คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เจ้าของบ้าน คุณอธิป
ตี๋จัดการล็อครั้วและเดินไปกับพวกเขากลับไปเอาจักรยานและช่วยเขาเทเศษใบไม้ ตี๋บอกเทใส่กระบุงก่อนเต็มแล้วค่อยเอาไปเทถมหนองน้ำเล็กๆตรงนั้น และไปช่วยเขาเก็บพริกตากแห้งลงกระบุง ตี๋เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ป้าๆฟังว่าอรัญญาแตะตัวตี๋ และตกใจกลัวจนสั่นหากอธิปได้มาเห็นคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่แท้
“มันขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เขาเลยถามหาเสียงยืนยัน เพราะแค่แตะตัวหรือสมัยนี้คงเป็นเรื่องปกติ
“อย่าเชียวนะ ป๊อบ อธิปแกแตะของแกได้คนเดียว ถ้าป๊อบยังมีกระเจี๊ยวอยู่ อย่าแม้แต่จะคิด!” ตี๋หัวเราะเมื่อป้าป้อมชี้นิ้วเตือนเขาอย่างออกท่าทาง
“ผมบอกแล้ว น้องคิดว่าไม่จริงเหรอ?”
“ว๊าย..ไอ้อ้อดเกือบตายถ้าไม่ได้ลุงสาทยืนห้าม ลุงแกแค่ยืนแล้วบอกอธิปเอานะป๊อบ แค่นั้น ทำได้แค่นั้น หมดบ้านฟังลุงสาทคนเดียว ก็เพื่อนพ่อวราเนาะ” เขาเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าลุงเป็นเพื่อนคุณวรานี่เอง
“มันจะมีคนหวงคนขนาดว่า ฆ่าคนได้ ปานนั้นเหรอ ไล่ออกก็จบไหม?” เขาพลางใช้ความคิด หวงขนาดแตะไม่ได้ ไม่เคยได้ยิน
“ก็นี่ไง!! ไม่มีได้ไง เดี๋ยวเขามาจะตะลึงกว่านี้อีกป๊อบ ป้าพูดต้องฟัง ถ้าอยากจับตัวอรัญได้ให้ไปตัดหม่ำออก” ตี๋หัวเราะป้าป้อมที่พูดจาผาดโผนจริง เธอนั่งตัดใบตองเป็นวงรีเพราะพรุ่งนี้คงจะทำห่อหมกหน่อไม้ตามที่ว่าไว้ ซึ่งเธอจัดการมาทำตอนเช้าและใช้เตาไฟตรงนี้แหละทำ ป้าป้อมลุกหยิบกระดาษมาส่งให้เขา มันเป็นรายการของที่กำลังจะหมดอย่างเครื่องปรุงและของใช้ของต่างๆที่ครัวนี้
เขานั่งเช็คว่าป้าป้อมนั้นลงรายการอย่างไรบ้าง พริกแกงซื้อทีเป็นกิโลๆ สายลมโกรกพัดผ่าน ยามค่ำที่นี่ไม่ได้ร้อนเลย ลมเย็นเสียด้วยซ้ำ คงเพราะมีต้นไม้มาก ป้าไหมนั้นนั่งพับผ้าอยู่ที่เสื่อ จัดการพับปลอกหมอน ผ้าขนหนู แยกตามบ้านต่างๆ ที่บ้านอรัญญาและตึกใหญ่นั้นคงต้องแยก ส่วนผ้าเช็ดตัวนั้นก็แยกให้แต่ละคนไว้
“ของผมจะยกโหลกางเกงในอยู่ขาบานหมดแล้ว” ตี๋พูด เขาหัวเราะแล้วถามขึ้นเพราะไซส์ของเขาและตี๋แตกต่างกันว่าจะลงไซส์กันอย่างไรบ้าง
“แล้วของผมถ้าจะเหมากางเกงในมั่ง ต้องบอกขนาดไหมครับ?” อยู่ไปอยู่มาก็เริ่มติดตลกเพราะป้าป้อมนั้นทำเขาเป็นเยี่ยงนี้
“มันใหญ่มากเหรอเดี๋ยวนี้?” เป็นครั้งแรกที่ป้าป้อมพุดน้ำเสียงราบเรียบไม่ดังเหมือนก่อน ยืนถือหวดนึ่งข้าวในมือ พลางเคี้ยวหมากถามเขา ตี๋หัวเราะลั่น มันเป็นการถามเชิงว่า ต้องใหญ่จนต้องคิดหนักเรื่องไซส์ของกางเกงในขนาดนั้น? แล้วที่มันตลกกว่านั้นคือน้ำเสียงเบาแบบไม่ปกติเลยทำเขาและตี๋หัวเราะ
เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เวลาอรัญมาทานอาหารเย็นก็ถึงเวลาที่ป้าป้อมอดใจไม่ได้ที่จะเล่าอะไรให้อรัญฟัง คือทุกวันต้องมีเรื่องเล่าให้อรัญฟังทุกวัน เรื่องตลกลามกอะไรทำนองนี้แม้อรัญจะไม่เคยหัวเราะก็ตาม แต่เขาก็เพิ่งเริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่อรัญนั้นไม่ตลกเพียงแต่ต้องการคนหัวเราะให้เธอ หรือให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการพูดคุยเท่านั้น วันนี้ก็เช่นกัน เขาและตี๋กำลังนั่งจดคำสั่งซื้อกันอยู่ห่างๆอรัญญาเพราะรู้ว่าดีกว่าที่จะกินข้าวกันคนละรอบ ป้าป้อมก็เริ่มเล่าเรื่องที่เขาวิตกกังวลเรื่องไซส์กางเกงให้อรัญฟัง ซึ่งมันก็เกินจริงไปมาก
“จริงนะอรัญ ป๊อบมันคิดไม่ตกเลย ป้าก็สงสัยว่ามันจะขนาดไหน ช่วยมันคิดหน่อยได้ไหม ป้าก็ไม่รู้จะว่ายังไง” เธอพูดพลางใช้มือปิดปากยิ้มมองไปทางไหมที่นั่งเช็ดหม้อซึ้งนึ่งอยู่ ป้าไหมปรายตามองทั้งยิ้มแหย เขารีบหุบขาเมื่ออรัญมองมาที่เป้าของเขา หุบให้เธอเห็นในเมื่อเธอกล้ามอง
