คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ความสัมพันธ์
อธิปนั้นถูกหมั้นหมายกับลูกสาวของเพื่อนคุณวราอีกคนมาตั้งแต่เด็ก ยังไงอธิปก็ไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้เสียที กระทั่งคุณวราสั่งให้แต่งงานเสีย อธิปจึงแต่งงานช้ากว่าใคร กระนั้นก็ยังเทียวไปมาเพราะคุณนายเองก็เป็นคนขยันขออยู่เฝ้าบริษัทช่วยอธิปดูแลกิจการ แรกๆอธิปจะไปมาทุกวัน ขนาดวันแต่งงานยังกลับมาบ้านก่อนที่จะกลับไปเข้าเรือนหอ ไปมาแบบนี้ทุกวันไม่เคยขาด อธิปไม่ให้อรัญไปไหน ทางนั้นจะชวนให้ไปอยู่ร่วมกันเพราะอธิปจะได้ไม่ต้องเหนื่อย ด้วยอธิปเองก็ไม่ยอมให้ใครได้เห็นอรัญจึงปล่อยให้เป็นแบบนี้เรื่อยมา
ต่อมาก็เริ่มมีการเดินทางเพื่อไปทำธุรกิจ อธิปก็มาอาทิตย์ละครั้ง และต่อมา เดือนละครั้ง แต่ละครั้งจะไม่เกินหนึ่งเดือน และมันก็เริ่มมาเป็นสองเดือนหรือสามเดือนครั้ง มีครั้งนี้แหละที่อธิปไม่มาถึงหกเดือน แต่อธิปก็บอกว่าจะอยู่ที่นี่นานหน่อยแม้ว่าจะต้องไปทำงานก็ตาม
“ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีใครห้ามอธิปได้ ..ที่จริงอธิปจะไม่แต่งเลยก็ได้แต่เขาเห็นใจพ่อเขา เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน” ลุงปราสาทอธิบายความเป็นมาโดยย่อ เขานั้นก็เข้าใจดี มีน้องสาวสวยใครก็หวงได้ แต่ขนาดแบบนี้ยังไม่เคยเห็นที่ไหน สำหรับเขาแล้วในตอนนี้ ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ
เขาคนโจ๊กในหม้อก่อนที่จะตักแบ่งไว้สำหรับทุกคน ทั้งตั้งเรียงไข่ที่ลวกไว้ลงถาด เขายังต้องยกไปไว้ที่ห้องอาหารตึกใหญ่ที่ตี๋ตอนนี้คงเสียบน้ำร้อนไว้แล้ว ตี๋วางถุงปลาท่องโก๋ลง พร้อมทั้งถุงขนมปังที่น่าจะมีคนเอามาส่ง แล้วช่วยเขายกของไปตั้งไว้ที่ครัวบ้านอธิป อรัญนั้นเดินผ่านห้องอาหารออกไป ตี๋สะดุ้งใช้มือแตะหน้าอก
“ตกใจหมด” ตี๋พูดกับเขาเบาๆ คงเพราะอรัญไม่ได้รวบผม เขาหัวเราะก่อนที่จะกลับไปที่ครัวเห็นอรัญยืนรวบผมอยู่
“มาที่นี่ทำไม?”
“ตักมา หิวแล้ว!!” เธอถลกซิ่นนั่งลงแคร่ในท่าเดิม เขามองเธออยู่ครู่เดินเข้าไปในครัวตักโจ๊กและตอกไข่ให้เธอ
“ไม่เอาหมู” เธอเงยหน้ามองเขา เขาถอนหายใจเพราะไม่ถามเธอเอง มันช่วยไม่ได้ เขาไปเอาจานเล็กและช้อนมาช้อนหมูออกจากถ้วยให้เธอ อันที่จริงเปลี่ยนถ้วยใหม่อาจจะง่ายกว่าแต่เขาไม่อยากทานตอนนี้ เลยต้องทำแบบนี้
“ขอบใจ” เธอแตะที่แขนของเขา เขาคิดว่าไม่เป็นไรหรอก หากจะตายตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรจะเสีย เขายื่นผ้าเช็ดปากให้เธอกางรองที่ตักกันซิ่นเปื้อน เขามองขาข้างที่หย่อนลงแคร่เล็บเท้าของเธอไม่มีสีอีกแล้ว ทั้งเล็บมือนั้นก็ไม่ยาว ถูกตัดจนสั้น เธอไม่ได้ทาเล็บเท้าอย่างเคย เธอเหยาะซอสและพริกไทยลงถ้วย
“จะกินอะไร นมรึโอวัลติน?” เขารู้สึกว่าไม่ได้คุยกับเธอมานานเลยรู้สึกว่าอยากจะคุย
“อะไรก็ได้” เธอตอบ เขาเลยเทชาจีนให้เธอแทนและเดินกลับมาที่แคร่นั่งลงต่อหน้าเธอ เธอก็นั่งทาน
“สรุปกางเกงในใส่ได้พอดีรึเปล่า?” เธอถามขึ้น เล่นเอาเขารู้สึกอาย ไม่คิดว่าเธอจะถามเขาแบบนี้
“ได้” เขาตอบเธอ
“แน่ะ บอกแล้ว!!” เธอตีมือลงขา เขาหัวเราะที่เธอเป็นแบบนั้น นั่งพลางมองเธอทาน เรื่องที่เขาฟังเมื่อคืนนี้รู้สึกสงสารและเห็นใจเธอที่ต้องอยู่แบบไม่มีใครกล้าคบเพราะคนๆเดียวแท้ แล้วหากเธอได้ออกไปป่านนี้จะเป็นคนแบบไหน มีนิสัยอย่างไร คงจะมีคนรักคนชอบแยะแยะ อรัญญาปัดผมออกจากใบหน้าและยังจับผมที่รวบมาด้านหน้าไว้
“มัดผมให้ไหม?” เขาคิดว่าตอนนี้อธิปคงยังไม่ตื่น หากทำแบบไม่เห็นคงไม่เป็นไร
“เอาสิ” หากเปียผมแบบธรรมดาก็อาจจะพอได้ เขาทำแบบที่ป้าป้อมทำให้เธอ แบบลวกๆและไม่ใช้หวี
“น่าจะตัดได้แล้ว” เธอพูด
“ตัดให้ไหม?”
“ไม่..เดี๋ยวช่างก็มา” เขาสงสัยขึ้นมาทันที หากมีช่างแล้วทำไมไม่ตัดแต่แรก มารอลุงสาทที่ลืมแล้วลืมอีกทำไม? หลายคำถามยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ทั้งลุงเองก็ไม่ตัดให้เธอเสียที ทำเมินเฉยอยู่ได้ เขายกผมเธอขึ้นเห็นลำคอยาวช่างดูสะอาสะอาดไม่มีร่องรอยพับใดทำให้ผิวหมองลงได้เลย ทั้งเห็นผิวช่วงต้นคอ มันดูอิ่มน้ำจนเขานึกอยากจะลองแตะดูสักครั้ง แต่อย่าดีกว่า
“ก็ทำไมไม่ตัดทุกปี ยาวก็ตัดเลย”
“ต้องเอาผมให้อธิป”
“....!”
