คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : รู้จัก อรัญญา
เขานั่งที่เบาะหน้ากับลุงให้เธอนั่งข้างหลัง เขาแนะนำตัวกับลุงว่าเขาชื่อเล่นว่า ป๊อบ ลุงจึงบอกเขาว่าชื่อสาท เป็นคนดูแลที่นี่ทุกอย่าง เห็นเธอมองซ้ายขวาตามทางมันเป็นเนินลง เธอคงเห็นหมู่บ้านจัดสรรที่เพิ่งสร้างเสร็จเป็นบางส่วน
“มีบ้านคนแล้วนี่” เธอพูด
“ครับ..เมื่อก่อนมีแต่ป่า” ลุงตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ การพูดครับเป็นท่าทีที่สุภาพแบบปกติ เธอคงไม่ได้ออกมาจริงๆ เขารถผ่านทุ่งนาข้ามหนองน้ำ และขึ้นเนิน รอบๆเป็นทุ่มนาหมดแล้วและเริ่มมีสวนและบ้านคนเป็นระยะๆแต่ยังคงมีป่ารกบ้างเป็นบางพื้นที่แต่มันก็เจริญกว่าแต่ก่อนมาก เธอมองรอบๆอย่างสนอกสนใจ
“จริงไหมลุงที่เขาว่าแต่ก่อนยิงคนจริง?”
“ใช่..ยิงเลย โจรมันเยอะ คนในถ้าอยู่ไม่เป็นก็เหมือนกัน เขาไม่เอาไว้” ลุงเล่าความอย่างใจเย็นมีรอยยิ้มเหมือนคนอารมณ์ดีพูดกับลูกหลาน
“ไม่มีใครกล้าเข้าไปสิ ลือกันขนาด ผมยังคิดว่าโรงสี”
“ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แหละ” แกหักหัวรถเข้าบ้านเมื่อประตูเปิด คราวนี้ไม่ได้ตรงเข้าไปเลยแต่อ้อมไปอีกทางทำให้เห็นด้านใน อันที่จริงมันก็ไม่ได้กว้างใหญ่มากๆขนาดเดินหากันแล้วเมื่อย มีต้นไม้อย่างต้นกระท้อน มะม่วง ลำใย ทั้งไม้ผลไม้ดอกไม้ประดับอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด มีบ้านหลายหลังอยู่ที่นี่จริงๆ ลุงสาทขับเรียบรั้วไปจอดรถที่เพิงจอดรถสุดกำแพง เขาลงไปเอากระเป๋าและเดินตามลุงไป ทางนี้มีบ้านอีกสองสามสี่หลังเรียงกัน หลายแบบคละกัน เพียงแต่ครั้งแรกเขามองไม่เห็นเพราะต้นไม้มันเยอะ
มันเป็นทางอ้อมเข้ามาถึงหลังบ้านที่เขาเพิ่งเข้า หลังกำแพงริมสระน้ำมีบ้านอีกหลังที่ทำเป็นห้องครัว เป็นบ้านชั้นเดียวแบบยาวๆ เป็นห้องครัวโดยตรงและยังมีห้องพักอีกสองห้อง หน้าบ้านมีตุ่มน้ำใต้ต้นหูกระจงและมีแคร่ไม้เรียบๆสำหรับนั่งเล่น ลุงพาเขาไปข้างในห้องพักแรกมีตู้แช่อาหารและตู้เย็นเรียงกันอยู่ เป็นห้องใช้สำหรับเก็บอาหารและเครื่องปรุงทุกอย่างเหมือนจะใช้ได้อีกหลายเดือน และเขาจะได้อยู่ห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่ในสุด มันดูดีมีระเบียงเล็กๆยื่นออกไปพอให้ได้นั่งรับลมและเห็นวิวรอบบ้านที่เป็นสนามหญ้า
