คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ความสุขที่ยากจะมี
“ขอโทษ” เขารีบขอโทษตี๋เมื่อฟ้าสาง ตี๋มาชงโอวัลตินดื่ม
“......คนอื่นจะคิดว่าอะไรผมไม่สน ผมไม่รังเกียจที่อธิปกับอรัญแกเป็นแบบนี้ นี่คือความสุขของบ้านนี้”
“..ขอโทษ ผมก็คิดแบบเดียวกันนั่นแหละ” เขาพูดได้แค่นั้น
“ผมไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นยังไง แต่ผมยินดีที่จะอยู่แบบนี้จนตาย ดีกว่าอยู่ข้างนอกนั่นอีก” ตี๋ยกแก้วขึ้นดื่มก่อนจะไปนั่งที่แคร่ เขารีบตามออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับความไว้วางใจเอาเสียแล้ว ต่อไปอยากรู้อะไรก็คงยาก ต้องอยู่แบบไม่รู้ไม่ชี้ทำแต่หน้าที่ไปคงไม่มีความสุข เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเขาแท้ๆ
“ข้างนอกนั่น มากคนมากความ ดีแล้วที่อยู่แบบนี้ ..ต่อไปนี้จะไม่ถามอะไรแล้วล่ะ สบายใจได้ แล้วสัญญาว่าจะไม่เปิดปากเรื่องของบ้านนี้ใครฟัง จะไม่ออกจากปากเลยแม้แต่คำเดียว ..สัญญา” เขาเอื้อมมือไปจับไหล่ตี๋ที่นั่งอยู่ ตี๋เงยหน้าเหลียวมองเขาอยู่ครู่พลางถอนหายใจและพยักหน้าให้เขา
“อธิปตื่นแล้ว” เสียงอรัญบอกพวกเขาขณะที่เดินผ่านไปบ้านอรัญญา เขาและตี๋จึงรีบไปจัดการอาหาร เห็นลุงสาทยืนคุยอยูกับอธิปที่ท้ายสระว่ายน้ำ พวกเขาจึงเข้าไปเงียบๆ
“ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วนี่..ลูกก็มีสืบทายาทแล้ว กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ดีกว่าเหรอ?” ลุงสาทล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง เดินทอดน่องคุยกันอยู่กับอธิป
“เขาเต็มใจเหรอ?”
“ก็เห็นๆอยู่ ตอนนี้ก็น่าจะราบรื่นดี ทางสะดวก กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรต้องคิด เรื่องอื่นกะช่างหัวมันเป็นไร”
“...กลัวเขาน้อยใจ”
“มันผ่านมาแล้ว ตอนนี้อ้อดมันกะเสียสติคุยไม่รู้เรื่อง อย่าไปถือสามัน ทุกอย่างจบไปแล้ว ปล่อยวางซะ จิตใจจะได้สบาย”
“.....จะลองดู” ลุงสาทชูนิ้วโป้งให้หลังจากอธิปพูดจบ
เขาไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรที่ทั้งสองคนระหว่าอรัญและอธิปถึงมีความสัมพันธ์เปลี่ยนไป อธิปกลับมานั่งที่เดิม เขาจึงไปเสริฟให้ ไม่นานอรัญก็เดินเข้ามาลุงสาทคงจะไปตาม เธอหอมแก้มอธิปที่ใช้สองแขนวางบนโต๊ะ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแบบนี้ เขาจึงเดินกลับไปตักโจ๊กให้เธอ เดินสวนทางกับตี๋ที่ยกกาแฟไปเสริฟด้วยรอยยิ้ม เขาที่เห็นตี๋ยิ้มก็พลอยหายเหนื่อย เลยแกล้งตักหมูให้อรัญและรอดูท่าทีว่าจะเป็นอย่างไร
“ไม่เอาหมู...บอกแล้วไง” เธอชี้ในถ้วย เขาแทบใจหายวาบเมื่อสายตาอธิปที่เหลียวมองมาทางเขา เพียงแค่อธิปปรายตามอง ดวงตาเรียวเล็กนั้นทำให้รู้สึกเหมือนเข็มทิ่มเข้าหัวใจ นี่หรือสิ่งที่เรียกว่าฆ่าโดยสายตา ทั้งที่ใบหน้านั้นไม่ได้แสดงออกถึงความโกรธ อธิปเหลียวไปมองอรัญญา
“ก็เดี๋ยวกินให้” อธิปบอกอรัญแบบเรียบๆ เธอเอียงหน้า
“จริงนะ?” เพียงเท่านั้นอธิปก็อ้าปาก อรัญจึงป้อน ทั้งส่งกระดาษเช็ดมือให้อธิป
พลางตักหมูที่เหลือลงถ้วยของอธิป ทั้งใส่พริกไทยให้อธิป อธิปนั้นปัดมือเธอเป็นการห้ามเพราะว่ามันจะมีรสเผ็ดเกินไป อรัญญาเหลียวมองมืออธิปก่อนวางขวดพริกไทยและคว้ามืออธิปลูบคลำเล่นก่อนยกมืออธิปขึ้นใช้ปากแตะเบาๆ และวางแก้มที่หลังมือของอธิป อธิปยิ้มให้ก่อนลูบศีรษะเธอ
เขาเหลียวมองตี๋ที่ยืนยิ้มให้เขาอยู่ คล้ายจะบอกเขาว่าที่ผ่านมาคือความจริง เขาพยักหน้าก่อนเดินกลับไปหาตี๋ และปล่อยให้ทั้งสองคนใช้เวลา เมื่อเดินออกมาที่สระว่ายน้ำเห็นลุงสาทยืนล้วงกระเป๋ามองเขา เหมือนจะรอเขาอยู่ ที่สุดลุงก็กวักมือให้เขาไปหา และออกเดินผ่านหลังบ้านอรัญญา
“รู้รึยังว่าเขาไม่ใช่น้องแท้ๆ?”
