ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ศพ) บ้านวรา

    ลำดับตอนที่ #17 : แค่คนที่คิดถึง (จบ)

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 66


    คนที่คิดถึง

    เขาจำได้ว่า ครั้งนั้น เขาบวชเพียงพรรษาเดียวก็กลับออกมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ลุงปราสาทใช้เวลาช่วงนั้นเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่นให้เขาฟัง ในตอนนั้นทำให้เขาเกิดมีสติขึ้นมา เริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น หลังจากที่สึกออกมา เขาก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีก ตั้งใจหาการงานทำ เงินที่ได้รับมานั้นเขาก็ได้ให้พ่อแม่ของเขาไว้ใช้ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ส่งเงินให้พ่อกับใช้มาโดยตลอด ได้สร้างบ้านหลังใหม่ซื้อรถคันใหม่ มีเงินไว้ใช้ไว้เก็บ เขาเริ่มนำเงินมาใช้ทำกิจการต่างๆเป็นของตัวเอง และเริ่มสร้างตัว

    วันนี้เขาได้กลับมาบ้านอีกครั้งหนึ่ง เริ่มเจอเพื่อนๆสมัยเรียน เริ่มนั่งพูดคุยสนทนากินดื่ม พูดคุยเรื่องซื้อที่ดินซื้อบ้านหลังใหม่ การมีครอบครัว และสุดท้ายมันก็วกมาที่เนื้อที่บ้านหลังนั้นไม่นึกเลยว่ายังจะมีการพูดถึงอีก คงเพราะในวัยหนุ่มก็ออกไปหางานหาการทำ กระทั่งตอนนี้ทุกคนก็เริ่มมีอายุกันแล้วกลับมาสร้างครอบครัวกันที่นี่เป็นบางส่วน 

    “แกจำโรงสีเก่าได้ไหม..ตรงนั้นแหละ?” 

    “ทำไม?” เขาถามเพื่อนสมัยเด็กของเขา

    “ที่ตรงนั้นแพงโคตรเลยตอนนี้ บ้านแบบงาม เห็นเขาว่ามีคนติดต่อมาขอถ่ายทำเป็นหนังกัน แต่เขาไม่ยอม” 

    “ทำไมแกรู้ว่ามีบ้านในนั้น?” เขาเอ่ยถาม

    “...ตั้งแต่มานี่แกไปดูรึยัง ไปดูซะก่อน ข้างในมันเป็นบ้าน แบบงามเลย บ้านแถวนั้นก็ขึ้นเต็มทุกที่ทุกล็อคเลย หมู่บ้านขึ้นกันเต็ม แย่งซื้อที่กันขนาด ถ้าเป็นแต่ก่อนไม่มีใครเอาหรอก ให้ฟรีก็ไม่เอาโจรมันเยอะ” ทุกคนออกความเห็นตรงกัน ที่แถวนั้นเมื่อก่อนนี้ให้ฟรีก็ไม่มีใครเอาลำบากทางเข้าออกที่อยู่ลึก ยังมีแต่ป่าไม้ต้นไม้ทั้งนั้น ไม่มีใครสนใจที่ดินที่คนคิดว่าเป็นป่า

    “เขาว่าบ้านหลังนั้นยิงคนตายเยอะ ใครเข้าไปก็ได้ยิงทิ้ง นี่ถ้ากูรู้ว่าเป็นบ้านคนก็คงจะอยากเข้าไปเห็นเหมือนกันล่ะ” 

    “ที่ไหนได้เนาะ บ้านเศรษฐี อย่างเราๆคงไม่มีปัญญาได้เข้าไปเหยียบ ไม่รู้ว่าบ้านใคร” เพื่อนอีกคนออกความเห็น

    “เออเนาะคนเรา พอเห็นแล้วว่ามันเป็นบ้านก็ดันไม่กล้าเข้าไป ทีแต่ก่อนนึกว่าเป็นโรงสีดันพากันเข้าไปให้ถูกยิง”

    “เขาว่า ผีหลายขนาดที่ตรงนั้น คนถูกยิงตายหลาย” 

    “มึงก็ว่าไป” 

    “เอาจริงนะ เขาว่าต่อให้ไม่มีคนอยู่แต่ก่อนของก็ไม่หาย เห็นว่าผีหลอก วิ่งป่าราบ เปิดแน๊บ!!”

