คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : รู้จัก อรัญญา
เขาจัดเตรียมเสื้อผ้าใส่กระเป๋า อยากเริ่มงานให้ไวที่สุด ทิ้งรถจี้บคันเก่าไว้ที่บ้านของเขาให้พ่อเขาได้ใช้งานมัน เพราะลุงบอกว่าไม่จำเป็นจะต้องใช้ มันมีกฎตายตัวอยู่แต่เดี๋ยวจะค่อยๆแนะนำให้รู้จัก เขาเก็บกระเป๋าลงมารอที่แคร่ไม้ ดูแม่เขาหรือพ่อของเขาคงไม่ห่วง โดยเฉพาะพ่อของเขาที่ไม่ได้ไยดีเขาเสียแต่แรก ไม่นานรถยนต์ สีดำก็มาจอดตรงประตูบ้าน เป็นลุงคนเดิมที่ลงมา ลูกสุนัขของเขาวิ่งไปที่รถคันนั้นพร้อมกับนั่งมองจ้องที่ประตูหลังนิ่ง เขาแม่และพ่อจึงลุกไปต้อนรับ
“เสร็จละยัง ลาพ่อแม่รึยัง?” ลุงเอ่ยถามเขาทั้งรับไหว้ทุกคน
“มันจะไม่ไปสร้างความลำบากให้เหรอ?” พ่อของเขาพาดผ้าขนหนูขึ้นไหล่ พูดภาษาถิ่น ก่อนเหลียวมองที่รถเมื่อมีเสียงปิดประตูหลังรถ ลุงก็หันกลับไปที่รถพลางถามว่ามีอะไร พ่อของเขาจึงเดินออกไปที่ประตูรั้วและจ้องมองรถตรงประตูหลังนิ่งอยู่ครู่นึง ไม่นานประตูรถก็เปิดออก
“.....” เขาเห็นผ้าซิ่นคราวนี้เป็นสีดำทองโผล่ชายลงมาก่อนที่เธอจะลงมา เธอสวมแว่นกันแดด จัดชายผ้าซึ่นเป็นชั้นๆหลายชั้นเหมือนชักชายสะบัดคาดเข็มขัดทอง ซิ่นที่เธอสวมนั้นดูพองและยาวถึงเท้าเกือบลากดิน เธอย่อตัวลงวางลูกสุนัขลงตรงหน้าพ่อของเขา มันเป็นแค่ลูกสุนัขบ้านๆธรรมดาๆ ไม่มีสายพันธ์ คงรู้สึกผิดที่ไปหยิบจับของคนอื่นไปเลยเอามาคืน
“อย่าออกมาครับ” เสียงลุงบอก แต่เธอยืนนิ่ง ไม่ได้มีรอยยิ้ม พลันพ่อของเขามองเธอและมีรอยยิ้มเสียเอง
“แม่มันชื่อ แข่งแหล่ง” แข่งแหล่ง ที่หมายถึงผอมกระหร่อง พ่อของเขาพุดกับเธอเป็นภาษาอีสาน พ่อของเขาเดินปรี่มาที่โต๊ะในบ้านหยิบส้มไปให้เธอผลนึง เธอไม่ได้ยื่นมืออกมาแค่หงายผ่ามือที่ข้างลำตัว สีผิวละเอียดไร้ริ้วรอยใดมาเปื้อนสีผิวนิ้วช่างเรียวยาวเล็บยาวปานกลีบดอกบัว เธอมีสีหน้าที่ไร้การแสดงอารมณ์ใด หากเป็นคนอื่นพูดด้วยแล้วไม่ตอบกลับคงถือว่าเป็นการเสียมารยาทขั้นสูงสุด พ่อเขาจึงวางผลส้มเขียวหวานลงบนผ่ามือของเธอ เธอห่อนิ้วรวบผมส้มก่อนเดินกลับไปขึ้นรถ
“ไม่ค่อยได้ออกมาคุยกับใคร เลยไม่รู้ความ คุยเป็นแต่กับคนในบ้าน อย่าถือสา” ลุงอธิบายเป็นภาษาถิ่นเช่นกัน แต่พ่อของเขานั้นดูอารมณ์ดี ท้าวเอวสองข้างยืนมองรถด้วยรอยยิ้มกว้างแล้วถาม
“กี่ปีแล้วที่ไม่ได้ออกมา?”
“สิบ...กว่าปีได้มั้ง เกิด 26 ปีนี่ 48 เนาะ” ลุงหงายมือนับเขาเลยรู้ว่าเธออายุเท่ากับเขา คุณลุงนั้นนับวันเดือนขมวดคิ้วคงสับสนเรื่องวันเวลาเช่นกัน
“โอ้!! มิน่าล่ะ..ไม่เจ็บไม่ไข้?” พ่อเขาถามต่อ
“เป็นไรมากๆถึงได้พาออกมา ก็คนธรรมดานี่แหละ” ลุงจบแบบนั้นคงเพราะพ่อของเขาถามมากไป ลุงจึงส่งนามบัตรที่มีเบอร์โทรศัพท์ให้พ่อแม่ของเขาบอกไม่ต้องห่วงเพราะอยู่ใกล้แค่นี้ พ่อของเขาจึงหันมาหาเขา
“ไป ..มีไรก็ติดต่อมาบอก ทำงานดีๆ” พ่อของเขาตบบ่าเขาก่อนดันหลังให้เขาเอากระเป๋าไปเกิบท้ายรถ เป็นครั้งแรกที่พ่อของเขาพูดกับเขา เขารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย หรือว่าพอเขาจะไปก็เลยอารมณ์ดีเสียอย่างนั้น เขาได้แต่คิด
เขานั่งที่เบาะหน้ากับลุงให้เธอนั่งข้างหลัง เขาแนะนำตัวกับลุงว่าเขาชื่อเล่นว่า ป๊อบ ลุงจึงบอกเขาว่าชื่อสาท หรือมีชื่อจริงว่าปราสาท เป็นคนดูแลที่นี่ทุกอย่าง คอยดูแลบ้านและคนในบ้านให้เจ้าของบ้าน รวมทั้งเธอที่นั่งอยู่เบาะหลัง ลุงส่ายหน้าไปทางด้านหลังเล็กน้อยให้เขาได้รู้ เขาเห็นเธอมองซ้ายขวาตามทางมันเป็นเนินลง เธอคงเห็นหมู่บ้านจัดสรรที่เพิ่งสร้างเสร็จเป็นบางส่วน ดูเธอนั้นให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“มีบ้านคนแล้ว!” เธอพูด
“ครับ..เมื่อก่อนมีแต่ป่า” ลุงตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ การพูดครับเป็นท่าทีที่สุภาพแบบปกติ เธอคงไม่ได้ออกมาจริงๆ ลุงขับรถผ่านทุ่งนาข้ามหนองน้ำ และขึ้นเนิน รอบๆเป็นทุ่งนาหมดแล้วและเริ่มมีสวนและบ้านคนเป็นระยะๆ ทางก็เป็นคอนกรีตหมดแล้ว แต่ยังคงมีป่ารกบ้างเป็นบางพื้นที่แต่มันก็เจริญกว่าแต่ก่อนมาก เธอมองรอบๆอย่างสนอกสนใจ
“จริงไหมลุงที่เขาว่าแต่ก่อนยิงคนจริง?”