“เอาไปทำวิกผม..ให้ภาสิรี”
“ภาสิรีเป็นอะไร?” เขาหยุดมือถามเธอ แต่แต่มาอยู่นี่เขาไม่รู้เลยว่าภาสิรีเป็นใคร เพราะไม่อยากถามมาก กลัวจะหาว่าเขานั้นเป็นคนสอดรู้สอดเห็นอีกตามเคย
“เป็นลูคีเมีย ..มะเร็ง พี่สาวอรัญเอง” เธอพูดและหยุดทาน เขาถักเปียต่ออยู่ครู่ก่อนวางเมือบนไหล่เธอ
“สวยแล้ว” เขาตบไหล่ รีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวเธอเศร้าเมื่อเขากลับมานั่งที่เดิมก็เหลียวเห็นอธิป ที่ยืนมองเขาอยู่ ใจเขาหายวาบ เพราะไม่รู้ว่ามองเขานานหรือยัง มองเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ นานหรือยัง เห็นอะไรบ้างไหม เขารีบลุกยืน แต่อธิปยืนนิ่ง ก่อนหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน
“เป็นอะไร เห็นผีเหรอ?” เธอถามก่อนตักโจ๊กเข้าปาก ก็เห็นอยู่ว่าอธิปมายืนมองตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาหยิกแขนว่ามีความรู้สึกไหมหรือเขาตายไปแล้วแต่ไม่ทันได้รู้ตัว มันมีความรู้สึกว่าเจ็บ อรัญหัวเราะ
“เป็นอะไร?”
“เปล่า...ไม่อยากเป็นเหมือนพี่อ้อดน่ะ” เธอขมวดคิ้วแต่ก็ทำหน้าเฉยๆทานต่อ อย่างน้อยก็โล่งอกที่ตอนนี้เขาไม่โดนซ้อม เขาเริ่มสับสน หรือที่อธิปไม่ทำเขาคงเพราะรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไร หรือมองว่าเขาอาจจะเป็นพวกชายรักชายเลยไม่หวง เป็นแบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าหลัง
“เมื่อกี้ได้ทำอะไรรึเปล่า ว่าเห็นแกยืนอยู่นานแล้ว?” ลุงจ้ำอ้าวเดินมาหาเขาพร้อมกับถาม คงเพราะเห็นอธิปยืนมองอยู่นานแล้วเช่นกัน
“ก็ไม่นะครับ แค่เปียผมให้เฉยๆ” เขาตอบ ลุงยืดตัวตรงและลูบท้อง
“เขาเป็นอะไร?” ลุงหันไปมองอรัญญาทั้งถาม
“เรื่องมันก็นานแล้ว ตอนนั้นกับตอนนี้มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ” เธอยิ้ม และทานต่อยกถ้วยเรียงคำสุดท้าย ก่อนที่จะลุกไปล้างมือและกลับเข้าบ้านเพราะฟ้าเริ่มสางแล้ว
“...จริงของอรัญ” ลุงเงียบก้มมองดินก่อนเงยหน้ามาพูด เขาหัวเราะ
“เวลามันผ่านมานานแล้ว คนเราก็เปลี่ยนกันได้” ลุงพูดย้ำทั้งพยักหน้าว่าเป็นอันรับรู้
คุณอธิปนั่งทานอาหารเช้าคนเดียว กระทั่งเขาเก็บถ้วยชามทำความสะอาดก็ไม่มีวี่แววว่าจะโกรธ ไม่พูดไม่คุยไม่ถาม แค่นั่งเหม่อมองสระว่ายน้ำใช้แขนที่พาดบนโต๊ะใช้หลังมือดันหมับ นั่งเหยียดขาออก เขาไม่สนใจเพียงแต่ทำหน้าที่ให้เสร็จ สายๆ ประตูบ้านเปิดมีช่างทำผมเดินลงจากรถที่จอดหน้าตึกใหญ่ เป็นผู้ชายร่างผอมกางเกงขาเดพ เสื้อเชิ้ตสีขาว ย้อมผมทองเดินเข้ามาในบ้าน ลุงจึงบอกให้ตามไปที่บ้านอรัญญา
ช่างใช้มือกุมหน้าอกเมื่อเห็นอรัญญาเดินออกมานั่งเก้าอี้ที่หน้าบ้าน เขา ตี๋และป้าป้อมจึงออกห่างให้ช่างได้ใช้เวลา จัดเก้าอี้และมีกระจกบานใหญ่ออกมาตั้งตรงหน้าเก้าอี้ ก่อนที่จะใช้ผ้าคลุม ช่างรวบผมของอรัญญาพร้อมกับใช้หนังยางธรรมาดารัดผมระดับอก จำนวนสองข้อ ช่างเล็งกรรไกรที่ต้นแขนเธอ
“จำได้ไหมคะ ไม่เจอกันนานเลย” ช่างชวนเธอคุย
“ไม่” เธอตอบชัดเจน ช่างหยุดมือและมองเธอผ่านกระจก ก่อนวางสองมือบนไหล่อรัญ อรัญปรายตาเหลียวมองมือนั้น
“ไม่เจอกันแค่นี้ทำเป็นไม่ทัก ก็ใครล่ะที่ตัดให้มาตลอด” ช่างทำท่าทีงอนอรัญญา ตี๋ยิ้มเพราะช่างสะบัดมากเกินไป อรัญญาเอียงหน้ามองช่างผ่านกระจก
“เอาล่ะนะ” ช่างบอกอรัญญาที่ตีคิ้วให้ จึงลงมือตัดที่เหนือข้อยางรัด ตัดเสร็จก็ส่งผมให้ลุงสาททันที ลุงสาทรับและเอาใส่ถุงซิบล็อคขนาดใหญ่
“เลาล่ะ มา!! จัดการทำผมสวยกันเถอะ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอเพิ่งสระผมมา” พูดทั้งเชิดชูคอสะบัดไหล่จัดการเอากิ้บที่ผ้ากันเปื้อนขึ้นหนีบ ทำอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ จนไม่อยากเชื่อว่ามันเสร็จในเวลาไม่ถึงสิบนาที ตัดซอยกรรไกรเสร็จก็จัดการเป่าเอาเศษผมออก เป่าผมสั้นๆแป๊บเดี๋ยว ผมแห้งก็พลิ้วไสว
“ผมงามมาก ไม่ต้องไดร์ให้ผมเสีย...เสร็จแระ” ช่างใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ดึงกิ้บออกจากผ้าคลุมมาสะบัดและพับเก็บ
“สวยใช่ไหมล่ะ หน้าไม่เปลี่ยนจากเมื่อก่อนเลย” ช่างทำผมเบ้ปากอย่างอมยิ้มๆ ขณะที่อรัญญาจ้องมองกระจกตรงหน้า อรัญญาใช้มือจับที่แก้มทั้งสองข้างและหันไปมา อรัญญาได้ผมประบ่าความยาวที่เนินหน้าอกช่วงบนมาอย่างสวยงาม เขาเองยังคิดว่าหน้าเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดูกลายเป็นสาวหน้าเก๋ขึ้นมาเลย ช่างมีฝีมือจริงๆ
ทุกคนก็ต่างจ้องมองแล้วเหลียวสบตาลุงสาท
“งามที่สุด” ลุงสาทหันไปบอกช่าง
“ว๊าย!! บอกแล้ว ตั้มซะอย่าง” สรุปช่างผมชื่อตั้ม เขาอมยิ้ม ไหนๆเปลี่ยนเพศแล้วไม่เปลี่ยนชื่อไปเสียเลยล่ะ
“นี่งอนกับพี่เขาอีกแล้วใช่ป่ะนี่!!?” ช่างหันไปทางลุงพลางแบมือ เขาเห็นลุงสาทชำระเงินด้วยแบงก์พันสองใบ ช่างยิ้มหวานค่อยๆดึงเงินออกจากมือลุงและไหว้อย่างมีจริตจะก้าน อรัญญาลุกเข้าบ้านและปิดประตูอย่างไม่ได้สนใจใครทุกคน แต่ช่างปรายตามองอย่างสงสัย คงสงสัยว่าอรัญนั้นพอใจทรงผมหรือเปล่า?