ด้านหลังบ้านเรียบติดกำแพงด้านในมีต้นลำใยสามสี่ต้น มีตุ่มเก็บน้ำขนาดใหญ่สามใบข้างบ้านไม้ที่มีเฉลียงบ้านยื่นออกมาสองหลัง ถัดไปเป็นเหมือนศาลาที่ใช้นั่งเล่น มีกองไม้เรียงๆอยู่ และดูเหมือนที่ๆใช้ก่อไฟหุงหาอาหาร อาจจะมีไว้สำหรับครอบครัวที่อยู่ที่นี่เขาเห็นหญิงวัยกลางคนอยู่สองคนกำลังพับผ้ารีดผ้าอยู่ที่นั่น มันจะมีบ้านปูนอีกหลังที่ตรงนั้นที่ดูเหมือนจะไม่มีประตูปิดเปิด มีเครื่องซักผ้า มีชั้นวางผ้าที่เป็นไม้ตรงนี้คงเป็นส่วนที่ใช้ซักล้าง แต่ด้านในมีห้องที่น่าจะเป็นห้องนอน เพราะมีประตูปิดอยู่ เขาถูกแนะนำว่ามาซักผ้าที่นี่ได้เลย
“ถ้าปิ้งย่างเผาก่อไฟ ให้มานี่ เดี๋ยวควันจะเข้าบ้านใหญ่ ตรงนี่มันจะไกลทำได้ ถ้าซักผ้ามาตรงนี่ ทิ้งตะกร้าไว้นี่เดี๋ยวเขาจะทำให้เอง ถ้าอยากซักตากเองก็ได้ตามสบายเลย”
“บ้านใหญ่...ที่เธอเข้ามาครั้งแรก ..อย่าเข้าไปอีกถ้าเขาไม่เรียก รึไม่มีหน้าที่ก็ไม่ต้องไป” ลุงอธิบายขณะเดินไปดูรอบๆ กลับมาสองหลังข้างตึกใหญ่ที่เขาผ่านครั้งแรก ที่เขาเดินอยู่เป็นด้านหลัง เมื่อมาด้านหน้าก็จะพบว่าเป็นบ้าน ที่ไม่สูงมาก เป็นบ้านปูนยุค 60 ที่มักจะมีเพดานต่ำ ไม่มีหลังคา เป็นปูนทั้งหมดทั้งสองชั้น ชั้นสองเป็นระเบียงหน้าห้องแบบโล้นๆไม่มีหลังคา มีแค่เหล็กกั้นราวระเบียงบิดโค้งเรียงๆ บ้านเป็นพื้นหินอ่อน มีสวนหย่อม มันเหมือนกันทั้งสองหลัง
“อันนี้บ้านภาสิรี หลังติดกับหลังใหญ่นั่นบ้าน อรัญญา” ลุงสาทพูดตอนที่เดินผ่านบ้านภาสิรี
“ใครครับ?” เขาเลยถามเลย มองสวนด้านหน้าบ้าน มีโต๊ะหินอ่อน ทั้งขนาดเล็กๆ และใหญ่มาก ใต้ต้นหูกระจงและต้นหูกวาง ทั้งยังมีต้นขามจุรีและหางนกยูงฝรั่ง มันเลยทำให้ดูร่มรื่น แตกต่างจากที่คิดเมื่อมองจากภายนอกเหมือนหลุดมาอีกโลกเลยก็ว่าได้ เหมือนเขาอยู่ในมินิรีสอร์ทนี่แหละ
“ก็นั่นใง ...ที่มาด้วยกันใง อรัญ” สรุปคือเธอชื่ออรัญ หรือ อรัญญา
“แล้วภาสิรึล่ะ?”
