คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : | MALE07 : A CLOSE ONE |
| MALE07 : A CLOSE ONE |
AUTHOR : NUTCRACKER
เสียงกอกแกกดังมาจากหลังบ้านขณะที่เจ้าของผิวกายคล้ำแดดหลีกวงสนทนาออกมาจัดของในยามวิกาล สารเสพย์ติดจำนวนมากถูกยัดลงไปในสิ่งแอบซ่อนที่ตนเองได้ตะเตรียมเอาไว้ครบมือ เด็กหนุ่มคนเก่ายกแขนเสื้อปาดเหงื่อกาฬที่ไหลเอื่อยลงมาจากไรผมพลางถอนหายใจออกมายาวๆอย่างเหนื่อยอ่อน หมุนไหล่ตัวเองอยู่ไม่กี่ครั้งแล้วก็บิดขี้เกียจสลัดความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นมาจากการดำเนินงานที่ว่าก่อนจะโยนของแพ็คสุดท้ายเข้าไปในกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ที่เหลือพื้นที่ว่างพอสำหรับมัน
พรรคพวกของจื่อเทาที่คอยส่งยาเสพติดให้แก่เขาเป็นประจำถูกไอ้เด็กใจยักษ์นั่นฆ่าตายไปจนหมดแล้ว นี่ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะสามารถกระดิกนิ้วหาเงินได้ด้วยวิธีมักง่ายไร้จรรยาบรรณเช่นนี้... จึงเกิดคำถามขึ้นในใจต่อไปว่า คนที่ไม่มีวิชาติดตัวอย่างเขาจะสามารถทำมาหากินอะไรให้พอยาไส้ตัวเองได้ด้วยหรือ?
แหงนมองขึ้นไปด้านบน คนในบ้านคงจะปิดไฟเข้านอนกันหมดแล้ว เหลือเพียงแต่แบคฮยอนเท่านั้นที่ยังคงนั่งอิงขอบหน้าต่างอย่างเช่นทุกวัน ดวงตาเศร้าสร้อยกำลังมองเหม่อออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย
ถึงจะเป็นห่วงความรู้สึกของเด็กคนนี้มากขนาดไหนมันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะปล่อยให้แบคฮยอนสงบจิตสงบใจอยู่ตามลำพังบ้าง ร่างหนาส่ายหน้าไปมาสองสามครั้งก่อนจะโยนกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่เข้าไปนอนแหมะอยู่บนโซฟาแล้วช้อนกรอบตาคู่เดิมมองขึ้นไปบนนั้นอีกครั้ง
เสียงนกกระจิบแว่วดังเข้ามาราวกับกำลังขานเสียงอยู่เคียงใบหู เปลือกตาเล็กหยีลงเมื่อต้องแสงที่สว่างจ้ากว่าทุกวัน ภายในห้องเงียบเชียบหลงเหลือเพียงแค่รอยยับยู่ยี่บนผ้าคลุมฟูก มือเล็กวางค้ำลงบนเบาะก่อนจะออกแรงยันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้นมา ยังคงรู้สึกอ่อนล้าและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปจนทั่วร่างกาย เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อนึกถึงภาพคนไข้ในคลินิกทำแท้งของคุณหมออี้ฟาน ราวหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีเด็กคนไหนรอดชีวิต ทุกภาพที่เห็นยังคงหลอกหลอนอยู่ในสองตาจนทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์ในตอนที่เขาพบกับลู่หานครั้งแรก
บ่อยครั้งที่พร่ำบอกกับตัวเองว่าในเร็วๆนี้หรือไม่แน่ก็อาจจะเป็นวันนี้ที่เขาต้องรู้สึกเฉยชาต่อความเป็นความตายพวกนั้น... แต่ประหลาดนัก ยิ่งนานวันเข้ามันกลับเป็นเสมือนดั่งกระจกเงาสะท้อนเรื่องราวพวกนั้นกลับเข้ามาในความนึกคิดโดยไม่รู้จักจบสิ้น
หลังจากที่ใช้เวลาพอประมาณในการทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ ขาเล็กก็ก้าวลงมาจนเหยียบถึงบันไดขั้นสุดท้าย แก้วตาสีอ่อนกวาดมองคนที่นั่งอยู่ตรงโถงบ้าน แอนดี้ไปโรงเรียนแล้วส่วนแบคฮยอนคงจะยังหมกตัวอยู่ในห้อง ตรงนี้มีแค่ลู่หาน จงอินและอี้ฟานเท่านั้น
“ขอโทษที่ตื่นสาย” เสียงหวานเอ่ยขึ้นในลำคออันแห้งผากแต่ก็ดังพอที่จะให้ทุกคนได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ไม่เป็นไร ลู่หานบอกผมว่าเมื่อคืนคุณเหนื่อยมาก” อี้ฟานเลิกคิ้วมองเขาด้วยสายตาจับผิด เขาเหลือบมองไปทางลู่หานที่อมยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะเอนหลังพิงเบาะอย่างสบายใจ
“ครับ...ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่”
“คุณอยากพักผ่อนหน่อยไหม? มีเคสแรกวันนี้ตอนบ่ายโมง เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ยี่สิบนาทีให้คุณตัดสินใจว่าจะไปทำงานกับผมหรือเปล่า” อี้ฟานพูดออกมาอย่างเป็นกันเอง
“ไม่ไป” ลู่หานเป็นฝ่ายตอบคำถามแทน จงอินที่กำลังนั่งเหยียดขาอยู่บนพื้นจึงเสตามอง
“แล้วพี่ไปยุ่งอะไรกับเขาวะ” พอพูดจบเด็กหนุ่มก็หัวเราะห้าวก่อนจะเอี้ยวตัวหลบฝ่าเท้าของลู่หานที่เหยียดเข้าไปจนเกือบถึงใบหู
“มึงอ่ะเสือก”
“ลู่หาน” น้ำเสียงที่เคร่งขรึมของอี้ฟานเอ่ยปรามเมื่อเห็นว่าไอ้ตัวดีคนนี้กำลังจะก่อศึกกับน้องชายต่างสายเลือดเสียแล้ว
“อะไรๆก็ว่าแต่กู พ่อก็ดูมันดิ” มินซอกกอดอกยิ้มออกมาอย่างไม่อาจเก็บกลั้นเมื่อเห็นว่าลู่หานยังมีมุมเด็กๆแบบนี้อยู่ในตัว แต่ก็ยิ้มอยู่แบบนั้นไม่ได้นานเมื่อเจ้าตัวหันกลับมาคาดมองเขาแล้วแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างมากผ่านแววตาคู่นั้น “ยิ้มเหี้ยไร บ้านมึงจัดงานมหรสพหรอ?”
“งานรวมสุดยอดพันธุ์หมาเห่าหอนดีเด่นแห่งปี”
“จงอิน” อี้ฟานหันไปปรามจงอินบ้างเมื่อยังไม่ยอมเลิกจิกกัดพี่ชายของตนเอง เพราะไม่ใช่คนที่มีนิสัยดื้อรั้นเหมือนกับลู่หาน เด็กหนุ่มคนนี้จึงยอมสงบปากสงบคำไปโดยปริยาย
“ผมจะไปทำงานกับคุณ”
“ไม่” ลู่หานค้านเสียงแข็งทำให้ทุกคนเพ่งมองไปที่ร่างสูงรวมเป็นตาเดียว
“ผมให้โอกาสคุณตัดสินใจอีกครั้ง จริงๆแล้ววันนี้ผมแค่แวะมาคุยกับพวกเด็กๆ ไม่ได้เจาะจงว่าจะมารับคุณไปทำงานโดยเฉพาะ” คุณหมอดันกรอบแว่นเข้าหารูปหน้ายาวพลางเสนอทางเลือกให้เขาอีกครั้ง มินซอกมองไปที่สามคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ อยากรู้นักว่าอะไรเข้าสิงคนพวกนี้ อยู่ดีๆก็แสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขาขึ้นมาดื้อๆ
“ผมจะไปทำงานกับคุณ”
“กูบอกว่าไม่” ลู่หานเอ่ยค้านด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น แววตาเกรี้ยวกราดกวาดมองมาที่คนตัวเล็กอยู่ปราดเดียว จากนั้นอี้ฟานจึงตบหน้าขาของลู่หานดังปุก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ไปรอผมที่รถได้เลย”
“พ่อ...” หนุ่มพ่อลูกหนึ่งโพล่งออกมาเมื่ออี้ฟานไม่แสดงความใส่ใจในคำพูดของเขาแม้แต่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาง้ำงออย่างเป็นนิสัยเพราะไม่ชอบโดนขัดใจสักเท่าไหร่นัก
อี้ฟานเดินผ่านบานประตูออกไปโดยไม่ลืมที่จะกล่าวเตือนให้จงอินระวังตัวในการส่งของครั้งนี้ เด็กหนุ่มโบกมือให้กับพี่ชายคนใหม่ของเขาพลางเอ่ยคำอำลา มินซอกยิ้มจืดให้จงอินก่อนจะก้าวขาพ้นออกไปเหยียบพื้นปูนด้านนอก เขาหันหน้ากลับไปมองลู่หานที่กำลังทำเฉยเมยใส่เขา ผู้ชายคนนั้นกำลังขมวดคิ้วแน่นแล้วเบี่ยงหน้าออกไปอีกทาง คงจะอารมณ์เสียมากที่เขาไม่ฟังในสิ่งที่ตัวเองห้ามแถมคนอื่นยังพากันเข้าข้างเขากันหมด อยากจะรู้นักว่าลู่หานกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่...