“ใช่..ยิงเลย โจรมันเยอะ คนในถ้าอยู่ไม่เป็นก็เหมือนกัน เขาไม่เอาไว้” ลุงเล่าความอย่างใจเย็นมีรอยยิ้มเหมือนคนอารมณ์ดีพูดกับลูกหลาน
“ไม่มีใครกล้าเข้าไปสิ ลือกันขนาด ผมยังคิดว่าโรงสี”
“ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แหละ” แกหักหัวรถเข้าบ้านเมื่อประตูเปิด
คราวนี้ไม่ได้ตรงเข้าไปเลยเหมือนที่เขาเคยขับเข้าไปในครั้งแรกที่มา แต่อ้อมไปอีกทางทำให้เห็นด้านใน อันที่จริงมันก็ไม่ได้กว้างใหญ่มากๆขนาดเดินหากันไม่ได้ มีต้นไม้อย่างต้นกระท้อน มะม่วง ลำไย ทั้งไม้ผลไม้ดอกไม้ประดับอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด มีบ้านหลายหลังอยู่ที่นี่จริงๆ ลุงสาทขับเรียบรั้วไปจอดรถที่เพิงจอดรถสุดกำแพง เขาลงไปเอากระเป๋าและเดินตามลุงไป ทางนี้มีบ้านอีกสองสามสี่หลังเรียงกัน หลายแบบคละกัน เพียงแต่ครั้งแรกเขามองไม่เห็นเพราะต้นไม้มันเยอะ
มันเป็นทางอ้อมเข้ามาถึงหลังบ้านที่เขาเพิ่งเข้า หลังกำแพงริมสระน้ำมีบ้านอีกหลังที่ทำเป็นห้องครัว เป็นบ้านชั้นเดียวแบบยาวๆ เป็นห้องครัวโดยตรงและยังมีห้องพักอีกสองห้อง หน้าบ้านมีตุ่มน้ำใต้ต้นหูกระจงและมีแคร่ไม้เรียบๆสำหรับนั่งเล่น ลุงพาเขาไปข้างในห้องพักแรกมีตู้แช่อาหารและตู้เย็นเรียงกันอยู่ เป็นห้องใช้สำหรับเก็บอาหารและเครื่องปรุงทุกอย่างเหมือนจะใช้ได้อีกหลายเดือน มันวางเหมือนชั้นวางในร้านค้า และเขาจะได้อยู่ห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่ในสุด มันดูดีมีระเบียงเล็กๆยื่นออกไปพอให้ได้นั่งรับลมและเห็นวิวรอบบ้านที่เป็นสนามหญ้า ใช้แตะฟุตบอลหรือเล่นกีฬาได้เลยในความคิดของเขา
ด้านหลังบ้านเรียบติดกำแพงด้านในไกลไปหน่อยมีต้นลำไยสามสี่ต้น มีตุ่มเก็บน้ำขนาดใหญ่สามใบข้างบ้านไม้ที่มีเฉลียงบ้านยื่นออกมาสองหลัง ถัดไปทางขวาเป็นเหมือนศาลาที่ใช้นั่งเล่น มีกองไม้เรียงๆอยู่ และดูเหมือนที่ๆใช้ก่อไฟหุงหาอาหาร อาจจะมีไว้สำหรับครอบครัวที่อยู่ที่นี่เขาเห็นหญิงวัยกลางคนอยู่สองคนกำลังพับผ้ารีดผ้าอยู่ที่นั่น และกำลังลุกไปบ้านอีกหลังหนึ่งที่อยู่ข้างตึกใหญ่ คงไปหาผู้หญิงคนนั้นเพราะเขาเห็นเธอเดินเข้าไปในนั้น
ลุงพาเขามาบ้านหลังสุดท้ายมุมในสุด มันจะมีบ้านปูนอีกหลังที่ตรงนั้นที่ดูเหมือนจะไม่มีประตูปิดเปิด มีเครื่องซักผ้า มีชั้นวางผ้าที่เป็นไม้ตรงนี้คงเป็นส่วนที่ใช้ซักล้าง แต่ด้านในมีห้องที่น่าจะเป็นห้องนอน เพราะมีประตูปิดอยู่ เขาถูกแนะนำว่ามาซักผ้าที่นี่ได้เลย
“ถ้าปิ้งย่างเผาก่อไฟ ให้มานี่ เดี๋ยวควันจะเข้าบ้านใหญ่ ตรงนี่มันจะไกลทำได้ ถ้าซักผ้ามาตรงนี่ ทิ้งตะกร้าไว้นี่เดี๋ยวเขาจะทำให้เอง แต่ถ้าอยากซักตากเองก็ได้ตามสบายเลย นี่แหละ” ลุงชี้บริเวณดังกล่าว ด้านข้างตัวบ้านยังมีบ่อน้ำบาดาล มีต้นฝรั่งขี้นกอยู่ ส่งกลิ่นเมื่อผลของมันร่วงลงมาบนพื้น และถูกกวาดกองๆไว้
“บ้านใหญ่...ที่หนุ่มเข้ามาครั้งแรกนั่นแหละ ..อย่าเข้าไปอีกถ้าเขาไม่เรียก รึไม่มีหน้าที่ก็ไม่ต้องไป” ลุงอธิบายขณะเดินไปดูรอบๆ
กลับมาที่ห้องครัวที่เขาอยู่ มีบ้านสองหลังข้างตึกใหญ่ มีทางเดินระหว่างตึกกับตัวบ้านไปด้านหน้า เมื่อมาด้านหน้าก็จะพบว่าเป็นบ้าน ที่ไม่สูงมาก เป็นบ้านปูนยุค 60 ที่มักจะมีเพดานต่ำ ไม่มีหลังคา เป็นปูนทั้งหมดทั้งสองชั้น ชั้นสองเป็นระเบียงหน้าห้องแบบโล้นๆไม่มีหลังคา มีแค่เหล็กกั้นราวระเบียงบิดโค้งเรียงๆ บ้านเป็นพื้นหินอ่อน มีสวนหย่อม มันเหมือนกันทั้งสองหลัง
“อันนี้บ้านภาสิรี หลังติดกับหลังใหญ่นั่นบ้าน อรัญญา” ลุงสาทพูดตอนที่เดินผ่านบ้านอรัญญามาแล้ว เขาเห็นคุณป้าสิงคนนั้นกำลังจัดชายซิ่นให้เธออยู่ด้านใน เธอยืนกางแขนให้ป้าอีกคนเช็ดแขนให้ ผมเธอยาวแทบถึงหัวเข่าอยู่แล้ว เขามองผ่านๆไม่กล้ามองมากเกรงจะหาว่าสอดรู้สอดเห็น
“ใครครับ?” เขาเลยถามเลย มองสวนฝั่งตรงข้ามด้านหน้าบ้าน มีโต๊ะหินอ่อน ทั้งขนาดเล็กๆ และใหญ่มาก ใต้ต้นหูกระจงและต้นหูกวาง ทั้งยังมีต้นจามจุรีและหางนกยูงฝรั่ง มันเลยทำให้ดูร่มรื่น แตกต่างจากที่คิดเมื่อมองจากภายนอกเหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกเลยก็ว่าได้ เหมือนเขาอยู่ในรีสอร์ทนี่แหละ
“ก็นั่นไง ...ที่มาด้วยกันไง อรัญ” สรุปคือผู้หญิงคนนั้นเธอชื่อ อรัญ หรือ อรัญญา
“แล้วภาสิรึล่ะ?”
“ไม่ได้อยู่นี่แล้ว ไปอยู่เมืองนอก คงไม่มาแล้วแล้วล่ะ ที่บอกนี่คือ เวลาใครบอกว่าอะไรอยู่ไหน ไปไหนต้องรู้ โน่นอีก..” คุณลุงล้วงมือออกจากกระเป๋าชี้ไปทางบ้านชั้นเดียวด้านข้างลานจอดรถที่เพิ่งไปจอด มีบ้านอีกหลัง หลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียวยกสูงแบบต่ำๆ ประตูเปิดปิดเลื่อนเข้าออก ด้านในตกแต่งเป็นผนังไม้ล้วนๆ มีตู้เสื้อผ้ายาวกว้างเต็มผนังทั้งบ้าน มันเหมือนร้านขายเสื้อผ้าเพราะมีแต่เสื้อผ้าและชั้นวางรองเท้า ยาวเป็นพรืด
“ห้องเสื้อผ้า ของเจ้าของบ้าน” ด้านในเป็นตู้ที่เก็บผ้าไหม ตั้งเรียงหลากสี มีกระจกบานยาวตั้งอยู่ เขาเดินไปดู
“สองตู้นี่ของอรัญ นี่ เสื้อผ้าธรรมดาก็มี นี่....” ลุงสาทเปิดตู้และหัวเราะมันเป็นเสียงหัวเราะแห่งความชื่นชม มันมีเสื้อผ้าจริงๆที่คนธรรมดาใส่กัน กางเกง เสื้อยืด เสื้อกันหนาว เสื้อแขนยาว แขวนเรียงตามขนาดแขนเสื้อ กางเกงก็พับแยกตามชนิด
“เดี๋ยวแม่บ้านจะเอาเข้ามาเอง เห็นผ้าไหมรึเปล่า ...ผืนหลายพัน เป็นหมื่นก็มี แยกซักอย่างดี ถ้าเขาเอาผ้ามาส่งเห็นว่าเป็นผ้าก็เอามานี่ วางที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวยายป้อมกับยายไหมแกจะเข้ามาจัดเอง” ลุงดึงผ้าใหม่ออกมองด้วยรอยยิ้ม