“ครับ”
“สบายใจขึ้นบ้างรึยัง?” ลุงสาทยิ้มถามเป็นภาษาท้องที่
“ครับ ผมแค่สงสัยเฉยๆ ก็ที่ทุกคนบอก กับเรื่องที่เห็นมันขัดกัน” เขาสารภาพ หากจะบอกว่าอธิปป่วยแล้ว น่าจะเป็นอรัญญามากกว่าที่ป่วยในสายตาเขา บางอากัปกิริยาที่แสดงออกมาทำเขาสับสนไปหมดแล้วในตอนนี้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามคุณลุงอยู่ดี
“อรัญเกิดอุบัติเหตุ จำความเก่าไม่ได้ ..เลยยากหน่อย อธิปก็ไม่กล้าเล่นเหมือนเดิม แต่เดี๋ยวก็ดี” ลุงปราสาทบอก เขาพลางนึกถึงสายตาที่อรัญญามองอ้อดอย่างไม่ใยดี ไม่แยแส และแม้กระทั่งช่างตัดผมที่พยายามพูดคุยสอบถาม อรัญญาเองก็ยังยังไม่สนใจ ทั้งตอนที่เขาบอกกับเธอว่าไม่อยากโดนซ้อมเหมือนพี่อ้อดเธอก็ดูไม่ใส่ใจที่เขาพูด ด้วยเหตุนี้เอง
“ผมขอโทษครับ ไม่กล้าถาม ทำให้ทุกคนลำบากใจ” ลุงสาทหัวเราะเสียงดัง ตี๋กับลุงสาทนั้นคงจะพูดกันในเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าอรัญญาเป็นลูกเลี้ยงคุณวรานั่นแหละ ก็ไม่มีใครบอก ปล่อยให้เขาคิดเองอยู่ตั้งนาน
“ลุงผิดเองแหละที่ลืมบอก” เขาหัวเราะเบาๆ เพราะลุงมักจะลืมเสมอ หรือไม่ใส่ใจที่จะเล่าให้ฟังนั่นเอง
อธิปเทียวไปมาบ้านนี้จนแทบจะทุกวัน ไปตอนเช้าและเย็นกลับบ้าน เขาทำอาหารแบบเรียบง่ายขึ้น ไม่จำเป็นว่าต้องหรูหราเหมือนเมื่อคราวแรกๆ แค่ทำอาหารไทยทั่วไป อธิปนั้นไม่ได้เรื่องมากอย่างที่เขาคิด แค่ถามว่ามีอะไรบ้างก็ทานแบบนั้น ถ้าอยากกินอะไรนอกจากนั้นก็จะบอกว่าทำอะไร ถ้าไม่มีวัตถุดิบนั้นๆ เขาก็จะให้ลุงสั่งทางในเมือง แล้วทางนั้นก็จะเข้ามาส่ง มาพร้อมกับจดหมายถึงอรัญเป็นบางครั้ง ลุงเล่าว่าเป็นเมียคุณอธิปที่จะสั่งของให้อรัญเป็นเรื่องปกติ
เขาเก็บตลิงปิง ตำพริกสดคลุกเกลือน้ำตาลใส่กล่องไปที่หน้าตึกใหญ่ เห็นอรัญนั้นนั่งอ่านหนังสือใต้ร่มไม้ต้นใหญ่หน้าตึก เธอมองสิ่งที่เขาถือมา เขาตั้งใจว่าหากเก็บกวาดสวนส่วนนี้แล้วเกิดเบื่อเกิดง่วงนั้นจะได้ตาแจ้งตาสว่างบ้าง เขาวางมันลงบนโต๊ะใกล้ๆอรัญญา ขณะที่ตี๋ปั่นจักกระยานถือกรรไกรดายหญ้ามา
“อะไรน่ะ?” เธอเปิดกล่องพลาสติกของเขา และลูบแขน คงเกิดนึกถึงลำต้นนั้นขึ้นมา
“อร่อยนะ ลองดูครับ” ตี๋เสริม พลางตั้งขาตั้งจักรยานและเดินผ่านซอกต้นดอกเข็มเข้ามาในสนามหญ้า ตี๋หยิบชิ้นตะลิงปิงที่หั่นแล้วจิ้มกับพริกเกลือเข้าปากทำเขาพลอยกลืนน้ำลาย เลยเดินไปมีส่วนร่วม อรัญขมวดคิ้วจ้องมองพวกเขา
“เป็นไง เหมือนมะม่วงไหม?” เธอยกคิ้วถาม
“เปรี้ยวกว่าอีก ลองดู” เขาบอกเธอ อรัญญาพลันส่ายหน้า สังเกตว่าตั้งแต่วันนั้นมาอรัญก็ไม่สวมผ้าซิ่นอีก จะสวมเฉพาะวันพระเท่านั้น เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม คงเพราะคุยและตกลงเรื่องชุดกับทุกคน หรือเกิดเบื่อขึ้นมาแล้วก็เป็นไปได้ทั้งนั้น หรือทุกคนนั้นพยายามที่จะทำให้อรัญญาดูเหมือนคนปกติทั่วไป
“ไม่ ...อยากกินส้มตำมากกว่า” เธอบอก ตี๋เหลียวซ้ายแลขวาเกรงใครจะได้ยิน
“ได้เหรอ?” เขาถาม
“ได้สิ...ตำไทยก็แล้วกัน” มันเป็นเสียงของอธิปที่เดินลงมาจากบ้านแต่งตัวราวกับกำลังจะออกไปข้างนอก เดินเข้ามาในสวน มาหาอรัญญาแล้วนั่งข้างกัน เขาและตี๋รีบแยกตัวออก อรัญญาเอียงหน้ามองอธิปด้วยรอยยิ้ม อธิปเหลียวมองทางอื่นคล้ายจะเอียงหน้าให้อรัญญาหอมแก้ม อรัญญามองอยู่ครู่หนึ่งจึงทำตามนั้น
“ไปทำงาน?”