ครืน...
ระยะทางจากบ้านเช่าหลังนั้นไปจนถึงคลินิกค่อนข้างจะไกลกันอยู่พอสมควรหากเลือกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์ซึ่งต่างกับเวลาเดินเท้าที่สามารถใช้ทางลัดเดินเลี่ยงเข้ามาได้ทันที เสียงเครื่องยนต์เก่าดังอื้อในสองใบหูผสมกับเพลงคันทรี่ที่ดูเหมือนว่าคุณหมออี้ฟานจะโปรดปรานเป็นพิเศษ วันนี้การจราจรไม่ติดขัดมากนัก อี้ฟานเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยรถยนต์รับกับทำนองเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ มินซอกเอนหัวพิงกระจกรถแล้วเผลองีบไปได้สักครู่เล็กๆ หมอนรองคอขนาดกะทัดรัดของอี้ฟานยื่นเข้ามาวางอยู่บนตัก เขาจึงพยักหน้าขอบคุณ
“ลู่หานกับจงอินแชร์เงินกันซื้อให้ผมเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว” มินซอกเงยหน้าขึ้นมองคนพูดก่อนจะก้มลงมองหมอนรองคอที่อยู่ในมือของตนอีกครั้ง “เมื่อก่อนผมต้องนั่งรถประจำทางไปทำงานเที่ยวละสามชั่วโมง วันเกิดปีนั้นเด็กสองคนนี้เลยซื้อเจ้านี่มาให้เผื่อว่าผมจะงีบหลับระหว่างทาง”
“สภาพยังดีอยู่เลยนะครับ”
“ผมไม่ค่อยได้ใช้มันสักเท่าไหร่ กลัวมันจะเก่าน่ะ” ร่างเล็กยิ้มบางให้กับคำพูดของอีกฝ่าย ปลายนิ้วหัวแม่มือเรียวกดไปบนผิวหมอนอย่างเบามือ...สีของมันคงจะซีดลงไปมาก แต่สภาพการใช้งานของมันยังสมบูรณ์อย่างที่อี้ฟานว่าไว้ไม่มีผิด
“ผมก็มีนิสัยแบบนั้นนะครับ”
“ยังไงเหรอ?”
“ตอนเด็กพ่อผมชอบซื้อสมุดลายการ์ตูนมาให้เผื่อจะเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียน แต่ผมก็เก็บมันเอาไว้ในตู้ กลัวว่ามันจะยับ กลัวว่ามันจะขาด กลัวว่าพอเขียนอะไรลงไปแล้วกระดาษแต่ละหน้าจะเป็นรอยกดปากกา”
“ตอนเด็กที่ว่านั่นกี่ปีมาแล้วล่ะ?”
“ยี่สิบปีแล้วครับ” มินซอกยิ้ม “วันที่ย้ายออกมาอยู่คนเดียวน่ะ ผมตั้งใจจะขนมันมาพร้อมกับผมด้วย”
“แต่สภาพมันคงไม่เหมือนเดิมแล้วสินะ”
“ปลวกกินจนอิ่มเลยล่ะ” ได้ยินแบบนั้นแล้วอี้ฟานจึงหัวเราะเบาๆในลำคอ
“เด็กก็แบบนี้” คำพูดที่แสดงถึงความเอ็นดูนั่นทำให้ต้องคลี่ยิ้มออกมาอย่างเย็นใจ อี้ฟานแก่กว่าเขาประมาณเก้าปี แต่สิ่งที่อีกคนแสดงออกมาตลอดเวลานั้นกลับทำให้คนอายุเข้าใกล้สามสิบอย่างเขากลับมารู้สึกเหมือนตนเองกำลังติดอยู่ในวัยเด็กอย่างน่าประหลาด
“ลู่หานก็มีนิสัยแบบนั้นเหมือนกัน” ร่างโปร่งพูดพลางทอดมองออกไปยังถนนด้านหน้า “ผมจะซื้อเสื้อกันหนาวให้กับเด็กสองคนนี้ทุกต้นปี จงอินใช้มันจนคุ้ม...ส่วนลู่หานจะเก็บมันเข้าไปในตู้และเลือกใช้แค่ตัวที่เขาซื้อเอง ของทุกชิ้นที่ผมซื้อให้เขาจะไม่ให้ใครแตะต้องมันเลย”
“...”
“ที่คุณใส่อยู่นั่นผมเพิ่งซื้อให้เขาเมื่อต้นปีที่แล้ว” มินซอกก้มลงมองเสื้อฮู้ดสีเทาที่เขากำลังสวมอยู่ “ตัวเมื่อวานก็ด้วย”
“...”
“ผมเคยถามเขาอยู่หลายครั้งว่าจะเก็บเอาไว้ทำไมในเมื่อร่างกายของเขาก็สูงใหญ่ขึ้นทุกปี... เขาบอกผมว่ามันเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากความรู้สึกที่บริสุทธิ์ของผม เขาคงทำใจไม่ได้แน่ถ้าวันหนึ่งมันต้องมาเปื้อนเลือดของใคร”
“...”
“แต่สุดท้ายเขากลับยกมันให้คุณ...แปลกดีนะว่าไหม?” อี้ฟานพูดออกมาพลางระบายยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าคำพูดของเขาส่งผลกับความรู้สึกของเด็กคนนี้มากแค่ไหน มินซอกก้มหน้างุดพร้อมกับประสานมือทั้งสองข้างเอาไว้บนหน้าท้อง จอนผมสีน้ำตาลเข้มคงไม่ยาวพอที่จะปิดบังพวงแก้มแดงเรื่อนั้นได้ โชคดีแค่ไหนที่อี้ฟานไม่หันมามองเขาในตอนนี้...
ในที่สุดรถยนต์คันเก่าก็มาสิ้นระยะอยู่ในตรอกแคบที่เขาเริ่มจะคุ้นเคยกับมันดีเสียแล้ว ตึกสีขาวสะอาดที่มีความสูงสี่ชั้นถูกซื้อมาในชื่อของคุณหมออี้ฟานเป็นจำนวนหนึ่งคูหา ด้านหน้ามีกล่องไฟสีเขียวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เขียนคำว่า ‘คลีนิก’ ด้วยตัวอักษรสีขาว ถัดออกไปทางซ้ายเป็นร้านอาหารส่วนทางขวานั่นเป็นอู่ซ่อมรถ ผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนี้มักจะรู้กันดีว่ากิจการพวกนี้ไม่เคยมีอยู่จริง มันถูกสร้างขึ้นมาบังหน้าเหมือนอย่างที่คุณหมออี้ฟานทำ
ประตูรถยนต์ปิดลงดังปึง ร่างกายสูงโปร่งนั่นเดินนำเขาไปก่อนแล้ว มินซอกเดินห่อไหล่เล็กน้อยเมื่อหันไปพบกับสายตาของเหล่าชายฉกรรจ์ที่ปกติจะทำงานอยู่ในอู่ซ่อมรถด้านข้าง เขาไม่รู้ว่าพวกมันมีความคิดแบบไหนยามที่จ้องมองเขาแบบนั้นแต่คิดว่าพวกมันคงไม่ได้เจตนาดีแน่ ขาเล็กก้าวยาวขึ้นกว่าเก่าจวบจนสามารถตามติดกับคนที่มาด้วยกันได้สำเร็จ เขาดึงประตูให้ปิดลงมาโดยไม่ลืมที่จะลงกลอนเอาไว้หลังจากที่เข้ามาด้านในพร้อมกับอี้ฟานแล้ว ทั้งคู่มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่อี้ฟานจะเป็นฝ่ายดึงมู่ลี่สีครีมที่อยู่หลังกระจกลงมาฉาบทับอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้รอดพ้นจากการมองเห็นของบุคคลภายนอก
“จีมิน” เสียงของอี้ฟานดังก้องเมื่อเรียกหาใครสักคนที่อยู่ในห้องพักแรกของคลีนิกชั้นที่หนึ่ง ยังไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของเสียงนั้นอี้ฟานจึงเรียกซ้ำอีกครั้ง “จีมิน ตื่นหรือยัง?”