“ไม่ได้อยู่นี่แล้ว ไปอยู่เมืองนอก คงไม่มาแล้วแล้วล่ะ ที่บอกนี่คือ เวลาใครบอกว่าอะไรอยู่ไหน ไปไหนต้องรู้ โน่นอีก..” คุณลุงล้วงมือออกจากกระเป๋าชี้ไปทางด้านข้างลานจอดรถที่เพิ่งไปจอดและพาเขาเดินย้อนออกไป มีบ้านอีกหลัง หลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียว ประตูเปิดปิดเลื่อนเข้าออก ด้านในเป็นผนังไม้ล้วนๆ มีตู้เสื้อผ้ายาวกว้างเต็มผนังทั้งบ้าน มันเหมือนร้านขายเสื้อผ้าเพราะมีแต่เสื้อผ้าและชั้นวางรองเท้า ยาวเป็นพรืด
“ห้องเสื้อผ้า ของเจ้าของบ้าน” ด้านในเป็นตู้ที่เก็บผ้าไหม ตั้งเรียงหลากสี มีกระจกบานยาวตั้งอยู่ เขาเดินไปดู
“สองตู้นี่ของอรัญ นี่ เสื้อผ้าธรรมดาก็มี นี่....” ลุงสาทเปิดตู้และหัวเราะมันเป็นเสียงหัวเราะแห่งความชื่นชม มันมีเสื้อผ้าจริงๆที่คนธรรมดาใส่กัน กางเกง เสื้อยืด เสื้อกันหนาว เสื้อแขนยาว แขวนเรียงตามขนาดแขนเสื้อ กางเกงก็พับแยกตามชนิด
“เดี๋ยวแม่บ้านจะเอาเข้ามาเอง เห็นผ้าไหมไหม ...ผืนหลายพัน เป็นหมื่นก็มี แยกซักอย่างดี ถ้าเขาเอาผ้ามาส่งเห็นว่าเป็นผ้าก็เอามานี่ วางที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวยายป้อมกับยายไหมแกจะเข้ามาจัดเอง”
เขารู้ทุกอย่างพอคร่าวๆแล้วในตอนนี้ เขาเห็นโหลที่แม่บ้านสองคนถือเข้ามาในครัว มันเป็นหน่อไม้ดองเปรี้ยว เขาเลยอาสาที่จะเป็นคนทำอาหารเย็นเอง เขาชอบครัวที่นี่ มันใหญ่ อุปกรณ์ครบ เป็นการอาสาทำให้ชิมก่อนว่าผ่านไม่ผ่าน มันเป็นอาหารพื้นบ้าน เขาเองก็ทำกินบ่อย แกงหน่อไม้ดองใส่ไก่ ส่วนป้าๆแม่บ้านก็ทำอยากอื่น โขลกน้ำพลิกปลาแห้งย่าง ที่ยากพริกหอมกระเทียมมาเรียบร้อย
ยายป้อมเป็นหญิงอายุห้าสิบ ผมหยิกหน้าผากล้าน ตาโล่กลมปากดำเพราะเคี้ยวมากผิวสำดำแดง ป้าไหมเป็นคนขาวอวบ วัยสี่สิบ และยังมีภรรยาคุณลุงที่อยู่บ้านไม้ เดินเหินไม่ค่อยสะดวกแล้ว ยายป้อมเป็นผู้หญิงที่พูดเสียงดังพูดจาฉะฉาน และยายไหมที่พูดจาน้อมน้อมเรียบๆแต่ไปกันได้ดี เขาโดนเตือนจากลุงว่าอย่าถือสาป้าป้อมเพราะแกพูดจาผาดโผน ชอบพูดนิทานพื้นบ้านนิทานก้อมให้อรัญฟังแต่อรัญไม่ถือสา และเขายังได้รับฟังเรื่องข้อห้ามต่างเช่น
-ห้ามท้วงติงเรื่องเสื้อผ้าที่อรัญสวมใส่ มันมีเหตุผลซึ่งเดี๋ยวเขาก็รู้เองว่าทำไม
-ห้ามเล่นหัวกับอรัญเมื่อคุณเจ้าของบ้านมา ห้ามเด็ดขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อรัญไม่ใช่คนถือตัวอย่างที่คิด ต่อให้สนิทภายหลัง เมื่อเจ้าของบ้านมาให้แยกออกจากกัน อยู่ใครอยู่มันไม่เกี่ยวข้องกัน และห้ามเข้าใกล้หรือแตะเนื้อต้องตัวอรัญ