    “พวกงมงาย”

    เขาได้แต่นั่งฟังเงียบๆไม่ออกความเห็น เพื่อนของเขาคงเริ่มเมาเลยพูดเป็นตุเป็นตะ แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ไม่เล่าให้ใครได้ฟังว่าเคยเข้าไปที่นั่น ไปเหยียบบ้านหลังนั้น ตามที่ได้เคยสัญญาและเป็นความตั้งใจที่แน่วแน่ แม้กระทั่งพ่อกับแม่ของเขาเองเขายังไม่เล่าความจริง ทั้งเขายังขอร้องพ่อกับแม่อีกว่าอย่าเล่าเรื่องที่เขาไปทำงานที่นั่นให้ใครรู้ เพราะกลัวจะเป็นอันตรายแก่บ้านนั้น เรื่องเจอลุงปราสาทและลูกสาวก็ไม่ต้องเล่า ให้ทำเงียบและไม่รู้อะไร ซึ่งครอบครัวเขาเองก็รับปากปิดเงียบมาจนกระทั่งตอนนี้ เขานั้นจะกลับมาทำธุรกิจที่บ้านเพราะคิดว่าพอแล้วกับการเป็นลูกจ้าง มาครั้งนี้คงได้อยู่กับครอบครัวเสียที 

     

    เส้นทางที่กลับไปที่นั่นนั้นเป็นทางคอนกรีตและมีทางลาดยางเป็นบางส่วนแล้ว เริ่มมีหมู่บ้านเข้ามาสร้าง มีบ้านเพิ่มขึ้นมาจากแต่ก่อนมากมายหลายหลัง เมื่อก่อนนี้ห่างกันทีสามสี่กิโลเมตร ตอนนี้ห่างล็อคสองล็อคก็บ้านคนแล้ว แต่ยังมีที่ดินว่างแบ่งขายอยู่ ถนนก็กว้างขึ้น สะดวกขึ้นมาก ไม่ได้รกร้างเลยแม้แต่น้อย เริ่มมีความเจริญ มีบ้าน ร้านค้า เริ่มเป็นหมู่บ้าน แต่ก็ยังมีส่วนที่เป็นทุ่งนาอยู่บ้าง และทางที่จะไปตอนนี้ก็ราดยางเรียบร้อยแล้ว 

    มันจริงตามที่เพื่อนเขาบอก รั้วเก่าและสูงที่เคยเป็นอิฐกลายเป็นรั้วอัลลอยด์ด้านล่างเป็นอิฐแดงสร้างที่ด้านหน้า มันบ่งบอกถึงความสง่างามของพื้นที่ที่บ้านหลังนี้เป็นอย่างดี เขาเห็นมีสุนัขวิ่งเล่นอยู่ด้านใน พลางสงสัยว่ามีใครอยู่บ้างและตรงประตูรั้ว เขากดกริ่งประตู และยืนรออยู่สองสามนาที ก็มีคนออกมาเปิด 

    “...” เสียงถอนหายใจพร้อมด้วยรอยยิ้มนั้น เขาจำได้ว่าเป็นตี๋ที่ตอนนี้แต่งกายสุภาพ กางเกงสเลคขายาว เสื้อยืดแบบมีปกสีกรมท่า ตัดผมรองทรง ดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่การงานดี เขาส่งยิ้มให้ และได้รอยยิ้มกลับมา

    “เข้ามาครับ” 