“ถอด” อรัญบอกเขา ป้าป้อมหัวเราะอย่างสะใจและเสียงดัง ลุงสาทที่นั่งทานข้าวอยู่บ้านด้านหลังร้องขึ้นว่าเสียงดังเกินไปแล้ว ตี๋ที่รีบดึงกางเกงขึ้น ทำราวกับว่าต้องทำตามที่อรัญบอกทุกอย่างแต่ไม่อยากจะทำ
“จะบ้ารึไง!!” เขาหันไปหาอรัญ
“เอาถอดสิ อรัญเขาจะได้บอกถูก เร็วป๊อบ” ป้าป้อมยังพุดเสียงดังอยู่เช่นเดิม
“ผมไม่เกี่ยว” ตี๋พูด ป้าไหมยิ้มเหลียวมองเงียบๆ
“เขาเห็นก็น่าจะรู้ คนมารับน่ะ” อรัญญาบอกเขานำเสียงราบเรียบผิดกับป้าป้อม เขาและตี๋
“อ้อ...แล้วของคุณอรัญนี่ใครระบุครับ?” เขาชักเกิดอยากย้อนขึ้นมาเลยถามเธอกลับ ตอนนี้รู้สึกชักเริ่มสนิทแล้วสิ เหมือนที่ลุงปราสาทบอกเขาว่าเธอไม่ใช่คนหยิ่งอย่างที่คิด และจะเกิดสนิทสนมขึ้นได้ในภายหลัง มันจริงอย่างที่ลุงว่าจริงๆ
“ป๊อบๆ ของป้าป้อมป้าไหมสี่หยุบร้อย” ป้าป้อมบอกพร้อมกับหัวเราะ ชักจะไปกันใหญ่ สี่ตัวร้อยก็ถือว่าถูกแล้ว นี่สี่กำมือร้อยนึง ทุกคนนั่งหัวเราะรวมทั้งตี๋ด้วย
“ไปดูเอง!!” อรัญบอกเขา
“ของอรัญ คุณนายแกจัดให้เอง” ตี๋บอกเขา เขาเผลอมองช่วงตัวอรัญตั้งแต่ที่หัวผ้าซิ่นที่เธอสวม เอวเล็กและไม่มีไขมันเลยแม้แต่น้อย เนินอกขึ้นสูงกว่าฐานรอบตัว น่าจะคับซี ตัวเล็กแต่หน้าอกน่าจะสวย แต่จู่ๆก็นึกเรื่องป๋าอ้อดที่โดนซ้อมเพราะแค่เข้าไปช่วยขึ้นมาเขาจึงลุก ทำทีเปลี่ยนเรื่อง
“โอ้ยยย หมดอารมณ์ พอๆ เดี๋ยวจดของไม่ทัน” เขาเปลี่ยนเรื่องลุกเข้าไปในครัวเพื่อไปเช็คของในครัวแทน
“ทำเป็นเรื่องใหญ่” เสียงอรัญบ่นตามหลัง
เขาเห็นเธอเดินไปบ้านลุงสาทเพื่อคุยกับป้าผ่อนที่นั่งตรงเฉลียงทางขึ้นบ้านหลังจากที่ทานข้าวเสร็จ เห็นอรัญญานั่งที่ขั้นบันใดพูดคุยอย่างกันเอง โดยที่ป้อมชักชวนให้ไปเยี่ยมภรรยาของลุง ดูเหมือนว่าทุกคนนั้นพยายามให้อรัญเข้าสังคมเล็กๆ ให้พูดคุยเยอะขึ้นยังไงยังงั้น เขารู้สึกว่าอยู่ที่นี่เหมือนอยู่กับครอบครัวมากกว่าอยู่กับที่ทำงาน พอนึกเรื่องที่ทำงงานเขาก็นึกถึงเรื่องราวก่อนที่เขานั้นจะได้กลับมาที่นี่
มันเป็นงานเลี้ยงสตาฟปาร์ตี้ในคืนนั้นที่โรงแรม เขาติดงานและไปดึก เขามีเพื่อนสนิทสองคนที่เรียนจบมาด้วยกัน คือกุ้งกับก๊อป พวกเราไปอาศัยอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งทางภาคใต้และเช่าบ้านๆ ไม้ยกสูงที่มีใต้ถุนสำหรับจอดรถ ข้างบนมีสองห้องนอน และครัวด้านหลัง เขากับก๊อปนั่นจะอยู่ห้องเดียวกัน และกุ้งอยู่อีกห้องหนึ่ง พวกเราสนิทกันมากตั้งแต่สมัยเรียน จบออกมาก็ทำงานด้วยกันแต่คืนนี้เขาคงเลิกดึกเพราะลูกค้ามาก ก๊อบกับกุ้งที่หมดกะแล้วจึงไปรวมตัวกับคนอื่นกันก่อน
“อย่าลืมมารับนะเที่ยงคืนอย่าเกินตีหนึ่ง” เขาย้ำกับเพื่อนที่มาหาเขาที่ครัว
“ได้” เขาโยนกุญแจรถให้เมื่อเพื่อนเขารับปาก
เที่ยงคืนกว่าเขาพลางจัดการของในครัวรอ เขาไม่ได้รีบ เพราะของยังไม่เสร็จดี เขากดเบอร์มือถือเพื่อโทรออกปรากฏว่าเพื่อนของเขาที่นัดไว้นั้นไม่ได้รับสาย เสียงคงดังทั้งตรงที่เขาอยู่มีเสียงการจัดเก็บเครื่องครัวอย่างเอะอะและเสียงดัง และทางโน่นอาจจะมีเสียงเพลง เขายกหม้อซุปขนาดใหญ่ขึ้นชั้นวาง
“ไปด้วยกันไหม ที่งาน เดี๋ยวพวกห่านั่นเมาก่อน” เพื่อนร่วมงานที่อยู่ในครัวด้วยกันเอ่ยชวน เขาจึงไม่ลังเลที่จะไปเพราะดีกว่าขัดจังหวะเพื่อนให้มารับอย่างเสียเวลาเที่ยวพวกเขาเข้าใจดี
“ไปสิ”
เมื่อมาที่งานทุกคนรื่นเริงทุกแผนกบ้างก็เมามายกันแล้ว เขาเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบังกะโลไม้ร้านอาหารก็ไม่พบทั้งสองคน และไม่เห็นรถของเขาจอดอยู่ที่นี่ เขาเดินกลับลงไปข้างล่างไปกลุ่มเพื่อนๆในครัว เพื่อสอบถาม
“ไอ้ก๊อบกับกุ้งไปไหน ได้มาไหม?”