“ครับพ่อ” เด็กหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเดินออกมาจากห้องพักคนไข้ จีมินโค้งให้กับอี้ฟานก่อนที่จะหันมาทักทายเขาด้วยท่าทางนอบน้อมเช่นเดียวกัน
“วันนี้พ่อมีคนไข้สองเคส อีกครึ่งชั่วโมงเคสแรกจะเข้ามา ยังไงก็รอเปิดประตูให้เขาด้วยล่ะ”
“ครับ” เด็กคนนั้นยิ้มกว้างแล้วก้มหัวลงรับสัมผัสจากมือใหญ่ที่เคลื่อนเข้าไปลูบบนกระหม่อมอย่างเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู
“แล้วยุนกิกับจองกุกกินยาตามเวลาที่พ่อบอกหรือเปล่า?”
“กินครับ” จีมินพูดพลางพยักหน้าให้กับชายวัยกลางคนที่ยืนตรงหน้า “แต่ยุนกิชอบดื้อ เมื่อวานผมก็เลย...” คำพูดขาดออกจากประโยคพร้อมกับที่เจ้าของเสียงก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร อย่าทำอีกแล้วกัน” อี้ฟานตบบ่าให้หนึ่งครั้งก่อนจะหันกลับมามองที่มินซอก “ผมต้องการใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ วานคุณขึ้นไปดูให้หน่อยได้ไหม?”
“ได้ครับ” มินซอกค้อมตัวรับคำสั่งแล้วเดินเลี่ยงออกมาเงียบๆ
คลินิกที่นี่ล้วนทาทับด้วยสีขาวสะอาดตา มีโปสเตอร์เกี่ยวกับแม่และเด็กจำนวนมากรวมถึงวีดีโอที่ฉายขึ้นบนจอแอลซีดีเกี่ยวกับทารกในครรภ์ ทุกสิ่งที่ฉายอยู่ในสองตาทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองทุกครั้งว่าที่นี่คือคลีนิกทำแท้งจริงหรือ? อี้ฟานบอกว่าให้พวกมันเป็นทางเลือกหนึ่งที่อาจจะทำให้เด็กสาวพวกนั้นเปลี่ยนใจซึ่งมันใช้ได้ผลเพียงบางส่วน เพราะทุกคนที่ก้าวเข้ามาในนี้ล้วนแล้วแต่มีความคิดที่เด็ดเดี่ยว... ผู้หญิงพวกนั้นไม่ต้องการให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองด้วยเหตุเพราะความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป คุณหมออี้ฟานไม่ได้อยากจะทำมันนัก...แววตาของคุณหมอบอกเขาแบบนั้น แต่ก็ต้องกัดฟันทำเพื่อความอยู่รอด
คนที่เจอเมื่อสักครู่นี้คือจีมิน เป็นเด็กคนแรกที่อี้ฟานช่วยทำคลอดก่อนกำหนดในตอนที่คุณแม่ของเด็กท้องแก่เต็มที่แล้ว ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นหมอที่ไม่สามารถทำลายชีวิตของใครได้สั่งให้อี้ฟานทำคลอดให้เธอด้วยวิธีปกติ ปรากฏว่าเด็กชายคนนี้รอดชีวิต...อี้ฟานจึงรับเลี้ยงดูราวกับเป็นลูกของตนเองจวบจนตอนนี้ก็อายุเริ่มเข้าสิบสองปีแล้ว เงินค่าตอบแทนที่ได้รับมานั้นทวีจำนวนมากกว่าเงินเดือนของแพทย์ชนบทหลายเท่า จุดนั้นจึงเป็นก้าวแรกที่อี้ฟานเริ่มรับเงินและทำแท้งให้กับพวกชาวบ้านอย่างลับๆและผันตัวมาเปิดคลีนิกทำแท้งอย่างเป็นทางการในช่วงเจ็ดปีหลัง
เด็กทุกคนที่มีโอกาสรอดชีวิตนั้นอี้ฟานจะอาสาเลี้ยงดูและมอบความรักให้ แต่จากผู้หญิงหลายพันคนที่มาทำแท้งกับเขานั้นมีทารกน้อยเพียงห้าคนเท่านั้นที่รอดชีวิต จีมิน ยุนกิและจองกุกเป็นสามในห้าที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่สมบูรณ์ครบส่วน แต่ยุนกิและจองกุกถูกให้กำเนิดมาพร้อมกับโรคประจำตัวที่เป็นมรดกตกทอดจากเจ้าของชีวิต ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั่น...อี้ฟานบอกว่ามันคงจะดีกว่าถ้าหากว่าเขาไม่เห็นสภาพของเด็กสองคนนี้
เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำพัดกระทบไหล่จนทำให้รู้สึกหวั่นใจ เสียงของเด็กมากกว่าหนึ่งคนดังมาจากห้องคนไข้ที่อยู่สุดทางเดินของชั้นสองจนเขาแทบจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของตนเอง ประตูบานเลื่อนของคลินิกเปิดแง้มทิ้งไว้เล็กน้อย มินซอกถดคอลงมาและพยายามไม่มองเข้าไปเพราะอี้ฟานเคยบอกว่ามันเป็นห้องพักของเด็กสองคนที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ดีนัก ตอนนี้เขาเห็นมือเล็กๆข้างหนึ่งวางทาบลงบนประตูกระจกโปร่งแสงพร้อมกับเงาของเด็กน้อยที่น่าจะมีความสูงอยู่ในระดับเอว
‘อยากให้ช่วยอะไรหรือเปล่านะ?’
มินซอกคิดในใจ
เขาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าห้องนั้นแล้วยืนมองอยู่สักระยะ เงาของเด็กน้อยตรงหน้ายังไม่ขยับออกไปไหน ด้านในฝั่งขวาเป็นเตียงผู้ป่วย เด็กคนหนึ่งที่รูปร่างแห้งแกรนนอนกลอกตามองมาทางเขา แขนขาทั้งสองข้างด้วนกุด ข้างเตียงนั้นมีถุงปัสสาวะห้อยอยู่ทำให้เขาพอจะเข้าใจว่าเด็กคนนี้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ไหนจะคราบของเสียที่เลอะเทอะอยู่บนที่นอนนั่นอีก
ครืด...
ประตูโปร่งแสงถูกเลื่อนออกมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่เล็กยังคงจับจ้องไปบนเด็กน้อยที่นอนกลอกตาไปมาบนเตียงนั้น ปากเล็กอ้าพะงาบราวกับต้องการจะสื่อสารอะไรหากแต่แววตาสุกใสคู่นั้นกลับเหม่อมองไปบนผนังห้องที่ว่างเปล่าโดยไม่สามารถจับจุดได้ คงจะไม่ได้พิการแค่เพียงร่างกายแล้วสิ มินซอกพูดกับตัวเองในใจอีกครั้ง... เขาไม่ได้รังเกียจเด็กที่พิกลพิการแบบนี้เลยสักนิด แล้วทำไมอี้ฟานถึง...?
กึกกึก
มีแรงกระตุกจากชายเสื้อสองครั้งทำให้เขาค่อยๆเบนความสนใจจากเด็กที่อยู่บนเตียงคนไข้ ร่างเล็กเคลื่อนมือเข้าไปกุมมือของเด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ผิวหนังแห้งกร้านมีตุ่มสีน้ำตาลไหม้ตามลำตัวคล้ายตกสะเก็ดไปจนทั่วผิวหนัง เด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีชมพูหวานยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ได้ยินแต่เพียงเสียงอึกอักที่ลอดผ่านลำคอราวกับไม่สามารถถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นคำพูดได้
“ว่าไงครับ? อยากให้พี่ช่วยอะไรหรือเปล่า?” เด็กน้อยส่ายหน้าไปมาช้าๆ เขาคลี่ยิ้มออกมาบางๆเมื่อเห็นว่าแขนเล็กคู่นั้นกำลังกอดรอบขาของเขาเอาไว้อย่างหละหลวม
“พี่จะขึ้นไปข้างบนแล้วนะครับ...เอาไว้ตอนเย็นๆพี่จะมาเล่นด้วยนะ”
เด็กน้อยคนนั้นนิ่งงันไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนริมฝีปากอิ่มเริ่มคลายลงเมื่อหัวทุยของเด็กหญิงตัวกระเปี๊ยกเงยแหงนขึ้นมาทีละน้อย รูปหน้าผากแคบขาวที่แต้มด้วยรอยสีน้ำตาลไหม้ไปจนเกือบทั้งแถบ มีตุ่มเล็กๆกระจายทั่วเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นบนเนื้อตัว ดวงตาปูดโปนเบิกกว้าง สันจมูกที่แบนเรียบติดไปกับใบหน้ารวมไปถึงริมฝีปากขาดวิ่นที่เต็มไปด้วยแผลสดและน้ำหนองสีเหลืองเข้ม
โครม!