“..ใช่ แวะไปหาเขาหน่อย แล้วเดี๋ยวจะกลับมากินส้มตำด้วย” อธิปจับมืออรัญญา อธิปเหลียวมองตลับพลาสติก ตี๋นั้นรีบปิดฝาทันที อธิปชี้ตลับพริกเกลือ
“ไต จะถามหา” อธิปทิ้งท้ายพลางลุก อรัญญาหาเราะเบาๆ และเริ่มออกเดินไปที่โรงจอดรถกับอธิป
“งั้นรีบไปรีบมา อรัญจะรอ”
“ได้ อยากได้อะไรรึเปล่าจะซื้อกลับมาให้”
“..ไม่ งั้นกินหน้าบ้านเลยนะ”
“ได้..รอนะ” เขาเห็นอธิปหอมแก้มเธอจนชินไปเสียแล้วในตอนนี้ เขาได้แต่เขินอยู่กับตี่ที่ยืนข้างๆ ตี๋รีบปั่นจักรยานไปดักรอเปิดประตูเพราะรู้ว่าอธิปจะออกไปข้างนอก อธิปจึงยืนคุยหยอกล้อกับอรัญญาก่อนรอเวลาให้ตี๋ไปเปิดประตู
“....” เขาได้แต่เหลียวมองในบางครั้ง มันก็พี่น้องกันนี่แหละ แค่ทุกคนคิดกันไปเองรวมทั้งตัวเขานี่แหละเจ้าปัญหาเลย
เป็นครั้งแรกที่พวกเราทุกคนทานอาหารด้วยกันทั้งบ้านแบบไม่มีเรื่องอะไร ตี๋ปิดบ้านไวในวันนี้ ป้าป้อม ลุงและตัวเขาทำอาหารกินกันแต่หัววัน ทั้งลุงเองก็อธิบายว่า อธิปนั้นอาจจะมีอาการป่วยเล็กน้อยเลยดูแปลกๆในบางที ทั้งยังบอกเขาว่าไม่ต้องตกใจถ้าหากจะเห็นว่าอธิปนั้นเอาใจอรัญญาหรือรักอรัญญามากเกินไป มันเป็นคำเดียวกับที่ตี๋เคยบอกเขา เขานั้นแยกไม่ออกเลยว่าอธิปนั้นจะป่วยตรงไหน อาจจะแค่เคยป่วยก็เท่านั้น
อธิปกลับบ้านมาเร็วตามที่สัญญา ถอดรองเท้านั่งเหยียดขาและชันเข่าขึ้นข้างนึงนั่งเล่นกับอรัญบนเสื่อในสวน ในสายตาเขาอธิปดูไม่ใช่คนป่วยแม้จะมีอะไรแปลกๆอยู่บ้าง อย่างวันนี้ที่อธิปดูดเส้นมะละกออที่ตำแล้ววางลงบนจานของอรัญ คงเพราะกลัวอรัญจะเผ็ด อรัญนั้นก็กินอย่างไม่ได้รังเกียจ แต่อธิปดูดมะละกอไม่ทัน ลุงสาทที่นั่งอยู่กับเขาบนเสื่ออีกผืนหัวเราะ ก่อนจะลุกไปทางบ้านหลังคงไปใช้เวลาดูแลคุณป้าที่เป็นภรรยา
“เผ็ด” อธิปบอก ยิ้มและรับน้ำจากอรัญญา
“ไม่ไหวแล้วเหรอ?” ป้าป้อมพูด
“...แก่แล้วมั้ง กินเผ็ดไม่ได้แล้ว เมื่อไหร่จะโตสักที” อธิปเหลียวมองอรัญญาทั้งพูด
“..นี่ยังไม่โตอีกเหรอ” อรัญขมวดคิ้วมองอธิป
“ยัง..โตที่ไหน จักรยานยังปั่นไม่เป็นเลย” อธิปเมินหน้าใส่อรัญญา
“....งั้นวันนี้ไม่นอนด้วยแล้วนะ โตแล้ว” อรัญญายกคิ้วขึ้น
“ได้...ไม่กลัวผีแล้วเหรอ?” อธิปใช้แขนค้ำตัวทั้งสองข้างนั่งเอนตัว
“ไม่” อรัญยิ้ม
“ทำเก่งได้อีก”
“เดี๋ยวก็หอบผ้าห่มเน่าไปนอนกับพี่เหมือนเดิม เดี๋ยวป้าจะรอดู” ป้าป้อมยิ้ม อรัญหัวเราะเธอใช้ศีรษะของเธอโขกศีรษะอธิปก่อนที่จะฉีกหมูแดดเดียวป้อนอธิป เขาจึงส่งจานไก่ย่างให้อรัญดูแลอธิป
ในตอนนี้เขาเริ่มชินแล้วที่จะเป็นแบบนี้ มันก็เป็นความสุขของบ้านนี้ ที่บ้านเขาไม่ค่อยมีช่วงเวลาแบบนี้ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ทุกคนกลายเป็นเหมือนครอบครัว มันไม่น่าเบื่อเลยสักวัน ทุกคนดูเห็นอกเห็นใจเขาเสียมากกว่าคนที่บ้านเขาเสียอีก อรัญเองแม้จะจำความอะไรไม่ได้แต่ก็คงพยายามปรับตัวเองและทุกอย่างมันเลยเริ่มจะเข้าที่ และวันนี้บ้านนี้ก็ไม่เงียบเหงาอีกต่อไปแล้ว