“อ้อ มาๆๆ.. เมา สงสัยพากันไปเมาที่หาดร้านพี่พงษ์ เห็นว่า พวกไอ้โอก็ไปด้วย ตามไปเลย มันเมามันแล้ว แกเพิ่งมา” เพื่อนๆก็มีเสียงอ้อแอ้เพราะความมึนเมา พูดจาเสียงดัง
“รอมันอยู่นี่แหละเดี๋ยวมันก็พากันมา มันไปดูร้านพี่พงษ์เปิดใหม่ นั่งๆ” เขายืนคิดอยู่ครู่ก่อนที่จะนั่งลงตามคำชวน และดื่ม จ้องมองนาฬิกาก็ปาไปตีหนึ่งกว่าแล้ว เพื่อนๆยังนั่งกินพูดถึงคนที่จูงมือกันแยกตัวออกไปจากกลุ่ม วันนี้จะได้รู้เสียทีว่าชอบกัน ต่างนั่งพูดคุยเกี่ยวกับแผนกอื่นๆอย่างออกรส เขานั่งดื่มอย่างใจเย็นพยายามที่จะไม่คิดเป็นอื่น
“อ้าวเฮ้ย..นั่นๆมันมาแล้วไอ้โอ......เฮ้ย เห็นไอ้กุ้งก๊อปไหมวะ?” เพื่อนเขาถามให้ เขาทำเป็นนั่งนิ่ง
“โอ้ยโน่น นั่งริมหาดคุยกันร้านพี่พงษ์โน่น ..แหม๊” โอส่ายหน้า เดินยิ้มเข้ามารับเบียร์จากเพื่อน
“แหม๊ อากาศดีจังว่ะ ติดหาดเลย บรรยากาศโคตรดีพวกมึงต้องไปลอง ใครมีคู่นะได้บรรยากาศแน่ เฮ้ย..มีได้มีเสีย” โอสาธยายกับกลุ่มเพื่อนๆ เขาก็ไม่อยากจะรับฟังต่ออีกแล้ว เพื่อนของเขาผิดนัดทั้งยังไม่ไปรับเขาที่ทำงาน อีกอย่างตอนนี้ยังปลีกตัวออกไปที่อื่นแทนที่จะมารับเขา เขายอมรับโดยดีว่าน้อยใจ
“เป็นไรว่ะ ไม่สนุกเหรอ?” เพื่อนร่วมงานถาม
“...ก็พวกแกเมาล่วงหน้าแบบนี้จะตามทันเหรอ..แล้วรถก็อยู่กับไอ้ป๊อบ” เขาตอบ เพื่อนก็เลยหัวเราะ เขานั่งที่เดิมเพราะไม่มีรถจะไปไหนมาไหน ออกไปก็ไม่ได้ จะให้เพื่อนคนอื่นไปส่งที่บ้านก็เกรงใจ สงสัยต้องรอกลับกับรถที่ทำงาน
“ป่ะจะพาไปส่งร้านพี่พงษ์ ไปเอารถ” ที่สุดเพื่อนเขาก็ชวน เขาพยักหน้าทันที ขับรถเรียบหาดไปอีกสองกิโลได้ เลี้ยวเข้าซอยลงหาดมันเป็นพื้นที่โล่งมองเห็นบาร์อยู่ไม่ไกลเพราะจะถึงหาดอยู่แล้ว
มันเป็นเพิงขายเหล้า ด้านในที่ติดหาดนั้น ทรายขาวมีแคร่ตั้งปูที่นอนพับให้นั่งนอนเล่น มันเหมาะที่จะมาเป็นคู่อย่างที่โอว่า เพื่อนเขาตามเข้ามาพร้อมกับส่งเบียร์ให้ด้วยรอยยิ้ม พวกเขานั่งที่แคร่ไม้ที่เหลืออยู่สองตัวเขาพิงหมอนที่เป็นสามเหลี่ยมนั่งเหยียดขา ท้องฟ้าดำมืดมองเห็นดวงดาวได้ชัดมีลมเย็น มีเสียงคลื่นเบาๆ ทำให้ใจสงบไม่ร้อนรนเหมือนงานเลี้ยง หนวกหูเสียงดัง เพราะอากาศไม่ร้อน มีเสียงคลื่น มองเห็นดวงดาว เสียงเพลงที่ไกลๆก็ไม่ได้รบกวนอะไร ทำให้เขารู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นกว่ามากแม้ไม่เห็นเพื่อนของเขาก็ตาม
“สงสัยกลับไปแล้วว่ะ” ยื่นขวดเบียร์มาชน เขาเต็มใจดื่มเพราะที่อยู่ดึกเพียงเพราะอยากจะได้หยุดในวันรุ่งขึ้น นึกว่าวันนี้มันจะสนุกกว่านี้ แต่ได้แค่นี้ก็โอเคแล้วสำหรับเขา เขานั้นเหลียวเห็นชาวต่างชาตินั่งที่แคร่ถัดไปที่ตั้งห่างพอสมควร
“พวกแกเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วว่ะ?” ถามต่อ
“เกือบสิบได้มั้ง ตั้งแต่มอปลายกับไอ้ก๊อบ มารู้จักกุ้งตอนมหาลัย”
“แล้วจะเป็นยังไงต่อ?”
“อะไร?”
“ก็ จะสนิทอยู่กินกันยังงี้สามคนไปตลอดเหรอว่ะ?”
“...ไม่รู้หรอก” เขาไม่อยากจะคิดและไม่อยากคุยต่อ เขาโทรหาเพื่อนของเขาอีกครั้งปรากฏว่าปิดเครื่องทั้งสองคน เมื่อเบียร์หมดขวดเพื่อนเขาจึงชวนกลับและจะไปส่ง ขณะที่ลุกจากแคร่เพื่อนของเขายื่นมือมาจูงแขนและโน้มตัวหลบก้านมะพร้าวที่โน้มเอียงลงขวางทางเดิน เขารีบชักมือออก
“เดี๋ยวคนก็คิดเป็นอื่น” เพื่อนร่วมงานของเขาหัวเราะ
เมื่อมาถึงบ้าน เขาเห็นรถของเขาจอดอยู่ใต้ถุน มันรู้สึกประหลาดใจ จึงขึ้นบันใดและเปิดบ้านเข้าไปเงียบๆเมื่อแน่ใจว่าไม่มีเสียงอะไร เพื่อนของเขาคงหลับแล้ว เขาเข้าห้องทางซ้ายที่เป็นห้องของเขาเบาๆ แต่ไม่ปรากฏเห็นเพื่อนของเขาอยู่ จึงรีบไปอีกห้อง เห็นเพียงเสี้ยวประตูที่แง้มเขาเลยเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
เขากลับมานอนก่ายหน้าผากในห้องบนเตียงของเขา เพราะมันรู้สึกอึดอัด เขาไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้ เวลาผ่านไป มองนาฬิกาข้อมือตีสี่เศษ เขาตัดสินใจลุกเก็บของและเดินไปหยิบกุญแจรถยนต์ตรงที่แขวนกุญแจหน้าประตู เขาเห็นเสื้อของก๊อปกองอยู่ที่พื้น ก่อนที่จะเดินออกจากบ้านลงบันใดไปที่รถ ออกรถและขับกลับบ้าน ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกเสียใจอย่างสุดขีด ทางเดียวที่ไปได้คือบ้านที่อยู่ไกลจากที่นี่ กว่าพันกิโล
