคราขึ้นรอบปาก ดูตื่นตระหนกและโวยวาย ผอมและสั่นประสาทเหมือนคนบ้าแบบนี้ติดยาอย่างแน่นอน 

    “โว้ย....ผีหลอก ผีหลอก อย่า อย่า กลัวแล้ว กลัวแล้ว” ชายคนนั้นเอะอะมะเทิ่ง เสียงสั่นเครือ ตัวสั่นมือสั่น เขาไม่รู้ว่าหลอนจริงหรือแกล้งเพื่อช่วยให้ตัวเองรอด เขาจึงดึงคอเสื้อร่างนั้นและล็อคแขนไว้  ดึงสายคล้องม่านมามัด แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร อธิปเดินก้าวเข้ามาส่องใกล้ๆ พลันกระชากคอเสื้อชายดังกล่าวให้ยืน

    “เรียกตำรวจครับ” เขาบอกเพราะกลัวว่าบ้านนี้จะโดนข้อหาฆ่าคนตาย ป้าไหมนั้นก็รีบหยิบมือถือที่มีปุ่มไฟตรงตัวเลขขึ้นกด

    “ไอ้นี่มัน...” ลุงสาทพูดก่อนเดินก้าวเข้ามาช้าๆ แต่ยังไม่ทันจะถึง  อธิปเหวี่ยงชายคนนั้นด้วยมือเดียว ร่างนั้นเซถลาไปล้มลงตรงกลางห้อง ทั้งยังก้าวเท้าเดินไปเตะขึ้นเสยค้างและเหยียบซ้ำทั้งที่ชายคนนั้นน่าจะหมดสติไปแล้ว ก่อนจะดึงร่างนั้นขึ้นและเหวี่ยงไปที่ประตูทางออกด้านหน้าตึก 

    “พอ พอ แล้วครับ...มันไม่ได้ตั้งใจ ไม่น่าจะเอาอะไรไป” ลุงพูด

    “ไอ้อ้อดใช่ไหม ทำไมมันอยู่สภาพนี้” ป้าป้อมพูดพลางเดินไปหาร่างที่นอนสลบแน่นิ่ง เสียงป้าไหมคุยโทรศัพท์เดินไปหลังบ้าน

    “สงสัยจะเล่นยา น่าจะเมา” ลุงสาท

    “ไม่อยากจะเชื่อเลย” ตี๋ยืนมองเบิกตากว้างพูดเบาๆ 

    “เอามันออกไป อย่าให้มันได้กลับมาเหยียบที่นี่อีก” อธิปพูด ก่อนจะเดินกลับไป อรัญที่เหลียวมองชายคนนั้น ก่อนถือเชิงเทียงตามอธิปขึ้นไป 

    อ้อดถูกจับมัดมือมัดเท้าและปิดปากไว้ทั้งๆที่ยังนอนไม่ได้สตินอนอยู่ที่บันใดทางเข้าบ้าน เขาป้าไหมป้าป้อมยืนเฝ้า ตี๋ที่ปั่นจักรยานไปหน้าตึก ลุงที่ยืนคุยโทรศัพท์คงแจ้งบริษัทในเมือง ไม่นานไฟก็ติด เขาเหลียวเห็นใบหน้าของคนชื่ออ้อดได้ชัดเจนขึ้น เห็นโครงกรามรูปหน้าขัดเจน มีเคราและหนวดหรอมแหรม เขาเห็นดวงตาที่โตก่อนหน้านี้ หากใบหน้าไร้รอยต่างๆและสะอาดเกลี้ยงเกลาน่าจะเป็นคนที่หล่อและหน้าตาดี ไฉนจึงกลายมาเป็นคนเยี่ยงนี้ 

    “น่าเสียดาย ไม่น่าเลยอ้อดเอ้ย”