เขาอดยิ้มไม่ได้คืนนี้อรัญญาดูไม่มีทีท่าจะขึ้นบ้านหลังใหญ่อีก คงจะบอกอธิปว่าเธอพูดจริง ขณะที่เขากลับมาจากบ้านลุงเพื่อเก็บข้าวของอย่างพวกถ้วยชามมาล้าง ยังได้ยินเสียงอธิปโทรศัพท์คุยงานอยู่ใกล้ๆบริเวณสระว่ายน้ำ ช่วงนี้ตี๋เองก็อยู่ไม่ห่างจากทุกคนเมื่อปิดบ้านก็เข้ามารวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน ไม่เหมือนช่วงแรกๆที่เขามากว่าจะเจอตี๋
“ป้าแกไข้ขึ้น..ลุกไม่ไหว” ลุงสาทเดินมาเปิดไฟสวนหลังบ้าน
“เอา จะไปหาหมอไหม?” ป้าไหมที่นั่งเช็ดหม้ออยู่บนแคร่หยุดมือแล้วถาม
“น่าจะพรุ่งนี้ ไปบอกอธิปก่อน” เขารู้สึกใจหายวาบเมื่อลุงดูเร่งรีบ เพียงไม่นานเขาก็เห็นอธิปและลุงเดินสาวเท้าจ้ำอ้าวผ่านสนามหญ้าไปทางที่บ้าน เขารีบวางของที่ถืออยู่และตามไปทันที เผื่อมีอะไรจะให้ช่วย
“ทำไมรอขนาดนี้!!” อธิปหันไปมองลุง หลังจากที่รู้ว่าคุณป้ามีไข้มาสองสามวันทานยาไข้ก็ไม่ลดมีอาการอ่อนเพลียเริ่มทานอาหารไม่ค่อยจะได้
“..ว่ากลัวไม่ว่าง” ลุงพูดเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอก..” คุณป้าเสียงสั่นและแตก
“ไม่เป็นไรได้ไง ไปเดี๋ยวนี้เลย!!..เร็ว เตรียมรถ” อธิปร้องพร้อมกับกวัดมือให้รีบออกไป ลุงจึงรีบวิ่งลงบันใด
“ผมอุ้มเองครับ” เขาอาสา เพราะตัวใหญ่กว่าตี๋ที่ผอม
“งั้นป้าจะเก็บผ้าก่อนเปลี่ยนผ้าแป๊บเดียว” ป้าป้อมพูดขึ้น
อธิปเข้าบ้านไปหยิบของทันที เขาและตี๋นั้นยืนตัวเกร็งทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร อธิปเป็นคนที่จะพาไปด้วยตัวเอง ต่างยืนตกลงว่าใครจะนั่งไหนครู่นึงก็กลับออกมาเห็นอรัญที่สวมชุดนอนและมีเสื้อคลุมทับอยู่วิ่งมาหาอย่างกระหืดกระหอบที่รถ เธอเข้าไปในรถ เพื่อจะนั่งข้างคุณป้าผ่อนภรรยาคุณลุงปราสาท
“อรัญ ไม่ไปครับ” ลุงสาทพูด
“อรัญอยู่บ้านนี่แหละเดี๋ยวคุณป้าก็กลับมา” ป้าป้อมพูดขึ้น
“ลุงขับคันนี้ ผมจะเอารถผมไป อรัญ ลงมา” อธิปแทรกจัดการออกคำสั่งทุกอย่างแล้วหันไปบอกอรัญญาให้ลงจากรถ
“ไปด้วย” เธอยื่นหน้ามาที่หน้าต่าง
“ไม่ได้ เดี๋ยวติดเชื้อ ลงมา!!” อธิปขึ้นเสียง อรัญที่หายใจหอบเงียบ..ที่สุดแล้วก็ลงจากรถอย่างช่วยไม่ได้ ทุกคนเองก็เงียบเพราะอธิปขึ้นเสียงเพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง
“อธิป” ลุงเรียกเบาๆ อธิปจึงรู้ตัว เหลียวมองอรัญญา
“....จะรีบไปรีบมา อยู่กันไปก่อน” อธิปลดเสียงและจูบหน้าผากเธอ เธอพยักหน้า
“ตี๋..ดูแลทุกคนให้ดี” อธิปหันไปพูดกับตี๋ ตี๋รีบพยังหน้าก่อนปั่นจักรยานไป
เป็นคืนที่เขารู้สึกตื่นเต้น เพราะกลัวอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขายืนรอตี๋ที่หน้าตึก อรัญญานั่งที่ขั้นบันใด ไม่รู้จะทำอะไรแล้วในตอนนี้ ดูว่าจะสนความรู้สึกของอรัญญามากกว่า ป้าไหมจึงแตะไหล่อรัญ เพื่อปลอบประโลมเธอ เธอคงไม่นอนจนกว่าอธิปจะมา