“หิว” อรัญญาพูด เมื่อเขาออกมาจากห้องก็พบว่าอรัญญานั้นยืนอยู่ที่ทางเข้าครัว เขามองนาฬิกาสามทุ่มกว่าแล้ว ถ้าหากสวมผ้าซิ่นเขาอาจจะช็อคได้ รีบเปิดไฟทางเดินสาวเท้าลงบันใดไปหาเธอที่ตู้เย็น ได้กลิ่นหอมสะอาดๆ ใบหน้าของอรัญญานั้นสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาราวกับล้างหน้าเพิ่งเสร็จใหม่ๆไร้เครื่องสำอางประทินโฉมก็ยังดูดี เขารีบเปิดตู้เย็น
“จะกินแบบไหน?” เขาถาม
“ที่บ้านของในตู้หมด...เอาโยเกิร์ต นมเปรี้ยว น้ำเปล่า ขนมปัง ปิ้งด้วย ทาแยมด้วย” เขาหยิบตามที่เธอบอกออกมาวาง โชคดีที่ขนมปังเหลือสี่แผ่น คงพอสำหรับเธอ อรัญญาบอกเขาว่า ปิ้งขนมปังไม่ต้องไหม้ เอาแค่พอหอม
“งั้นรอก่อน ออกไปยืนข้างนอกได้ไหม เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิด?” เขาเกรงว่าใครจะเข้าใจผิด ประจวบเหมาะที่ลุงสาทเดินมาพอดี สีหน้าไม่ได้มีรอยยิ้ม ทำเหมือนมองไม่เห็นเขาและอรัญญาเสียอย่างนั้น
“อรัญหิว” เขาบอกลุงที่ทำเมิน พลันลุงเปลี่ยนสีหน้าทันที หันมายิ้มให้
“อ้าวของหมดแล้วเหรอ มาๆลุงช่วยจัด” ลุงสาทยิ้ม รีบเดินมาเอื้อมหยิบตะกร้า เอาของที่เขาวางใส่ตะกร้า
“หลายครั้งแล้ว” เธอพูดกับลุง
“ยายไหมคงลืม เดี๋ยวลุงจะดูให้นะ”
“ลุงก็จะลืมอีก”
“ครับ” ลุงยิ้มแหยๆ
“เดี๋ยวผมช่วยจำก็ได้ครับ ให้ป้าไหมเอาไปไว้ให้ ต่อไปจะได้ไม่เกิดอีก” เขาพูดพลางหยิบขนมปังที่ปิ้งแล้วออกมาทาแยม เขามองระหว่างสีเหลือง แดง เนย รึช็อคโกแล็ต อรัญราวกับว่าจะรู้ทันที่เขาจะถาม
“สีแดง” เธอรีบตอบ
“เอาน้ำขวดเล็กไปเป็นแพ็คเลยป๊อบ ช่วยกันยก”
“ครับ” เขาส่งจานขนมปังให้เธอถือ ส่วนลุงถือตะกร้าของเย็น เขาหิ้วแพคน้ำหยิบมาสองแพคเลยจะได้เผื่อๆไว้ เขาเดินไปห้องในสุดที่เป็นครัวมองทะลุเห็นครัวที่เขาอยู่ เธอคงเห็นว่าไฟครัวยังไม่ได้ปิดเลยออกมาหาของว่างนี่เอง
“..อยู่คุยเป็นเพื่อนหน่อย นอนไม่หลับ” เธอพูดเมื่อเขาและลุงจะออกจากบ้าน ลุงสาทยืนนิ่งเหลียวมองเขา ก่อนจะหันกลับไปพูดกับอรัญญา
“ถ้าอย่างนั้นไปนั่งโต๊ะหินอ่อน” ลุงพูดพลางชี้ไปที่สวนหน้าบ้าน
เขาและลุงเลยนั่งเงียบๆขณะที่เธอทานขนมปังและนมเปรี้ยว เขาเห็นลุงเหน็บซองปืนไว้ที่เข็มขัด คงกันไว้ยามค่ำคืน และเห็นตี๋ที่ปั่นไปมารอบๆบริเวณบ้านเป็นระยะ เมื่อทานเสร็จลุงจึงเดินไปเปิดก็อกน้ำเล็กที่หลังพุ่มไม้ให้เธอไปล้างมือ มันไม่มีผ้าเช็ดมือเธอจึงยกมือค้างและกลับมานั่งโต๊ะหินอ่อน มือยังคงค้างไว้อย่างนั้น
“รอแห้ง” เธอบอกเขา
“ครับ” เขารีบตอบเธอ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบ
“คิดถึงอธิปเหรอครับ?” ลุงถามเป็นภาษาถิ่น ใช้มือจับหลังต้นคอ ถามอย่างไม่ได้สบตา คงหาเรื่องที่จะคุย
“...ไม่มาเลย” เธอไร้สีหน้าตอบสั้นๆ
“โทรก็ได้นี่”
“ไม่ เผื่อติดงาน” มันเหมือนไร้เรื่องที่จะพูดคุย เขาเองก็ไม่รู้จะพูดคุยอย่างไร บทสนทนาเงียบลง ลุงปราสาทจึงมองมาทางเขา ก่อนจะถามขึ้น
“มีไหมป๊อบ คนคิดถึงแบบนี้?”
“เคยมีครับ แต่ตอนนี้ไม่คิดถึงแล้ว” เขาตอบเมื่อเห็นเธอรอฟังเช่นกัน
“ใครล่ะ เล่ามาสิ ลุงก็ไม่รู้จะคุยอะไรแล้ว”
“เพื่อนครับ” เขาเล่าให้ฟังคร่าวๆ รวมถึงเรื่องเมื่อเขากลับมาบ้านแล้วมีปัญหากับพ่อของเขา แค่พูดถึงก็เจ็บจี้ด มันเป็นการพูดคุยฆ่าเวลา ดูเหมือนว่าอรัญญาและลุงปราสาทจะให้ความสนใจฟังเขา ไม่เหมือนคนอื่นๆที่เอาแต่พูดเรื่องของตัวเอง ส่วนตัวเขานั้นได้แต่เงียบฟังเสียส่วนใหญ่ เขาบอกตามความรู้สึกว่า ไม่รู้ทำไมเขาถึงเสียใจกับเหตุการณที่เกิดขึ้นขนาดว่าหนีออกมาเลยอย่างไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น และไม่ได้โทรบอกใครล่วงหน้า ก่อนที่จะมาเจอที่นี่เข้า
“แล้ว สนใครล่ะในสองคนนี้?” ลุงถามขึ้น
“หมายความว่าไงครับ?”
“สนใจเพื่อนผู้ชายแน่ๆ” อรัญพูดแทรก
“ทำไมว่าอย่างนั้น?”