“สงสัยจะอาย ไม่ได้เจอคนมานาน อย่าถือสา” ลุงบอกช่าง
“แต่สวยเหมือนเดิมเลยนะ ยิ่งโตยิ่งสวย คนบ้าอะไรเนี่ย” ช่างผมดูไม่ซีเรียสอะไรเลยสักนิดที่อรัญญาทำแบบนั้น ป้อมที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นดินหัวเราะในท่าที่ของช่างทำผม เขากอดอกยิ้มมอง ยามสายๆแดดอ่อนๆ ในสวนที่มีละอองน้ำจากสปริง ที่นี่ยังมีความสุขเล็กของคนในบ้าน เพราะการมาของช่างผมคนเดียว
“เธอก็แรดได้ใจป้า” ป้าป้อมที่นั่งกอดเข่าบนพื้นริมพุ่มไม้พูดขึ้น
“ช่วยไม่ได้นี่ ..นี่ งอนพี่ชายอย่ามาลงตั้มสิ!!” ช่างท้าวเอวเหลียวมองไปในบ้านทางที่อรัญนั้นเข้าไปขณะที่เก็บของ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับออกมาแต่อย่างใด
“เหมือนเดิมนั่นแหละ” ลุงบอกช่าง ทุกคนอยู่คุยเป็นเพื่อนช่างจนกระทั่งเก็บของเสร็จ เมื่อช่างขึ้นรถตี๋ก็ปั่นจักรยานรีบไปเปิดประตูรั้ว
วันนั้นเขาสังเกตว่าลุงปราสาทนั้นยุยงให้อธิปเข้าไปหาอรัญญาเพื่อดูทรงผมใหม่อยู่นานเพราะอรัญญาไม่ยอมออกมาให้ใครเห็นอีกเลย ไม่ออกจากบ้านเลยสักนิด อธิปนั้นจำใจต้องยกอาหารไปเสริฟให้น้องด้วยตนเองและอยู่ปลอบใจอรัญญาตลอดเวลา และอยู่ที่บ้านอรัญญาจนกระทั่งรุ่งเช้า
วันนี้ท้องฟ้ามีเมฆมากและมีลมโชย เขาพยายามกวาดใบไม้หน้าตึกใหญ่ลงกระบุงให้ไวเพราะมีลมพัดปลิว เห็นอรัญญาออกมายืนมองเขาอยู่ เธอใช้มือไพร่หลังและมีรอยยิ้มเล็กๆ มันทำให้เขาตกใจสองต่อ ต่อแรกนี่มันเพิ่งจะบ่ายสามโมง ต่อที่สอง นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเธอผมสั้นและไม่สวมซิ่น เธอสวมกางเกงวอร์มขาจั้มสี่ส่วนสีเทา รองเท้าหนังสีขาวแบบใส่เล่น เสื้อยืดสีขาวมีลายการ์ตูน ผมที่สั้นลงมันดูหนาและฟูขึ้น ดูสบายตา เขารู้สึกสบายตัวแทนเธอเสียจริงๆ ทั้งการแต่งกายมันดูโล่งโปร่งสบาย มันทำเขาอดยิ้มไม่ได้ อรัญญานั้นดูเด็กลงมาก
“ปั่นยังไง?” เธอจูงจักรยานไฟฟ้าออกมา เขาเหลียวมองรอบๆก่อนวางไม้กวาดลง ตอนนี้อธิปไม่อยู่ไม่น่าจะมีปัญหา เขาบอกเธอให้ขึ้นนั่ง แล้วปั่นเหมือนที่ตี๋ปั่น แต่ต้องปั่นไวๆไม่อย่างนั้นจะล้ม และถ้าอย่างนั้นก็ให้เอาขาลง เขาจับท้ายจักรยานพยายามพยุงให้ทรงตัว รอเธอพร้อมค่อยผลักปล่อยมือ
“เดี๋ยวจะจับท้ายให้ ลองดู”
“อื้อ..ไป!!” เธอตั้งท่าเขาจึงดันรถและบอกให้เธอปั่น
“ได้แล้ว ไปแล้วนะ!!” เป็นครั้งแรกที่เห็นอรัญญาหัวเราะร่า เธอปั่นไปจนสุดทางไกลๆ เขาลืมสอนให้เธอเบรกแต่อรัญนั้นรู้จักใช้เท้าลากชะลอ เมื่อจอดได้เธอชูสองมือโบกมาทางเขาอยู่ไกลๆ เขาอดยิ้มไม่ได้ เธอดูเหมือนคนปกติขึ้นทุกวันๆ ไม่เหมือนวันแรกที่เจอ เธอพยายามจะปั่นกลับมาอีกเขาได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดพอดี
“....!!!” เขาเห็นอรัญญาปั่นจักรยานมาด้วยความเร็วและรถที่กำลังจะเข้ามานั้นเป็นรถของอธิป เธออาจจะเบรกไม่ทันก็ได้ เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หากอธิปเห็นเขาแตะเนื้อต้องตัวอรัญเขาอาจจะไม่มีชีวิตรอด แต่หากปล่อยไว้แล้วเกิดอุบัติเหตุจะทำเช่นไร แค่ในเสี้ยววินาทีนั้น อรัญญากำลังจะใกล้เข้ามาจะบอกตอนนี้คงไม่ทัน เขาทิ้งไม่กวาดพยายามวิ่งไปที่ถนน
“เบรก!!!” เขาตะโกน เมื่อรถยนต์นั้นเบรกและที่ลงมาเป็นอธิปที่รีบลงรถและวิ่งไปที่จักรยานที่เธอปั่นมาด้วยความเร็ว สีหน้าอรัญญานั้นดูตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกเธอมองที่เท้าของเธอทั้งที่ยังปั่น อรัญญากำลังเอาขาลงและอริบรีบใช้สองแขนสอดเข้าที่ลำตัวเธอช้อนเธอขึ้นจนลอยตัวและปล่อยให้รถจักรยานไหลและล้มในที่สุดก่อนที่จะถึงตัวรถยนต์ได้พอดี
“....!!” เขาหายใจหอบอย่างโล่ง อรัญญาที่ถูกอุ้มอยู่ตาเบิกโพรงมองอธิป เธอหายใจหนัก เขาไม่รู้จะโดนต่อว่าหรือไม่ได้แต่ยืนจังงัง รู้สึกโกรธตัวเองที่ช้า ตัดสินใจช้า แค่แตะตัวเธอเพื่อช่วยมันจะยากอะไร ตายเพราะช่วยคนก็ช่างมัน ตอนนี้เขาจะโดนว่าหรือเปล่าที่ไม่ช่วย
“อยากตายหรือยังไง?” อธิปพูดเบาๆกับอรัญญาอย่างอ่อนโยน เขานึกว่าอธิปจะดุ
“ก็ปั่นไม่เป็น ขอโทษ” เธอขมวดคิ้วเหลียวมองอธิป อธิปจึงปล่อยเธอลง กลับไปดับเครื่องรถยนต์และเก็บจักรยานที่ล้มลงขึ้น ก่อนจะโยนกุญแจรถให้เขา และจูงจักรยานไปให้อรัญญา
“นั่ง” อธิปสั่ง อรัญญาจึงลงไปนั่ง
“อันนี้พอปั่นมากๆมันจะมีพลังงานไฟฟ้า ใช้นั่งเหมือนรถมอเตอร์ไซค์ได้ ถ้ากดปุ่มนี้...มือต้องกำเบรกเมื่อจะหยุด มือวางแบบนี้ อ้าวแล้วลองกำ มันไปไม่ได้แล้วเห็นไหม... ข้างขวาบิดค่อยๆมันก็ไปเองแล้ว ลองดูนะ” อธิปก้มตัวลงพูดกับเธอ เธอพยักหน้าตาม และเมื่อจบเธอก็ลองบิด
“ได้แล้ว!!” ดูอรัญญายิ้มกว้าง ไม่ตื่นเต้นแล้ว
“อย่าหันมา!!” อธิปบอกเธอ มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงยืนมองเงียบๆ และมีรอยยิ้ม รออรัญญาไปจนสุดทาง เขาส่งต่อกุญแจให้ลุงสาทที่เดินมามองอธิปสอนจักรยานอรัญเช่นกัน จึงเดินไปหยิบกระบุงใบไม้ ไปเทที่หนองน้ำเพราะมันเต็มแล้ว เมื่อเดินกลับมาที่โรงจอดรถยังเห็นอธิปใช้จักรยานอีกคันปั่นข้างๆอรัญ เพิ่งจะเคยเห็นอธิปยิ้มก็วันนี้แหละ