“เดี๋ยวก็มา หมอตรวจแป๊บเดียว ทำใจให้สบายเรื่องยังไม่เกิดอย่าคิดไปก่อน”
“ก็กลัว ถ้าเกิดอะไรอีก จะรับไม่ทัน” อรัญพูด
“ตี๋มาแล้ว พวกเราปิดบ้านเก็บของกันพอดีแหละเวลาจะได้ไปเร็ว” ป้าไหมเริ่มปิดล็อคบ้านใหญ่ ตี๋เริ่มตรวจความเรียบร้อย ส่วนเขานั้นเริ่มเก็บข้าวของในครัวทุกอย่างเข้าที่ให้เรียบร้อย ปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาด ตอนนี้เหลือแค่สามคนในบ้าน มันรู้สึกตื่นเต้นพิกลยังไงก็บอกไม่ถูก บ้านออกจะกว้างใหญ่มันจะดูน่ากลัวก็ตอนนี้แหละ อรัญญานั่งรอทุกคนมารวมตัวกันที่แคร่ มันเงียบเขาจึงหาเรื่องคุย
“ได้ข่าวว่าจำอะไรไม่ได้ ตอนนี้จำได้รึยัง?” เขาลงงไปนั่งที่แคร่ เธอใช้นิ้วเกี่ยวผมไปเหน็บที่ใบหูเห็นลำคอยาว รู้สึกว่าเธอดูเก๋กว่าเมื่อตอนผมยาวเฟื้อยมากนัก
“ไม่ได้หรอก แต่ดอกเตอร์คิวเบิร์ดบอกว่า อะไรที่อยู่กับเราไปนานๆมันจะทำให้เรารู้สึกมีความสุข”
“แล้วใครคือด็อกเตอร์คิวเบิร์ท?”
“...ก็ คนที่สนใจเรื่องความสุขของมนุษย์ไง ไม่รู้จักเหรอ?” เขาส่ายหน้า ไม่รู้จริงๆ
“แล้วเคยเป็นแบบนั้นม่ะ!?” เธอถามต่อ
“....” เขาส่ายหน้าอีก ของบางอย่างเขาก็ลืมมันไปแล้ว สำหรับเขาแล้วยิ่งเวลาผ่านไปกลับทำให้ลืมไม่เห็นคุณค่ามากกว่าที่จะจดจำไว้ เพราะมันเป็นแบบนี้ล่ะมั้งเขาถึงหลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่ผ่านมา
“..เคยสิ ก็เรื่องเพื่อนไง อยู่กันนานๆจะผูกพันธ์กันไปเอง พอห่างก็คิดถึง ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ก็ต้องมีสักครั้งที่คิดถึง อรัญก็เหมือนกัน อยู่นี่มานาน อยู่ดีๆก็รักขึ้นมาเลย ไม่เบื่อเลยสักครั้ง” เธอยิ้ม ขนาดไม่ได้ไปไหนเขายังรู้สึกว่าเธอฉลาดและมีความรู้มากกว่าเขาเสียอีก ดูเป็นคนมีความรู้อยู่เยอะ เขาเคยเห็นเธอนั่งอ่านหนังสือนิยายภาษาอังกฤษเมื่อครั้งที่ดูหนังอยู่ห้องนั่งเล่นริมสระกับอธิป เห็นทีที่ทุกคนพูดว่าหัวดีจะเป็นเรื่องจริง
“เข้าไปบ้านเถอะครับ ตรงนี้ยุงจะเยอะ เดี๋ยวผมกับป๊อบจะนั่งรอที่หน้าบ้านให้” ตี๋ที่ปั่นจักรยานมาจอดพูดขึ้น อรัญญาลุกขึ้น
“แต่เขายังไม่มา”
“ไปรอในบ้านเถอะ ดูหนังรอก็ได้ เดี๋ยวจะรอที่หน้าบ้านเองครับ อยู่แบบนี้เดี๋ยวแกจะคิดเป็นอื่น ไม่ดี” เธอเงียบอยู่ครู่ก่อนพยักหน้า พวกเขาพาเธอเดินไปบ้านอรัญญาและส่งเธอเข้าบ้าน และทำตามที่ตี๋ว่า พวกเราปิดครัวและมานั่งรอที่เต๊ะหินอ่อนในสวนหน้าบ้านของอรัญ
มันมีลมพัดยามค่ำคืนอากาศเย็นสบายให้คลายหายเหนื่อย ลมพัดแต่ละทีพาลเห็นใบหูกระจงร่วงเป็นกลุ่มเมื่อสะท้อนแสงไฟสีส้มนวลในสวน เขานั่งเล่นอยู่กับตี๋ที่ขึ้นไปนั่งบนพนักหินอ่อน เขาเหลียวมองดวงดาวบนท้องฟ้ามันยังมีแสงให้เห็นจากมุมนี้ มันมีดาวตกผ่านไปชั่วแว๊บนึง มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน
“เห็นไหมเมื่อกี้?”