“คบกับผู้ชายนานกว่าผู้หญิงต้องเสียดายเพื่อนผู้ชายอยู่แล้ว อรัญว่าถูกไหม?” อรัญญาถามกลับอย่างเรียบง่าย ถามว่าที่เธอพูดถูกหรือไม่? แทนตัวเองด้วยชื่อ ลุงยิ้ม ครั้งนี้อรัญญาพูดยาวไม่สั้นๆห้วนๆ
“....” เขาคิดก่อนพยักหน้า เธอยิ้มและลุกเดินกลับเข้าบ้านเอาเสียเฉยเลย ปล่อยเขาและลุงนั่งงง เป็นฝ่ายชวนแท้ๆแต่กลับทิ้งเขาและลุงนั่งมองตามหลังกระทั่งเธอเข้าบ้านและปิดประตู ที่ชั้นล่างปิดไฟและเห็นเงาเธอเข้าห้องนอนที่ชั้นบน
“นั่งรอก่อนสักสิบนาทีค่อยไป” ลุงพูด ถึงเขาสงสัยคงไม่กล้าถามอะไร ลุงยกเข่าขึ้นชนขอบโต๊ะข้างหนึ่งใช้สองมือจับหน้าแข้ง
“ครับ”
“ชวนเขาคุยเยอะๆน่ะดีแล้ว จะได้คุยกับคนอื่นเป็น”
“ครับ” เขาเริ่มเข้าใจเหตุผลที่ทุกคนพยายามพูดคุยกับอรัญ ชักชวนอรัญคุย พวกเขาต่อให้ไม่ออกไปไหนยังมีกันและกัน ได้พูดคุยกันได้ร่วมงานกันตามปกติ แต่อรัญที่อยู่แต่ในบ้าน ไม่ร่วมหัวจมท้ายกับใคร ไม่ค่อยพูดกับใครมากเลยออกจะดูแปลกไปสินะ
“...คิดถึงอธิป จะเป็นแบบนี้เป็นบางช่วง นี่ก็ไม่ใช่...หกเดือนละมั้งที่ไม่มา ถึงถามว่ามีคนให้คิดถึงแบบนี้ไหม ถ้าไม่มีคงไม่เข้าใจ” เขาเริ่มเข้าใจที่ลุงถามแบบนั้นว่าสนใจใครในสองคนนี้ ถ้าพูดถึงคนสองคนก็ต้องมีหนึ่งคนที่คิดถึงมากกว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งลุงและอรัญคงไม่ได้ว่ารึคิดเป็นอื่น เป็นเขาเสียเองที่คิดไม่ดี
“ครับ” เขาและลุงนั่งอยู่ครู่ก็เห็นไฟในห้องดับลงคงเหลือแค่ไฟระเบียง ลุงจึงชวนลุกและเดินกลับ
ขณะที่เดินผ่านซอกตึกใหญ่กับบ้านอรัญญาเสียงนาฬิกามันดัง เขาเคยนับแล้วว่ามันตีเกินจะนวนชั่วโมง น่าจะหมดลานเร็วๆนี้เป็นแน่แท้ ตีบ้างไม่ตีบ้างลุงบอกว่านาฬิกาน่าจะเสียแล้วพลางให้ความสนใจกับการเดิน เขาแปลกใจที่ลุงดูไม่สนใจที่จะเข้าไปดูหรือซ่อมเหมือนอย่างปกติ ปกติอะไรพังหรือเสียต้องรีบเช็กแต่นี่ไม่ เขารอจนกว่าลุงจะเดินข้ามสนามหญ้าจนถึงบ้านและเข้าบ้านไปจึงเดินเข้าครัวและปิดประตูล็อคกุญแจ เขาจึงปิดล็อคครัว
วันไหนเขาได้ยินเสียงเปียโนแต่เช้าแสดงว่าวันนั้นเป็นวันพระมันเป็นเหมือนกริ่งที่คอยเตือนให้ทุกคนรู้ มันเป็นอย่างนี้ ทุกวันเวลาเดิมๆเขาจะเห็นเธอง่วนอยู่กับการจัดห้องของอธิป อรัญจะเป็นคนทำความสะอาดด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนมาทำความสะอาดสระว่ายน้ำ คนจากบริษัทในตัวเมืองจะเข้ามาบ้านนี้ เขาต้องจัดการทำอาหารให้มากกว่าปกติเพื่อเลี้ยงคนกลุ่มนั้น ประมาณสิบคน ทุกคนดูขมักเขม้นในการทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่
“อธิปจะมานะแบบนี้” ลุงพูดขึ้นขณะมาเปิดสวิตที่สปริงรดน้ำในสวน
“ลุงจะซ่อมนาฬิกาไหมครับ?”
“ไม่ ช่างมัน รำคาญเหมือนกันนะบางที” ลุงหัวเราะ
“ป๊อบ ลุง ไปหน้าบ้านครับ” เสียงตี๋ร้อง
หน้าบ้านมีรถขนส่งเข้ามาหลายคัน มีรถที่ขนของที่สั่งซื้อ ป้าไหมนั้นลากรถเข็นมาเพื่อลำเลียงอาหารลงรถ แล้วค่อยไปแยกว่าอะไรของใครในภายหลัง ซึ่งมันก็ใช้เวลาจัดการอยู่พักใหญ่ จนเมื่อมาถึงรถอีกคัน เมื่อคนขับเปิดประตูออก ลำเลียงจักรยานลงมา สามสี่คัน หนึ่งในนั้นมีจักรยานไฟฟ้า และเสือภูเขา อีกสองคนเป็นจักรยานธรรมดามีตะกร้าข้างหน้า ที่นี่มีรถจักรยานอยู่สองคันที่มันเก่าและฝืดมาก คงถึงเวลาเปลี่ยน
“แกเอามาให้” ลุงสาทพูด ตี๋ยิ้มแป้นเพราะมันเป็นจักรยานเสือภูเขา คงอยากได้
“อันนี้..”
“อรัญแน่ๆ” เขาก็พลอยอดยิ้มไม่ได้เพราะแทนที่จะได้รถจักรยานยนต์อย่างที่เคยถามยี่ห้อรถจักรยานยนต์จากเขา ได้ข่าวมาว่าเธอทำคำร้องขอรถจักรยานแบบที่เขาขับมาที่นี่ แต่ไหงกลายเป็นจักรยานไฟฟ้าไปเสียนี่
“งานงอกแน่ๆแล้ว ..อรัญเคยปั่นจักยานที่ไหน?”
“คันเล็กน่าจะได้ ไม่น่าจะล้ม ไม่น่ามีปัญหา” เขาออกความเห็น
“ให้เขามาสอนเอง” ลุงบอก ก้มจูงจักรยานส่งให้ตี๋ไปเรียงจอด ก็มีรถอีกคันขับเข้ามาอีก วันนี้ที่นี่ดูวุ่นวาย ตี๋เองก็พลอยปั่นจักรยานไปมาเทียวเปิดประตูเพราะมือถือดังอยู่ไม่ขาดเมื่อใครจะเข้ามาหรือออกไป
เมื่อรจอดก็เปิดท้ายรถมีถาดบางที่คลุมด้วยฟลอยปิดหน้าสามถาด เป็นถาดแบบบาง เขารู้ได้ว่าเป็นอาหาร จึงลำเลียงช่วยถือตามเข้าครัวที่ตึกใหญ่ข้างสระว่ายน้ำ ซึ่งเขานั้นเคยเข้ามาทำความสะอาดและซ่อมของอยู่บ่อยครั้ง เขาเห็นคนส่วนหนึ่งอยู่ที่ห้องโถงตรงข้ามกำลังจะติดตั้งเครื่องเสียงอยู่ คงเปลี่ยนเครื่องเล่นตามยุคสมัย
“หมูหัน ไปเอามาจากภัตรคาร” ชายหนุ่มพูด เมื่อเขาเปิดดูมันเป็นหมูเป็นตัวๆ บาง มีการหั่นเป็นชิ้นๆที่ส่วนลำตัว มีถุงน้ำจิ้มถุงใหญ่ เขาหาชามขนาดใหญ่มาเทแล้วปิดฝาไว้ เริ่มเอาชามออกมาตั้งเรียง
“มีสองตัว ปูผัดผงกระหรี่ แกชอบ ไปทำต้มยำโป๊ะแตกเอง เอากุ้งเบอร์ 21” ชายหนุ่มยื่นตัวมาบอกเขาเบาๆ เขารีบรับคำทันที ไม่ได้สนใจว่าใครเป็นใคร แค่ออกคำสั่งมาเขาจัดให้ทุกอย่างเพราะเจ้าของบ้านนั้นกำลังจะเดินทางมาถึงแล้ว
เขาไม่แน่ใจว่าอธิปอายุ40จริง ชายร่างสูงล่ำสัน เดินคุยโทรศัพท์เข้ามาและนั่งอยู่ที่ขั้นบันใดตรงประตูด้านหลังหน้าสระว่ายน้ำ คุยโทรศัพท์ไม่หยุดหย่อน คงใช้แบบรายเดือน ใช้หูหนีบโทรศัพท์กับไหล่แล้วใช้มือพันขากางเกงสแลคขึ้น ถอดถุงเท้ากองไว้ข้างๆ และพูดคุยเกี่ยวกับการขนส่งอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่ค่อยอยากสนใจฟัง พลางเริ่มจัดโต๊ะอาหารไว้ให้ เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จลุงสาทจึงเดินเข้าไปและยืนถามเบา
“เป็นยังไง?”