พลันเขารู้สึกว่ามีคนมองเขาอยู่จึงเหลียวมองที่ชั้นบนของตึก เห็นม่านมันขยับราวกับมีคนแอบดู เขาแหงนหน้ามองอย่างไม่ละสายตา แน่ใจว่าไม่น่าจะใช่คนในบ้านอย่างแน่นอน
“อะไร?” เสียงลุงสาทถามเขา
“มีคนอยู่ข้างบนลุง” เขาเลี่ยงจากและจะเดินขึ้นตึกในทันที
“ไม่มี ลุงเพิ่งลงมา” ลุงดึงเขาไว้
“เกิดว่าจะเป็นขโมย” เขาบอก ทั้งยืนยันว่าตาไม่ได้ฝาดอย่างแน่นอน ลุงปราสาทอาจจะว่าเขาคิดไปเองแต่เขาแน่ใจ ห้องฝั่งซ้ายชั้นสองนี่เลย มันน่าจะห้องตรงกันข้ามกับห้องของอธิป
“เอางี้ ลุงจะขึ้นไปเอง รอดูอยู่นี่ ถ้ามีคนวิ่งลงมาก็จัดมันเลย” ลุงห้าม เขาก็ลืมไปว่าห้ามขึ้นชั้นบน ทั้งตอนนี้อธิปก็อยู่ เลยพยักหน้า เขากวักมือเรียกตี๋ที่ผ่านมาพอดี
“ ไปดักหลังบ้าน มีคนอยู่ข้างบน ลุงกำลังขึ้นไปดู” ตี๋รีบพยักหน้า และปั่นไปจอดท้ายตึกใหญ่ ที่ตรงสระว่ายน้ำ ตี๋พยักหน้าให้เขาว่าพร้อมแล้ว เขายืนมองชั้นบนเห็นลุงเดินมาเปิดม่านทึบออกและมองมาทางเขา ลุงเก็บม่านทึบและเอาม่านโปร่งลงแทน ทั้งยังเปิดหน้าต่างบานสั้น ราวกับไม่มีอะไร เขาเหลียวมองข้างล่างว่ามีใครไหมก็ไม่มี จึงเหลียวมองตี๋ที่ส่ายหน้ามองมาเขา
ที่ชั้นสามลุงเองก็เปิดหน้าต่างแทบทุกบานและดึงมุ้งลวดออกแทน เหมือนไม่มีอะไร เขาได้แต่สงสัยว่าหรือเขานั้นคิดไปเอง เหลียวมอง อรัญที่ฟากโน่นไกลๆกำลังพยายามปั่นจักรยานไปมาอย่างมีความสุขอยู่กับอธิป เขาไม่อยากจะขัดจังหวะความสุขของทั้งสองคน หากรู้เรื่องและเขาคิดไปเองคงจะเสียอารมณ์น่าดู
“มีไหม?” ลุงถามเมื่อเดินออกมา เขาส่ายหน้า
“ลุงดูดีรึยัง?”
“ดี ..ของอยู่ครบ ปืนก็ครบ แน่ กล้องวงจรปิดก็มีไปกลัวอะไร” ลุงบอก เขาจึงพยักหน้าให้ตี๋ ตี๋จึงกลับปั่นจักรยานไปต่อ
วันนี้มีของเข้ามาส่ง เขาเช็คดูมีไก่สด ปลาและผักหลายชนิด มีข้อความบอกว่า ไก่อบ แกงส้มแป๊ะซะปลาช่อน ปลานึ่งมะนาว เมี่ยงปลาทู เขาอ่านรายการและมองของจำนวนมาก ป้าป้อมจึงเดินเข้ามาเตรียมของ แจ้งให้เขาทราบว่าคืนนี้ทุกคนในบ้านจะทานข้าวพร้อมกัน มันทำให้เขาแปลกใจ
“สงสัยอธิปอยากกินข้าวกับน้อง..ทำตัวตามสบายเลยไม่ต้องไปคิดมาก” ป้าป้อมพูด เขานึกถึงเมื่อเช้าที่อธิปมองคงคิดว่าอรัญเบื่อหน่ายที่จะทานข้าวกันสองคน แต่เปล่าเลย เธอมาเวลาที่หิวและไม่อยากรอก็เท่านั้น และอีกอย่างให้ทำตัวตามสบายอย่างไรไหว ก็อธิปนั้นไม่น่าจะเข้ากับใครได้เลย โดยเฉพาะตัวเขาที่ไม่เคยมีส่วนร่วมกับบ้านนี้
ข้าวของห้องอาหารตึกใหญ่นั้นถูกจัดชิดผนังมีเสื่อปูแทนที่ อาหารจึงตั้งเรียงรายอยู่กลางเสื่อ แต่เนื่องด้วยอธิปนั้นดูตัวใหญ่ เขาจึงยกแคร่ไม้สักกับป้าป้อมมาวางที่ประตูบานเลื่อน เห็นพ้องต้องกันว่าให้อธิปนั่งแคร่กับอรัญญาและพวกตนนั่งที่พื้นแทน ก็ดูน่าจะลงตัวไปอีกแบบ ไม่ได้ห่างกันเลย เครื่องดื่มน้ำอัดลม และเบียร์กระป๋องถูกนำออกมาแช่เพื่อรอเวลา
โชคดีที่คุณป้าผ่อนภรรยาคุณลุงมาร่วมทานข้าวด้วย เขาจึงคอยดูแลอย่างเป็นกันเอง ทุกคนพูดคุยกันและสอบถามสารทุกข์สุกดิบคุณอธิป ตี๋ก็นั่งข้างๆเขาที่ที่ไกลจากอธิปและอรัญมากที่สุด อธิปนั่งหย่อนขาตรงบันใดข้างประตูเหยียดขาออก อรัญก็คอยตักของกินส่งไปให้ วันนี้ป้าป้อมสงบปากสงบคำไม่พูดเรื่องนิทานลามกและพูดเหมือนพูดคุยกับญาติิผู้ใหญ่
เขาสะกิดตี๋แล้วส่ายหน้าไปทางป้อมที่ดูสงบเสงี่ยมกว่าทุกวันไม่พูดจาเสียงดังอย่างแต่ก่อน ส่วนคุณลุงที่ขึ้นไปนั่งบนแคร่ก็ดื่มเหล้าไม่ค่อยทานอาหารเสียเท่าไหร่ อรัญเลยห่อเมี่ยงคำใส่จานให้เป็นระยะ เขารู้สึกว่าเธอก็ไม่ได้ดูห่ามๆอย่างที่คิด แค่ไม่ค่อยแสดงออกว่ารักแค่นั้น พอถึงเวลาและโอกาสก็ค่อยเผยท่าทีออกมา
“ไหนล่ะ น้องบอกคิดถึงแล้ว พี่บอกน้องรึยัง?” เขาเพิ่งเห็นป้าป้อมดื่มเบียร์ก็วันนี้ พอเริ่มได้ที่เธอก็พูดเสียงดัง หลังจากที่ป้าผ่อนกลับไปพักผ่อนแล้วก็เริ่มกลับมาพูดคุยตามปกติ อธิปเหลียวมามองอย่างยิ้มแต่ไม่พูดอะไร อ้าปากรับเอาอาหารจากอรัญญา เขาคิดว่าดีที่ป้าป้อมเป็นแบบนี้ หากคืนนี้ไม่มีป้าป้อมคงน่าเบื่อ แสงไฟใต้น้ำนั้นสะท้อนขึ้นมาบนผนังและเพดาน เขาเห็นจมูกที่โด่งออกมาเป็นสันจากด้านข้างของอธิป
“เร็ว บอกคิดถึงน้องรึยัง?” ป้าป้อมหันหลังไปพูดเพราะมือจับที่ไหล่อรัญ อรัญนั้นนั่งจัดผัดห่อเป็นคำๆ เขาว่าเธอเล่นมากกว่าทาน แต่เมื่อห่อเสร็จก็เอี้ยวตัวส่งเข้าปากอธิป อยู่เป็นระยะ ยิ่งป้อมถามอรัญญาดูไม่มีรอยยิ้ม มันเป็นสีหน้าจริงจังสบตาอธิปอยู่
“น่าน เห็นไหม น้องออกจะรักปานนี้ พี่ก็ต้องรักน้องบ้างแหละ” ดูเหมือนป้าป้อมพยายามพูดราวกับว่าให้ทั้งสองคนคืนดีกัน หรือเพราะกลัวอธิปจะต่อว่าอรัญเลยปกป้องแบบนี้กันแน่ เขาได้แต่คิด ป้าไหมเริ่มใช้มือตีเข่าป้าป้อม
“มากินๆ มัวแต่พูด” ป้าไหมบอกเมื่อป้าป้อมหันมา
“เอาก็ให้คุยกับน้องนุ่งมั่งสิยายไหม”
“กินเข้าไปเยอะๆน่ะ เหล้าเบียร์ ตื่นไหวไหมพรุ่งนี้?”