    เขาและตี๋จัดการเก็บเศษกระจกที่บนพื้นขึ้นใส่กระดาษหนังสือพิมพ์ พยายามโกยเศออกให้หมดเห็นมีคราบเลือดเป็นรอยๆเล็กติดอยู่ที่พื้นซึ่งจะบาดเท้าคุณอธิปเข้าเมื่อตอนที่เดินเข้ามาจัดการกับอ้อด หลังจากที่ตำรวจได้เข้ามาเอาตัวไป ลุงสาทนั้นก็ต้องไปให้ปากคำและติดต่อกับบริษัทในเมืองไปกับป้าป้อม

    “ลุงแกคงไม่อยากให้เอาเรื่องหรอก เชื่อสิ” ตี๋พูดขึ้นเบาๆ 

    “เขานิสัยยังไง?” เขาพลางสงสัยเลยเอ่ยถาม เพราะดูท่าทีน่าจะเคยเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง 

    “เดี๋ยวพวกเราเก็บนี่ก่อน ค่อยไปเก็บในครัว เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง” ตี๋ที่เงียบอยู่พักหนึ่งก่อนพูด

    อ้อด มีชื่อจริงว่า จักรวุฒิ มีอายุมากกว่าพวกเขาประมาณสามสี่ปี เป็นคนหัวดีและการเรียนใช้ได้คนหนึ่ง เป็นนักวอลเล่ย์บอลประจำโรงเรียน ด้วยว่ารู้จักช่วยดูแลอรัญมาเหมือนคนบ้านเดียวกัน มีอะไรก็แบ่งปันมาโดยตลอด เมื่อก่อนอ้อดจะพักที่บ้านด้านหลังซึ่งอยู่ข้างบ้านลุงสาท ตัวอ้อดเองที่โรงเรียนก็มีคนชื่นชมเยอะเหมือนกัน เพราะหน้าตาดีและเรียนเก่ง ใครๆก็มองว่าอนาคตดีเพราะเข้าใจว่าที่มีรถรับส่งนี่ก็คงคิดว่ามีฐานะ ตัวตี๋เองก็คาดคิดเหมือนกันว่าถ้าอ้อดโตขึ้นคงได้เรียนหมออย่างที่ผู้ใหญ่พูดกันและรักอ้อดเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อรัญนั้นเริ่มโต ตี๋เองก็รู้สึกว่าสายตาและท่าทีที่อ้อดมองอรัญนั้นเปลี่ยนไป ดูเคอะเขินไปเสียอย่างนั้น แต่ด้วยความเป็นเด็กเลยไม่สนใจและเพิ่งมาเข้าใจตอนนี้ที่มีความคิดแล้ว ว่ามันหมายถึงอะไร 

    มีอยู่วันนึง  อรัญวิ่งลงจากรถไปหาอธิปที่ยังโอบเธอขึ้นกอดเมื่อเวลาเลิกเรียน อธิปจะหอมแก้มอรัญเมื่อเวลาก่อนไปโรงเรียนและเลิกเรียนเสมอไม่ว่าจะโตแค่ไหนก็ทำแบบนั้น เมื่อถึงเวลาทำการบ้านนั้น ตี๋ต้องนั่งอยู่ไกลๆเพราะเมื่อเวลาโตขึ้นก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจอธิป อรัญเอาหนังสือผลการเรียนให้อธิปดูว่าผลการเรียนดีแค่ไหน เมื่ออธิปเจอซองจดหมายก็ยำมันทิ้ง แสดงอาการโกรธแบบนิ่งๆแต่เขารู้ว่าโกรธ ถึงขั้นเผ้ากระดาษและซองจดหมายนั้นทิ้ง

    “ผมรู้ว่าจดหมายนั้นมาจากไหน” ตี๋บอก หลังจากทำหน้าที่เสร็จก็กลับมาอาบน้ำ ช่วงเวลานี้เขาจะเห็นอ้อดนั่งทำการบ้านเสมอ ตี๋เหลียวมองจึงรู้ว้อ้อดเขียนจดหมายอยู่ด้วยท่าทีอารมณ์ดี เพราะเพลงที่เปิดในวิทยุเบาๆ พอถึงรุ่งเช้าก็หอบข้าวของของอรัญขึ้นรถอ้อดจึงใส่จดหมายไว้ในนั้นซึ่งตี๋เองก็เห็นแต่ไม่ได้ใส่ใจนึกว่าจะแกล้งอะไรอรัญก็เท่านั้น