-บ้านหลังใหญ่ทำความสะอาดได้แค่ภายนอกตัวบ้านเท่านั้น หากไม่เรียกใช้ห้ามเข้าไปในบ้าน หากมีเวลาว่างก็ทำสวน
-หากมีของสิ่งใดขาดเหลือไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัวหรือของที่บ้านที่จำเป็นต้องใช้ให้เขียนไว้จะมีคนมารับไปซื้อของเข้ามาเดือนละครั้ง ของใช้ที่ว่ามันรวมทั้งกางเกงเสื้อผ้าและชั้นใน และต้องระบุยี่ห้อสิ่งของที่ใช้ให้ละเอียดยิปกันพลาด
-อาหาร กืนตามปกติที่อยากกินหรือทำ หากเจ้าของบ้านมาจะมีรายการอาหารส่งมาก่อนค่อยทำ ส่วนใหญ่ถ้าอรัญอยากทานอะไรพิเศษก็ค่อยทำให้ เธอไม่เรื่องมากแต่ถ้าอยากกินก็ต้องทำให้กิน {แม่บ้านย้ำว่านานๆครั้งไม่บ่อย}
-ไม่เข้านอกออกในบ่อยๆ ไม่พาใครมาและไม่นำปัญหาเข้ามา หากมีการเจ็บป่วยแจ้งทันที ไม่คบค้าสมาคมหรือพูดคุยเรื่องในบ้านนี้กับใคร ไม่ว่ามันจะแปลกแค่ไหนก็ตาม ซึ่งมันก็อยู่ในสัญญาที่ระบุข้อนี้มาแต่แรก
เขารู้เพียงแค่นี้ในตอนนี้ เขาทำอาหารเสร็จก็ผ่านห้องด้านในขึ้นบันใดสามสี่ขั้นไปเข้าห้องของเขาที่อยู่ในสุด มันจัดเหมือนห้องพักในรีสอร์ทธรรมดาๆนี่แหละและดูเหมือนว่าทุกอย่างในพื้นที่นี้ ที่นี่ ครัวนี้มาทีหลังเพื่อน เหมือนว่าห้องเขาใหม่สุด เขารับหน้าที่จัดการในครัว เรื่องอาหารให้ทุกคน รวมถึงการสั่งซื้อของ และที่ต้องทำแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เข้าออกเหมือนบ้านทั่วไป เจ้าของบ้านชอบความเป็นส่วนตัว การไปซื้อของในแต่ละครั้งต้องจบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จฟ้าก็พลบค่ำ เขาออกมาที่หน้าครัวตรงแคร่ก็มีสำรับกับข้าวตั้งรอบนแคร่เรียบร้อย ทั้งยังมีกระติ๊บข้าวเหนียวนึ่ง เขาเดินไปเปิดตุ่มน้ำเล็กๆใต้ต้นหูกระจงใช้ขันตักล้างมือ ป้าป้อมนั่งปลอกมะพร้าวอยู่ไม่ไกล และลุงสาทที่ยืนสูบบุหรี่อย่างสบายอกสบายใจ เขาเห็นตั่งไม้มีขวดเหล้าขาวตั้งอยู่กับแก้วเป๊ก
“กินเหล้าเหรอลุง?”
“ใช่ มันก็มีบ้าง” แกยิ้ม และทิ้งก้นบุหรี่ลงกะลามะพร้าว ก่อนเดินมาหยิฐขันเงินที่สีขุ่นๆไปตักน้ำจากตุ่มมาวางบนแคร่
“กินข้าวครับ”
“เอาเลยเขากินแล้ว....รออรัญหน่อย”
“...!” เขาลืมเธอเสียสนิท ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้กิน
“ไม่ต้องอะไรมากหรอก ก็คนธรรมดานี่แหละ ...โน่นมาแล้ว” ลุงบอก เขาเห็นเธอเดินมาจากบ้านของเธอผ่านสวนหย่อมมา ป้าป้อมรีบลุกล้างมือ
“ไม่เป็นไรปีอบนั่งเฉยๆ...กินเลยๆ” ป้าป้อมพูดขึ้นคงเกรงว่าเขาจะทำตัวไม่ถูก อรัญญานั้นยกแค่ขาข้างเดียวขึ้นนั่งบนแคร่คล้ายกับขัดสมาธิข้างเดียวและขาอีกข้างหย่อนข้างแคร่ โดยมีป้าป้อมรวบผมให้เธอแบบยกสูงก่อนที่จะเปียหางม้า เธอมองเขานิ่งๆ