    ข้างในตอนนี้มีบ้านหลังใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกหลังที่ฝั่งซ้ายมือ ซุ้มประตูยามก็ยังอยู่ บ้านที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้ตี๋พาเขาเข้าไปนั่งในสวนหย่อมและพูดคุย ตอนนี้มีคนงานมากมายกำลังทำความสะอาดอยู่ในสวน เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดหลังจากนั้น เล่าเรื่องที่ไปบวชทั้งเจอลุงปราสาทที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังทั้งหมดให้ตี๋ได้ฟัง ว่าเขานั้นรับรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร 

    “บ้านงามดีเนาะตี๋” เขามองรอบๆ ยังคงพยายามมองบ้านของอธิปยังอยู่ด้านใน 

    “เข้าไปดูไหมครับ ตอนนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามาแล้ว” ตี๋ยิ้มพาเขาเดินเล่นที่ด้านใน พลางอธิบายว่าวรานั้นแบ่งที่ฝั่งซ้ายให้ตี๋ได้อยู่และสร้างบ้านหลังใหม่ให้ คุณวรานั้นตอบแทนตี๋ในแบบที่อธิปเคยสั่ง และทินกรขึ้นมาเป็นเจ้าของที่ตรงส่วนที่เหลือ จะมาใช้ที่นี่เป็นที่พักผ่อนเมื่อยามว่าง ทินกรนั้นยังจำที่นี่ได้ว่าเคยมาเมื่อสมัยเด็กๆ และยังจำคุณอรัญญาได้เป็นอย่างดี 

    “พยายามให้ผมเล่าเรื่องอรัญญาให้ฟังตลอด” ตี๋พูดทั้งยิ้ม การเดินเข้าไปในบ้านครั้งนี้เขาอยากให้มันไกลกว่านี้ ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเอาเสียเลย เพราะบรรยากาศมันดี โล่งกว่าแต่ก่อนมาก ปานว่าได้มาเดินในสวนสาธารณะ ตี๋ยังเล่าอีกว่าทินกรนั้นรักและบูชาอรัญญามาก กมลาเองนั้นก็คอยสอบถามสรรหาเรื่องอรัญญาให้ไปเล่าให้ทินกรฟังอยู่บ่อยๆ

    “เล่าเรื่องอะไรบ้างล่ะ?”

    “ก็ ชอบกินผักดอง กินปลาร้า แจ่วบอง แต่ก็แอบๆกิน ผมเล่าว่าอรัญญานั้นอยากเลี้ยงหมา คุณทินก็หามาเลี้ยง ดูสิ หลายตัวเลย” เขาเหลียวมองสุนัขตัวใหญ่ๆหลากหลายสายพันธ์วิ่งเล่นกับคนสวนอยู่ ยังนึกถึงที่อรัญญาเคยลักลูกสุนัขของเขาขึ้นรถไป แค่นึกก็ใจหายขึ้นมาแล้วเสียนี่กระไร 

    “คุณทินรักคุณอรัญมาก บอกผมว่า อรัญญาเป็นคนที่พ่อเขารักมาก ทั้งบอกว่า คุณอรัญงามกว่าผู้หญิงในโรงเรียนอีกเลยไม่สนใจใคร บอกผมว่ายังหา” ตี๋หัวเราะ คงได้เห็นรอยยิ้มตี๋ก็ตอนที่เล่าเรื่องอรัญญานี่แหละ 

    “แล้วมีใครหรือยังล่ะ?” เขาถาม

    “..ยังเลย ไม่อยากเกี่ยวข้องกับใคร ป๊อบล่ะมีรึยัง?” ตี๋หัวเราะในลำคอ

    “.....ยังเหมือนกัน” เขาส่ายหน้า 

    เขาถอดรองเท้าเมื่อเดินเข้ามาในบ้าน ห้องฝั่งขวานั้นภาพศิลปะกลายเป็นรูปบรรดาลูกชายของอธิปไปแล้ว ส่วนทางซ้าย นั้นมีรูปที่เขาเคยเห็นที่บ้านวรา มันย้ายมาแขวนรวมกันที่ตรงนี้ มีชั้นวางผ้าไหม ภาพวาดออกแบบจากดีไซน์เนอร์และภาพคนจริงๆที่สวมซิ่นไหมอย่างที่อรัญญานั้นเคยสวม