    “พี่อ้อดบอกผมว่าถ้าเรียนจบแล้วจะขอออกจากที่นี่ ไปหาทำงานและอยู่กับแฟน ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร จนวันที่เกิดเรื่องผมก็ยังไม่กล้าที่จะบอกอธิปว่าจดหมายนั่นเป็นของพี่อ้อด ผมไม่รู้ว่าจดหมายนั่นมันเขียนว่าไง แต่ ..พี่อ้อดน่าจะพาอรัญออกไปด้วย ถ้าได้ออกไป”  อธิปเงียบนิ่งมาโดยตลอดจนกระทั่งวันนั้น โกรธจนเลือดขึ้นหน้าจนตี๋คิดว่าพี่อ้อดน่าจะตายคาที่ได้ ตี๋ทั้งร้องไห้ ลุงก็พยายามห้าม แต่อธิปไม่พูดอะไร ซ้อมอย่างเดียว 

    “พอมาเจออีกทีก็เมื่อกี้นี่แหละ นี่เป็นความลับเลยนะ ห้ามพูด ลุงก็ไม่รู้ป้าป้อมยิ่งแล้วใหญ่ ถ้ารู้ว่านั่นเป็นจดหมายรักจากพี่อ้อดไม่รู้จะยังให้อภัยอยู่รึเปล่า แต่พอมาคิดตอนนี้สำหรับผมแล้ว ถ้าคิดแบบนั้นก็สมควรโดนแล้ว ถึงพี่อ้อดจะดูดีกับทุกคนแต่เรื่องที่พี่อ้อดเคยหอมแก้มอรัญแบบหยอกเล่นมันไม่เข้าท่า”

    “หอมแก้ม?”

    “ใช่ คงคิดจะทำเหมือนที่อธิปทำแหละ ผมคิดตั้งนานว่าจะบอกดีไหม คิดแล้วคิดอีก”

    “สรุปบอกไหม!?” เขาเน้นเสียงถามเบาๆ

    “..บอก อธิปเหมือนจะเป็นคนหยิ่ง ดุ แต่ใจดี เป็นผู้มีพระคุณ พ่อผมบอกอย่าลืมพระคุณ เพราะคุณอธิปออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ทุกคน รวมค่าขนมค่าเทอม เสื้อผ้า จะให้ผมหักหลังคุณอธิปได้ยังไง ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ทุกคนในบ้านเลยไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโกรธขนาดนั้น” 

    “แล้วไม่คิดว่าแปลกเหรอ..เรื่องที่เขาเป็นแบบนี้?”

    “คิด..แต่ต่อให้มันเป็นอย่างที่คิดก็ไม่แปลกนี่” 

    “.......!?” เขาใจหายวาบกับคำที่ตี๋พูด รู้สึกว่าขาสั่นตัวเบาหวิวไร้เรี่ยวแรง เขาขยับออกจากตี๋ ที่นี่มันมีเรื่องบ้าๆอะไรแบบนี้ 

    “อรัญญาไม่ใช้น้องแท้ๆ ไม่รู้เหรอ?” ตี๋ดูตื่นๆ เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ 

    “....ห๊ะ!” 

    “ผมก็เพิ่งมารู้ตอนเจ็ดแปดขวบนี่แหละ พ่อบอก คุณวรารับมาเป็นลูกสาวให้อยู่กับอธิปเพราะอธิปป่วย เป็นซึมเศร้า พอมีน้องก็ดีขึ้นเป็นปกติจนหายดี อธิปเลี้ยงอรัญเหมือนเป็นพ่อของอรัญเองเลย รักมาก...ขอร้องถ้าไม่อยากตายดี อย่าเอาไปพูดข้างนอกเด็ดขาด ผมยินดียอมแลกชีวิตเลย ไม่มีอะไรจะเสีย”

    “...ผมรับปาก ก็ไม่อยากให้ใครเสียชื่อเสียงเหมือนกัน”   จริงอย่างตี๋ว่า หากมันเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลก ลองรับเลี้ยงจนโตแล้วจับทำเมียก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันแตกต่างจากที่เขาได้ฟัง มันแตกต่างเสียยิ่งกว่าอะไร 

    “ตี๋...เรื่องที่เล่าโกหกรึเปล่า?” 