“กินสิ ไม่หิวเหรอ?” ถามพลางล้วงมือลงขันเงินและเข็ดมือ เขามองอาหารมันเป็นอาหารพื้นบ้าน ผักลวก ปลาป่น แกงหน่อไม้ดอง แค่นั้น รู้สึกงง เขานึกว่าต้องทำแยกให้เธอ
“ก็รอกิน” เขาตอบ
“กินเลย ป๊อบ จะเสร็จแล้วนี่” ถึงป้าป้อมบอกตัวเขาก็ยังไม่กล้า ป้าป้อมเอาผ้าเช็ดปากให้อรัญกางลงตัก อรัญญา ดึงกระติบข้าวเหนียวไปเปิด หยิบข้าวขึ้นมาปั้นตักน้ำพริกลงถ้วยตนและใช้ข้าวเหนียวจิ้มทานก่อนที่จะหยิบผักลวกขึ้นม้วนใส่ปาก ไม่นานลุงสาทก็หัวเราะเบาๆ
“บอกแล้วว่าคนธรรมดานี่แหละ” ลุงบอก เห็นแบบนั้นเขาจึงลงมือทานกับเธอ
“กินได้ไหม?” ป้าป้อมนั่งข้างๆเอ่ยถามขึ้น
“..อร่อย” เธอพูดพลางใช้นิ้วก้อยเกาที่หัวคิ้ว
“พี่จะเล่านิทานให้ฟัง” ป้าป้อมยิ้มมือวางที่ขาอรัญญาอย่างเอาใจ เขาหัวเราะเพราะมันเป็นจริงอย่างที่ลุงบอกว่าเธอชอบเล่านิทาน อรัญญาที่ม้วนผักอยู่หันไปมองเธอก่อนเหลียวมามองเขา
“เล่ามา” อรัญญาพูด แต่ก็ทานตามปกติ
มีโจรผู้ร้ายเข้าไปปล้นร้านขายของ โจรมันมีปืนในมือ เมื่อสั่งให้เจ้าของร้านยกมือ เจ้าของร้านที่เป็นคนเชื่อสายจีนก็บอกว่าให้ยกมือไม่อย่างนั้นตาย ก็ล่ายๆ ๆ โจรสั่งให้เปิดเก๊ะและส่งเงินมาไม่งั้นตาย คนจีนก็บอกว่า ก็ล่าย ๆ ไม่ว่าจะสั่งอะไรก็ตอบ ก็ล่าย เพราะความที่กลัวตายจึงยอมทำทุกอย่าง ประจวบเหมาะที่สาวใช้ออกมา โจรบอกให้ถอดเสื้อผ้าออก ผู้หญิงก็ถอดออกแก้ผ้าล่อนจ้อน โจรเลยหันปืนและสั่งเจ้าของร้านให้ถอดออกด้วยไม่งั้นตาย เจ้าของร้านก็บอกว่า ล่ายๆๆๆ เมื่อเจ้าของบ้านถอดเสร็จโจรก็สั่งให้เจ้าของบ้านกระทำชำเลาหล่อนไม่อย่างนั้น ตาย!! เจ้าของร้ายก็บอกเช่นเดิมว่า ล่ายๆๆ ผ่านไปสักครู่ โจรก็เกิดมีอารมณ์เสียเอง เลยสั่งเจ้าของให้หยุดและคิดจะทำเสียเอง หยุด!! ข้าจะทำเอง ไม่งั้นเอ็งตาย!! คราวนี้เจ้าของร้านที่กำลังได้ที่ก็ขึ้นเสียงบอกว่า
“ตายเปงตาย!!” ป้าป้อมหัวเราะเสียงดัง แต่อรัญญามองหน้าอย่างตั้งใจฟังเงียบๆก่อนเลียลิมฝีปากเพราะได้รสชาติอาหารหันมามองเขาแล้วพยักหน้าให้ เขาจึงหัวเราะออกมาไม่ใช่เพราะเรื่องที่เล่ามันตลกแต่เขาตลกที่คนฟังดูเหมือนจะไม่ให้ความร่วมมือในการแกล้งหัวเราะบ้างก็ได้