มันเป็นผ้าลายแปลกตาไม่เหมือนผ้าถุงที่แม่เขาสวม มันสวยสีสันและลายแตกต่างกันออกไปจากที่เคยเห็น ยิ่งผ้าขิตไหม ไหมมัดหมี่ด้วยแล้ว งามจนเขาสงสัยว่าคนทอต้องมากประสบการณ์แค่ไหนกัน ทุกลายมันต่างจากที่เขาเคยเห็นคนอื่นสวมใส่ สมแล้วที่มีราคาแพงหลายพันหลายหมื่น
เขารู้ทุกอย่างพอคร่าวๆแล้วในตอนนี้ เขาเห็นโหลที่แม่บ้านสองคนถือเข้ามาในครัว มันเป็นหน่อไม้ดองเปรี้ยว เขาเลยอาสาที่จะเป็นคนทำอาหารเย็นเอง เขาชอบครัวที่นี่ มันใหญ่ อุปกรณ์ครบ เป็นการอาสาทำให้ชิมก่อนว่าผ่านไม่ผ่าน มันเป็นอาหารพื้นบ้าน เขาเองก็ทำกินบ่อย แกงหน่อไม้ดองใส่ไก่ ส่วนป้าๆแม่บ้านก็ทำอย่างอื่น โขลกน้ำพลิกปลาแห้งย่าง ที่ย่างพริกหอมกระเทียมมาเรียบร้อยมาตำนอกครัวที่เขาอยู่
ยายป้อมเป็นหญิงอายุห้าสิบ ผมหยิกหน้าผากล้าน ตาโล่กลมปากดำเพราะเคี้ยวหมาก ผิวสีคล้ำดำแดง ป้าไหมเป็นคนขาวอวบ วัยสี่สิบ และยังมีภรรยาคุณลุงที่อยู่บ้านไม้ด้านหลัง เดินเหินไม่ค่อยสะดวกแล้ว ยายป้อมเป็นผู้หญิงที่พูดเสียงดังพูดจาฉะฉาน และยายไหมที่พูดจาน้อมน้อมเรียบๆแต่ไปกันได้ดี เขาโดนเตือนจากลุงว่าอย่าถือสาป้าป้อมเพราะแกพูดจาผาดโผน ชอบพูดนิทานพื้นบ้านนิทานก้อมให้อรัญฟังอยู่เรื่อย เป็นการชวนอรัญญาให้รู้จักการพูดคุยบ้าง และเขายังได้รับฟังเรื่องข้อห้ามต่างเช่น
-ห้ามท้วงติงเรื่องเสื้อผ้าที่อรัญสวมใส่ ถึงจะดูแปลกอย่างไรก็อย่าว่า มันมีเหตุผลซึ่งเดี๋ยวเขาก็รู้เองว่าทำไม
-ห้ามเล่นหัวกับอรัญเมื่อคุณเจ้าของบ้านมา ห้ามเด็ดขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อรัญไม่ใช่คนถือตัวอย่างที่คิด ไม่ได้ดูหยิ่งอย่างที่เห็น ต่อให้สนิทภายหลังแล้ว เมื่อเจ้าของบ้านมาให้แยกออกจากกัน อยู่ใครอยู่มันไม่เกี่ยวข้องกัน และห้ามเข้าใกล้หรือแตะเนื้อต้องตัวอรัญได้จะดีมาก
-บ้านหลังใหญ่ทำความสะอาดได้แค่ภายนอกตัวบ้านเท่านั้น หากไม่เรียกใช้ห้ามเข้าไปในบ้าน หากมีเวลาว่างก็ทำสวน หากอยู่นานไปเดี๋ยวก็จะชินไปเอง
-หากมีของสิ่งใดขาดเหลือไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัวหรือของที่บ้านที่จำเป็นต้องใช้ให้เขียนไว้จะมีคนมารับไปซื้อของเข้ามาเดือนละครั้ง ของใช้ที่ว่ามันรวมทั้งกางเกงเสื้อผ้าและชั้นใน และต้องระบุยี่ห้อสิ่งของที่ใช้ให้ละเอียดยิบกันพลาด เพราะซื้อแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทางบริษัทในเมืองจะมีคนจัดหามาให้ตามเห็นสมควร ที่นี่ไม่ซื้อของบ่อย ไม่ออกไปไหนหากไม่จำเป็น
-อาหาร กินตามปกติที่อยากกินหรือทำ แต่ห้ามทานเหลือหรือเททิ้งตามใจอยาก หากเจ้าของบ้านมาจะมีรายการอาหารส่งมาก่อนก็ค่อยทำ ส่วนใหญ่ถ้าอรัญอยากทานอะไรพิเศษก็ค่อยทำให้ เธอไม่เรื่องมากแต่ถ้าอยากกินก็ต้องทำให้กิน {แม่บ้านย้ำว่านานๆครั้งไม่บ่อย}
-ไม่เข้านอกออกในบ่อยๆ ไม่พาใครมาและไม่นำปัญหาเข้ามา หากมีการเจ็บป่วยแจ้งทันที ไม่คบค้าสมาคมหรือพูดคุยเรื่องในบ้านนี้กับใคร ไม่ว่ามันจะแปลกแค่ไหนก็ตาม ซึ่งข้อนี้มันก็อยู่ในสัญญาที่ระบุข้อนี้มาแต่แรกที่ทำสัญญาก่อนเข้ามา
เขารู้เพียงแค่นี้ในตอนนี้ เขาทำอาหารเสร็จก็ผ่านห้องด้านในขึ้นบันใดสามสี่ขั้นไปเข้าห้องของเขาที่อยู่ในสุด มันจัดเหมือนห้องพักในรีสอร์ทธรรมดาๆนี่แหละและดูเหมือนว่าทุกอย่างในพื้นที่นี้ ที่นี่ ครัวนี้มาทีหลังเพื่อน เหมือนว่าครัวตรงนี้ใหม่สุด เขารับหน้าที่จัดการในครัว เรื่องอาหารให้ทุกคน รวมถึงการสั่งซื้อของ และที่ต้องทำแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เข้าออกเหมือนบ้านทั่วไป เจ้าของบ้านชอบความเป็นส่วนตัว การไปซื้อของในแต่ละครั้งต้องจบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จฟ้าก็พลบค่ำ เขาออกมาที่หน้าครัวตรงแคร่ก็มีสำรับกับข้าวตั้งรอบนแคร่เรียบร้อย ทั้งยังมีกระติ๊บข้าวเหนียวนึ่ง เขาเดินไปเปิดตุ่มน้ำเล็กๆใต้ต้นหูกระจงใช้ขันตักล้างมือ ป้าป้อมนั่งปลอกมะพร้าวอยู่ไม่ไกล และลุงสาทที่ยืนสูบบุหรี่อย่างสบายอกสบายใจ เขาเห็นตั่งไม้มีขวดเหล้าขาวตั้งอยู่กับแก้วเป๊ก
“กินเหล้าเหรอลุง?”
“ใช่ มันก็มีบ้าง” แกยิ้มแหย และทิ้งก้นบุหรี่ลงกะลามะพร้าว ก่อนเดินมาหยิบขันเงินที่สีขุ่นๆไปตักน้ำจากตุ่มมาวางบนแคร่ไม้ ข้างโถข้าวสวยที่ปิดฝาครอบไว้
“กินข้าวครับ” มันเป็นการชวนทุกคน
“เอาเลยเขากินแล้ว....รออรัญหน่อยล่ะ”
“...!” เขาลืมเธอเสียสนิท ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้กิน เห็นว่าจะมีรายการมาแต่ยังไม่มีในวันนี้
“ไม่ต้องอะไรมากหรอก ก็คนธรรมดานี่แหละ ...โน่นมาแล้ว” ลุงบอก เขาเห็นเธอเดินมาจากบ้านของเธอผ่านสวนหย่อมมา ป้าป้อมจึงรีบลุกล้างไปมือทันที ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูก
“ไม่เป็นไรป๊อบ นั่งเฉยๆ...กินเลยๆ” ป้าป้อมพูดขึ้นคงเกรงว่าเขาจะทำตัวไม่ถูก อรัญญานั้นยกแค่ขาข้างเดียวขึ้นนั่งบนแคร่คล้ายกับขัดสมาธิข้างเดียวและขาอีกข้างหย่อนลงข้างแคร่ โดยมีป้าป้อมรวบผมให้เธอแบบยกสูงก่อนที่จะเปียหางม้า เธอมองเขานิ่งๆ
“กินสิ ไม่หิวเหรอ?” ถามพลางล้วงมือลงขันเงินและวางมือลงบนผ้าขนหนูสะอาดใช้หัวแม่มือสอดพับเข้าหากันก่อนเช็ด เขามองอาหารมันเป็นอาหารพื้นบ้าน ผักลวก ปลาป่น แกงหน่อไม้ดอง แค่นั้น รู้สึกงง เขานึกว่าต้องทำแยกให้เธออีก แล้วอาหารประเภทนี้แนวนี้เธอจะทานได้หรือ?