“เห็นสิ ว่าจะถามพอดี” ตี๋นังบนพนักโต๊ะหินอ่อน ท้าวคางตอบเรียบๆ เขาดูก็พอรู้ว่าตี๋นั้นมีความคิดอยู่ภายในใจ
“มีอะไรเหรอ?”
“เปล่าหรอก แค่คิดว่า คนเรามันจะมีคนที่เหมือนกันมากๆอยู่บนโลกนี้ได้รึเปล่า” ตี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ
“ขนาดฝาแฝดยังไม่เหมือนกันก็มีนี่นะ ผมเคยมีเพื่อนที่เป็นฝาแฝดกัน ทะเลาะกันออกบ่อย ความเห็นไม่ตรงกัน แต่เคยได้ยินว่าทั้งโลกนี้จะมีคนที่เหมือนๆกันเราอยู่ประมาณสามคน” เขาออกความเห็น ตี๋มองเขาเงียบฟัง เขาเห็นว่าตี๋ไม่ตอบอะไรไม่ออกความเห็นไรจึงถามต่อ
“มีอะไรเหรอ?”
“ถ้าเราอธิษฐานกับดาวตกได้จริง ผมอยากขอให้มีคุณอรัญอีกสักสามคน คุณอธิปจะได้มีความสุขมากๆ” ตี๋หัวเราะ เขาเลยพลอยหัวเราะไปด้วย เสียงมือถือตี๋ดังขึ้น ตี๋รีบลุกไปปั่นจักรยาน
ไม่นานก็เห็นรถกลับเข้ามาสองคัน เขารีบเดินไปที่หน้าตึกใหญ่ ตามมาด้วยป้าไหม
“ไม่เป็นไร นอนโรงบาล ..ให้ป้อมอยู่เฝ้า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปใหม่” ลุงอธิบายเมื่อลงจากรถ
“เอาคันนี้ไปใช้ได้เลยนะ” อธิปพูดทั้งชี้รถที่ลุงสาทขับมา พลางเดินไปบ้านอรัญเห็นอรัญวิ่งออกมากอดอธิป แบบว่ากระโดดกอดให้อธิปอุ้ม และพูดคุยกันเบาๆถามไถ่อาการ
“ช่วงนี้ ดูแลกันไปก่อนนะ ยังอีกหลายวันล่ะดูท่า ใครจะเอาอะไรก็เขียนมาขากลับลุงจะแวะซื้อให้”ลุงสาทบอก
อธิปดูเป็นคนมีความรับผิดชอบและมีน้ำใจแม้สีหน้าสายตาดูออกจะหยิ่ง เขานับถือน้ำใจที่ลุงสั่ง ต่อไปไม่ว่าใครเป็นอะไรก็ให้รีบแจ้งในทันที อย่าปล่อยผ่าน ส่วนค่าใช้จ่ายนั้นไม่ต้องห่วงเพราะทางบ้านวรานั้นออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ช่วงนี้อธิปจะอยู่บ้านเพราะคุณลุงต้องไปโรงพยาบาล อธิปนั้นบอกว่าเรื่องความสะอาดบริเวณรอบบ้านพักไว้ก่อน อยากให้มีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายบ้าง
อรัญนั้นจะเปิดหนังที่ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้เครื่องเล่นซีดีแทน เธอจะเปิดวนไปใครว่างจากหน้าที่ก็มานั่งดูในห้องนั่งเล่นริมสระ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนเธอ เธอมีหนังมากมายที่โหลดมาเก็บไว้ ไม่ว่าจะเก่าใหม่และมีทุกภาค วันนี้พวกเขาว่างจากหน้าที่แล้วก็มานั่งแวะดูหนังกันที่ตึกใหญ่
“มีบ้านผีปอบไหม อรัญ” ป้าไหมถามเธอ
“หนังอะไร อยู่แบบนี้ยังจะดูหนังผีอีกเหรอ?” เธอถามขึ้นขณะเลือกแผ่นในสมุดเก็บซีดีสีดำเล่มยาว
“ไม่รู้ ป้าก็ถามดู” มีเพียงเขาและป้าไหมที่หัวเราะเพราะรู้ว่ามันคือหนังอะไร
“ผีกัดอย่ากัดตอบ มีไหม?” เขาถามบ้าง
“มีนะ เคยเห็น ..แต่ไม่ได้โหลดมา หนังจีนใช่ไหม?”