    “คุณทินแกย้ายรูปกลับมานี่ แกว่าอรัญกับอธิปอยู่นี่ก็ให้อยู่นี่เถอะ” ตี๋อธิบายยืนพักขา มือไพร่หลังแหงนหน้ามอง

    “ระหว่างอรัญ กับอรัญญา สนิทกับใครกว่ากัน?” เขาเหลียวมองรูปเลยถามบ้าง ที่ผ่านมาเขาเห็นฝาแฝด แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกัน เขานั้นมาไม่ทันภาสิรี เลยไม่รู้ข้อแตกต่าง 

    “ผมสนิทกับคนหลังมากกว่า ไม่รู้สิ อรัญคนแรกยังเป็นเด็กมั้ง ต้องคอยปกป้องอยู่ตลอด เหมือนน้องคนนึงเลย” ตี๋พูด บทสนทนาเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ เขาชอบที่ตอนนี้ตี๋นั้นยอมที่จะเล่าอะไรให้เขาฟังทุกเรื่อง

    “แล้วคนหลังล่ะ?” เขายิ้มให้ อยากจะรู้ว่าตี๋มองอรัญญาอย่างไร ตี๋มองหน้าเขาก่อนจะหัวเราะออกมาและยิ้มพูด

    “ผมว่าคนแรกมาให้อธิปรัก คนสองมาเพื่อรักพี่อธิป แค่นั้นเลย... ป๊อบล่ะ?”

    “ผมว่า อรัญแปลกดี เป็นคนที่แบบว่า เหมือนโลกนี้ไม่มีใคร มีแค่อธิปคนเดียว...เกิดมาเหมือนอยู่กันสองคนทั้งที่คนในโลกนี้มีจนล้นโลก” เขาทิ้งท้ายเพราะตี๋หัวเราะเขาเองก็พลอยหัวเราะไปด้วย

    “..รู้ไหมว่า อรัญญาเป็นดีไซน์เนอร์ไปแล้ว อันนี้เขาออกแบบเองเลยตอนที่มาใหม่ๆ พี่แม้วแกเอาไปให้เพื่อนแกดูเลยรับไว้เป็นแบบ” ตี๋บอกชื่อบ้านผ้าไหมเขานั้นรู้ดีเลยว่าขึ้นชื่อประจำเมืองนี้ ผลงานศิลปะร่วมยุคสมัยของอรัญญานั้นหากใครได้สวมซิ่นไหมราคาแพงก็ว่าดูดี เพียงแต่มันเพิ่งมามีชื่อเสียงหลังจากที่เธอเสียไป 

    ตี๋เล่าว่าเมื่อเสร็จเรื่องทุกอย่าง กมลานั้นได้เข้ามาจัดการบ้านของอรัญญาเลยเกิดไปเห็นภาพวาดออกแบบชุดของอรัญญาเข้า เห็นว่ามันน่าสนใจเลยนำแบบไปให้เพื่อนร่วมวงการได้พิจารณา ปรากฏว่าถูกใจนักออกแบบเสื้อผ้ารวมถึงแฟชั่นผ้าไหมชนิดต่างๆกันอย่างมาก ทั้งชุดต่างๆที่อรัญญานั้นออกแบบยังชนะการประกวดแฟชั่นผ้าไหมอีกด้วย ไม่ได้เพียงแค่สิ่งนี้เท่านั้น ตี๋หยิบภาพมาให้เขาดู 