“ได้อยู่แล้ว สบาย”
ขณะที่ป้าป้อมกับป้าไหมคุยกันอธิปก็ส่งแก้วเหล้าให้อรัญ ตี๋จึงลุกไปรินให้และที่แปลกคือเมื่อรินเสร็จแทนที่จะให้คุณอธิปเลย แต่กลับส่งให้ลุงสาท ลุงสาทจึงส่งให้อรัญ คงอยากให้อรัญเอาใจอธิป เมื่ออรัญรับเหล้าไปวางข้างตัวเสร็จ เขาเห็นอธิปเล่นมืออรัญและมองมือนั้นอยู่ เขาจึงแกล้งไม่เห็น ตี๋เองก็เช่นกัน
ทั้งอธิปและอรัญยังคงทานกันเงียบๆ อรัญญานั้นจะจัดอาหารป้อนให้อธิป บางครั้งอธิปก็จะคอยชี้ว่าอยากทานอะไร อรัญญาเหลียวมองก็ตักให้ทาน ลุงปราสาทก็ทั้งนั่งดื่มและเหลียวมอง ป้าป้อมเองก็หันไปชวนป้าไหมคุยเรื่องผ้าเช็ดตัวที่หายไป ตัวเขาเองก็พลอยจัดเครื่องดื่มช่วยตี๋ไม่ให้ขาดมืออธิป เขาเห็นอธิปนั้นมีรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่ออรัญญาเอาใจ
อรัญนั้นยกขันน้ำสีเงินที่มีเปลือกมะนาวลอยอยู่ในน้ำมาล้างมือให้อธิปทั้งที่อธิปไม่ได้แตะต้องอะไรเลย อธิปเอี้ยวตัวหันเข้าหาอรัญญาให้เธอได้ใช้มะนาวถูมือให้ เธอเหลียวมองแหวนที่อธิปสวมและหมุนมันเล่นทั้งอมยิ้มมองมัน อธิปนั้นเหลียวมองอรัญญาไม่วางตา
“อย่าหลงกินน้ำนี่นะ” อรัญญาคงจะชวนอธิปพูด แต่พูดอย่างไม่มีรอยยิ้ม เขาอดขำไม่ได้ อยากจะถามอรัญญาบ้างว่ารู้สึกอย่างไรในตอนนี้ที่เป็นฝ่ายชวนคนอื่นคุยแล้วคนอื่นนั้นเงียบ
“ใครจะกิน ก็รู้อยู่ว่าน้ำล้างมือ” อธิปกดคิ้วลงทั้งมองอรัญญา ป้อมเองก็เงียบปากฟังคงจะรอฟังนั่นแหละ ยกเมี่ยงคำเข้าปากอย่างยิ้มๆแต่ไม่เหลียวมองอธิปและอรัญ พวกเขาเองก็ทำเป็นไม่เห็น เพราะมีครั้งนี้แหละที่เพิ่งได้ยินพูดคุยกัน อรัญญานั้นหันมาหยิบผ้าขนขนหนู อีกมือก็ชี้ลงขันน้ำ มองอธิปแล้วพูดขึ้นขึ้น
“ก็เดี๋ยวจะคิดว่าเป็นน้ำมะนาวไง” อรัญพูดอย่างไม่ได้ยิ้ม นั่นแหละเรียกรอยยิ้มให้กับทุกคนกระทั่งลุงปราสาทยังพยายามที่จะไม่ยิ้ม ตอนนี้ทุกคนต่างเงียบและรอฟัง
“บ้า”
“ใช่ เดี๋ยวคนอื่นว่าบ้าไง” อรัญพูดเสียงเอื่อย อธิปวางมือบนผ้าขนหนูให้อรัญเช็ดมือให้
“เสร็จยัง?” อธิปเมื่ออรัญญาเช็ดนานเกินไป เธอเช็ดนานเกินไปจริงๆ
“อีกแป๊บนึง” อรัญญาบอกอธิป แต่อยู่ดีๆ อรัญญาหยุดมือ ราวกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น เธอเงียบฟัง กรอกตามองรอบๆในท่าทีที่นิ่ง อธิปเหลียวมองลุงปราสาทอย่างมีคำถาม ลุงปราสาทจึงโน้มตัวเหลียวหลังมองผ่านประตูไปทางห้องโถงทางลงบันใด เขาแปลกใจนิดหน่อยเลยรอฟัง
“เหนื่อย” เธอพูดกับอธิป ขณะใช้มะนาวถูมือตัวเองอย่างเร่งรีบ ป้าป้อมรีบส่งผ้าขนหนูให้อรัญนั้นเช็ดมือ
“กินก่อนนะ อย่ารีบไปไหน” อธิปบอกทุกคนคว้าไหล่อรัญญาไปเข้าประตูอีกทาง เขาไม่เห็นว่าจะเดินผ่านทางบาร์น้ำ ทั้งอธิปและอรัญคงอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหน้าบาร์ พวกเขาจึงนั่งทานกันต่อ
“มา ป้าจะเล่านิทานให้ฟัง”
“ป้อม” ลุงสาทห้าม
“ไม่เอา มีแต่เรื่องตลกๆทั้งนั้น” ตี๋เริ่มพูดคุยเมื่ออธิปไป ปล่อยให้อธิปและอรัญได้อยู่กันสองคน เขารู้สึกว่าอรัญญานั้นจะไม่อยู่แบบเอื่อยเฉื่อย ทานเสร็จคือลุกเลย ไม่ค่อยจะอยู่คุยต่อ ราวกับว่ากลัวทำให้คนอื่นลำบากใจ เสียงพูดคุยของอธิปและอรัญยังดังอยู่ที่ห้องนั่งเล่น อธิปนั้นบอกอรัญญาว่า เมื่อก่อนไม่เห็นจะเป็นแบบนี้ เมื่อทุกคนได้ยินก็อมยิ้ม
“......!!” ไฟมันดับลง มืดสนิททุกที่ ลุงลุกจุดไฟแช็ก ไปต่อที่เชิงเทียน เขาเองก็ลุก และหยิบไม้เบสบอลในตะกร้า และเดินออกไปยืนริมสระน้ำ ทุกคนนั้นเงียบ หากโจรจะเข้าบ้านวันนี้มีเรื่องกับเขาแน่ๆ เพราะเขาแปลกใจตั้งแต่มื้อกลางวันแล้ว ทุกคนร่วมกันยกถาดกับข้าวขึ้นวางที่เค้าท์เตอร์ เริ่มเก็บเสื่อ
เสียงดังแกร็ก แกร็ก !! มันเป็นเสียงหมุนลูกโม่ปืนพกของลุงคงง้างเช็คกระสุน เขาเหลียวเห็นเพียงแค่นั้น เขาพยายามมองทั้งสองฝั่ง ตี๋เดินเข้าไปที่บาร์ หยิบไฟฉายอันใหญ่ออกมา ยืนตรงประตูทางเข้าออก สาดไฟฉายไปทั่ว เขาเดินไปรอบๆอยู่ครู่
“โทรไปการไฟฟ้า” เขาบอกทุกคน ตี๋จึงล้วงมือถือส่งให้เขา เขาเห็นป้าป้อมลุกหยิบเชิงเทียนแบ่งไปที่ห้องนั่งเล่นที่อรัญนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาซบอธิปอยู่ อธิปรับปืนจากลุงและวางลงบนโต๊ะ ข้างๆโซฟา เขาใช้เวลาไม่กี่นาทีก็โทรติด ยังไม่ทันที่จะแจ้งอะไรเจ้าหน้าที่ก็แจ้งจุดเกิดเหตุที่อยู่ย่านนี้พอดี เกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าทำให้ต้องใช้เวลาสักระยะนึง มันช่วยให้เขาโล่งอก