“ใช่ เขาตอบ” ดูอรัญนั้นมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อยู่มากโข เธออธิบายว่ามีซีดีบางแผ่นสามารถลบและโหลดหนังเรื่องใหม่ออกได้ ไม่มีปัญหาถ้าไม่มีแผ่นซีดีเหลืออยู่ อธิปที่นั่งมองอยู่จึงพูดขึ้น
“งั้นดู...ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะสิ”
“ดีครับ ตี๋อยากดู” มันเป็นหนังเก่าตั้งแต่สมัยเขายังเด็กและไม่มีปัญญาไปดู แต่เหมือนเขาเคยดูในทีวีหลังจากที่ออกจากโรงหนังแล้ว มันเป็นหนังรอบดึก เขาชักจะจำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้วว่าเนื้อเรื่องมันเป็นอย่างไร เพราะยังเด็กและไม่มีเงินเลยอดที่จะไปดู อรัญนั้นเหลียวมองอธิปที่ลงไปนั่งเงียบๆ
“moment of romance” อธิปพูดภาษาอังกฤษกับหล่อน อรัญจึงพยักหน้า ตี๋ดีใจที่มันมีอยู่ จึงพยักหน้าหงึกๆ
“อายุเท่าไหร่แล้วตี๋?”
“ยี่สิบเก้าครับ” ตี๋ที่นั่งขัดสมาธิที่พื้น พูดขึ้น
“มาอยู่อะไรที่นี่ ไม่อยากมีเมียเหรอ?” อธิปกดคิ้วลง ป้าไหมหัวเราะเบาๆ
“ไม่ครับ อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ ..” ดูเหมือนนัยตาตี๋จะมีน้ำตาเพราะมันใส อรัญรีบเปิดหาแผ่นซีดีอย่างไว ทำทีเป็นไม่เห็นที่ตี๋เป็น
“ไม่ได้ว่า ไม่ได้ไล่ แต่ต่อไปจะอยู่ยังไง เข้าสังคมยังไง ตี๋” อธิปถามต่อ
“ไม่ไปไหนครับ อยู่นี่แหละ ตายมันที่นี่แหละ” ตี๋บอก ป้าไหมเริ่มเงียบทำมองอรัญที่หาแผ่นหนังอยู่ อรัญญาทำหน้าลิงใส่ป้าไหม จะเลียนแบบที่อธิปบ่น เมื่ออธิปมองจึงหยุดทำและหาแผ่นต่อ
“อรัญก็จะอยู่นี่ ตายที่นี่กับอธิปเหมือนกัน...ป้าไหมล่ะ?” อรัญบอกเธอส่ายหัวเบ้ปาก มันเป็นการสร้างบรรยากาศขึ้นเพราะตี๋เริ่มจะกลั้นน้ำตาและซบลงที่เข่าหันหน้าออกไปที่บาร์น้ำ
“ป้าก็จะอยู่เหมือนกันจ้า ไม่รู้จะไปไหนแล้ว” ป้าไหมพูดด้วยเสียงหัวเราะ หันไปตีขาตี๋ให้หยุดทำแบบนั้น
“ถ้าได้ออกไปแล้ว ใช้ชีวิตกันไม่เป็นอย่าหาว่าไม่เตือน” อธิปบอก
“จ้า...” ป้าไหมลากเสียง
“ตี๋ ร้องไห้แล้ว รับผิดชอบเลย” อรัญญญาพูดกับอธิป
“แล้วดู ไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง มีแต่เด็กๆ ไม่ยอมโตกันสักที!” อธิปหันไปพูดกับป้าไหม ป้าไหมหัวเราะ มันช่วยให้ตี๋รู้สึกดีขึ้นรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ตี๋น่าจะเช็ดน้ำตา และพยายามปรับอารมณ์อยู่ อรัญเริ่มเปิดแผ่น และทุกคนก็เริ่มนั่งดู มันจะสนุกก็ตรงที่อรัญชอบออกความเห็นตอนที่หนังฉายนี่แหละ
“ไม่รักดี..ไปหามันทำไม มีแต่เรื่อง” อรัญญาหันมองป้าไหมที่นั่งจัดสมาธิท้าวคางนั่งดูไปยิ้มไป ท่าทีของป้าไหมนั้นคงทำให้เธอหมั่นไส้ และคอยกวนทุกคน
“เอาก็คนมีความรักเนาะ” ป้าไหมบอก เมื่อถึงฉากจูบกันอรัญเบ้ปากเหล่ตามองทุกคนพร้อมกระพริบตาถี่ๆ ป้าไหมใช้หมอนอิงปิดหน้าพร้อมกับร้องเบาๆ แปลกที่ป้าไหมเพิ่งจะสี่สิบกว่าไม่ถึงห้าสิบเป็นรุ่นพี่อธิปไม่เท่าไหร่เองแต่เรียกป้า แต่อธิปมีใครไหมเรียกลุง แต่คงจะไม่ เพราะยังไงก็ดูเหมือนวัยรุ่นอยู่ เขาพลางนึก
“หือ...” อรัญกระแนะกระแหน่
“...มานี่” อธิปยิ้มตบลงเบาะข้างตัวอรัญ หัวเราะลงไปนอนหนุนตักอธิป
“ก็มันน้ำเน่า” อรัญญาบอก