“ก็รอกิน” เขาตอบ
“กินเลย ป๊อบ จะเสร็จแล้วนี่” ถึงป้าป้อมจะบอกแต่ตัวเขาก็ยังไม่กล้า ป้าป้อมเอาผ้าเช็ดปากให้อรัญกางลงตัก อรัญญา ดึงกระติบข้าวเหนียวไปเปิด หยิบข้าวขึ้นมาปั้นตักน้ำพริกลงถ้วยตนและใช้ข้าวเหนียวจิ้มทานก่อนที่จะหยิบผักลวกขึ้นม้วนใส่ปาก ไม่นานลุงสาทก็หัวเราะเบาๆ
“บอกแล้วว่าคนธรรมดานี่แหละ” ลุงบอก เห็นแบบนั้นเขาจึงลงมือทานกับเธอ
“กินได้ไหม?” ป้าป้อมที่นั่งลงข้างๆอรัญ เอ่ยถามขึ้น พลางจัดของคอยมองว่าอรัญญานั้นหยิบจับอะไรถึงหรือเปล่า
“..อร่อย” เธอพูดพลางใช้นิ้วก้อยเกาที่หัวคิ้ว
“พี่จะเล่านิทานให้ฟัง” ป้าป้อมยิ้มมือวางที่ขาอรัญญาอย่างเอาใจ เขาได้แต่ยิ้มเพราะมันเป็นจริงอย่างที่ลุงบอกว่าเธอชอบเล่านิทาน อรัญญาที่ม้วนผักอยู่หันไปมองเธอก่อนเหลียวมามองเขา
“เล่ามา” อรัญญาพูดก่อนม้วนผักเข้าปาก
มีโจรผู้ร้ายเข้าไปปล้นร้านขายของ โจรมันมีปืนในมือ เมื่อสั่งให้เจ้าของร้านให้ยกมือ เจ้าของร้านที่เป็นคนเชื้อสายจีนยกมือ เจ้าของร้านจึงตอบว่า ล่ายๆ ๆ ทั้งยกมือ ต่อมาโจรสั่งให้เปิดเก๊ะและส่งเงินมาให้ไม่งั้นตาย คนจีนก็บอกว่า ก็ล่าย ๆ
ไม่ว่าจะสั่งอะไรก็ตอบ ก็ล่ายๆ เพราะความที่กลัวตายจึงยอมทำทุกอย่าง ประจวบเหมาะที่สาวใช้ออกมาพอดี เมื่อเห็นเข้าก็ตกใจยืนจังงังอยู่กับที่ โจรบอกให้ถอดเสื้อผ้าออก ผู้หญิงก็ถอดออกแก้ผ้าล่อนจ้อน โจรเลยหันปืนและสั่งเจ้าของร้านให้ถอดออกด้วยไม่ย่างงั้นตาย เจ้าของร้านก็บอกว่า ล่ายๆๆๆ เมื่อเจ้าของบ้านถอดเสร็จโจรก็สั่งให้เจ้าของบ้านกระทำชำเลาหล่อนไม่อย่างนั้น ตาย!! เจ้าของร้ายก็บอกเช่นเดิมว่า ล่ายๆๆ และทำตามที่โจรสั่งอย่างไม่ขัดใจ ผ่านไปสักครู่ โจรก็เกิดมีอารมณ์เสียเอง เลยสั่งเจ้าของให้หยุดและคิดจะทำเสียเอง หยุด!! ข้าจะทำเอง ไม่งั้นเอ็งตาย!! คราวนี้เจ้าของร้านที่กำลังได้ที่ก็ขึ้นเสียงบอกว่า
“ตายเปงตาย!!” ป้าป้อมหัวเราะเสียงดัง แต่อรัญญามองหน้าอย่างตั้งใจฟังเงียบๆก่อนเลียลิมฝีปากเพราะได้รสชาติอาหาร อรัญหันมามองเขาแล้วพยักหน้าให้ เขาจึงหัวเราะออกมา ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เล่ามันตลกแต่เขาตลกที่คนฟังดูเหมือนจะไม่ให้ความร่วมมือในการแกล้งหัวเราะเอาเสียเลย
ดูเหมือนว่าเป็นการสร้างความสนุกสนานให้กับคนกลุ่มเล็กที่นี่ ไฟในสวนเริ่มติด ขึ้น ป้าป้อมก็ยกผลไม้กระป๋องและน้ำมะพร้าวอ่อนแช่เย็นมาเสิร์ฟให้อรัญญา และชักชวนให้เขาเข้าไปหาของหวานทาน ในตู้เย็นมีน้ำมะพร้าวแช่อยู่ในขัน มีมะพร้าวอ่อนลอยอยู่เพียบ คงทำให้อรัญเขาเลยเลือกเครื่องดื่มอย่างโยเกิร์ตแทน ตอนนี้ทุกคนแยกย้ายไปไหนก็ไม่ทราบคงเห็นแต่อรัญที่นั่งทานผลไม้กระป๋องอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไรเลยไปนั่งที่แคร่กับเธอ ไม่นานก็เห็นหลอดไฟในบ้านเธอติดขึ้นทุกคนคงไปสำรวจความเรียบร้อย
ชายร่างผอมบางเดินเข้ามาพร้อมถุงกระดาษและส่งจดหมายให้เธอ เธอเช็ดมือก่อนเปิดซองจดหมาย นั่งขัดสมาธิท้าวแขนที่เข่าอ่านจดหมายอย่างไม่เร่งรีบ และชายคนนั้นก็ยืนนิ่งเหมือนกับรออะไรบางอย่าง เธอเหลียวมองเขาที่นั่งมองอยู่ก่อนที่จะชี้นิ้วมือไปที่ชายคนนั้น ทั้งบอกเขาว่า
“พี่ตี๋...อยู่หน้าบ้าน” เขารีบพยักหน้าให้เช่นเดียวกันกับที่เขาทำ
“ชื่อป๊อบครับ” เขาแนะนำตัวเอง
“ครับยินดีที่รู้จักครับ” ผงกหัวสองสามที
“ไม่มีอะไรให้ค่ะ เดี๋ยวอรัญโทรไปเอง” อ่านจบเธอก็พูด ชายคนนั้นจึงเดินไป
เธอเก็บจดหมายเข้าซองก่อนนั่งทานต่อ เงียบๆ ไม่นานคุณลุงสาทก็เดินกลับมาพร้อมหอบสายยางในมือมากองลงที่ใต้ต้นไม้ เขาสงสัยว่าทำไมยังมีการเขียนส่งจดหมายกันอยู่อีก นึกสงสัยว่ามีอะไรบ้างที่ช่วยเอนเตอร์เทนมากกว่านี้ อย่างเธอคงไม่เคยไปเนตคาเฟ่ อย่างแน่นอน ถ้าไม่เคยออกไปคงไม่รู้ว่าตอนนี้ยุคนี้มันถึงไหนกันแล้ว
“รู้จักเอ็มเอสเอ็นไหม ไฮไฟ?” เขาพูดพลางใช้ฟันกัดหลอด
“เอาไว้ทำไร?”
“หาคู่ หาเพื่อนคุย แชท พิมพ์คุยกัน”
“คุยกันไม่ได้เหรอ ..ก็อยู่กันแค่นี้ อยากพูดอยากคุยก็พูดสิ”
“ก็ถ้าอยู่ไกลกัน เดี๋ยวนี้เขาส่งข้อความหากันแล้ว คุยได้ทั้งคืน อยู่ไกลกันก็คุยได้ ไม่ต้องมารอส่งจดหมายหากัน” เขาอธิบายต่อ
“โทรเอาก็ได้นี่..คิดถึงก็โทรเสียเวลาพิมพ์ทำไม พูดง่ายกว่า” เธอขมวดคิ้วมองเขา ป้าป้อมพี่ไหมเริ่มเก็บข้าวของที่ทำเพื่อความสะอาด เขานึกถึงว่าเธอรู้จักอะไรใหม่ๆบ้าง จะได้รู้ว่าเธอเป็นคนอย่างไร
“แล้วรู้จักเฟซบุ๊คไหม?”
“...เอาไว้ทำไม?”
“ก็ลงรูป อัพเดทสถานะ ว่าเราอยู่ไหนทำอะไร เพื่อนก็จะได้รู้ ได้แสดงความคิดเห็น” ตัวเขายังไม่มีหรอกเฟซบุ๊คที่ว่าเพราะขี้เกียจอัพโหลดรูปลงคอมพิวเตอร์ ใช้งานยาก หากไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวต้องให้ร้านลงรูปให้ วัยรุ่นยุคนี้ก็ทำแบบนั้น แต่เธอขมวดคิ้วมองเขาและหยุดทานทั้งป้าป้อมป้าไหมและลุงก็หยุดฟัง
“เพื่อนต้องรู้ ทำไมทำอะไรต้องให้คนอื่นรู้ เพื่ออะไร จะทำอะไรคนอื่นจำเป็นต้องรู้เหรอ ประสาท ปัญญาอ่อน เขาเรียกสอดรู้สอดเห็นนะแบบนี้” เธอก้มลงไปล้างมือและเช็ดมืออีกรอบและลุกหอบเอาของเดินกลับไปทางเดิม เพื่อเดินกลับเข้าบ้าน เขาได้แต่คิด มันก็จริงอย่างเธอว่า หรือเขาผิดเองที่เป็นฝ่ายถามเธอที่ไม่ได้อยากจะรู้อะไร ได้แต่นั่งงง
“...” ลุงสาทที่น่าจะเมาแล้วหัวเราะเบาๆ
เขาถือไม้เบสบอลเดินไปในสวนรอบๆกับลุง เพื่อเช็คกุญแจบ้านแต่ละหลัง มีลมเย็นพัดมายามค่ำคืน มันไม่ร้อนเหมือนตอนอยู่ที่บ้าน ยิ่งค่ำอากาศยิ่งเย็น เริ่มต้นที่ห้องผ้าได้มีการล็อคกุญแจหนาแน่น หน้าต่างทุกบานต้องไม่เปิด เช็ครถทุกคันที่จอดว่ามันได้ล็อคอย่างดี เดินวนไปที่ประตูรั้ว มีกุญแจดอกใหญ่และมีกลอนสลักไม้อย่างดี เห็นมีห้องเล็กอยู่เป็นบ้านแบบห้องเดียวเหมือนป้อมยาม ตั้งอยู่ข้างประตูรั้ว เขาไม่ทันได้สังเกตฝั่งทางซ้ายเลย เพิ่งเห็นก็ตอนนี้ ที่สวนด้านในนั้นก็มีบ้านอีกอีกหนึ่งหลังเล็กๆ
“บ้านไอ้ตี๋ โซนนี้ตี๋มันดู ปล่อยมันเราไม่ต้องไปดู” ลุงอธิบาย
เขาเห็นตี๋ยวปั่นจักยานอยู่ไกลๆ เรายังคงเดินไปตามทางที่เขาเข้ามาครั้งแรก จนมาถึงลานจอดรถ ลุงก็เช็คดูทุกคันเป็นอย่างดี มีทั้งรุ่นเก่า ใหม่ ธรรมดาและราคาแพง ยามนี้เขาต้องมาทำแบบนี้ทุกวัน ตรวจความเรียบร้อยตรวจฟืนไฟว่ามีตรงไหนที่ต้องเปิดหรือปิด เช็คว่าก๊อกน้ำนั้นถูกเปิดไว้หรือไม่ เมื่อมาถึงตึกใหญ่ ไฟก็ถูกปิดเรียบร้อยดี แต่เสียงนาฬิกาลูกตุ้มที่แกว่งเล่นเอาเขาสะดุ้งจนทำให้คุณลุงหัวเราะ จนมันตีครบตามชั่วโมงลุงก็พูดขึ้น
“ตัวก็ใหญ่ทำไมตกใจง่าย”
“ผมก็ตกใจเป็นนะลุง..ใครอยู่นี่ล่ะ?”
