คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ฝันที่ 4 นางผู้ชอบร้องเพลง (200557 )
ความมืดปกคลุมทุกสิ่ง ความรู้สึกเคว้งคว้าง ไม่สามารถบรรยายได้เลย พยายามลืมตา แต่สายตากลับมืดมิด มองมิเห็นสิ่งอันได มือเอื้อมไขว่คว้า หาสิ่งไดยึดเกาะมิได้เลย เพียงจับต้องได้แต่ร่างกายของตนเอง
ตราบนานเท่าไรไม่รู้ ความมืด ยังคงปิดบังทุกสิ่ง ลืมแล้วซึ่งการเวลา ไร้ซึ่งสำนึก ว่าตัวตนคือสิ่งได
แต่แล้ว เสียงร้องเพลงที่ไร้ซึ่งดนตรี แว่วมาแผ่วเบา ถอ้ยสำเนียงเริ่มชัดเจน ดังก้องอยู่ข้างหู
แสงสว่างพลันสาดจ้า ภาพที่เห็นตรงหน้า คือดรุณีหนึ่ง ผู้ที่ยืนโก่งคอร้องเพลงเสียงกังวาลสดใส
“ลา ลั้น ลา” จับใจความได้เพียงเท่านี้ เสียงเพลงที่นางร้อง ลบเลือนทุกสิ่ง แม้แต่ความคิด ความจำ ความสุขล้นปรี่จิตใจ ฉันฟังอย่างหลงใหล
นางผู้นั้นหยุดร้องเพลงแล้ว ข้าพเจ้าหลุดจากพวัง พบว่าตัวตนของฉัน ยืนอยู่ในสวนดอกไม้ ยืนมองนางผู้นั้น ไม่นานนัก มีสาวสูงวัยนางหนึ่ง กวักมือเรียกนางผู้ร้องเพลเข้าบ้านไป และนางสูงวัยผู้นั้น เดินมาหาข้าพเจ้า พร้อมกระเป๋าในมือ กระเป๋าเอกสารใบสีเงิน
นางสูงวัยกล่าว่า “ท่านโปรดดูแลนางให้ดี ข้าฝากนางไว้กับท่านแล้ว” พลางเปิดกระเป๋าสีเงินใบนั้น ภายในบรรจุไว้ด้วยเงินจำนวนนับไม่ถ้วน
ข้าพเจ้า ได้แต่เพียงร้องคำว่า “หา อะไรนะ” ออกมาเพียงเท่านี้ นางผู้สูงวัย ก็ขึ้นรถเก๋งคันใหญ่สีครีม ที่มาจอดตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ออกไปในทันที
ข้าพเจ้า ถือกระเป๋าเดินเข้าบ้านของนางผู้ร้องเพลง เมื่อนางเห็นข้าพเจ้า นางบอกว่า
“หิวมั้ย เดวทำข้าวให้ทานนะ”
“อื้อ รบกวนด้วยนะ”ข้าพเจ้าตอบออกไป
นางผู้รองเพลง หายไปในครัวเพียงชั่วครู ไม่นานนัก นางจึงเดินออกมาจากครัว ในสองมือ ถือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สองถ้วยเดินมา
นางผู้ร้องเพลงกล่าวว่า
“ทานสิท่าน อร่อยยนะ”
ข้าพเจ้ารับมาจากมือนางหนึ่งถ้วย และมองนางผู้ร้องเพลง ทานบะหมี่ถ้วยนั้นอย่างอร่อยเหลือ ข้าพเจ้าถามนางว่า
“นี่ เธอทานแต่มาม่าเหรอ” นางตอบ”อื้อ ออ่อยอีอ่ะอะ”
อืม อร่อยดีสินะ ข้าพเจ้าคิดในใจ พลางบอกนางว่า “เราจะทำกับข้าวให้นะ เธอจะได้เลิกกินมาม่า”
นางผู้ร้องเพลงตอบว่า” แค่กๆๆ(สำลัก) อ่า อะ เอาสิ เราทำไม่เป็นนะ แม่เราไม่เคยสอน เราจะรอกินอย่างเดียวนะ”