“ถ้ามันไม่ไปหากัน มันจะมีเรื่องมาเล่าให้ฟังเหรอ หึ?” อธิปชายตามองอรัญที่นอนตักทั้งถาม
“มันจะเป็นไปได้ยังไงเจอกันครั้งเดียวรักกันเลย!!” อรัญถามแหงนหน้ามองอธิป อธิปขมวดคิ้มมองอรัญ
“จะดูแบบนางเอกนอนอยู่บ้านเฉยๆ แล้วพระเอกไปแข่งรถเหรอ แล้วจะตั้งชื่อหนังแบบนี้ทำไม ไม่ไปหากันมันก็เบื่อ หนังก็ไม่จบ” ป้าไหมแทรกคุย
“เขาดูเพราะพระเอกหล่อหรอก หนังดังนะนี่” ตี๋ออกความเห็นบ้าง บรรยากาศเริ่มจะดีขึ้นมากแล้ว คงคุยกันแก้เขินกันนั่นแหละ
“...สงสัยป้าป้อมได้ผมทรงนี้มาจากหนังเรื่องนี้แหละ” อรัญพูดจบป้าไหมก็หัวเราะทั้งกับตบพื้น ทุกคนรวมทั้งเขาและอธิป นึกสภาพไม่ออกว่าป้าป้อมคิดบ้างรึเปล่าว่ามีคนกำลังวิจารย์ทรงผม มันน่าจะเป็นทรงผมจริงป้าป้อมโดยแท้ ไม่น่าจะดัดตามความคิดของเขา
“ผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าป้าป้อมเป็นนางเอกหนังเรื่องนี้...” ตี๋พูดพลางมองทีวี คราวนี้ป้าไหมถึงกับเช็ดน้ำตาเพราะหัวเราะหนัก สรุปหนังเรื่องนี้มันก็ไม่ได้โรแมนติกสมชื่อ เพราะเขาดันคิดไปว่าป้าป้อมเป็นนางเอกหนังไปเสียแล้ว
มันเป็นบ่ายที่มีลมหนาวพัดมา ลุงสาทกลับมาพร้อมช่างตัดผมที่เป็นชายแก่ ทุกคนจะได้ตัดผมกันในวันนี้ ทุกสามเดือนช่างจะมา เขานั้นไม่มีปัญหา ต่อให้ทรงไหนก็ตัดๆไปเพราะเดี๋ยวมันก็จะยาวอีกอยู่ดี แต่ที่คาใจคือ ทำไมไม่เอาช่างกะเทยคนนั้นมา มีแค่อรัญได้ตัดกับกะเทยคนนั้น เขาคิดว่าช่างกะเทยนั้นสร้างเสียงหัวเราะและน่าขำในมารยาจริตดี แต่กับลุงนี่นั่งตัดเงียบๆที่หน้าตึก พูดคุยเรื่องทั่วไปกับลุงสาท จนเขารู้ว่าเป็นช่างกะเทยคนนั้นกับลุงที่ตัดผมอยู่นี้เป็นพ่อลูกกัน น่าเบื่อจนอยากให้ตัดเสร็จไวๆ
เขาได้รับของบางอย่างลุงปราสาท มันเป็นถุงกระดาษกับจดหมายที่ไม่ได้จ่าหน้า เมื่อเปิดออกอ่านจึงรู้ว่าลุงนั้นไปเยี่ยมครอบครัวเขามา มันเป็นจดหมายลายมือพ่อของเขาเอง ข้อความมีไม่มากแต่เป็นจดหมายจากพ่อของเขาที่ฝากเสื้อแขนยาวมาให้ และลุงยังมีถ่านก้อนที่เขาวานให้ลุงซื้อเข้ามา มันเป็นแบบยกกล่องเลยทีเดียว เขาจะเอามาใช้ใส่เครื่องเล่นเผ่นแบบพกพาที่อรัญนั้นให้เขายืมใช้ พร้อมทั้งโหลดเพลงที่เขาชอบมาให้ด้วย
“ขอบคุณครับ” เขาบอกลุง มานั่งนับๆดูแล้ว จะครบปีแล้วที่เขาอยู่ที่นี่
คืนนั้นเขาเดินเข้าไปในตึกใหญ่ ได้เห็นอรัญญาเล่นเปียโนอยู่ เสียงดังฟังชัดก้องกังวานไปรอบบ้าน อรัญญานั้นยังสวมซิ่นไหมเหมือนเดิม เธอส่งยิ้มให้ทั้งบรรเลงเพลงให้เขาฟัง มันทำให้เขายิ้มและรับรู้ได้ว่าเมื่ออธิปมาได้ยินแล้วคงรู้สึกแบบนี้ อรัญญานั้นดูสดใสมากกว่าเดิมมาก ที่สุดแล้วอรัญญาก็เอนตัวล้มลง เขารีบเดินเข้าไปหาเธอและช้อนร่างเธอขึ้นเพราะตกใจ พลันร่างของอรัญญานั้นผอมซูบลงอย่างไม่น่าเชื่อ คอพับคออ่อน เขาจึงโน้มตัวไปมองสีหน้าเธอ เธอตาเบิกกว้างอย่างคนตกใจ แต่ปากเธอนั้นแสดงถึงรอยยิ้ม เมื่อขอบตาดำคล้ำลงผิวก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนร่างเธอแข็งเหมือนศพ
“....!!” เขาสะดุ้งตื่น ตัวโชกไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศก็ไม่ได้ร้อน ช่างเป็นฝันที่เหมือนจริงเอามาก
ความคิดเห็น