ตี๋และลุงแยกไปหาคุณป้าที่บ้านด้านหลังเพื่อที่จะจุดเทียนให้ เขาเลยอยู่ที่เดิมกับป้าๆที่กำลังยกข้าวของขึ้นตั้งบนแคร่ ตัดสินใจปิดประตูที่บาร์ไว้แล้วมานั่งที่ห้องอาหาร ให้เข้าออกได้ทางเดียว ขณะที่รอจนกว่าไฟฟ้าจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เขานั้นก็ไม่ได้ไว้ใจเพราะโจรมักจะลักลอบใช้โอกาสนี้อยู่เป็นประจำ
“มันไม่มีหรอกน่า โจรที่ไหนจะกล้ามา ยิงไส้แตก” อธิปพูดขึ้นพร้อมกับส่งปืนให้อรัญญาที่รับไปวางข้างตัว
“...รั้วสูงตั้งสี่เมตร เข้ามาก็ออกไม่ได้อยู่ดี” อรัญญาอธิบาย อธิปลุกและหยิบไฟฉาย อันเล็ก
“..จะนอนแล้ว” อธิปลุก
“ขึ้นไปส่ง” อรัญพูดพร้อมกับลุก ป้าป้อมจึงถือเชิงเทียนเดินตาม
“อุ้ย!!” ป้าป้อมร้องเมื่อเดินกลับลงมาที่บันใดพร้อมอรัญ อรัญหันควับ ถือปืนขึ้นเล็งคราวนี้เป็นปืนพกเดินไปทางห้องโถง เห็นทีบ้านนี้จะมีคลังแสงเยอะจริงอย่างลุงบอก เขารีบปิดประตูและเดินตามเข้าไป มีแค่แสงสลัวจากแสงเทียนที่ป้อมถือ เขาหยิบไฟถายอีกอันสาดไปมาที่ทางเดินห้องโถงซ้ายและขวา เพื่อมองว่ามันมีอะไร
“ชู่วววว...” อรัญห่อปากส่ายหน้า เขารีบหันไฟฉายไปตามมือ ไม่นาน
ปัง!! ตามมาด้วยเสียงกระจก ปัง ปัง!! อรัญยิงอีกรอบ มันเริ่มมีเสียงกระหืดกระหอบคราวนี้มีร่างดำๆดิ้นออกมาจากซอกตู้ เสียงป้าป้อมร้องโวยวาย ตามมาด้วยเสียงที่วิ่งลงมาและเสียงเปิดประตู อรัญยังเล็งปืนอยู่ตาม ด้วยว่าน่าจะเป็นคนที่ตัวเล็กกว่าเขารีบเดินเข้าหาร่างนั้น และสาดไฟฉายไปหาร่างนั้นที่จมมุมนั่งคุดคู้ใช้มือบังหน้า อรัญลดปืนลงหยิบเชิงเทียนจากป้าป้อมมาถือ
“ใคร ใครล่ะ?” เสียงป้าป้อมร้องถาม ปนเสียงร้องป้าไหม เขาเป็นชายที่ผอมโซ มีขอบตาดำ หน้าตอบ มีหนวดเคราขึ้นรอบปาก ดูตื่นตระหนกและโวยวาย ผอมและสั่นประสาทเหมือนคนบ้าแบบนี้ติดยาอย่างแน่นอน
“โว้ย....ผีหลอก ผีหลอก อย่า อย่า กลัวแล้ว กลัวแล้ว” ชายคนนั้นเอะอะมะเทิ่ง เสียงสั่นเครือ ตัวสั่นมือสั่น เขาไม่รู้ว่าหลอนจริงหรือแกล้งเพื่อช่วยให้ตัวเองรอด เขาจึงดึงคอเสื้อร่างนั้นและล็อคแขนไว้ ดึงสายคล้องม่านมามัด แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร อธิปเดินก้าวเข้ามาส่องใกล้ๆ พลันกระชากคอเสื้อชายดังกล่าวให้ยืน ชายร่างผอมเบิกตากว้างเมื่อเห็นอธิป ปาป้อมใช้มือป้องอรัญให้ถอยออก
“เรียกตำรวจครับ” เขาบอกเพราะกลัวว่าบ้านนี้จะโดนข้อหาฆ่าคนตาย ป้าไหมนั้นก็รีบหยิบมือถือที่มีปุ่มไฟตรงตัวเลขขึ้นกด
“ไอ้นี่มัน...” ลุงสาทพูดก่อนเดินก้าวเข้ามาช้าๆ แต่ยังไม่ทันจะถึง
อธิปเหวี่ยงชายคนนั้นด้วยมือเดียว ร่างนั้นเซถลาไปล้มลงตรงกลางห้อง ทั้งอธิปยังก้าวเท้าเดินไปเตะขึ้นเสยค้างและเหยียบซ้ำทั้งที่ชายคนนั้นน่าจะหมดสติไปแล้ว ก่อนจะดึงร่างนั้นขึ้นและเหวี่ยงไปที่ประตูทางออกด้านหน้าตึก อรัญญานั้นยืนถือโคมมองที่อธิปทำอย่างไม่พูดห้ามหรือกล่าวอะไร ช่างดูเลือดเย็นเอามากในสายตาเขา แทนที่จะห้ามอธิป เพราะอรัญนั้นสามารถห้ามอธิปได้
“พอ พอ แล้วครับ...มันไม่ได้ตั้งใจ ไม่น่าจะเอาอะไรไป” ลุงพูด มันทำให้เขานึกถึงที่ป้อมบอก ลุงจะห้ามก็ทำได้แค่บอก ยืนบอกเพียงเท่านั้น อธิปหายใจหนักราวกับว่าโกรธหนักมาก หันไปมองอรัญญา อรัญญานั้น ไพร่มือที่ถือปืนไปด้านหลัง ราวกับจะบอกอธิปว่า ไม่ให้อธิปใช้ปืน อรัญญาสบตาอธิปอย่างมิได้กระพริบตา สายตาไม่ได้ออดอ้อนแต่อย่างได้ ราวกับจะบอกอธิปแน่ใจว่า ไม่ส่งปืนให้แน่ๆ
“ไอ้อ้อดใช่ไหม ทำไมมันอยู่สภาพนี้” ป้าป้อมพูดพลางเดินไปหาร่างที่นอนสลบแน่นิ่ง เสียงป้าไหมคุยโทรศัพท์เดินไปหลังบ้าน
“สงสัยจะเล่นยา น่าจะเมา” ลุงสาท
“ไม่อยากจะเชื่อเลย” ตี๋ยืนมองเบิกตากว้างพูดเบาๆ
“เอามันออกไป อย่าให้มันได้กลับมาเหยียบที่นี่อีก” อธิปพูดพลางดึงไฟฉายจากมือตี๋ก่อนที่จะเดินกลับไป อรัญญาก้าวเท้าออกมายืนข้างเขาและเหลียวมองชายร่างผอมไร้เรี่ยวแรงนอนสลบอยู่ เธอแค่ปรายตามองเท่านั้น สายตาไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ามีความปราณีใด ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชายคนนั้น ก่อนถือเชิงเทียงตามอธิปขึ้นไปที่ชั้นบน