หลังจากนั้นมา ภาพของการทำกับข้าว มื้อแล้วมื้อเล่า ก็ผ่านเข้ามา ทุกวี่วัน นางก็เอาแต่ร้องเพลง บทเพลงนั้นช่างไพเราะ แต่จับใจความมิได้ ว่านางร้องเพลงอะไร
คืนวันผ่านไป ข้าพเจ้าใช้เงินในกระเป๋าอย่างไม่หมดสิ้น เพื่อดูแลนาง ไม่ว่านางไปที่ไหน ข้พเจ้า ต้องคอยติดตามไป นางเอาแต่ร้องเพลง และวิ่งวนไปมา กรีดกรายแขนขา เต้นรำร้องเพลงอย่างสนุกสนานไม่รู้เบื่อ
ไม่ว่าจะฝนตก ร่มที่ต้องคอยกางวิ่งล่นางไปกลางสายฝน
ไม่ว่าแดดจะร้อนจ้า นางยังยิ้มร่า ร่ำร้องโก่งคอร้องเพลง
หลากหลายที่ ที่นางไป ทั้งสวนใหญ่ไม้หนาในไพรป่าหนาทึบ นางร้องเพลงเจื้อยแจ้ว แข่งกับเสียงดุเหว่าเหล่าสกุนา ที่ร่ำร้องอยู่ในป่า ปานประชันขันแข่งกัน
เมื่อเหนื่อยนัก นางจึงร้องขอให้นอนหลับ กระโจมกางไว้แล้วกลางป่า เต็นท์หลังไม่ใหญ่มากพอนอนกันสองคน นางมักนอนกอดแขนข้าพเจ้าเสมอ ก่อนนอน ก็ยังร้องเพลงง ข้าพเจ้าหลับไปอย่างเหนื่อยล้าทุกวันคืน แต่ก็เป็นสุขนัก เพลงของนาง ทำให้ข้าพเจ้า ไม่คิดถึงสิ่งได นอกจากตามนางไปทุกหนแห่ง
คราหนึ่ง นางนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ และร้องเพลงสนุกสนาน ถนนที่รถติดไม่ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหว ผู้คนต่างหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่นางก็เปิดประตูรถแท็กซี่ วิ่งไปกลางถนน ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาอีก ข้าพเจ้าเร่งวิ่งตามนางกางร่มให้
นางร่ำร้องเพลง พลางวิ่งไปมา ยิ่งฝนซัดซา นางก็กรี๊ดเป็นเสียงเพลง ผู้คนต่างหันมองนาง ไม่นานนัก ทุกคนก็ยิ้ม บ้างหลับตา ฟังเสียงร้องอันไพเราะของนาง ข้ะเจ้า ปล่อยร่มให้หลุดมือ ปลิวไปตามสายลม นางดูสนุกสนานยามเปียกฝน ดั่งปลาตัวน้อย ได้แหวกว่ายกลางสายชลกว้างใหญ่ นางดูมีความสุขนัก ร่มปลิวไปแล้ว พร้อมกับความเครียดหน้านิ่ว ของชาวผู้สัญจร
ข้าพเจ้า เดินตามนางไปณอาคารร้างแห่งหนึ่ง นางบอก “ถึงแล้ว ที่นี่ เรามีคนรู้จักรออยู่”
วันนี้นางไม่ร้องเพลง ข้าพเจ้าถามนางว่าเขาคือไครกัน นางตอบว่า
”เขาคือพ่อของเราอง”
แม้นจะยังสับสน ข้าพเจ้าก็ยังทำหน้าที่ต่อไป ชายผู้นั้นดูตัวใหญ่ ไว้หนวดเครารุงรัง เพียงพูดคุยกับนางผู้ร้องเพลง แต่ไม่ทักทายปราศรัยอันไดกับข้าพเจ้า
คืนวันผ่านไป นางยังคงร้องเพลง ให้บิดาของนางฟัง ข้าพเจ้าพียงมองสำรวจสิ่งรอบข้าง อาคารนี้กลับเป็นโรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง ที่ดูทรุดโทรมน่ากลัว บิดาของนาง ทำไมถึงมาที่โรงพยาบาลร้างแห่งนี้ ทุกวัน บิดาของนาง จะออกไปไหนไม่ทราบได้ และจับกลับมาตอนเย็น