ดูเหมือนว่าเป็นการสร้างความสนุกสนานให้กับคนกลุ่มเล็ก ไฟในสวนเริ่มติด ขึ้น ป้าป้อมก็ยกผลไม้กระป๋องมาเสริฟให้และชักชวนให้เขาเข้าไปหาของหวานทาน ในตู้เย็นมีน้ำมะพร้าวแช่อยู่ในขัน มีมะพร้าวอ่อนลอยอยู่เพียบ คงทำใว้ให้อัญเขาเลยเลือกเครื่องดื่มอย่างโยเกิร์ตแทน ตอนนี้ทุกคนแยกย้ายไปไหนก็ไม่ทราบคงเห็นแต่อรัญที่นั่งทานผลไม้กระป๋องอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไรเลยไปนั่งที่แคร่กับเธอ ไม่นานก็เห็นหลอดไฟในบ้านเธอติดขึ้นทุกคนคงไปสำรวจความเรียบร้อย
ชายร่างผอมบางเดินเข้ามาพร้อมถุงกระดาษและส่งจดหมายให้เธอ เธอเช็ดมือก่อนเปิดซองจดหมาย นั่งขัดสมาธิท้าวแขนที่เข่าอ่านจดหมายอย่างไม่เร่งรีบ และชายคนนั้นก็ยืนนิ่งเหมือนกับรออะไรบางอย่าง เธอเหลียวมองเขาที่นั่งมองอยู่ก่อนที่จะชี้นิ้วมือไปที่ชายคนนั้น
“พี่ตี๋...อยู่หน้าบ้าน” เธอบอก เขารีบพนักหน้าให้เช่นเดียวกันกับที่เขาทำ
“ชื่อป๊อบครับ”
“ครับยินดีที่รู้จักครับ” ผงกหัวสองสามที
“ไม่มีอะไรให้ค่ะเดี๋ยวอรัญโทรไป” อ่านจบเธอก็พูด ชายคนนั้นจึงเดินไป เธอเก็บจดหมายเข้าซองก่อนนั่งทานต่อ เงียบๆ ไม่นานคุณลุงสาทก็เดินกลับมาพร้อมหอบสายยางในมือมากองลงที่ใต้ต้นไม้ เขาสงสัยว่าทำไมยังมีการเขียนส่งจดหมายกันอยู่อีก นึกสงสัยว่ามีอะไรบ้างที่ช่วยเอนเตอร์เทนมากกว่านี้ อย่างเธอคงไม่เคยไปเนตคาเฟ่
“รู้จักเอ็มเอสเอ็นไหม ไฮไฟ?” เขาพูดพลางใช้ฟันกัดหลอด
“เอาไว้ทำไร?”
“หาคู่ หาเพื่อนคุย แชท”
“คุยกันไม่ได้เหรอ ..ก็อยู่กันแค่นี้ อยากพูดอยากคุยก็พูดสิ”
“เดี๋ยวนี้เขาส่งข้อความหากันแล้ว คุยได้ทั้งคืน อยู่ไกลกันก็คุยได้ ไม่ต้องมารอส่งจดหมายหากัน”
“โทรเอาก็ได้นี่..คิดถึงก็โทรเสียเวลาทำไม พูดง่ายกว่า” เธอขมวดคิ้วมองเขา ป้าป้อมพี่ไหมเริ่มเก็บข้าวของที่ทำเพื่อความสะอาด เขานึกถึงว่าเธอรู้จักอะไรใหม่ๆบ้าง
“แล้วรู้จักเฟซบุ๊คไหม?”
“...เอาไว้ทำไม?”
“ก็ลงรูป อัพเดทสถานะ ว่าเราอยู่ไหนทำอะไร เพื่อนก็จะได้รู้” เขาอธิบายตามที่เข้าใจแต่ตัวเขายังไม่มีหรอกเฟซบุ๊คที่ว่าเพราะขี้เกียจอัพโหลดรูปลงคอมพิวเตอร์ ใช้งานยาก หากไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวต้องให้ร้านลงรูปให้ วัยรุ่นยุคนี้ก็ทำแบบนั้น เขาไม่ค่อยสนใจเฟซบุ๊คเสียเท่าไหร่มันใช้งานยาก แต่เธอขมวดคิ้วมองเขาและหยุดทานทั้งป้าป้อมป้าไหมและลุงก็หยุดฟัง
“เพื่อน.. ทำไมทำอะไรต้องให้คนอื่นรู้ เพื่ออะไร จะทำอะไรคนอื่นจำเป็นต้องรู้เหรอ ประสาท ปัญญาอ่อน สอดรู้สอดเห็น” เธอก้มลงไปล้างมือและเช็ดมืออีกรอบและลุกหอบเอาของเดินกลับไปทางเดิม เพื่อนเดินกลับเข้าบ้าน เขาได้แต่คิด มันก็จริงอย่างเธอว่า หรือเขาผิดเองที่เป็นฝ่ายถามเธอ
“...” ลุงสาทที่น่าจะเมาแล้วหัวเราะเบาๆ
ความคิดเห็น