อ้อดถูกจับมัดมือมัดเท้าและปิดปากไว้ทั้งๆที่ยังนอนไม่ได้สตินอนอยู่ที่บันใดทางเข้าบ้าน เขาป้าไหมป้าป้อมยืนเฝ้า ตี๋ที่ปั่นจักรยานไปหน้าตึก ลุงที่ยืนคุยโทรศัพท์คงแจ้งบริษัทในเมือง ไม่นานไฟก็ติด เขาเหลียวเห็นใบหน้าของคนชื่ออ้อดได้ชัดเจนขึ้น เห็นโครงกรามรูปหน้าขัดเจน มีเคราและหนวดหรอมแหรม เขาเห็นโครงเบ้าตาที่โต ก่อนหน้านี้หากใบหน้าไร้รอยต่างๆและสะอาดเกลี้ยงเกลาน่าจะเป็นคนที่หล่อและหน้าตาดีอยู่ไม่น้อย ไฉนจึงกลายมาเป็นคนเยี่ยงนี้
“น่าเสียดาย ไม่น่าเลยอ้อดเอ้ย”
“มัดมันไว้ก่อน เผื่อมันเมายา” ลุงสาทเสริม
เขาและตี๋จัดการเก็บเศษกระจกที่บนพื้นขึ้นใส่กระดาษหนังสือพิมพ์ พยายามโกยเศษออกให้หมดเห็นมีคราบเลือดเป็นรอยๆเล็กติดอยู่ที่พื้นซึ่งจะบาดเท้าคุณอธิปเข้าเมื่อตอนที่เดินเข้ามาจัดการกับอ้อด หลังจากที่ตำรวจได้เข้ามาเอาตัวไป ลุงสาทนั้นก็ต้องไปให้ปากคำและติดต่อกับบริษัทในเมืองไปกับป้าป้อม
“ลุงแกคงไม่อยากให้เอาเรื่องหรอก เชื่อสิ” ตี๋พูดขึ้นเบาๆ ก็คงจะคนกันเองทั้งยังเคยอยู่ที่นี่คงไม่ต้องถึงให้เอาความกัน
“เขานิสัยยังไง?” เขาพลางสงสัยเลยเอ่ยถาม เพราะดูท่าทีน่าจะเคยเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง
“เดี๋ยวพวกเราเก็บนี่ก่อน ค่อยไปเก็บในครัว เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง” ตี๋ที่เงียบอยู่พักหนึ่งก่อนพูด
อ้อด มีชื่อจริงว่า จักรวุฒิ มีอายุมากกว่าพวกเขาประมาณสามสี่ปี เมื่อก่อนอ้อดจะพักที่บ้านด้านหลังซึ่งอยู่ข้างบ้านลุงสาท ตัวอ้อดเองที่โรงเรียนก็มีคนชื่นชมเยอะเหมือนกัน เรียนเก่ง ใครๆก็มองว่าอนาคตดี มีรถรับส่งนี่ก็คงคิดว่ามีฐานะ ตัวตี๋เองก็คาดคิดเหมือนกันว่าถ้าอ้อดโตขึ้นคงได้เรียนหมออย่างที่ผู้ใหญ่พูดกันและรักอ้อดเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อรัญนั้นเริ่มโต ตี๋เองก็รู้สึกว่าสายตาและท่าทีที่อ้อดมองอรัญนั้นเปลี่ยนไป ดูเคอะเขินไปเสียอย่างนั้น แต่ด้วยความเป็นเด็กในตอนนั้นเลยไม่ได้สนใจและเพิ่งมาเข้าใจตอนนี้ที่มีความคิดแล้ว ว่ามันหมายถึงอะไร
มีอยู่วันนึง อรัญวิ่งลงจากรถไปหาอธิปที่ยังโอบเธอขึ้นกอดเมื่อเวลาเลิกเรียน อธิปจะหอมแก้มอรัญเมื่อเวลาก่อนไปโรงเรียนและเลิกเรียนเสมอไม่ว่าจะโตแค่ไหนก็ทำแบบนั้น เมื่อถึงเวลาทำการบ้านนั้น ตี๋ต้องนั่งอยู่ไกลๆเพราะเมื่อเวลาโตขึ้นก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจอธิป อรัญเอาหนังสือผลการเรียนให้อธิปดูว่าผลการเรียนดีแค่ไหน เมื่ออธิปเจอซองจดหมายก็ยำมันทิ้ง แสดงอาการโกรธแบบนิ่งๆแต่เขารู้ว่าโกรธ ถึงขั้นเผากระดาษและซองจดหมายนั้นทิ้ง
“ผมรู้ว่าจดหมายนั้นมาจากไหน” ตี๋บอก
หลังจากทำหน้าที่เสร็จก็กลับมาอาบน้ำ ช่วงเวลานี้เขาจะเห็นอ้อดนั่งทำการบ้านเสมอ ตี๋เหลียวมองจึงรู้ว่าอ้อดเขียนจดหมายอยู่ด้วยท่าทีอารมณ์ดี เพราะเพลงที่เปิดในวิทยุเบาๆ พอถึงรุ่งเช้าก็หอบข้าวของของอรัญขึ้นรถอ้อดจึงใส่จดหมายไว้ในนั้นซึ่งตี๋เองก็เห็นแต่ไม่ได้ใส่ใจนึกว่าจะแกล้งอะไรอรัญก็เท่านั้น
“พี่อ้อดบอกผมว่าถ้าเรียนจบแล้วจะขอออกจากที่นี่ ไปหาทำงานและอยู่กับแฟน ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร จนวันที่เกิดเรื่องผมก็ยังไม่กล้าที่จะบอกอธิปว่าจดหมายนั่นเป็นของพี่อ้อด ผมไม่รู้ว่าจดหมายนั่นมันเขียนว่าไง แต่ ..พี่อ้อดน่าจะพาอรัญออกไปด้วย ถ้าได้ออกไป” อธิปเงียบนิ่งมาโดยตลอดจนกระทั่งมาถึงวันเกิดเหตุ โกรธจนเลือดขึ้นหน้าจนตี๋คิดว่าพี่อ้อดน่าจะตายคาที่ได้ ตี๋ทั้งร้องไห้ ลุงก็พยายามห้าม แต่อธิปไม่พูดอะไร ซ้อมอย่างเดียว
“พอมาเจออีกทีก็เมื่อกี้นี่แหละ นี่เป็นความลับเลยนะ ห้ามพูด ลุงก็ไม่รู้ป้าป้อมยิ่งแล้วใหญ่ ถ้ารู้ว่านั่นเป็นจดหมายรักจากพี่อ้อดไม่รู้จะยังให้อภัยอยู่รึเปล่า แต่พอมาคิดตอนนี้สำหรับผมแล้ว ถ้าพี่อ้อดแกคิดแบบนั้นก็สมควรโดนแล้ว ถึงพี่อ้อดจะดูดีกับทุกคนแต่เรื่องที่พี่อ้อดเคยหอมแก้มอรัญแบบหยอกเล่นมันไม่เข้าท่า”
“หอมแก้ม?”