“เห็นใคร..?”
“เปล่าครับผมแค่ถามดู”
“ถ้าเจ้าของบ้านไม่มาก็ไม่มีใครอยู่น่ะสิ เออ ถามมาได้ แต่คลังแสงอยู่นั่นหมด....เปิดไว้ระบายอากาศ ทำความสะอาดตลอดเวลา ของที่มันไม่ค่อยได้ใช้งานจะพังไว แล้วเดี๋ยวจะมีคนมาเปลี่ยนม่าน ต้องมาคอยดู มันเก่าขาดหมดแล้ว ม่านก็ต้องแบบเก่านะ แกไม่ชอบให้มันเปลี่ยนไป เฟอร์นิเจอร์นี่แหละจะหายากหน่อย ถ้าหาไม่ได้ต้องคอยซ่อมทำให้เหมือนอันเดิม” มันทำให้เขานึกถึงวันที่อรัญญาจะยิงเขา หากได้ยิงจริงเขาเองก็คงไม่รอด
“สรุป อรัญเคยยิงคนจริงๆไหมลุง?”
“ยิงสิ ซ่อมจนเหนื่อย ประตูนั่นกะบานใหม่ ยิงทีมันกระจาย พังหมด ยามใครจะมาต้องรู้ก่อน แปลกหน้านี่ไม่รอด ต้องนัดหมาย” เสียงพูดเริ่มขึ้นจมูก ลุงยิ้มพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ เดินมาเรื่อยจนมาถึงบ้านอรัญญา เขาเห็นทีวีจอใหญ่ฉายแสงอยู่ในบ้านห้องด้านหน้ามันเป็นห้องรับแขก มีโซฟา และชั้นวางต่ำเหมือนบ้านทั่วไป ลุงเดินเข้าไปเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไป เขาเห็นโซฟาอีกชุดฝั่งซ้ายมือ ด้านขวาเป็นประตูทางเข้าห้องรับแขกเป็นห้องที่ยื่นออกไปด้านหน้าตรงทางเข้ามา เขาเห็นโต๊ะมีคอมพิวเตอร์วางอยู่แต่มันคงไม่มีการถูกใช้งานในด้านความบันเทิงตามที่เขาเคยสอบถามเธอมา
“ก็บอกแล้วว่าบ้านคนธรรมดานี่แหละ” ลุงบอกเขาขณะที่ยืนรอ เขาพลางเหลียวมองรอบๆเห็นทีวีจอใหญ่ในห้องนั่งเล่น มันน่าจะเป็นรุ่นแรกๆ จอใหญ่ตั้งพื้นมีลำโพงด้านล่างของจอ
ด้านในบ้านนั้นยังมีชั้นหนังสือ ชั้นวางของ เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งอย่างดี เขามองบันใดทางขึ้นที่ติดกับห้องรับแขกทางขวา เห็นเธอเดินลงมา คราวนี้ไม่ได้สวมซิ่นแต่สวมเสื้อยืดกางเกงนอนผ้ามันขายาวและมีเสื้อคลุมแบบบางสีม่วงอ่อนคลุมทับอยู่ เธอสาวผมที่ยาวถึงเข่าเพื่อจัดระเบียบก่อนรับเอากล่องกุญแจ เขาได้กลิ่นหอมๆคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ อรัญญาหยุดเหลียวมองลุงปราสาท
“เมาเหรอ?” เธอมองหน้าและขมวดคิ้ว ลุงสาทหัวเราะอีกครั้ง
“ครับ”
“ไปเอาผ้าห่มรึยัง?” เธอหันมาถามเขา เขาพยักหน้าทั้งที่ลุงยังไม่ได้พาเขาไปเขาพวกเครื่องนอน ป้องกันการต่อความ
“พรุ่งนี้จะตัดผมให้ ..ถ้ามีแรง” ลุงพูดราวกับจะเปลี่ยนเรื่อง ตัดบทเรื่องเครื่องดื่มออกไป
“ลุงพูดตั้งแต่ผมหนูเท่านี้” เธอหงายฝ่ามือลงข้างสะโพก ไม่ได้มีรอยยิ้ม มันหมายถึงว่าคงนานมากแล้ว ที่สุดแล้วคุณลุงก็หนีไม่พ้นอรัญ เขากลั้นหัวเราะ ลุงปราสาทสะกิดไหล่เขาทั้งชี้ออกทางด้านนอกอย่างเร่ง
“ครับ...ป่ะรีบไป ถ้าอยู่เดี๋ยวอารมณ์เสีย...อย่าลืมปิดบ้าน” ลุงหันกลับไปลงท้ายด้วยความเป็นห่วง หันมาผลักเขาให้หันหน้ากลับทางเดิมที่เข้ามา พวกเราเดินออกมาจากบ้านและผ่านบ้านภาสิรีที่ปิดไฟทุกดวง ลุงก็กลับไปบิดประตูเพื่อความแน่ใจก่อนสาวเท้ามาหาเขาอย่างไว คงรีบหนีอรัญที่เพิ่งตำหนิมา เขาและลุงมาแวะที่ซักล้างมันเปิดไฟอยู่
“ป้อมนอนยัง?”
“ยัง....เอาอะไร?” เธอถามเมื่อเดินออกมาที่ชั้นวางผ้าห่ม หลากหลายขนาด ลุงชี้ให้เขาเลือกผ้านวม เขาจึงเดินไปหยิบผ้าห่มนวมแบบบางสีฟ้าอ่อนแทน
“เอามาเปลี่ยนเดือนละครั้งนะป๊อบอย่าให้ป้าได้ไปตาม” ป้าป้อมกำชับ ยิ่งค่ำมืดมาเสียงป้าป้อมดูเหมือนจะมากคงเพราะความเงียบเข้าปกคลุม
“ครับ” เขารีบรับคำเพราะเธอพูดจาเสียงดัง ค่ำมืดแล้วทุกคนคงกำลังที่จะอาบน้ำเตรียมตัวทำธุระส่วนตัว เขาและลุงจึงรีบเดินกลับออกไปเมื่อเสร็จสิ้นธุระแล้ว เมื่อเดินกลับมาที่ครัวเขาเหลียวเห็นตี๋ยืนเช็คประตูหลังบ้านใหญ่ตรงสระว่ายน้ำอยู่ เขาและลุงวางของไว้บนแคร่จึงเดินไปสมทบเห็นตี๋เขย่าประตูบานเลื่อนอยู่อย่างออกแรง
“เหมือนมันจะหลวม” ตี๋พูดพลางชี้ร่องประตูที่ดูห่างนิดหน่อย
“อื้อ พรุ่งรีบไปหามาเปลี่ยน ติดกลอนด้านในใหม่ เบอร์นี้มันน้อยกว่าอันเก่า เดี๋ยวลุงไปหาซื้อมาเอง” ตี๋ยังคงเขย่าเพื่อความแน่ใจว่ามันจะไม่ถูกเปิดง่าย
“อ่ะ ได้อยู่หรอก” เป็นแบบนี้เขามั่นใจแล้วว่า โจรที่เคยเข้ามาที่นี่มันคงเยอะจริงๆ ต้องเช็คให้เรียบร้อยทุกสิ่งอย่าง
เขาต้องอาบน้ำใหม่เพราะเหงื่อออก ที่ห้องของเขามีห้องน้ำอยู่ จึงรู้สึกว่ามันโอเค เมื่อดับไฟในห้องแต่ไฟที่ระเบียงยังเปิดอยู่ เขารู้สึกเย็นสบายตัวห้องก็ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่ที่บ้านเขา เขาเกิดรู้สึกเพลียพลางคิดว่าตอนนี้ทุกคนคงกำลังทำอะไรอยู่ เกิดห่วงอรัญญาขึ้นมาว่าเธออยู่ได้หรือไม่แต่เมื่อนึกถึงคลังแสงที่เธอมีอยู่ก็คงจะสบายดี ไม่มีอะไรน่าห่วง
04.45 น. เขาจัดการทำอาหารตามรายการ มันเป็นชุดอาหารไทยอย่างพวกผัดผัก แกงพะแนง แกงจืด เขาเห็นผักบางส่วนถูกจัดแช่น้ำไว้แล้ว ทั้งยังมีหม้อใส่กล้วยบวชชีตั้งอยู่ ป้าป้อมคงจัดไว้ให้ ทุกคนคงแยกย้ายไปทำอย่างอื่น แบบนี้คงทำไม่ยากอะไร เสียงเครื่องทำความเย็นของตู้แช่ยังดังเป็นระยะ เขาเหลียวมองหน้าต่างที่ชั้นบนของตึกใหญ่ เห็นอรัญยืนง่วนกับผ้าในมือ คงกำลังจัดเก็บอะไรบางอย่างและคงเริ่มเปิดบ้านกันแล้วในตอนนี้ เขาหยิบถุงเครื่องแกงในตู้เย็นออกมาเตรียมจัดการผัดกับกะทิสดที่เขาผัดไว้ เสียงเปียโนดังขึ้นแสดงว่าบ้านคงถูกเปิดแล้ว มันดังแค่สามสี่ท่อนสั้น ๆและจบลง มันน่าจะเป็นเพลงฝรั่งเศสเพลงคลาสสิคทำนองนั้น