เมื่อบิดาของนางออกไปจากโรงพยาบาลร้าง นางจะเข้าไปในอาคาร และหายไปนานนักชั่วโมง ก่อนไปทุกครั้ง นางบอกข้าพเจ้าว่า
“นายเฝ้าตรงนี้ไว้นะ พ่อเรากลับมา ก็เรียกเราด้วย อ่า ห้ามตามมาล่ะ”
ข้าพเจ้า ช่างเชื่อฟังคำสั่งนางยิ่งนัก ใจนึงก็เป็นห่วง ว่านางไปทำอะไรคนเดียว แต่อีกใจก็ต้องคอยรอดูบิดานาง และตะโกนเรียกนาง เมื่อบิดานางกลับมา นางจะมาร้องเพลง และยืนมองบิดานาง แต่ไม่พูดสิ่งได้กัน ค่ำคืนก็นอนหลับฝัน ในเต็นท์หลังเดิม
คืนวันผ่านไปเช่นนี้จนวันหนึ่ง เมื่อบิดานางออกไปจากโรงพยาบาลร้าง นางก็หายตัวเข้าไปในอาคารร้าง ข้าพเจ้าอดรนทนไม่ไหว จึงแอบตามนางไป
ในอาคารช่างมืดทึบ กลิ่นเหม็นอับโชยไปทั่ว บรรยากาศดูน่ากลัว ขนแขนข้าพเจ้าลุกชัน แต่ก็พยายามเดินเสาะหานางต่อไป ในอาคาร มีสภาพผุพัง โต๊ะเก้าอี้ และสิ่งของต่างๆ กระจัดกระจาย ระเกะระกะ ข้พเจ้าเดินวกไปวนมา ในที่สุด ณ สุดทาง มีประตูบานหนึ่ง เปิดอยู่ ข้าพเจ้าเดินเข้าไป
ห้องที่สกปกรกรุงรังปรากฏต่อสายตา กลิ่นเหม็นสาบอับชื้นโชยมา แต่ภาพตรงหน้า กลับเป็นนางผู้ร้องเพลงนั่งร้องให้อยู่
ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไป รายรอบตัวเธอ มีแต่กองกระดูก ซากศพ นางร่ำร้องสะอึกสะอื้นบอกว่า
“พบแล้ววว หาหลักฐานเจอแล้ววว ชายคนนั้น ฆ่าคนทุกคนเลย โฮ”
นางร้องให้ไม่หยุดด ข้าพเจ้าพยายามปลอบใจ ภาพกองกระดูกในห้อง ช่างสยดสยอง ห้องที่ปิดทึบ มีแต่ศพแอบอยู่ตามมุมต่างๆ โดยเฉพาะท่อเหล็กตรงหน้าของนาง สีสนิมจับเป็นสีแดง นางเอื้อมมือเข้าไป และหยิบกองก้อนผม ที่มีหนังศรีษะแห้งกรังออกมาวางตรงหน้า พลางร้องให้บอกว่า
“มาหาอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็เจอหลัฐาน ฮือ ๆๆ ตำรวจกำลังจะมา โฮ มันฆ่า ทุกคนเลยย”
ข้าพเจ้า ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทันไดนั้น ข้าพเจ้าตกใจ หันไปทางประตู มองเห็นชายผู้นั้นเดินเข้ามาพร้อมมีดขาววับ พลางแสยะยิ้มมองมา
“พวกแก เห็นหมดแล้ววสินะ อย่าหวังว่าจะรอดออกไปได้เลย” ชายผู้นั้นพูดออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ชัดเจน
นางร้องให้สอึกสะอื้น มาแอบหลังข้าพเจ้าพลางบอกว่า”ช่วยเราด้วย”
น้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอาบสองแก้มของนาง ช่างน่าสงสารจับใจ ข้าพเจ้าคว้าขาเก้าอี้ที่หักอยู่ด้านข้าง ไปฟาดใส่ฆาตกรร้ายรายนั้น