มินซอกถอยหลังออกมาในทันทีส่งผลให้ร่างของเด็กหญิงตัวน้อยที่กอดขาเขาเอาไว้เสียหลักล้มลงดังตึง หัวใจของเขาหล่นวูบไปถึงข้อเท้า มือทั้งสองข้างสั่นเทา... ตกใจสุดขีดเพราะไม่เคยใครเป็นโรคผิวหนังร้ายแรงเช่นนี้มาก่อน เขากลืนน้ำลายลงคอดังอึกแล้วหลับตาลงชั่วขณะราวกับต้องการจะลบลืมสิ่งที่ตนมองเห็นเมื่อครู่ แต่แล้วหัวใจของเขาก็ต้องสั่นไหวอีกครั้งเมื่อแผ่นหลังเล็กกระเพื่อมขึ้นมาตามด้วยเสียงร่ำไห้แสนไร้เดียงสา
“ฮึก...” เป็นห้วงวินาทีที่แสนเงียบงัน เขาสูดลมหายใจกักเอาไว้ในปอดก่อนจะกลั้นใจย่อตัวลงมาหาเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่ร่างกายแคระแกรนกว่าเด็กทั่วไป น้ำตาปนเลือดสีแดงจางกลั่นหยดลงบนพื้นกระเบื้องสีขาว หัวเข่าที่กระแทกลงบนพื้นอย่างแรงเกิดรอยแผลขนาดใหญ่ ความรู้สึกผิดโถมดังอยู่ในใจเมื่อเห็นว่าแผ่นหนังสีครีมเปิดร่อนขึ้นมาจากบาดแผลนั้น ร่างกายของเด็กคนนี้บอบบางกว่าคนปกติมากเหลือเกิน
แต่คนเราก็เลือกเกิดไม่ได้อยู่แล้วนี่?
“เจ็บไหมคะ...” มินซอกพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ไร้น้ำหนัก เขาเอื้อมมือเข้าไปแตะหัวไหล่เล็กของเด็กน้อยเบาๆก่อนจะลูบหัวปลอบใจ ไม่รู้ว่าจะเริ่มจัดการจากตรงไหนก่อนดีแต่การเดินจากไปโดยทิ้งให้เด็กตกอยู่ในสภาพแบบนี้เป็นทางเลือกสุดท้ายที่เขาไม่คิดจะทำมันแน่
“ฮือ...” เด็กหญิงพยักหน้าให้ก่อนจะแหงนมองเขา ใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปจากบุคคลทั่วไปเป็นสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวเมื่อตอนแรกเห็น
“อย่าร้องไห้นะคะ เดี๋ยวพี่ตามคุณหมอมาทำแผลให้หนูนะคะ” เขาคลี่ยิ้มขมๆออกมาก่อนจะโน้มกายเข้ากอดเด็กผู้หญิงคนนี้เอาไว้หลวมๆ เด็กหญิงคนนั้นนิ่งงันไปในอ้อมกอด ไม่นานนักเสียงสะอื้นก็เริ่มแผ่วเบาและเงียบลงไปในที่สุด...โล่งใจไปอีกเปราะ
“ไม่ร้องไห้แล้วนี่นา เก่งจังเลยค่ะ” เด็กน้อยพยักหน้าให้แต่ที่น้ำตายังไหลอาจเป็นเพราะบาดแผลบนหัวเข่าเสียล่ะมั้ง เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อก่อนจะหยิบลูกอมออกมาหนึ่งเม็ด ดวงตาฉ่ำใสประกายขึ้นมา ดูท่าว่าเด็กคนนี้จะสนอกสนใจสิ่งที่อยู่ในมือของเขาเป็นพิเศษ
“พี่ให้” รอยยิ้มจางๆแต้มบนใบหน้าของเด็กหญิงทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเองชื้นดีขึ้นมาอีกครั้ง “หนูจะเก็บไว้ทานหลังจากทำแผลเสร็จ สัญญากับพี่ไหมคะ?”
“ค่ะ” อีกคนยอมเกี่ยวก้อยสัญญากับเขาในขณะที่ดวงตาทั้งคู่ยังเบิกมองสิ่งได้รับมา ผิวหนังรอบดวงตาของเด็กน้อยห้อยย้อยจนเห็นสีแดงก่ำของเนื้อด้านในที่เหมือนจะมีเลือดสีแดงสดปะปนอยู่เล็กน้อย...เพราะตกอยู่ในสภาพที่ไม่น่ามองแบบนี้ อี้ฟานถึงห้ามเขาสินะ?
“ลุกขึ้นเร็ว ฮึบ!” ร่างเล็กลุกขึ้นพยุงร่างเด็กในชุดเจ้าหญิงสีชมพูขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
หลังจากส่งเด็กคนนั้นกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับเช็ดทำความสะอาดของเสียที่เด็กเตียงขวาขับถ่ายออกมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตรงรี่ไปยังโทรศัพท์ที่ติดอยู่บนผนังนอกห้องพักคนไข้ อี้ฟานบอกว่าจะรีบขึ้นมา ตอนนี้ให้เขารีบจัดเตรียมเครื่องมือทุกอย่างให้พร้อมโดยเร็วที่สุด
ร่างเล็กเอนกายลงบนโซฟาด้านนอกห้องปฏิบัติการที่อยู่บนชั้นที่สาม เขาเช็คความเรียบร้อยของเครื่องอัลตร้าซาวด์ตามที่อี้ฟานเคยสอนไว้เรียบร้อยแล้ว อีกห้องที่อยู่ตรงข้ามกันนั้นเขาได้วางเครื่องมือแพทย์รายเรียงกันไปบนผ้าขนหนูสีครีม ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว...เหลือแต่เพียงคนไข้กับเด็กในท้องเท่านั้น
“เชิญห้องนี้ก่อนครับ” น้ำเสียงเคร่งขรึมแว่วเข้ามาในโสตประสาทปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาหลังจากงีบหลับไปบนโซฟาอยู่ชั่วครู่
เด็กสาววัยรุ่นใบหน้าหมองคล้ำในชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าเดินก้มหน้าก้มตาตามคุณหมอเข้าไปในห้องอัลตร้าซาวด์ มินซอกเดินเข้าไปหยุดอยู่หลังประตูบานเลื่อน เมื่อครู่นี้เพิ่งได้ยินอี้ฟานพูดออกมาว่าทารกที่อยู่ในท้องน่าจะมีอายุราวเจ็ดเดือนได้แล้ว
“ส่วนนี้เป็นศีรษะ ตรงนี้แขน...ส่วนนี่คือขาของน้องนะครับ” อี้ฟานพูดพลางใช้ปลายปากกาชี้ไปบนหน้าจอแสดงผล แล้วยิ้มออกมาบางๆ “ผมคิดว่าเขาน่าจะแข็งแรง...”
“ฉันอยากเอามันออกไปให้พ้นๆ ไม่ได้อยากจะมานั่งดูภาพเวรตะไลนี่”
“คิดดีแล้วเหรอครับ?” ใบหน้าของคุณหมอเจื่อนลง ร่างโปร่งวางปากกาลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะประสานมือทั้งคู่เข้าหากัน
“อืม” หล่อนพยักหน้าช้าๆ อี้ฟานเหลือบมองมินซอกที่ยืนอยู่ข้างนอกก่อนจะพยักหน้าให้เป็นสัญญาณเตรียมพร้อม
คุณหมอเพิ่งเดินผ่านเขาออกไปเมื่อครู่ ร่างเล็กก้าวเข้าไปในห้องขนาดย่อมที่ตอนนี้เงียบสงัด ใบหน้าหม่นหมองของเด็กสาวยังคงกดก้มชิดลำคอ แผ่นมือเย็นซีดสั่นพร่า หน้าท้องกลมปูดนั่นทำให้เขาเห็นว่านี่คงไม่ใช่ท้องแรกของผู้หญิงคนนี้...แล้วมันก็น่าจะไม่ใช่การทำแท้งครั้งแรกอีกเช่นกัน เส้นผมสีดำขลับกระเซิงยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงราวกับเพิ่งโดนกล้อนมา ริมฝีปากบางซีดนั่นกำลังสั่นระริก ดวงตาของเด็กสาวแดงก่ำแต่ก็เบิกโพลงขึ้นในเวลาเดียวกัน
“เปลี่ยนชุดก่อนนะครับ” มินซอกพูดขึ้นก่อนจะวางชุดคนไข้สีเขียวเข้มขึ้นวางบนโต๊ะทำงานของคุณหมอ
“นี่อะไร” เสียงนั้นถามออกมาเมื่อตะกร้าขนาดเล็กดันเลื่อนเข้าไปหาหญิงสาวร่างผอม
“เอาไว้ใส่ชุดที่คุณถอดมา”
“แกคิดว่ามันจะยอมออกมาไหม” คำถามที่เบี่ยงประเด็นทันควันทำให้มินซอกต้องหันขวับ ริมฝีปากซีดแสยะยิ้ม แววตาของเด็กสาวคนนั้นเหม่อลอย “ฉันฆ่ามันมาตั้งหลายครั้งตลอดเจ็ดเดือนนี่”
“...”