    “นี่ รูปอรัญญา” ตี๋หยิบรูปที่อยู่ในกรอบจากชั้นวางของ เขาไม่เคยเห็นรูปนี้ เป็นรูปที่อธิปถ่ายคู่กับอรัญญาแน่ ไม่ผิดเพี้ยน 

    “ไปได้มาจากไหน?” เขายิ้มถาม

    “กล้องในบ้านอรัญญา อธิปคงไปตั้งถ่ายกันสองคน” มันเป็นรูปที่นั่งถ่ายคู่กันตรงระเบียงบ้านอรัญญา มุมนี้เขาจำไม่ผิด

    “ดูนี่” ตี๋ชี้ที่จุดเล็กข้างขวาของภาพ เป็นตัวเขาและตี๋ที่กวาดใบไม้ที่หน้าตึก ถ่ายติดมา แม้มันจะไม่ชัดแต่เขาก็รู้ อดยิ้มเสียไม่ได้จริงๆ น้ำตาแทบจะไหลกันเลยทีเดียว มันบ่งบอกว่า เขาเคยอยู่ที่นี่  

    “..รู้ไหม เปียโนยังเล่นเองอยู่เลยนะ ...อรัญ ถ้าจำป๊อบได้มาบอกหน่อยนะ!” ตี๋เพิ่มเสียงพูดทั้งมองไปรอบๆ 

    “......” เขาเองก็รอฟังแต่มันเงียบ เขาจึงคืนกรอบรูปให้วางที่เดิม นึกอยากให้มันดัง เขาจะได้รู้ว่าเธอและอธิปนั้นรับรู้ว่าเขามาเยี่ยม เขาเศร้าเล็กน้อย เมื่อหันหลังและจะเดินออกจากป้าน เสียงฝาครอบเปียโนก็ดังขึ้น เมื่อมองก็เห็นว่าฝาครอบเปียโนนั้นเปิดขึ้นแล้ว ต้นคอของเขาขนลุกซุ่ 

    “......” เขาและตี๋หยุดและยืนมองว่าเมื่อไหร่มันจะเล่น แต่เปียโนมันก็ไม่ได้เล่นอย่างใจที่อยากจะเห็น จึงเดินออกไปอีกครั้ง 

    ตะลึ่ง!!  มันดังแค่นั้น เขาทั้งขนลุกแต่ไม่อยากวิ่ง ได้แต่หยุดมองอยู่กับที่ น้ำตาเขาคลอมองตี๋ที่ยืนกลั้นน้ำตาอยู่ครู่กับเขา ตี๋ยังคงเป็นคนอ่อนโยนอยู่เหมือนเดิม เขานั้นน้ำตาไหลอย่างไม่อาย พลางนึกถึงอรัญและอธิปที่เคยอยู่ที่ 

    ผมคิดถึงครับ 

    เขาบอกเพียงแค่นั้น คงไม่เข้ามาวุ่นวายหรือมาเหยียบที่นี่อีกแล้ว เพราะขึ้นป้ายพื้นที่ส่วนบุคคลเป็นระยะรั้ว และมีกล้องวงจรปิดเพิ่มมากขึ้นแทบทุกมุมของพื้นที่บ้าน เขาตั้งใจจะลาตรงนี้และเก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยอยู่ที่นี่และมีความสุขกับที่ตรงนี้ และทิ้งให้เป็นความทรงจำแด่เจ้าของบ้านคนใหม่ คุณทินกร

     

    เขานึกถึงคำพูดของอรัญญาที่ยกเอาคำพูดที่ว่า อะไรที่เราอยู่ด้วยนานๆแล้วจะรู้สึกผูกพันธ์และทำให้มีความสุข

    “อรัญก็เหมือนกัน อยู่นี่มานาน อยู่ดีๆก็รักขึ้นมาเลย ไม่เบื่อเลยสักครั้ง”

                                                                                                                             จบ.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×