“หู้!!....ยุ่งวุ่นวายไปหมดแล้ว ป้าแกเป็นไงบ้าง?” นั่งเหมือนชายหนุ่มคนธรรมดานี่แหละ แต่ทำไมดูเหมือนยังดูเป็นหนุ่มไม่เหมือนที่เขาจินตนาการไว้ในหัวว่าต้องแก่เป็นลุงทึนทึก สมัยเด็กใครบอกอายุสี่สิบห้าสิบแล้วจะดูแก่ทุกคน รูปร่างหน้าตาไปหมดแล้ว แต่นี่อธิปยังดูเหมือนคนหนุ่มแน่น ท่าที การเดินนั่งคล่องแคล่ว ทั้งรูปร่างดูมีทรงมีกล้ามเนื้อแข็งแรง ดูมีพละกำลังมาก สงสัยคงผ่านการออกกำลังกายมา มีกล้ามเนื้อท่อนแขนมีแผงอกกว้างแม้จะสวมเสื้อเชิ้ตก็ดูออกได้
“ไปไหนมาไหนยากแล้ว” ลุงตอบ
“ขาดเหลืออะไรรึเปล่า..ไหนไปดูสิ” เขาลุก ลุงจึงเดินไปหยิบรองเท้าที่บันใด เป็นรองเท้าลำลองที่คงมีใครจัดไว้แต่เช้ามาวางให้ ทั้งสองเดินไปด้านหลังด้วยกัน เขารู้สึกว่าอธิปยังดูเป็นห่วงเป็นใยผู้หลักผู้ใหญ่ ดูใจดีกว่าที่เขานึกคิด ลักษณะการเคลื่อนไหวก็ยังดูไม่มีความมีอายุเลยสักนิด น่าจะสูงราวๆ 180 เซ็นได้ เขารีบลงมือจัดการทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่อรัญญาจะลงมา จะได้กลับไปที่ครัว
ตี๋เข้ามาและดึงโซฟานวมตัวใหญ่จากห้องครัว มาตั้งตรงทางออกหน้าบาร์น้ำใต้พัดลมเพดานที่หมุนอยู่เบาๆ เขารู้สึกว่าบ้านนี้มันเย็นและน่านอน ตี๋อธิบายว่าอธิปชอบนั่งตรงนี้เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ แล้วเดินมาช่วยเขาสำรวจความเรียบร้อย ไม่นานลุงก็เดินมามองสระว่ายน้ำที่มีเศษใบไม้ลอยอยู่จึงใช้ไม้ตักที่มีตะแกรงตรงปลายมีด้ามยามสาวตักใบไม้ออก อธิปนั้นเดินผ่านบาร์น้ำขึ้นไปยังชั้นบน
ตึง!! ตามมาด้วยเสียงกระจกแตกและเสียงกรีดร้องของอรัญดังขึ้น เขาและตี๋หยุดมือมองชั้นบนเงียบ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนนั้นแต่ทุกคนดูจะไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เขาเลยพลอยนิ่งเงียบฟังไปด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“......?” ไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างหยุดไม่ได้ดังลงมา ลุงถอนหายใจโล่ง
“...รอด ลูกโม่มั้งดัง แบบนี้” ลุงบ่นเมื่อป้าป้อมเดินมาและแหงนมองชั้นบน
“เป็นไง..รอดสินะน่ะ ...พี่น้องเขาเล่นกัน” ป้าป้อมพูดด้วยรอยยิ้ม
“กระจก...ได้เปลี่ยนอีก”
“เดี๋ยวเขาลงมาป้อมไปเก็บเอง” พูดจบเธอก็เดินตรงยาวผ่านบ้านอรัญญาและภาสิรึออกไปทางห้องผ้า เขาออกจะงงเพราะทุกคนดูไม่ได้สนใจเขาที่เพิ่งเข้ามารับรู้อะไรแบบนี้เอาเสียบ้าง
“เขาเล่นกันแบบนี้เหรอลุง?” เขาเอ่ยถาม
“ไม่น่าจะเล่น...น่าจะขึ้นไปแบบไม่บอก สงสัยอรัญจะนอนอยู่ ได้ยินเสียง อรัญเลยตกใจ สงสัยจะนึกว่าโจร” ลุงอธิบาย
พวกเขารวมตัวกันที่แคร่หน้าห้องครัวเพื่อทำของกิน เขาตำส้มตำถาดใหญ่ให้กับทุกคนในครัว เลยโดนตักเตือนว่าอย่าให้อรัญได้เห็นในช่วงที่อธิปอยู่ เดี๋ยวจะลำบาก เห็นตี๋หามกรอบกระจกไปทางด้านหลัง เป็นอันว่าอธิปโชคดีที่หลบทัน และน่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะเจออะไรที่ขึ้นไปหาอรัญแบบนั้น ลุงเล่าให้ฟังว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ เลยพากันไม่แปลกใจ
เสียงเพลงสากลยุค 70 ดังอยู่ในบ้านตึกใหญ่ เขาอยากจะใช้ตี๋เอาของกินไปไว้ที่นั่นเพราะไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวาย เมื่อตี๋ติดงานอยู่เขาจึงต้องไปเอง เห็นอรัญญานั่งนวดเท้าให้อธิปที่นอนหลับตาอยู่ จึงรีบก้าวผ่านแบบรวดเร็ว
“แกซื้อให้จริงๆ” ตี๋เดินยิ้มมาพลางบอกเขาเบาๆ หลังจากที่จัดเตรียมเครื่องดื่มอย่างเหล้าให้อธิปเสร็จเรียบร้อย
“เห็นไหม ถ้าอรัญบอกเดี๋ยวก็ได้” ป้าป้อมดันถาดอาหารส่งให้ตี๋ทาน เพราะยังต้องคอยเดินไปมาอยู่เป็นระยะ เมื่อประตูรั้วบ้านล็อคเรียบร้อย ตี๋ถึงจะเข้ามาร่วมวงได้ เป็นอันว่าวันนี้บ้านปิดแล้วเรียบร้อยและคงไม่มีใครเข้าออกแล้ว ป้าป้อมเล่าว่า คงจะเป็นการขอโทษที่อรัญเคยแตะต้องตัวตี๋และทำให้ตกใจ มันเป็นการทำขวัญแบบนึงของอรัญ
ป้าป้อมรีบยกถาดส้มตำออกจากวงกับข้าวเพราะอรัญเดินมา พวกเขาเลยพลอยลุกออกไม่เว้นกระทั่งลุงสาท เธอดมมือที่ดูเหมือนจะมีคราบมันจากน้ำมันนวดเท้าในความคิดของเขา เธอเดินไปหาลุงสาทยื่นมือให้ลุงดม เนื่องด้วยทุกคนรู้ว่ามือนั้นเพิ่งจะนวดเท้าอธิปมา เขาแน่ใจว่าทุกคนจะกลั้นลมหายใจแน่ๆ
“หอมไหม?”