“ถ้าแขนฉันยาวพอ ฉันจะล้วงมือเข้าไปในช่องคลอดแล้วดึงหัวมันออกมา”
“...”
“ฉีกร่างของมันให้เป็นชิ้น...”
“...”
“แล้วบี้มันให้เละคามือฉัน!”
ปึง!
กำปั้นเล็กทุบลงบนโต๊ะทำงานพร้อมกับเสียงแตกสาวนั่นตวาดลั่นจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง มินซอกกุมมือเอาไว้ที่หน้าอกของตนเองแล้วสูดลมหายใจเข้ามาลึกๆในครั้งเดียว เสียงหัวเราะในลำคอโหยดังขึ้นมาจากเด็กสาวที่นั่งอยู่ เขากัดฟันแน่นก่อนจะเดินถอยหลังลงมาสองสามก้าว
“เปลี่ยนชุดนะครับ...ผมจะรออยู่ข้างนอก”
มินซอกมองออกไปนอกหน้าต่างเมื่อเห็นว่าประตูทางเข้าคลินิกเพิ่งปิดลงหลังจากที่มีคนเพิ่งเดินเข้ามา อาจจะเป็นญาติของคนไข้หรืออาจจะเป็นยุนกิหรือจองกุกก็ได้...ปกติจีมินไม่เปิดประตูให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่แล้ว
หันกลับไปที่คุณหมอวัยกลางคนที่กำลังก้มๆเงยๆจัดเรียงเครื่องมือแพทย์ที่วางแผ่อยู่บนผ้าขนหนูสีครีม เด็กสาวคนนั้นเอนหลังลงบนขาหยั่งเรียบร้อยแล้ว ขาทั้งสองข้างอ้ากว้างแล้วพาดเข้าหาที่ล็อคขาเพื่อไม่ให้หุบเข้าหากันระหว่างที่คุณหมอกำลังทำคลอด มินซอกเดินกลับมาหาคุณหมอที่นั่งอยู่ปลายเตียง โคมไฟขนาดย่อมสาดเข้าสู่หว่างขาของหญิงสาวก่อนที่คุณหมอจะถกผ้าที่ปิดซ่อนอวัยวะสำคัญของผู้หญิงขึ้น
“คุณไม่ต้องมองก็ได้ คอยส่งเครื่องมือให้ผมก็พอ” ไม่รู้ว่ามีระดับความคิดไปเองแค่ไหนว่าใบหน้าของคุณหมอซีดเซียวลง เขาพยักหน้าให้ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวที่นอนราบอยู่ตรงนั้น แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นมาจนอาบโชกศีรษะ
“คุณหมอครับ คือ...” มินซอกเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา อี้ฟานที่เพิ่งใส่ผ้าปิดปากเสร็จหันมาเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไรในตอนนี้ มือทั้งสองข้างก็เย็นไปหมด
“คุณ?”
“เปล่าครับ...” เขากลืนคำพูดของตนเองลงคอ ท้องแก่แบบนี้จะเป็นอันตรายกับคนเป็นแม่หรือเปล่านะ? คงไม่หรอก...คุณหมออี้ฟานเขาเก่งอยู่แล้วนี่...
“ทำใจให้สบายนะครับ” ร่างโปร่งหันไปพูดกับคนไข้สาวที่นอนจมเหงื่อ อีกฝ่ายพยักหน้าให้หากแต่แววตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความขลาดกลัว
เครื่องมือชิ้นแรกยื่นเข้าไปสู่หว่างขาของหญิงสาว คิมมินซอกเบี่ยงหน้าออกมาในทันทีเพราะไม่อาจทนดูภาพต่อไปได้อีกแล้ว ทำไมเวลามันช่างยาวนานเช่นนี้ เขาทรมานหัวใจเหลือเกินที่ต้องนึกถึงภาพความเป็นความตายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า... ผู้หญิงคนนี้ทบทวนเรื่องนี้มานานแค่ไหน? อี้ฟานลงมือทำมันได้อย่างไร? คำถามพวกนี้ว่ายเวียนอยู่ในสมองเขาเต็มไปหมด
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!”
เสียงครางโหยหวนนั่นเป็นสัญญาณว่าคุณหมอเริ่มทำงานแล้ว... เขาได้ยินเสียงหอบหายใจดังลั่นเต็มสองแก้วหู ร่างเล็กหลับตาแน่น ริมฝีปากบางสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า กลิ่นคาวเลือดทะลักแตะจมูกจนแทบอยากจะอาเจียนออกมา
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แต่เสียงครางโหยหวนของหญิงสาวนั้นกลับดังขึ้นผิดปกติ เขาหรี่ตามองคุณหมอที่ยื่นหน้าเข้าใต้ชายผ้าและใช้เครื่องมืออย่างระมัดระวัง เพียงครู่เดียวเท่านั้นอี้ฟานก็ทิ้งเครื่องมือลง ภาพที่เห็นต่อจากนั้นทำให้เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อคุณหมอที่นั่งอยู่กลับล้วงมือเข้าไปในช่องคลอดของคนไข้แทน!
“อุแว้!!!”
อึกเดียวที่ได้ยินเสียงร้องของทารกทำให้มินซอกต้องเบิกตาโพลง อี้ฟานดึงศีรษะเล็กของเด็กไร้เดียงสาออกมาจนพ้นช่องคลอด เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาตลอดสัปดาห์... ร่างกายของเด็กเล็กที่เพิ่งผ่านจากการทำคลอดนั่นปกติสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่ได้มีเพียงแค่ก้อนเลือดหรือแขนขาฉีกออกจากร่างผ่านการใช้เครื่องมืออย่างที่ควรจะเป็น
“ขอบคุณสวรรค์...” อี้ฟานเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า คุณหมอหันกลับมาสบตากับเขา ไคลเหงื่อเกาะพราวไปจนทั่วหน้าผากกว้าง ร่างโปร่งหันกลับไปมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้งก่อนจะพร่ำเสียงแผ่วใกล้ทักทายชีวิตใหม่ที่กำเนิดออกมา “...อยู่กับพ่อนะลูก”
“...” ไม่มีคำพูดเพื่อแสดงความยินดีอะไรหลุดรอดออกมาจากปากของเขาแม้สักประโยคเดียว มินซอกเม้มปากแน่นพลางข่มเสียงสะอื้นลงในลำคอ...ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เด็กคนนั้นรอดชีวิต
“รับเด็กไว้ที” อี้ฟานพูดขึ้นมาอย่างเร่งรีบ มินซอกพยักหน้าให้เร็วๆก่อนจะยื่นแขนทั้งสองข้างเข้าหาเพื่อรับร่างของทารกน้อยเอาไว้ก่อนที่จะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามหน้าที่ของหมอ
“มันรอดเหรอ?” คนไข้พูดขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้ง มินซอกเหลือบมองไปทางต้นเสียง แต่อีกเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น...ปลายเท้าของหญิงสาวใจทรามก็ทุลักทุเลเหยียดเคลื่อนเข้ามาหาอีกชีวิตที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาจนเต็มแรง
ผลั่ก!
ทารกน้อยหลุดลอยออกไปต่อหน้าพร้อมกับที่เขาต้องสูญเสียการทรงตัว ร่างของเด็กอ่อนกระแทกลงบนพื้นกระเบื้องสุดแรง เสียงร้องของเด็กดังขึ้นเป็นสัญญาณให้เขารีบทะยานตัวออกไปจากตรงนั้น
อั่ก!
แต่ก็ไม่ทันการณ์...
เครื่องมือแพทย์ขนาดใหญ่ที่มีปลายแหลมถูกโยนเข้ามาปักที่กลางคอเด็กจนศีรษะขาดแยกออกจากร่าง โลหิตสีแดงฉานค่อยๆไหลซึมออกมาแล้วแผ่วงกว้างออกอย่างต่อเนื่อง อี้ฟานชะงักฝีเท้าของตัวเองลงก่อนจะเหลียวมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลัง มินซอกยกมือขึ้นปิดปากแน่น ดวงตาเล็กเบิกกว้างขึ้นเต็มรูปตาพร้อมกับที่ลมหายใจขาดระยะ
“ไม่...” ร่างเล็กก้าวถอยหลังออกมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหวานส่ายไปมาอย่างคนขาดสติราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นเป็นความจริง “ไม่นะ...”