ผัวะ ฝาดเข้าแขนมันย่างจัง แต่ข้าพเจ้าก็เจ็บแปลบที่แก้มข้างซ้ายย มีดในมือชายผู้ร้าๆยนั้น เข้าเข้าใบหน้าข้าพเจ้า เลือดสาดกระจาย เจ็บแสบ แต่กัดฟันทน เงื้อมือฟาดขาเก้าอี้ในมอเข้าไปเต็มศรีษะของฆาตกรร้าย เลือดมันกระเซ็นสาดเห็นชัดตา แต่มือขวาของมันพร้อมมีด ก็เสียบเข้าพุงของข้าพเจ้าอย่างถนันถนี่
ข้าพเจ้า ทรุดลงอย่างหมดแรง เลือดสีสดหยดพรั่งพรมลงบนพื้น สายตาข้าพเจ้ามืองเห็นไอ้ฆาตกร ย่างกรายเข้าหานางผู้นั้น
“อย่า อย่าทำนางง ปละปล่อย นางไปเถอะ” ข้าพเจ้า พูดออกมาอย่างหมดแรง
ฆาตกรร้าย เหมือนไม่ได้ยินเสียงกระซิบอันแผ่วเบาของข้าพเจ้า ที่ชีวิตไกล้รวยริน
มันคว้าคอเสื้อนาง และหิ้วร่างนางขึ้นมาช้าๆ พลางเสยะยิ้ม เลือดของมันไหลย้อยจากศรีษะ ย้อมใบหน้า และคอเสื้อของมันแดงฉาน ปานปีศาจจากอเวจี ภาพใบหน้ามันดูโหดร้ายน่ากลัว หมายจะเอาชีวิตนางให้ได้
แต่สายตาข้าพเจ้า มองใบหน้านางที่อาบไปด้วยน้ำตา มือข้าพเจ้าไขว่คว้า กำแท่งเหล็กยาวที่ตกอยู่ตรงพื้นยาวมาท่อนหนึง ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายยที่หมายปกป้องนางให้พ้นจากมือฆาตกรร้ายยย
มืดในมือมันกำลังจะจ้วงแทงไปที่ร่างนาง ข้าพเจ้ายันตัวลุกขึ้นได้ ก็พุ่งไปไม่คิดชีวิตแทงฆาตกรร้ายด้วยแท่งเหล็ก จากเอวด้านขวาของมัน สวนขึ้นไปทะลุที่คอของมัน เลือดฆาตกรร้ายไหลทะลัก มือซ้ายของมันปล่อยนางออกไปแล้ว แต่มีดในมือขวาของมัน กลับปักลงตรงกลางอกข้าพเจ้า
เลือดแดงฉานไหลหลั่ง ปานน้ำพุพรั่งพรูออกจากอก
ฆาตการร้ายสิ้นชีวิตไปแล้ว ข้าพเจ้านอนหายใจรวยริน มองมีดที่ปักคาอก ข้าพเจ้าพยายามหายใจอย่างออ่นแรง
นางผู้ที่ข้าพเจ้าพยายามปกป้อง วิ่งเข้ามากกอดร่างข้าพเจ้าไว้ พรางร้องให้ บอกข้าพเจ้าว่า
“อย่าตายยนะ อย่าตาย ชั้นไม่เหลือไครอีกแล้ว..ฮือ อย่าตายยนะ”
ภาพของนางเริ่มรางเลือน นางปล่อยมือจากร่างข้าพเจ้า นางลุกขึ้นยืน
เสื้อผ้าของนาง อาบไปด้วยเลือดข้าพเจ้า สีแดงฉานย้อมเสื้อผ้านางเป็นชุดแดงยาวชุดเดียว
นางเริ่มร้องเพลง
ในภาพสายตาที่เรือนราง นางช่างงดงามยิ่งนัก
นางเอื้อนเอ่ยขับร้องบทเพลงอันเศร้าศร้อยสะเทือนใจ
บทเพลงที่เลื่อนลอย ค่อยๆแผ่วเบา
แม้นจะเศร้า แต่ความไพเราะนั่นสุดจะพรรณนา
ความืดเข้าคลอบงำ แต่เสียงเพลง ยังคงก้องอยู่กับหัวใจ....
......
..
แล้วัน ก็ตื่น..
ความคิดเห็น