“ไม่ได้กลิ่น” ลุงบอก อรัญญานั้นปรายตามองลุงสาท
“ไหนเอามาให้ป้าดมสิ?” ป้าป้อมบอก อรัญโน้มตัวยื่นมือไปใส่จมูกป้าป้อม
“อูย หอมๆ ไม่มีตีนไหนหอมเท่าอธิปอีกแล้ว” เธอพูดเหมือนเยินยอที่อรัญปรนนิบัติอธิป อรัญเบ้ปาก ก่อนเดินกลับไปที่บ้านของเธอ ทุกคนจึงเดินเข้าวงกับข้าวพลางเหลียวมองว่าอรัญญานั้นไปจริงๆก่อนค่อยนั่ง ทุกคนคงรู้สึกเหมือนเขา อรัญญานั้นนึกจะมาก็มา มาแบบแปลกๆ
“สงสัยเขาหลับ” ลุงชะเง้อส่องตึกใหญ่ ก่อนเดินไปตึกใหญ่เงียบๆ
“เตรียมผ้าขึ้นบ้านรึยัง?” ป้าป้อมหันไปถามป้าไหม
“เรียบร้อย”
“ถ้าอธิปตื่นก็เดินไปบอกอรัญเอา” ป้าป้อมทิ้งท้าย
ตัวเขาไม่ได้สนใจอะไร ผ่านไปพอฟ้าเริ่มมืดเขาจึงก่อไฟเตรียมใช้ถ่านยัดลงหม้อไฟที่จะใส่ต้มยำโป๊ะแตก เพราะอธิปคงกำลังจะตื่น เขาใช้พื้นที่ครัวท้ายสวน ตี๋ที่ปั่นจักรยานไปรอบๆก็กลับมานั่งในศาลากับเขา คงรอจัดเตรียมของช่วยเขา เขาจัดการพับกระดาษทิชชู่ผืนใหญ่ใส่แก้วไวน์ไว้ประดับโต๊ะทานข้าวและของใช้อื่นๆ
“ไปไหนล่ะ?” อธิปลุกนั่งถามหาอรัญญาเมื่อยามตื่นขึ้นบนโซฟาหน้าบาร์เหล้า กระพริบตาส่ายหน้า ใช้มือนวดต้นคอ ตี๋ส่งผ้าเย็นให้ลุงสาทที่ยืนอยู่ในบาร์เหล้าให้ลุงเป็นคนเอาไปให้ เสียงตบถุงดัง ปั้ก!!
“จะอาบน้ำแล้วเหรอ?” ลุงถามเบาๆ เขาได้ยินเพียงเสียงคุยเลยรีบเร่งมือ
“ครับ...กินเหล้าเหรอ?” อธิปถามลุงจึงหัวเราะ เขาเอนตัวไปส่องมองเพราะลุงสาทนั้นจ้องแต่จะดื่ม เมื่อเห็นอธิปไม่ได้ต่อว่าเขาจึงไปยืนมอง
“มาดูเฉยๆ ว่าไม่เคยกินขวดนี้” พอพูดแค่นั้น อธิปเลยลุกขึ้นกวักมือให้ตี๋ส่งแก้วเหล้ามา อธิปรินเหล้าใส่แก้วให้ลุงปราสาทเป็นหนึ่งส่วนสี่ของแก้ว
“เอ้า..ลองกินดู ชอบไหม ถ้าชอบก็เอาไปกิน เอาไปทั้งขวดนี่แหละ” อธิปบอก ลุงปราสาทจึงกระดกเสียหมดแก้ว เขาได้ยินเสียงลุงผ่อนลมออกจากปาก คงกระดกเพียวเลยได้รสชาติ
“ป้อม.... ไปบอก” ลุงยื่นตัวออกมาจากบ้านเรียกป้าป้อมทั้งส่ายหน้าไปทางบ้านอรัญญา ไม่นานเมื่ออรัญเดินมาเธอก็เดินตามอธิปขึ้นไปยังชั้นบน เมื่อทุกคนเงียบ เขาจึงไม่กล้าถาม รีบจัดการทุกอย่างก่อนเดินกลับครัว
ความสงสัยมันอยู่ในหัวแต่เขาทำนิ่งเฉยเพราะถ้าทุกคนไม่พูดเขาก็ไม่ถาม ไม่อยากจะถามแต่มันก็อดคิดไม่ได้ บางครั้งก็ดูห่างเหินจนดูเหมือนไม่ได้คิดถึงกันจริง บางครั้งก็ดูมากเกินไปที่จะหยอกล้อกันแบบเด็กๆ เสียงหัวเราะของอรัญยังติดหูเขาอยู่คงเพราะโดนพี่ชายหล่อนหยอก ต่อให้เขามีน้องสาวแบบนี้ก็คงจะไม่หยอกล้อหรือล้อเล่นแตะเนื้อต้องตัวน้องเพราะน้องก็โตแล้ว แต่เขาก็คงไม่มีสิทธิ์คิดเรื่องที่อรัญขึ้นไปอาบน้ำให้พี่ชาย
เสียงลุงสาทวิจารย์เหล้าที่ได้มาให้ป้อมฟัง ป้อมนั้นดูเยินยอกับของที่แต่ละคนได้รับ และดูจะชื่นชมอธิปเหมือนที่ชื่นชมอรัญญา ขณะที่เขาเตรียมจัดล้างจานชามที่ไม่ใช้แล้ว เห็นอรัญญาที่เดินออกมาจากตึกใหญ่เพื่อกลับบ้าน เธอเหลียวมองลุงสาทก่อนเลี้ยวเดินเข้าซอกไป คงทานอาหารกันเสร็จแล้ว
“ไปสิลุง เขาจะกินเหล้า” ป้าป้อมบอก
อธิปนั้นสวมกางเกงผ้าแพรสีดำและเสื้อกล้ามนั่งดื่มอยู่ เขาจัดหม้อไฟชุดใหม่เสริฟ กลายเป็นลุงสาทที่ต้องนั่งดื่มกับอธิปต่อเมื่ออธิปเชิญให้นั่งเป็นเพื่อน ทุกอย่างเริ่มเงียบสงบ เขาเก็บถ้วยชามที่ทานแล้วใส่ถาดและเปลี่ยนเซทใหม่ให้เป็นประเภทกับแกล้ม รวมทั้งจัดให้ลุงปราสาทด้วย ทั้งสองนั่งเงียบๆดื่มเงียบๆ
“ขัดใจเหรอ?” ลุงสาทถามอธิปด้วยเสียงเนิบๆด้วยรอยยิ้ม คงเพราะได้ที่ เขาเห็นตี๋ปั่นจักรยานเพื่อสำรวจบ้านอีกครั้ง นี่คงเป็นรอบสุดท้าย และป้าป้อมเริ่มปิดบ้านทางส่วนหน้าอยู่ อธิปใช้แขนเกี่ยวพนักพิงเก้าอี้ข้างหนึ่ง นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าไปมา
“ไม่หรอก.. ก็อย่างที่เป็น” อธิปตอบ เขารีบจัดการยกถาดจานเปล่ากลับออกไปที่ครัวเพราะเกรงใจที่จะฟัง
เวลาผ่านไปก็เริ่มดึก เขาต้องนั่งรอเพื่อที่จะเคลียร์ถ้วยชามที่เหลือ เขาเห็นคุณอธิปเดินไปที่บ้านของอรัญ จึงลุกเดินเข้าไปที่ห้องครัวตึกใหญ่เพื่อไปช่วยลุงเก็บของ เขาเก็บอย่างเงียบๆไม่สอบถามอะไร กันการถูกตำหนิว่าสอดรู้สอดเห็น เมื่อจัดเก็บของเสร็จแล้ว ลุงก็ปิดบ้านตึกใหญ่