“...” สถานการณ์แบบนี้ทำให้อี้ฟานถึงกับก้าวไม่ออก เสียงหัวเราะด้วยความสะใจของหญิงสาวที่กังวานลั่นยิ่งกล่อมให้ทุกคนตรงนั้นกำลังจะเป็นบ้า!
“คุณ...” มินซอกเอ่ยเรียกอี้ฟานด้วยเนื้อเสียงขาดห้วง ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะยังสับสนกับภาพที่เห็นถึงได้หันมามองเขาราวกับจะขอร้องให้ทำอะไรสักอย่าง มันสายไปแล้ว...เขาส่ายหน้ากลับไปในที่สุด
“เขาตายแล้ว”
“เด็ก...คุณทำคลอดเขาเมื่อกี้ แล้ว...เด็ก...ทำไม...”
“เขาตายแล้วมินซอก”
“ไม่” ร่างเล็กส่ายให้เหมือนไม่ยอมรับรู้ถึงความเป็นจริงที่อีกฝ่ายพูดออกมา ภาพที่เกิดตรงหน้ามันโหดร้ายเกินกว่าที่เขาจะทนรับมันไหว เขาต้องออกไปจากตรงนี้ เขาไม่ต้องการอยู่ในสถานพยาบาลทรามๆนี่อีกต่อไปแล้ว
ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการขาทั้งสองข้างก็ก้าวถอยกรูดออกมาจนสุดบานประตู มินซอกหอบหายใจอย่างหนักเมื่อมองไปที่ศพของทารกน้อยอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็ต้องหันหลังให้กับห้องพยาบาลก่อนจะมีแรงฉุดกระชากที่ข้อมืออย่างแรง
ข้างนอกเงียบเชียบ มีเพียงแสงแดดรำไรที่ลอดผ่านเข้ามาทางกระจกหน้าต่างสีทึบ ใครบางคนดึงเขาเข้าไปในจุดสงบภายใต้อ้อมแขนแกร่งที่โอบกอดเขาเอาไว้แน่น ข้างแก้มเนียนขาวถูกกดแนบลงบนแผ่นอกกว้างจนได้ยินจังหวะชีพจรของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน สัมผัสหยาบกร้านไล้บนกลุ่มผมของเขาอย่างเชื่องช้าคล้ายกับว่ามันคือการปลอบโยนจากผู้ชายห่ามๆคนนั้น
แน่นอนว่าเขาจำกลิ่นของลู่หานได้ดี
“ไม่เป็นไร กูอยู่นี่แล้ว” น้ำเสียงแผ่วพร่ากระซิบเข้ามาเป็นไม่รู้กี่สิบครั้งในห้วงนาทีนี้ เขาพยักหน้ากลับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ลู่หานก็ยังคงพูดทวนคำเก่าอยู่อย่างนั้น ร่างเล็กละตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายก่อนจะแหงนมองใบหน้าคมขาวที่ดูเซียวลงไปกว่าทุกวัน
“ลู่หาน ผม...”
“ชู่ว!” ร่างสูงส่งเสียงปราม “เดี๋ยวค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน”
“...” ยอมรับคำอีกฝ่ายอย่าว่าง่ายก่อนที่ฝ่ามือหนาจะเคลื่อนเข้ามาตบที่ข้างแก้มเบาๆเป็นสัญญาณเรียก
“ป่ะ กลับบ้านกัน”
รถยนต์ของอี้ฟานเคลื่อนออกมาอย่างสงบ มีเสียงเพลงจากวิทยุดังคลอไปตลอดทางโดยที่ลู่หานทำหน้าที่เป็นคนขับแล้วปล่อยให้มินซอกนั่งจมอยู่กับความคิดของตนเองเพียงลำพัง เขาคุยกับอี้ฟานไว้ตั้งแต่เช้าว่าอยากให้มินซอกหยุดงานตรงนี้แล้วค่อยหางานอื่นในละแวกบ้านทำ มินซอกนอนหลับยากและสะดุ้งตื่นตลอดคืนจนพาลให้เขาต้องนอนไม่หลับไปด้วย ไหนจะร่างกายที่ซูบผอมลงมาอย่างเห็นได้ชัดและท่าทางอิดโรยนั่น เป็นห่วงเป็นใยงั้นเหรอ...คงไม่ใช่หรอกมั้ง เขาแค่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญที่ต้องใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับคนที่ดูจิตตกตลอดเวลา ลำพังแค่ปัญหาของตัวเองก็มากพอแล้ว อดคิดไม่ได้เลยว่าบางทีมินซอกอาจจะเป็นตัวภาระอย่างที่เคยบอกจงอินเอาไว้จริงๆ
“มึงอยากย้ายไปอยู่ที่อื่นป่ะ?” ลู่หานเปิดการสนทนาด้วยคำถามที่ตรงประเด็น เขาหัน มองคนตัวเล็กที่กำลังทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง จากที่ว่าเงียบอยู่แล้วเขากลับรู้สึกว่าความเงียบที่เกิดขึ้นตอนนี้แม่งให้ความรู้สึกกดดันแบบแปลกๆ
“คำถามหรือคำสั่ง” มินซอกถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“ไม่แน่ใจ อาจจะทั้งสองอย่าง”
“เห็นแล้วใช่ไหมล่ะว่าผมไม่ให้ประโยชน์อะไรกับคุณเลย” สิ่งที่อีกฝ่ายพูดทำเอาร่างสูงถึงกับสะอึก ถึงจะพูดออกมาหน้าตาเฉยก็จริงแต่น้ำเสียงนั้นก็แอบแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ไม่น้อย...ลู่หานไม่ได้คิดไปเองแน่
“อยู่กับกูก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับตัวมึงเองเหมือนกัน”
“แต่ผมรู้สึกปลอดภัย”
“ปลอดภัยเหี้ยอะไร ลืมไปแล้วเหรอว่ามึงกำลังใช้ชีวิตอยู่ในซ่องโจร”
“แล้วยังไง?”
“มึงยังดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ก็เลยสั่งให้ผมออกไปใช้ชีวิตคนเดียวงั้นเหรอ?”
เอี๊ยด!
เลี้ยวรถเข้าข้างทางกะทันหันแล้วเหยียบเบรกจนมิด ลู่หานลดกระจกลงมาแล้วจุดบุหรี่มวนแรกโดยที่ยังไม่พูดอะไร คิ้วหนาขมวดแน่นด้วยความฉุนเฉียวที่อีกฝ่ายจ้องจะเถียงเขาหัวชนฝา มินซอกกัดฟันกรอดจนขึ้นรอยนูนของสันกรามที่ข้างแก้ม ความแสบร้อนก่อขึ้นที่กระบอกตา ไม่รู้ว่าโกรธหรือเสียใจที่ได้ยินลู่หานพูดแบบนั้น...ใครๆก็ไม่ต้องการเขา อันที่จริงก็ควรจะชินได้แล้ว
“กูจะถามมึงอีกครั้ง”
“แม่เลี้ยงกับเจ้านายของผมก็ถามแบบเดียวกับคุณ” ยังไม่ทันจบประโยคดีร่างเล็กก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน ลู่หานขบกรามแน่นแล้วอัดควันเข้าปอดก่อนจะพ่นออกไปที่นอกหน้าต่างรถยนต์ “พวกเขาถามผมว่าอยากลองย้ายไปอยู่ที่อื่นดูบ้างไหม?”
“...”
“ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะถามผมแบบนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อเจตนาของคนพูดมันก็ชี้ชัดอยู่แล้วว่าอยากให้ผมไปให้พ้นๆมากแค่ไหน”
อยากให้ไปงั้นเหรอ?
“ผมจะไปถ้าคุณอยากให้ไป...”
“...”
“คำตอบนี้พอใจคุณหรือยัง?”