“ใช่ คงคิดจะทำเหมือนที่อธิปทำแหละ ผมคิดตั้งนานว่าจะบอกดีไหม คิดแล้วคิดอีก”
“สรุปบอกไหม!?” เขาเน้นเสียงถามเบาๆ
“..บอก อธิปเหมือนจะเป็นคนหยิ่งแต่ใจดี เป็นผู้มีพระคุณ พ่อผมบอกอย่าลืมพระคุณ เพราะคุณอธิปออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ทุกคน รวมค่าขนมค่าเทอม เสื้อผ้า จะให้ผมหักหลังคุณอธิปได้ยังไง ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ทุกคนในบ้านเลยไม่เข้าใจว่าทำไมอธิปถึงโกรธขนาดนั้น”
“แล้วไม่คิดว่าแปลกเหรอ..เรื่องที่เขาเป็นแบบนี้ มันเกินคำว่าหวงน้องไปแล้ว?” ถึงจะโกรธแต่ก็ไม่ควรทำถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นน้องสาวเขาก็อาจจะมีหวงมีห้ามบ้างแต่นี่เล่นกันแทบจะปางตายไม่ให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร
“คิด..แต่ต่อให้มันเป็นอย่างที่คิดก็ไม่แปลกนี่”
“.......!?” เขาใจหายวาบกับคำที่ตี๋พูด รู้สึกว่าขาสั่นตัวเบาหวิวไร้เรี่ยวแรง เขาขยับออกจากตี๋ ที่นี่มันมีเรื่องบ้าๆอะไรแบบนี้ด้วยหรือนี่?
“อรัญญาไม่ใช้น้องแท้ๆ ไม่รู้เหรอ?” ตี๋ดูตื่นๆ เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้
“....ห๊ะ!”
“ผมก็เพิ่งมารู้ตอนเจ็ดแปดขวบนี่แหละ พ่อบอก คุณวรารับมาเป็นลูกสาวให้อยู่กับอธิปเพราะอธิปป่วย พอมีน้องก็ดีขึ้นเป็นปกติจนหายดี อธิปเลี้ยงอรัญเหมือนเป็นพ่อของอรัญเองเลย รักมาก...ขอร้องถ้าไม่อยากตายดี อย่าเอาไปพูดข้างนอกเด็ดขาด ผมยินดียอมแลกชีวิตเลย ไม่มีอะไรจะเสีย”
“...ผมรับปาก ก็ไม่อยากให้ใครเสียชื่อเสียงเหมือนกัน” จริงอย่างตี๋ว่า หากมันเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลก ลองรับเลี้ยงจนโตแล้วจับทำเมียก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันแตกต่างจากที่เขาได้ฟัง มันแตกต่างเสียยิ่งกว่าอะไร แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดนั้นดูเหมือนว่าอรัญญานั้นไม่ได้ดูสนใจในตัวอ้อดเลยสักนิด จากสายตาที่มองเรียกได้ว่า แทบไม่อยากจะชายตาแลเลยด้วยซ้ำ
“ตี๋...ถามจริงๆนะ เรื่องที่เล่าโกหกรึเปล่า?”
“งั้นตามผมมา” ตี๋ลุกและเดินข้ามสนามหญ้าจากห้องของเขาไปทางบ้านข้างๆบ้านลุงสาท
เขาก้าวเท้าขั้นบันใดบ้านที่ยกต่ำไปที่เฉลียง ตี๋เปิดประตูและกดสวิตเปิดไฟ เขาเห็นโต๊ะเขียนหนังสือข้างๆประตูทางซ้ายเลย เป็นโต๊ะเหมือนโต๊ะนักเรียนเลยที่มีช่องใต้โต๊ะที่มีหนังสือเรียนกองอยู่ ตี๋ยกกล่องเหล็กที่น่าจะเคยใส่ใบชาออกมาและเปิดฝาออก มีรูปเก่าๆในนั้น เป็นรูปที่ อธิปอุ้มอรัญญาตอนเด็กๆ และอีกรูปที่ อรัญญานอนตักอธิปในห้องนั่งเล่นบ้านใหญ่ อรัญยิ้มและชูสองนิ้ว อธิปนั้นนั่งใช้สองแขนก่ายโซฟาให้อรัญหนุนตัก เธอน่าจะอยู่สักประถมหกได้ ภาพต่อมาเธอโตขึ้นมาหน่อยเป็นอธิปที่ให้อรัญขี่หลังในสระว่ายน้ำ และเธอหอมแก้มอธิปอย่างดูไม่อาย ภาพนี้เขาได้เห็นป้าป้อมเมื่อสมัยยังสาว ผอม ผมหยิก ไม่อ้วนดำเหมือนตอนนี้ นั่งชูสองนิ้วที่ริมสระด้านหลัง ยังมีเครื่องเล่นเทปสีขาวอยู่ใกล้ๆ
เขาเริ่มเข้าใจเมื่อป้าป้อมพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในครอบครัว ทุกรูปมันช่างดูมีความสุขจริงๆ ภาพต่อมาทำเขาตกใจนิดหน่อย อธิปคงหยอกเธอบนโซฟา ทั้งนอนทับและหอมแก้มอรัญญาที่หัวเราะอยู่ อธิปคงจะทำให้เธอจั้กจี้ที่เอวเลยทำให้เธอหัวเราะ มันเป็นช่วงเวลาที่อรัญอยู่กับอธิปทั้งนั้น ไม่ว่าจะนั่งเล่นกันที่ขั้นบันใดหน้าสระน้ำ อรัญนั่งขั้นล่างให้อธิปโอบอยู่คล้ายจะคุยกัน และอีกหลายๆภาพ มีรูปตี๋ตอนเด็กๆ และและสามภาพสุดท้ายเป็นรูป อ้อดกับชุดมัธยมปลาย คิ้วหนาตาคม ใบหน้าหนุ่มไทย มีเขี้ยวมหาสเน่ห์เมื่อยิ้ม และรูปสุดท้าย เป็นภาพที่ถูกฉีกออกครึ่งหนึ่งของอรัญญาที่ถือขานเค้กอยู่
“เห็นรึยัง?” ตี๋เอ่ยถามมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“เป็นไปได้ไหมว่าอรัญเขาโตขึ้นแล้วเขาเลยอาย?” เขาพูดกับตี๋เบาๆเพราะกลัวเสียงดัง ก็ตอนนี้ท่าทีของอรัญที่ปฏิบัติต่ออธิปนั้นไม่ได้เหมือนอย่างในภาพ เมื่อเขาถามแบบนั้น ตี๋ก็รีบเก็บมันเข้ากล่องด้วยท่าทีที่ไม่มีรอยยิ้มใด
“ผมเล่าได้แค่นี้แหละ ที่เหลือไปถามลุงเอา”
ความคิดเห็น