“เขานอนกับน้อง...เรื่องปกติ อรัญไม่มาก็ต้องไปตาม” ลุงบอกเบาพลางเช็คประตู ไม่นานก็เห็นอธิปเดินจูงอรัญมา ลุงจึงหยุดมือและเปิดออกให้เข้าไป ลุงรอให้อรัญล็อคบ้านจากทางด้านในจึงเดินกลับกับเขา เขาเริ่มเคลียร์สิ่งของชุดสุดท้าย ป้าป้อมที่มาเอาน้ำก็หยุดคุยกับลุงสาทที่เหมือนจะเมาแต่ไม่ยอมเลิกดื่ม
“ไปตามเองเลย ไม่ใช้ใคร” เสียงลุงบอกกับป้าป้อม ว่าอธิปนั้นไม่ได้ใช้ใครให้ไปตามอรัญญา แต่ไปด้วยตัวเองเลย
“โน่น หวีผมให้น้อง” ป้อมส่ายหน้ามองข้างบน เขาเหลียวมองช่องหน้าต่างบานยาวถึงพื้น เห็นอรัญญานั่งอยู่เก้าอี้ต่ำ อธิปนั้นแปรงผมให้อรัญญาที่ปัดไปด้านหน้าและยกปลายผมขึ้น พูดคุยบางอย่างกันอยู่ คงจะเกี่ยวกับเรื่องผม อธิปนั้นโน้มตัวลงจับปลายผมในมืออรัญญา ก่อนนั่งลงคล้ายจะพูดกับเธอบางอย่าง แล้วลุกมาปิดม่านลง
“ป๊อบ ไม่ต้องตกใจนะเขานอนด้วยกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก” ป้อมเข้ามาเปิดตู้และหยิบแก้วน้ำพลาสติกไปสองสามใบ
“เอามาคืนด้วยนะครับ อย่าให้ผมต้องตาม” เขาย้อนป้าป้อมที่เคยพูดกับเขาเมื่อครั้งที่เขาเพิ่งมาและไปเอาผ้าห่มกับป้าป้อม เขาจงใจเปลี่ยนเรื่องเอง ป้าป้อมนั้นก็หัวเราะชอบใจ
“ป้าบอกไว้เฉยๆ..ป๊อบไม่ได้อยู่นี่ตั้งแต่เด็ก เห็นแล้วอาจจะตกใจ อย่างตี๋มันอยู่นี่มันเลยเฉยๆ”
ตี๋นั้นอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนตอนเรียนหนังสือนั้นก็อาศัยรถไปโรงเรียนเข้าออกบ้านนี้พร้อมกับอ้อด ตี๋หัวไม่ดี เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณอธิปก็เลยสอนหนังสือให้พร้อมกับสอนการบ้านอรัญ ไม่ว่าจะบอกอะไรสอนอะไรตี๋ก็ทำตาม เมื่อโตจนมาถึงประถมศึกษาปีที่หก คุณอธิปก็ไม่ให้เข้าใกล้อรัญอีกเลย ตี๋เองก็ทำตามนั้น
ป้าป้อมเล่าว่า อธิปอุ้มอรัญตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ ทำให้ดูเหมือนเป็นพ่อเสียเองทั้งที่อายุเพิ่งจะยี่สิบ เรียนจบแล้วก็ดูแลอย่างดีจนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่หัดมีเมียมีลูกตั้งแต่เด็ก ทุกคนต่างเข้าใจว่าอรัญนั้นเป็นลูกของอธิปมาโดยตลอดและอธิปก็ไม่ได้แก้ตัวแต่อย่างใด จะอาบน้ำก็อาบให้น้องตัวเองก็อาบด้วย นอนด้วยกันทั้งที่อรัญนั้นก็เริ่มโต ไม่มีใครอยากจะแยกหรือย้ายที่นอน ถึงขนาดที่ว่าเมื่ออรัญเริ่มมีระดูนั้น คนที่สอนให้ใช้ผ้าอานามัยก็ยังเป็นอธิปอธิป เขาจะสอนอรัญด้วยตัวเองเพราะไม่อยากให้คนอื่นมารับรู้ อรัญเองก็ไม่ได้เขินอายถ้าอธิปว่าอะไรก็ตามนั้นเลย อรัญนั้นรักอธิปมาก ไม่เคยถกเถียงเรื่องอะไรเลยสักครั้ง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง อรัญได้จดหมายมาจากโรงเรียน อะไรที่ได้มาจากโรงเรียนอรัญนั้นจะให้อธิปได้ดู โดยมันเริ่มที่ว่าวันหนึ่ง มันมีซองจดหมายที่ไม่ได้จ่าหน้า เป็นซองที่มีลายการ์ตูนรูปหัวใจ ไม่วายอรัญก็ยังให้อธิปนั้นได้เปิดอ่านก่อน แค่อธิปนั่งอ่านเท่านั้นแหละ
“บ้านแตก...!!” ป้าป้อมหัวเราะ
อธิปเผาจดหมายนั้นทิ้งทันที และสั่งว่าห้ามไม่ให้อรัญพูดกับใครก็ตามที่พยายามจะเข้ามาคบหา แต่ด้วยว่าอรัญนั้นเป็นคนหัวดีเพื่อนๆเยอะและอยากเข้ามาหาเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนชื่นชม วันหนึ่งมีเสียงโทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้น มันดังเป็นครั้งสุดท้ายเพราะหลังจากนั้น อธิปทุบโทรศัพท์ทุกเครื่องในบ้านพัง ทุกคนเลยเป็นอยู่กันอย่างที่เห็น อรัญก็ไม่ได้ไปเรียนต่อที่ใดอีกเลย โดยมีอธิปสอนหนังสือที่บ้านด้วยตัวเอง
หลังจากที่อ้อดออกจากบ้านนี้แล้ว อธิปก็เริ่มออกจากบ้านไปช่วยกิจการครอบครัวแบบไปเช้าเย็นกลับอยู่ทุกวันโดยมีอรัญที่อยู่เฝ้าบ้านแบบนี้ตั้งแต่นั้นมา ด้วยเกรงว่าอธิปจะโกรธเมื่อเธอพูดหรือคบกับใครจึงไม่สนใจที่จะออกไปไหนอีกเลย
“แล้ว ..คุณนายแกเป็นยังไงครับรู้เรื่องนี้รึเปล่าครับ?”
“รู้ รู้ทุกอย่างนั่นแหละ” ลุงบอก พลางพ่นควันบุหรี่
ความคิดเห็น