ความคิดทั้งปวงกลับเข้ามาแล่นโถมอยู่ในหัวของลู่หานแทนในเมื่อมินซอกใช้คำถามปลายเปิดเป็นคำตอบของปริศนานี้ ควันบุหรี่สีเทารมอยู่ในคอเนิ่นนานก่อนจะถ่ายพ่นออกมาแต่ละครั้ง คำพูดของเขาก็คงจะแทงใจอยู่เอาการมันถึงได้โยนคำพูดเสียดสีพวกนั้นมาใส่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เกลียดนักความรู้สึกผิดแบบนี้ในขณะที่อีกฝ่ายดูจะถนัดสร้างมันขึ้นเสียเหลือเกิน
“อยู่ไปก่อนแล้วกัน” เมื่อเปลวเพลิงมอดไหม้มาจนถึงปลายมวนก็กินระยะเวลาให้ลู่หานหาคำตอบให้อีกฝ่ายได้แล้ว ร่างสูงโยนก้นกรองออกไปด้านนอกก่อนจะหมุนกระจกให้ปิดลงดังเดิม “เลิกทำงานที่คลินิกแล้วช่วยหยุดทำตัวอมทุกข์สักที กูรำคาญ”
“ผมอยากย้ายไปนอนกับแบคฮยอน”
“เป็นเหี้ยไรอีก?” ลู่หานตวาดสวนขึ้นมาทันควันแล้วจ้องนัยน์ตาแข็งกร้าวมองเข้าไปในดวงตาหยีเล็กของอีกฝ่าย มือขวากำหมัดแน่น ถ้าประชดออกมาอีกคำเดียวเขาจะชกหน้าไอ้เวรนี่ให้จริงๆ
“ถามว่าทำไมดีกว่าไหม?” มินซอกสบตานิ่ง เวลาที่ลู่หานโกรธมักจะดูน่ากลัวเสมอ แต่เขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะยั่วโมโหผู้ชายคนนี้เลยสักนิด อีกฝ่ายควรจะฟังเขาพูดให้จบก่อนด้วยซ้ำ
“เงียบไปเหอะ” ร่างสูงคลายมือที่กำแน่นออกก่อนจะเบนความสนใจไปยังถนนตรงหน้าอีกครั้ง
“จงอินวางหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไว้ในลังหน้าห้องนอนของแบคฮยอนนะ”
“...”
“ผมคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ได้โง่ ถึงเขาจะหูหนวกแต่ก็ไม่ได้ตาบอด” ร่างสูงไม่ได้แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรแต่ก็ยังตั้งใจฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจนจบประโยค “ความลับไม่มีในโลก...พวกคุณปิดบังแบคฮยอนไม่ได้ตลอดหรอก”
“มันไม่ยอมให้มึงไปนอนด้วยหรอก เด็กเหี้ยนี่หวงห้องมันจะตาย”
“แต่ผมเป็นเพื่อนกับเขา”
“เพื่อนกับผัวมึงจะเอาอะไรล่ะ?”
“ว่าไงนะ” มินซอกเอียงหัวพลางสบถคำถามออกมาเสียงหลง
“เปล่า” ดูเหมือนความโกรธในตอนแรกจะหายสลัดหายออกไปในทันทีที่เขาพลั้งปากพูดออกไปแบบนั้น ร่างเล็กยังจ้องมาทางนี้ราวกับจะคาดคั้นอะไรจากปากของเขา “ก็แบบ...”
“แบบ?”
“เหี้ยดำนอนห้องนั้นประจำ”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับให้เลือกระหว่างเพื่อนกับผัว?”
“นี่กวนตีนป่ะวะ” ลู่หานแสร้งมองตาขวาง มินซอกตีสีหน้างุนงงออกมาอีกครั้ง
“ผมแค่ไม่เข้าใจ”
“ก็เหี้ยดำกับแบคฮยอนไง” ยอมรับว่าถึงตอนนี้แล้วเหมือนเจอทางตัน ไม่รู้จะเอ่ยชื่อใครเลยในวินาทีนี้ อ้างชื่อเหี้ยดำมาก่อนแล้วกันแม่งทำกูไว้เยอะ
“จงอินกับแบคฮยอน?”
“เออ”
“จงอินกับแบคฮยอนทำไม?”
“ก็มันแบบ...” ลู่หานเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเลย มินซอกรู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนรถไฟแล้ว ท่าทางเลิกลั่กแบบนั้นมีใครบ้างที่จะดูไม่ออก
“แบบอะไร?” คนตัวเล็กกลั้นหัวเราะเอาไว้ในใจทั้งที่อยากจะระเบิดมันออกมาใจแทบขาด ลู่หานเงียบไปสักพักแล้วทำเหมือนกำลังใช้สมาธิในการออกรถ
“...มันชอบเล่นเป็นผัวเมียกัน” เหี้ยเอ๊ย...ยอมรับว่าสิ้นคิดสุดตีน! เขาไม่มีทางเลือกให้ตอบอย่างอื่นแล้วนี่!
“...”
“...”
“ฮึ...” มินซอกหัวเราะขึ้นจมูก ร่างสูงพยายามทำหน้านิ่งให้มากที่สุดแล้วมองตรงไปข้างหน้า ถ้าหัวเราะไปกับมันด้วยก็น่าจะเนียนดี
“เหอะ” ว่าแล้วก็ได้แต่หัวเราะแกนๆแบบสมเพชตัวเอง
เขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลยสักนิด ใจจริงหมายถึงความสัมพันธ์ของแบคฮยอนกับชานยอลด้วยซ้ำ ถึงเด็กนั่นจะลืมไปแล้วว่ามันกับชานยอลมีความรู้สึกต่อกันแบบไหนแต่สันดานหวงที่ก็ไม่ได้เลือนหายไปพร้อมกับความทรงจำเลยสักหน่อย แต่พอมาถึงเรื่องนี้ก็กลายเป็นน้ำท่วมปากที่ไม่ควรจะให้ใครรู้เพิ่มอีก... แต่คำพูดที่สื่อออกไปนั่นแม่งเสือกชี้ความหมายไปในทิศทางตรงกันข้าม เวรเอ๊ย!
วันนี้มินซอกกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าปกติทำให้แบคฮยอนมีเพื่อนคุยคลายเหงา ลู่หานยืมรถของพ่อขับกลับมาที่บ้านทำให้การไปรับแอนดี้ที่โรงเรียนต้องตกเป็นหน้าที่ของจงอินไปโดยปริยายเพราะในระยะนี้ลู่หานยังไม่ปลอดภัยพอที่จะโผล่หน้าเข้าไปในเมือง ด้วยเหตุที่จงอินกับแอนดี้ไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่เพราะเป็นพวกชอบเล่นแรงไม่เว้นแม้แต่กับเด็กทำให้ต้องมีแบคฮยอนตามไปควบคุมสถานการณ์ ถึงแม้จะทำอะไรไม่ได้มากแต่อย่างน้อยก็อาจจะคอยช่วยปรามไม่ให้จงอินกลั่นแกล้งเสียจนเด็กน้อยต้องโกรธไปเจ็ดวันเจ็ดคืนอย่างที่ผ่านมา
มินซอกเดินเข้ามาอาบน้ำหลังจากที่เห็นว่าลู่หานงีบหลับในห้องนอนไปตั้งแต่ที่จงอินออกไปแล้ว ร่างเล็กเปิดฝักบัวให้สายน้ำช่วยชำระคาวสกปรกที่เขาทำในวันนี้พลางสารภาพบาปต่อพระบิดาผู้สถิตอยู่ในใจ เขายังไม่ตัดสินใจทำแบบที่ลู่หานบอก ต่อให้จะเป็นงานในละแวกบ้านแต่มันจะมากมายพอที่จะเลี้ยงปากท้องของคนห้าคนได้อย่างไรกัน จงอินกับลู่หานไม่ได้ยืนมาด้วยน้ำเงินของอี้ฟานมานานแล้วนับตั้งแต่ที่ผันตัวเข้ามาทำอาชีพแบบนี้เพราะอี้ฟานยังมีอีกห้าชีวิตที่ต้องดูแล... ได้แต่เพียงอธิษฐานให้พระองค์ทรงอภัยและช่วยหยิบยื่นหนทางเดินต่อให้กับคนบาปอย่างเขา
แอ๊ด...
ประตูห้องน้ำเปิดออกก่อนจะปิดลงในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา สายน้ำหยุดลงสักพักแล้วแต่เขาก็ยังคงยืนเช็ดตัวอยู่หลังม่านพลาสติก มองเห็นเงาลางๆของลู่หานผ่านม่านโปรงแสงแล้วหัวใจก็เต้นโครม... เขาติดนิสัยที่เข้าห้องน้ำแล้วไม่ลงกลอนประตูมาตั้งแต่ตอนที่อาศัยอยู่คนเดียวแถมตอนนี้ยังไม่ได้สวมใส่อะไรเลยสักชิ้น มีก็แต่เพียงผ้าขนหนูผืนเล็กๆเท่านั้น
“คุณ”
“...”
”ผมอาบน้ำอยู่”
“...” ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายแต่ยังคงได้ยินเสียงน้ำไหลออกมาจากอ่างล้างหน้า
“ลู่หาน...”
“รู้แล้ว”
“ออกไปก่อนสิ คือผม...”
“เรื่องที่กูพูดเมื่อตอนบ่าย”
“...”
“กูหมายถึงว่าถ้าอยู่ที่นี่แล้วมันลำบากก็ย้ายออกไปก็ได้”
“...” ไม่รู้ว่าผีอะไรเข้าสิงร่างสูงถึงได้วกกลับเข้ามาที่เรื่องนี้อีกครั้ง หรือเป็นเพราะเขาพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนักเลยทำให้ลู่หานคิดมาก? แต่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ค่อยคิดอะไรอยู่แล้วนี่
“ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากให้อยู่ด้วย”
“...” มินซอกยกผ้าขนหนูขึ้นมาปิดบังร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองเอาไว้ เงานั้นขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเดินเข้ามาใกล้
พรึ่บ!