    “งั้นตามผมมา” ตี๋ลุกและเดินข้ามสนามหญ้าจากห้องของเขาไปทางบ้านข้างๆบ้านลุงสาท

    เข้าก้าวเท้าขั้นบันใดบ้านที่ยกต่ำไปที่เฉลียง ตี๋เปิดประตูและกดสวิตเปิดไฟ เขาเห็นโต๊ะเขียนหนังสือข้างๆประ๕ทางซ้ายเลย เป็นโต๊ะเหมือนโต๊ะนักเรียนเลยที่มีช่องใต้โตธ มีหนังสือเรียนกองอยู่ ตี๋ยกกล่องเหล็กที่น่าจะเคยใส่ใบชาออกมาและเปิดฝาออก มีรูปเก่าๆในนั้น เป็นรูปที่ อธิปอุ้มอรัญญาตอนเด็กๆ และอีกรูปที่ อรัญญานอนตักอธิปในห้องนั่งเล่นบ้านใหญ่ อรัญยิ้มและชูสองนิ้ว อธิปนั้นตอนหนุ่มๆก็น่าจะเป็นคนหล่อเหลาเอาการ นั่งใช้สองแขนก่ายโซฟาให้อรัญหนุนตัก เธอน่าจะอยู่สักประถมหกได้ มันดูเป็นช่วงเวลาที่ดูมีความสุข ภาพต่อมาเธอโตขึ้นมาหน่อยเป็นอธิปที่ให้อรัญขี่หลังในสระว่ายน้ำ และเธอหอมแก้มอธิปอย่างดูไม่อาย ภาพนี้เขาได้เห็นป้าป้อมเมื่อสมัยยังสาว ผอม ผมหยิก ไม่อ้วนดำเหมือนตอนนี้ นั่งชูสองนิ้วที่ริมสระด้านหลัง ยังมีเครื่องเล่นเทปสีขาวอยู่ใกล้ๆ 

    เขารู้สึกว่าบ้านนี้มีความสุขมาก ดูเป็นกันเอง เป็นครอบครัวใหญ่ เขาเริ่มเข้าใจเมื่อป้าป้อมพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในครอบครัว ทุกรูปมันช่างดูมีความสุขจริงๆ ภาพต่อมาทำเขาตกใจนิดหน่อย อธิปคงหยอกเธอบนโซฟานอนทับและหอมแก้มอรัญญาที่หัวเราะอยู่ มันเป็นช่วงเวลาที่อรัญอยู่กับอธิปทั้งนั้น ไม่ว่าจะนั่งเล่นกันที่ขั้นบันใดหน้าสระน้ำ อรํญนั่งขั้นล่างให้อธิปโอบอยู่ เธอยิ้มอย่างมีความสุข และอีกหลายๆภาพ มีรูปตี๋ตอนเด็กๆ และและสามภาพสุดท้ายเป็นรูป อ้อดกับชุดมัธยมปลาย คิ้วหนาตาคม ใบหน้าหนุ่มไทย มีเขี้ยวมหาสเน่ห์เมื่อยิ้ม หากเป็นเมื่อก่อนก็สมแล้วตี๋บอกว่าหล่อ และรูปสุดท้าย เป็นภาพที่ถูกฉีกออกครึ่งหนึ่งของอรัญญาที่ถือขานเค้กอยู่

    “เห็นรึยัง?” ตี๋เอ่ยถามมองหน้าเขา

    “ไม่ใช่ไม่เชื่อนะ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเขาโตขึ้นแล้วเขาอาย” เขาพูดกับตี๋เบาๆเพราะกลัวเสียงดัง ตี๋รีบเก็บมันเข้ากล่องด้วยท่าทีที่ไม่มีรอยยิ้มใด 

    “ผมเล่าได้แค่นี้แหละ ที่เหลือไปถามลุงเอา” 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×