“...ป้าหุงข้าวไว้แล้ว” ท่าที่เร่งรีบของป้าป้อมที่ย่างกรายเข้ามาทำให้เขางงงวย ขณะที่เขาผ่าหัวผักกาดขาวระหว่างรอเนื้อที่ผัดสุกอยู่ เธอหยิบจานถ้วยออกมาจัดเตรียมใกล้ๆ มันเป็นชุดจานชามที่อยู่อีกตู้
“ทันครับยังไงก็ทัน ไม่ต้องห่วง”
“เดี๋ยวอรัญจะกินข้าวบนตึกใหญ่นะ วันพระนะวันนี้ เลยต้องจัด” เธออธิบายพร้อมกับง่วนในการจัดถาดไว้ ป้าไหมนั้นหอบดอกบัวมาจัดเรียงเป็นชุดๆที่แคร่ไม้ด้านหน้า สรุปว่าวันไหนวันพระอรัญจะอยู่ที่ตึกใหญ่ เป็นอันว่ารับรู้โดยทั่วกัน เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เธอต้องอยู่ที่นั่นแต่ก็ไม่อยากจะถามให้มากความ
“จะไปวัดเหรอครับ?” เขาเหลียวมองปิ่นโตที่หยิบออกมาจากชั้นและเรียงไว้ พลางเร่งมือตามความเร่งรีบ
“ใช่....ลุง ...ลุง บอกอรัญรึยังว่าจะมีคนมาเปลี่ยนม่าน!?” ป้อมเอ่ยถามขึ้นขณะที่ง่วนกับการจัดของอยู่อย่างเร่งมือ ลุงสาทที่เดินคีบบุหรี่เดินมาอย่างช้าเหมือนกับเดินเล่นไม่เร่งรีบจึงตอบ
“ลืม” ตอบเบาและเรียบง่าย
“โอ้ย เนาะ!!” ป้าไหมตะเบ็งเสียง ตอนนี้ดูทุกคนจะสดชื่นไม่ได้อ่อนเพลียตามที่ควรจะเป็น เพราะอากาศเย็นน่าจะอ่อนเพลียกันมากกว่า เขาได้แต่ยิ้ม
“เล่นแต่เช้าเนาะวันนี้ ตกใจหมด” ลุงสาทไปยืนพูดอยู่กับป้าไหม พูดกันเป็นภาษาท้องถิ่น คงหมายถึงอรัญญานั้นเล่นเปียโนแต่เช้า ตัวเขานั้นยังไม่ทันที่จะเห็นอรัญญาเล่นเปียโนเลยสักครั้งตั้งแต่มาที่นี่ ก็คงได้ยินแต่เสียงเปียโนนี่แหละ เขานึกขำที่ตัวเองนั้นคงไม่มีบุญที่จะได้เห็นบ้าง
“ไปอยู่ไหนมาล่ะเมื่อกี้?” ป้าไหมถามด้วยเสียงขำขัน
“หน้าตึกสิ กำลังจะเปิดหน้าบ้านเลยเดินทะลุออกมาทางนี้” คุณลุงเป็นคนพูดแบบใจเย็น ไม่ใส่อารมณ์ในท้วงทำนองที่พูด พูดด้วยรอยยิ้ม ป้าไหมหัวเราะขึ้นก่อนถาม
“แล้วเห็นไหมล่ะ?”
“เห็น..อรัญนั่งเล่น ...ตกใจไม่กล้ากวนเลยออกมาก่อน” ลุงมองมาทางเขาที่หันมาหยิบทับพี่ตักแกง เขาสงสัยที่ลุงบอกว่าอรัญเป็นคนธรรมดา แต่ดูเหมือนทุกคนจะให้ความสนใจมากกว่า ต่างชื่นชมอรัญญาเอามาก เขาหรือจะกล้าเล่นหัวหรือพูดคุยกับเธอ ต่อให้ไม่มีข้อห้ามก็ไม่กล้าอยู่แล้ว
“.....?” ลุงสาทชะงัก ป้าไหมทำให้เขาเหลียวไปมองตามสายตาที่ป้าไหมและลุงมอง เห็นอรัญญายืนถือกล่องกุญแจที่ไปให้เมื่อคืนอยู่ เขานึกขำเพราะเพิ่งจะนินทาไปเมื่อกี้เลยพากันหยุดจังงังเมื่อเจ้าตัวมา ลุงยังยกบุหรี่มือค้างเหลียวมองอรัญญาที่ตัวเล็กกว่านิ่งๆ อรัญญาเองก็เหลียวมองลุงก่อนที่จะขมวดคิ้ว
“อะไร...ไม่เห็นมาเอากุญแจล่ะ?” เธอพูดพร้อมกับยื่นกล่องให้ ลุงจึงรับมาวาง มันเป็นกล่องไม้ใส่กุญแจต่างๆ อรัญญานั้นเลิกขมวดคิ้วก่อนจะอมยิ้มนิดหน่อย เขาแน่ใจว่าเธออมยิ้ม ก่อนหันกลับเพื่อเดินกลับไป
“อรัญ วันนี้จะมีคนมาเปลี่ยนม่านนะ สายๆ!!” ป้อมร้องบอก ไม่รู้ได้ยินหรือไม่แต่ไม่น่าจะทัน
“เดี๋ยวจะบอกเอง ดู จะเอาผ้าไปให้อรัญก่อนเดี๋ยวจะไม่ทัน” ป้าไหมแทรกตอบทั้งลุก หยิบกุญแจในกล่องก่อนเดินอุ้ยอ้ายไปทางหลังบ้านภาสิรี คงเพราะเพิ่งลุกเลยต้องออกความพยายาม คุณลุงอธิบายว่าต้องให้แน่ใจว่าจะมีใครมา มิเช่นนั้นจะเป็นเหมือนวันที่เขาเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้นัดหมาย ที่นี่เคยมีโจรเยอะเกรงจะพลั้งเอาเข้าสักวัน
ตะวันขึ้นในยามสายแดดอ่อนๆ ตี๋ปั่นจักรยานเข้ามาจอดที่ครัวยื่นถุงปาท่องโก๋ลงแคร่ กลิ่นโอวัลตินกลิ่นกาแฟเริ่มคละคลุ้ง เพราะเริ่มมีการกินอาหารเช้า ป้าไหมป้าป้อมนั้นคงอาบน้ำเตรียมตัวที่จะไปวัดกัน ตี๋บอกว่าบางวันจะมีคนเอาของแบบนี้มาส่งให้ พร้อมจดหมายถึงอรัญ เขาเหลียวมองบ้านอรัญญา เห็นเธอผ่านบานหน้าต่างบานเล็กด้านหลัง เธอเดินเข้ามาที่ห้องด้านหลังที่ทำเป็นครัวเล็กๆ หล่อนเปิดตู้เย็นทั้งก้มๆส่องอยู่ บ้านอรัญญานั้น ไม่ค่อยเปิดไฟ มันมีแต่แค่สลัวๆสีส้มจากภายในบ้านยามค่ำคืน อยู่แบบมืดๆมาตลอด
“ไม่อยู่บ้านนี่กะอยู่บ้านนั้น ไม่ค่อยออกมาเจอใครหรอกกลางวัน” ลุงอธิบาย
“เห็นอรัญไหมเมื่อเช้า?” ตี๋ยิ้มแหงนหน้าถามลุงที่ยืนอยู่
“เห็นเล่นเปียโนอยู่ ใจหายใจคว่ำ กำลังว่าจะไปเปิดหน้าบ้าน” ลุงใช้มือลูบท้อง เป็นอันว่าเขาและครอบครัวมีบุญที่ได้เจออรัญญาตอนกลางวันสินะ เพราะหลังจากที่เข้าบ้านมานั้นก็ไม่เห็นอรัญญาจนค่ำค่อยออกมา ตึกนั้นเป็นตึกใหญ่ ถ้าหากไปตอนเช้าเจออรัญญาที่ผมยาวๆสวมซิ่นก็คงตกใจเหมือนครั้งที่เขาเห็น คนชัดๆเขาเองก็ยังคงสงสัย
“อรัญเป็นลูกสาวเจ้าของบ้านเหรอครับลุง?” เขาเอ่ยถามขึ้น ไหนๆก็จะมาอยู่ที่นี่แล้ว
“ใช่..วรา..เจ้าของบ้าน ตอนนี้บ้านเป็นของลูกชาย ..ไถ่ ลูกชายเดียว” ลุงอธิบาย
“เฮียไถ่ แกชื่อ คุณอธิป คนในรูปในบ้าน หล่อไหม จะสี่สิบห้าแล้วมั้ง” ตี๋โน้มตัวมาบอกเขาส่ายหน้าไปทางตึกใหญ่ เขาพยักหน้า เขาไม่รู้สึกว่าอรัญมีเชื้อสายจีนเลยสักนิด หน้าตาก็แตกต่าง สงสัยจะออกไปทางแม่หรือพ่อ ซึ่งเขาก็ไม่เคยเห็นคุณวราและคุณนายที่ว่ามา ซึ่งถ้าอรัญญาเป็นน้องสาวอายุก็ห่างกันมากโข
สรุปตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าอรัญญาเป็นลูกสาวเจ้าของบ้านชื่อคุณวรา และคุณอธิปเป็นพี่ชายคุณอรัญ กว่าจะได้ข้อมูลมาก็ช้าเสียจนเขาต้องถามขึ้นเอง เป็นอันว่าตอนนี้เจ้าของบ้านก็คงเป็นอรัญนั่นแหละที่อยู่ที่นี่ นั่นคงทำให้ทุกคนเอาอกเอาใจอรัญญา ในความคิดเห็นของเขา