ม่านพลาสติกแหวกเปิดออกมาในครั้งเดียว แก้วตาสีเข้มมองตรงเข้ามาในคู่ตาของเขา ฝ่ามืออุ่นวางแตะลงบนหัวไหล่เล็กก่อนที่มืออีกข้างจะเกลี่ยจอนผมที่เปียกน้ำทัดเข้าทีหลังใบหู อาจเพราะไม่เคยเห็นลู่หานด้านนี้มาก่อนทำให้จังหวะหัวใจเต้นถี่ขึ้นมาจนแทบจะหลุดออกมาด้านนอก ใบหน้าคมขาวขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆจวบจนปลายจมูกโด่งรั้นแตะชิดเข้าที่กลางจมูกของเขาในคราต่อมา...
เขาเคยเปลือยกายต่อหน้าลู่หานมาแล้วหนึ่งครั้งในคืนที่สองที่รู้จักกัน เขาลืมไปแล้วว่าตอนนั้นมีความรู้สึกแบบไหนแต่ก็ไม่เป็นไร...ในเมื่อความรู้สึกแบบนั้นมันกำลังเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในเวลานี้ ยิ่งดวงตาคู่นั้นจ้องเข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตนเองหลงเข้าไปในสถานที่ซึ่งไร้ทางออก
เปลือกตาบางปิดลงอย่างเชื่องช้าเมื่อน้ำหนักที่แผ่วเบาจรดลงบนริมฝีปาก จูบที่สองกับคนเดิมยังคงทำให้ใจสั่นได้เหมือนกับแรกสัมผัส ต่างกันที่ครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกอ่อนโยนและเนิ่นนานกว่าคราวที่แล้วเป็นเท่าตัว
“อื้อ...”
ร่างเล็กร้องท้วงในลำคอเมื่อแผ่นมือหนาเคลื่อนเข้ามาที่โคนผม ผ้าขนหนูขนาดใหญ่หล่นลงบนพื้นพร้อมกันกับที่ลู่หานโถมร่างเข้ามาใส่จนต้องถอยเข้าไปจนติดผนัง ปลายลิ้นร้อนยังคงแล่นอยู่ในโพรงปากแล้วกอบโกยความหวานเข้าไปไม่รู้จักหยุดหย่อนแต่สุดท้ายก็ต้องถอนออกมาเมื่อถึงเวลาอันควร ลู่หานยังคงดูดเม้มกลีบปากของเขาแน่น ขบเม้มลงไปบนปลายคางแหลม ต่ำลงมาจนถึงลำคอระหง
“ลู่หาน...” เขาเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาอย่างแผ่วเบาเพื่อห้ามปรามเมื่อรู้ตัวว่าตนเองปล่อยตัวปล่อยใจให้เกินเลยกับอีกฝ่ายมากจนเกินไปเสียแล้ว แต่เหมือนกับว่ามันยิ่งทวีความพึงพอใจให้กับร่างสูงไปโดยปริยาย
“หยุดเถอะ” มือเล็กค้ำลงบนหัวไหล่หนาแล้วออกแรงดันออกไปเพียงเล็กน้อย ปลายจมูกคมยังคงซุกสูดเข้าที่ซอกคออยู่อย่างนั้นเขาถึงได้ถดคอหนีออกมา แต่แล้วมือหนาก็รวบมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แล้วเม้มฝากร่องรอยสีกุหลาบเอาไว้เพียงไม่กี่แห่งที่หลังใบหู
“พอได้แล้ว...อื้อ” ยังไม่ทันขาดคำทั้งร่างก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อริมฝีปากหยักเริ่มเคลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆจวบจนได้ครอบครองยอดอกสีแดงเข้มเอาไว้อย่างใจ เขายกหลังมือขึ้นปิดริมฝีปากเพื่อไม่ให้พรอดเสียงใดออกมา ทว่ามันก็ถูกแทนทีด้วยเสียงเปียกลื่นเมื่อคนตรงหน้าดูดเย้าที่บริเวณเดิมอย่างรุนแรง
ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สมควรกระทำสักเท่าไหร่แต่ร่างกายกลับไม่ยอมอ่อนตาม ทุกอย่างถูกปล่อยให้เป็นไปตามสัญชาตญาณดิบที่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นแต่กับเพียงเพศตรงข้ามเท่านั้น ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เขากลับรู้สึกว่ากับมินซอกมันช่างต่างออกไป ความผิดชอบชั่วดีถูกโยนทิ้งเอาไว้เพียงชั่วขณะ... ลู่หานไม่อาจหยุดยั้งมันได้อีกต่อไปแล้ว
“มินซอก...”
“...”
“ยืนไม่อยู่หรอก...ไปข้างนอกไหม?”
เป็นดั่งเสียงประกาศิตที่กล่าวให้เขาคล้อยตามอย่างง่ายดาย แผ่นมือหนายังคงไล้เวียนไปบนเรือนร่างเปลือยขาวสลับกับพรมจูบไปจนทั่วหัวไหล่เนียน ร่างเล็กห่อไหล่เล็กน้อยให้กับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเอ่ยปรามสักเท่าไหร่กลับเป็นเหมือนเสียงยุที่ทำให้ลู่หานยิ่งโอ้โลมเขามากขึ้นเท่านั้น
แผ่นหลังเล็กเอนราบไปบนพื้นเบาะหนาก่อนที่จะโดนทาบทับตามมาด้วยร่างที่สูงใหญ่กว่า อะไรบางอย่างที่ขืนแข็งอยู่ภายใต้ร่มผ้าเสียดสีเข้าหาโคนขาของเขาในทุกๆจังหวะเคลื่อนไหว แผ่นมือกร้านเบียดเค้นที่เนินอกของเขาอีกครั้งก่อนที่ปลายลิ้นร้อนจะเริ่มบันดาลจังหวะรัวถี่เหนือยอดถันที่ตื่นขึ้นเป็นก้อนไต
“อื้อ...” มินซอกหลับตาแน่นพลางหุบขาเข้าหากัน ไหล่เล็กเกร็งสั่นให้กับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย มือบางถูกฉุดยื้อออกมาให้พ้นจากริมฝีปากของตนเองก่อนจะได้มองสบเข้าไปในประกายตาวาวชื้นที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
หัวเข่าทั้งสองข้างถูกกดลงให้แยกออกจากกัน กลุ่มผมดกเข้มเคลื่อนลงไปอยู่ที่กลางร่างแล้วขยับต่ำลงไปเรื่อยๆ ร่างเล็กถดสะโพกหนีเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่เป็นผลเมื่อคู่มือหนาที่จับยึดอยู่นั้นดูจะมีพละกำลังมากกว่า
“ปะป๊าครับ แอนดี้มาแล้ว!!!”
- To Be Continue –
มึนไปหมด.................................................................................
น้อมรับทุกคำสาปแช่งอย่างไม่มีข้อครหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องระยะเวลาที่ดองฟิครวมไปถงเนื้อหาในตอนนี้ 5555555555555555555555555 ค่อยเป็นค่อยไปนะคะคุณผู้อ่านอย่าใจร้อนกับน้องเลย น้องยังใส น้องยังต้องพบเจอโลกอีกมากอย่าให้มาแปดเปื้อนน้ำมือของผู้ชายคนนี้ง่ายๆนะคะ!!!
ขออภัยจริงๆที่หายไปนานเพราะพี่หนวดยุ่งๆกับเรื่องเรียน แล้วก็ยังจะมาเป็นแผลที่หัวเข่าเพราะความเซ่อซ่าของตัวเองอีกเห้อ... ตอนนี้เริ่มหายดีแล้วค่ะ หนวดจะสอบปลายภาคเสร็จวันที่ 21 นะคะ ระยะนี้อาจจะอัพ #ฟิคมฟต ช้าเหมือนเดิม แต่ #ฟิคเข้าใจยาก จะพยายามอัพให้เร็วที่สุดค่ะ
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้นท์ ทุกแฟนพันธุ์แท้และนักอ่านเงาทุกคน แค่อ่านเราก็ดีใจแล้วแก ไม่ต้องเม้นท์ก็ได้ T_T ใครอยากสกรีมด่าบลาบลาติดแท็ก #ฟิคมฟต ได้เลยค่ะแล้วหนวดจะเข้าไปกระหน่ำรี 555555555555555555555 ใครอยากเมนชั่นมาคุยก็ @nutcraqerx90 เลยนะคะ เมนชั่นมาแล้วหนวดฟอลกลับทุกคนค่า รักนะคะ ขอบคุณที่ยังรอฟิคของหนวดเสมอเลย ขอบคุณจริงๆค่ะ T_T
ความคิดเห็น