“รอก่อนครับ เขาไม่ให้ขึ้น” ตี๋บอก ขณะที่เขากำลังจะช่วยยกกับข้าวขึ้นไปให้อรัญญาที่ชั้นบนของตึกใหญ่ สักพักป้อมก็ลงมารับเอากับข้าวขึ้นไปยังชั้นบน เขาไม่สงสัยอีกแล้ว ห้ามคือห้าม ไม่ขึ้นก็ไม่ขึ้น ตอนนี้ทั้งบ้านเหลือแค่สามคน ก็ปล่อยตามนั้น น่าจะมีไหว้พระด้วยเพราะถูกจัดใส่แจกัน ข้างบนคงเป็นห้องพระซึ่งป้าป้อมสวมชุดขาวขนดอกไม้ขึ้นไปแล้ว
ช่วงสายๆเมื่อคุณลุงสาทกลับมาก็มีรถอีกคันตามมา รวมทั้งผ้าที่ถูกห่อ รางผ้าม่าน ถูกขนลงจากรถ เขาเห็นป้ายทะเบียนรถมันมาจากต่างจังหวัด ตัวรถมีตัวอักษรติดไว้เขียนว่า เอกลักษณ์ผ้าม่าน คงมาตามที่บอก พวกเขาต้องยืนเฝ้าช่างที่จัดการเปลี่ยนม่าน อีกคนก็สวมตะขอม่านจีบ เขารีบเข้าไปช่วยเพราะลุงอยากให้เสร็จไวๆ เขารู้ได้ทันทีว่าสีไหนอยู่ส่วนไหนของบ้าน เพราะอยากคงความเหมือนเดิมตามที่ลุงบอก แต่จำต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เพราะมันเก่าแล้ว
ด้านบนนั้นถูกส่งต่อไปให้อรัญญาและป้าป้อมโดยอุปกรณ์ถูกส่งให้ เพราะห้ามขึ้นไปยังชั้นบน คงมีทรัพย์สมบัติมาก ถูกห้ามและขึ้นได้เฉพาะบางคน เขานั้นออกจะห่วงว่าพวกเธอทำได้หรือไม่ หลังจากที่ช่างเสร็จงานก็ทยอยกลับ เขาชะเง้อได้ยินเสียงสว่านอยู่ชั้นบนที่ต้องติดม่านสองชั้น ทั้งม่านจีบและม่านตาไก่
“ไม่ต้องห่วง ทำได้ อรัญเก่ง มาช่วยลุงเปลี่ยนกลอนนี่” สลักกลอนมันเล็กกว่าช่อง นั่นทำไมมันจึงหลวมและไม่แน่นตามที่ลุงบอกเขาจึงช่วยลุงเปลี่ยน นึกถึงช่างที่ชมว่าบ้านสวยเหมือนย้อนยุคต่อให้เปิดเข้าชมก็ยังทำรายได้ได้อีก เพราะบ้านมันเก่าทรงสวย และยังคงสภาพดีเพราะถูกซ่อมแซมดูแลสภาพบ้านอย่างดี ขณะที่เปลี่ยนเขาจึงถามลุงเป็นการชวนพูดคุย
“แล้วบ้านอื่นไม่ต้องเปลี่ยนเหรอครับ?”
“ไม่ต้อง มันยังใช้ได้ หลังอื่นถ้าพังค่อยหามาเปลี่ยนเอา แต่หลังนี้มันนานแล้ว ขาดเปื่อยหมดแล้ว ซักอีกครั้งกะไม่เหลือแค่จับเฉยๆยังขาด เห็นไหม”
“ครับ”
“แป๊บเดียวจะหมดวันแล้วเห็นไหม ทำอะไรทันบ้าง” ลุงพลางบ่น
เขาและลุงกลับไปที่ห้องครัวเห็นตี๋ทานข้าวเพิ่งเสร็จ กำลังยกกระติกน้ำขึ้นดื่มก่อนที่จะลุกเอาจานไปเก็บด้านใน ลุงจึงชวนทานข้าวรอบบ่าย เขานั่งลงบนแคร่และตักข้าว ต้องทานอาหารที่ทำวันนี้ เขาเหลียวมองไปในบ้านเพื่อรอดูว่าจะมีใครออกมาไหม ที่สุดก็เห็นป้าป้อมลงมาชั้นล่างพร้อมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ มาคนเดียว
“กินเลย กินเลย.. เดี๋ยวป้อมเขาจัดการเองนั่นแหละ ....อรัญล่ะ?” ลุงบอกเขาก่อนที่จะหันไปถามป้าป้อม
“นอนอยู่ห้องพี่ชายเขา สงสัยจะคิดถึง” เธอหัวเราะ ที่นี่พูดภาษาถิ่นกันตามปกติ
“คิดถึงนั่นล่ะ... ขึ้นนอนห้องพี่ชายไม่ก็วนเวียนอยู่ในบ้านใหญ่ไม่ไปไหน กินในบ้านอยู่ในบ้าน” ลุงอธิบายนั่งพันยาเส้นลงกระดาษมวน เขานั่งทานเงียบๆ
“แกสนิทกันกับพี่ชาย ..ถ้าเห็นอะไรก็ไม่ต้องตกใจ มันเป็นเรื่องปกติ”
“ครับ”
“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวไปเก็บสะเดากับป้อมมาลวกให้เขากิน ..อยากกินกับป่นเมื่อวาน” คงหมายถึง อรัญญาที่อยากกินสะเดาลวก คนบ้าอะไรกินข้าวแต่ละอย่างขัดกับเสื้อผ้าหน้าผม ลุงหัวเราะ คงรู้ว่าเขาคิดแบบนี้ ป้าป้อมพลางบ่นเรื่องหาเวลาตำฝรั่งให้อรัญญาทานไม่ได้เสียที ทั้งอธิบายเรื่องเคยตำฝรั่งขี้นกที่มีเนื้อขาวอมชมพูให้อรัญกินแล้วเกิดติดใจและตอนนี้เธออยากทานอีก
“ปลาร้า แจ่วบอง ผักดอง กินเป็นหมด ไม่เรื่องมาก ตำส้ม ทอดไข่เฉยๆก็กินได้ แต่วันพระจะกินแบบนี้ แต่อธิปไม่กินแบบนี้นะ ถ้าไม่ของเหลาไปเลยก็อาหารจืด ที่แกกิน” เขาไปหยิบปากกามาจดข้อมูลเผื่อว่าเขามาจะได้ดูเมนูไว้ได้ถูก เขาได้เช็คของในตู้แช่มีเนื้อไก่ เนื้อหมูและเนื้อวัว พวกอาหารทะเลแช่อย่างปลาหมึก กุ้ง ปลาดอลลี่ มีแซลมอล ลุงอธิบายว่า อันนี้สำรองไว้หากคุณอธิปมาจะกินต้องเป็นของสด ไม่ใช้ของแช่ คนจะเอามาส่งก่อนเวลาที่จะมา
“เวลาอธิปมา ถ้าไม่ถามหาไม่เรียก ไม่ธุระ ก็ไม่ต้องไปคุย แกไม่ได้หยิ่ง แต่คือแกรู้แล้ว”
“ครับ”
ทุกวันจะเป็นแบบนี้ ได้คุยกับอรัญญาแค่เฉพาะตอนออกมาทานข้าว ตอนเช้าก่อนฟ้าสางหรือตอนเย็นที่พระอาทิตย์ตก นั่นทำไมเธอจึงมีผิวซีดเพราะมันไม่ได้โดนแสง เขาเริ่มที่จะชินกับการทำกิจวัตรต่างๆ ตื่นทำอาหาร เก็บล้างถ้วยชาม ทำความสะอาดตามที่ต่างๆ อะไรฟังก็ซ่อม มีพักงีบช่วงกลางวัน ช่วงบ่ายแก่ๆหากทำอาหารเย็นเสร็จและยังไม่ถึงเวลาเขาก็จะไปกวาดพวกใบไม้หน้าตึกและใช้เวลานั่งเล่นบ้าง หลังอาหารเย็นก็เก็บล้างทุกอย่างให้เข้าที่
เขาเริ่มรู้จักแยกครัวทำอาหาร หากเป็นจำพวกปลาร้าหรืออาหารพื้นบ้านก็จะไปลานด้านหลัง ที่นั่นมีหมด ผักผลไม้ดองในตุ่ม ถึงเวลาก็ตักแพคใส่ถุงเข้าแช่เย็นไว้ โซนหลังนี้จะทำหลายอย่างจำพวกเนื้อตากแห้งเนื้อแดดเดียว ปลาแห้ง พริกแห้ง จะตากแดดไว้เป็นถาดๆ ตกเย็นก็เก็บ แยกประเภท เป็นหน้าที่ของป้าๆเขา มะละกอหรือมะม่วงหากสุกแล้วก็มาทำเป็นของหวานหลังอาหารเย็นทำนองนั้น
เย็นวันนี้เขามากวาดพวกใบหูกระจงที่มันร่วงช่วงทางเดินหน้าตึก เห็นอรัญญาออกมานั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้หวายบนระเบียงเงียบๆ เขาไม่สนใจเพราะไม่อยากจะพูดคุยเพราะเดี๋ยวเธอหงุดหงิด จนทุกวันนี้ลุงสาทก็ไม่ว่างตัดผมให้เธอ นึกขึ้นได้เขาก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ พอว่างก็เป๊กเหล้าเมาแล้วหาอะไรทำไปเรื่อย แล้วแบบนี้เมื่อไหร่หล่อนจะได้ตัดผม
“อ่ะ!” ตี๋ปั่นจักรยานมาส่งถุงตลิงปิงให้
“เอามาจากไหน?” เขาเอ่ยถาม
“ต้นด้านในโน่น ติดหนองน้ำ เต็มต้นเลยเก็บมาให้ เผื่ออยาก” ตี๋อธิบาย เขาชักสงสัยว่าที่นี่มีผลไม้อะไรบ้าง ตี๋นั้นบอกว่ามีอยู่เยอะไม่ว่าจะเป็นอะไรก็มีหมด มะยม มะเฟือง ก็มี มะขามก็มีทั้งเปรี้ยวและหวาน เขาเลยคิดว่าหากว่างโอกาสหน้าเขาจะเข้าโซนฝั่งซ้ายบ้างล่ะ ที่นี่หากจะเปรียบก็สวนย่อมๆนี่เอง
“นี่!” อรัญญาที่ยืนอยู่บนระเบียงยืนขึ้นพูดกับพวกเขา เธอเดินย้อนกลับเข้าห้องเหมือนว่ากำลังจะลงมา ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เธอเดินออกประผ่านห้องนั่งเล่นออกมาหาพวกเขา และดึงถุงจากมือเขาเอาไปเปิดส่อง เธอหยิบตะลิงปิงขึ้นมองอย่างพินิจก่อนจะเหลียวมองตี๋
“ตรงไหน?” เธอถาม ก่อนมองดูตะลิงปิงในมืออย่างพิจารณา
“หนองน้ำด้านใน”
“ป่ะ ไปดู” พูดจบเธอก็ส่งถุงคืนให้เขา ทั้งจูงตี๋เดินไป ตี๋ก็พลอยกวาดมือมาดึงเขาทั้งเกร็งตัวไว้
“อย่าครับ อย่าจับครับ อย่าครับ ...ลุง!!” ตี๋ร้องโวยวายเมื่อถูกอรัญจูงแขนและพลอยมาถึงเขาไปด้วย อรัญทั้งลากทั้งอีกมือถลกชายซิ่นเดิน ตี๋ยิ่งโวยวายใหญ่ เขาเองก็พลอยตกใจจึงช่วยเรียกลุงปราสาทอีกแรง ไม่แน่ใจว่าไม่อยากไปหรือเป็นอะไรทำไมเอะอะโวยวายได้ขนาดนั้น
“ลุงครับ” เขาช่วยเรียกไม่นานลุงก็เดินมาด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้ ยังไม่ทันได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรลุงก็พูดทันที
“ปล่อยก่อน....อรัญ ปล่อยตี๋ก่อน ปล่อยเขา ไปจับเขาทำไม” พูดพลางยกมือราวไม่อยากแตะต้องตัวเธอ เขาชักสนใจตรงที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องเพราะตี๋เองก็ร้องปานถูกงูตัวใหญ่กำลังจะเอาชีวิต เขานึกถึงข้อห้ามที่บอกว่าอย่าแตะต้องอรัญในทันที อรัญหยุดเดินและปล่อยแขนตี๋ เธอหันมาคว้าถุงจากมือเขา
“อยากเห็น!” เธอบอก ลุงถอนหายใจเมื่อเธอปล่อยแขนเจ้าตี๋ และเปิดถุงที่รับจากเธอออกดู
“มา จะพาไปดู... เดินไกลๆ” ลุงบอกอรัญและหันมากำชับพวกเขาให้เดินห่างๆอรัญ
พูดจบลุงก็พาเดินเลยที่จอดรถหน้าตึกใหญ่ไป พื้นที่ที่ลุงบอกว่าส่วนนี้ไปตี๋จะดูแล ส่วนนี้มีต้นน้อยหน่าอยู่มาก ทั้งต้นทับทิม ตี๋เล่าให้ฟังว่าไม้ผลส่วนใหญ่ตี๋จะปลูกไว้ ทั้งมะกอกน้ำ เห็นลุงบ่นว่าโตขึ้นมาก ตี๋ปลูกมาสิบกว่าปีตั้งแต่ยังเด็ก เพราะไม่มีอะไรทำ ทำอย่างที่พ่อของตี๋พาทำจนโตและอยู่ที่นี่ได้ด้วยตัวเอง จึงไปช่วยงานที่บริษัทในเมือง ตี๋เล่าขณะเดิน
“ทำไมไม่กล้าแตะอรัญกัน ทำไม?” เขาเลยถาม
“ก็ก่อนหน้านี้สักสิบสามปีได้มั้ง พี่อ้อด ลูกตาสงแกเคยอยู่ที่นี่แหละ...จับตัวอรัญ อธิปมาเห็นเข้าจากนั้นก็..เดี้ยง เจอหลังแหวนตามด้วยหมัด ..ไม่เหลือเค้า ใครก็ไม่กล้าห้าม เลือดขึ้นหน้า” ตี๋อธิบายเป็นภาษาถิ่น บอกอธิปถึงกับเลือดขึ้นหน้าโกรธแต่ละทีถ้าไม่มีปืนก็เห็นเป็นกระสอบทราย ด้วยความว่าตัวใหญ่มากไม่มีใครกล้าหือและไม่มีสิทธิ์หือเพราะอธิปเป็นเจ้าของที่นี่ พออ้อดไปพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอธิปก็ออกค่ารักษาให้จนหายดีก็ไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย เห็นว่าย้ายไปเมืองหลวง ตาสงเลยได้ย้ายไปทำบริษัทในเมืองกับพ่อของตี๋
“แล้วไปจับทำไม?” เขาถามต่อ
“ก็ อรัญทำแจกันตก เศษกระเบื้องเลยบาดมือ พี่อ้อดเลยเอาผ้าพันมือให้” ตี๋ตอบอย่างเฉไฉ มองไปทางอื่น
“จะบ้ารึไง แค่นั้น!?” เขาหยุดเดินหันหน้าเข้าถามเบาเท่าที่จะเบาได้ ประมาณว่าเค้นเสียงถาม เรื่องบ้าแบบนี้โกหกก็ไม่ขึ้นหรอก
“ก็ถ้าจะว่ามันก็แค่นั้นแหละที่ผมเห็น ...แต่มันก็ไม่ทุกอย่าง เข้าใจไหม สายตาที่พี่อ้อดมองอรัญมันเหมือน....เข้าใจไหม ขนาดผมยังต้องคิดอย่างนี้” ตี๋หันมาตอบอย่างเบาๆลดเสียงพูดและหยุดเดิน ถึงจะรักจะชอบไม่ได้มันก็ยังพอที่จะสั่งห้ามได้นี่ ไม่เห็นจำเป็นจะถึงขนาดซ้อม
“...แต่มันก็ไม่น่าจะทำกันขนาดปางตาย ไล่ออกก็จบ” เขาเองก็พลอยลดเสียงด้วย
“ไม่ได้หรอก ..แกหวง ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่มีใครกล้า ดู ขนาดลุง!!” ตี๋ยิ้มในตอนท้าย ส่ายหน้าไปทางลุงปราสาทที่ยืนอธิบายความน่าจะเป็นของผลไม้ให้อรัญรับทราบอย่างเก็บไม้เก็บมือ ยืนห่างเป็นวา ตอบคำถามแบบเบาๆ
“ยี้!!” เสียงเธอร้อง เธอลูบแขน เบ้ปากจนเห็นรอยบุบที่คาง เขาเห็นลุงหัวเราะเพราะเธอคงขนลุกจริงๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไม อรัญญาสาวเท้าลูบแขนไปมาเดินผ่านเขาและตี๋ไปอย่างไม่ไยดี ลุงปราสาทมาหยุดที่พวกเขาพลางมองอรัญญาที่รีบเดินกลับไปอย่างไม่รีรอใคร
“ไม่เคยเห็น สงสัยมันจะขึ้นแบบนี้ ไม่เป็นพวงเหมือนมะม่วงลำไย” ลุงอธิบาย อรัญญาอาจจะไม่เคยเห็นพืชที่เกิดจากลำต้นมาก่อน นี่เป็นต้นแรกที่เธอเคยเห็นรู้สึกว่ามันแตกต่างจากพืชทั่วไปเลยรังเกียจ เขาเห็นขนแขนเธอลุกจริงๆ เธอลูบแขนและยกซิ่นรีบเดินกลับทางเดิมอย่างไม่รั้งใครให้ไปด้วยอีกแล้ว
“ตี๋..ถางหน่อยนะเดี๋ยวยุงจะกัด เมื่อกี้กัดอรัญสี่ห้าตัว” ลุงพูดพลางชี้ต้นหญ้ารอบหนองน้ำเล็กๆน้ำแห้งขอดมีต้นหญ้าขึ้น
“ครับ แต่ลุงก็อย่าพามาสิ”
“ครับ ไม่ได้อยากมาดอกครับ แต่โน่น..มึงห้ามเขาได้ไหม?” ลุงถามอย่างยิ้มๆ เหมือนลุงพุดกับหลาน ไม่ได้จงใจไม่สุภาพ แต่เขาหัวเราะ อรัญคนเดียวมีปัญหาทั้งบ้าน
ความคิดเห็น