คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : | THREE SHOT |
| 3 |
AUTHOR : NUTCRACKER
“ยิ้มหน่อยครับ”
ตากล้องหนุ่มแยกขาออกก่อนจะค้อมตัวลงมาเล็งโฟกัสกล้องไปยังคู่บ่าวสาวที่ยืนตรงหน้า ทั้งสองยืนทาบมือเข้าหาอีกคนแล้วเบียดแก้มมาแนบกัน เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นสองสามครั้งจากนั้นลู่หานจึงลดลำกล้องลง
“คราวนี้น้องผู้ชายหอมแก้มน้องผู้หญิงหน่อยครับ อา...นั่นแหละ”
แชะ!
“ใกล้อีกนิดครับ ดีมาก...อีกนิดนึง”
พอเห็นคนทั้งสองคนผ่านเลนส์กล้องแล้วก็นึกถึงตอนที่วางแผนแต่งงานกับอีอ้วนใหม่ๆ ตอนถ่ายรูปคู่กันกูก็เหนียมอายประมาณนี้ พอถึงจังหวะที่ตากล้องบอกให้หอม มันก็ทำเป็นเมียงมองว่าใครแอบดูอยู่ไหม ผมนี่ไม่เข้าใจจริงๆว่ามันจะอายอะไรของมันวะ ก่อนจะมาถึงวันนี้นี่ได้เสียกันมากี่รอบแล้วมึงนับบ้างไหม!!!
“โอเค...สุดท้ายแล้วขอแบบท่าประจำเลยครับ”
“จะดีหรอคะพี่” น้องสุภาพสตรีเป็นคนถามผม
“ดีสิครับ จะได้ดูเป็นธรรมชาติไง”
พูดจบผมก็ก้มหน้าลงเช็ดเลนส์กล้องแล้วดูรูปที่ถ่ายไปเมื่อกี้จากจอพรีวิว ผมปาดเหงื่อบนหน้าผากออกเล็กน้อย ไฟในสตูดิโอที่สาดไปกลางฉากแม่งพออยู่รวมๆกันแล้วร้อนชิบหาย ไหนต้องปรับท่าถ่ายรูปของตัวเองให้ได้มุมเหมาะๆอีก กูนี่แทบจะลงไปเลื้อยคลานประมาณรากไม้ยืนต้นเลยอีห่า แต่ผลงานที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ ถือว่าคุ้มกับการลงทุนเป็นพี่หานสารพัดท่าอยู่เหมือนกัน
“เห้ย!”
พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ถึงกับช็อคซีนีม่า น้องสุภาพสตรียืนเอามือยันฉากขณะที่น้องสุภาพบุรุษยืนแอ่นเป้าเข้าไปตรงก้นของแฟนสาว คือมึง...ถ้ามึงจะเลือกโพสต์กันแบบนี้แนะนำให้ทำเป็นคลิปแล้วอัพโหลดลง 4porn.com ไปเลยดีกว่า พี่คิดว่าอาจจะได้ขึ้นมาเป็น Top Rated ประจำสัปดาห์ได้ไม่ยาก
“เอาจริงหรอครับน้อง?”
“ก็พี่บอกให้เอาท่าประจำอ่ะค่ะ”
“ไม่ใช่ครับ คือพี่อยากให้น้องทำท่า...”
“ก็ผมชอบเอาท่านี้อ่ะครับ พี่จะเอาท่าไหนก็เรื่องของครอบครัวพี่ดิครับ”
โอเค กูยอม...
ผมสงบปากสงบคำลงแล้วหามุมเหมาะๆเพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด จุดนี้น้องผู้หญิงแกแอ่นสะโพกด้วยว่ะ งั้นกูก้มต่ำๆหน่อยละกัน... โอ้มาดาม! ลูกไม้เธอลายพร้อยมาก
แชะ! แชะแชะ!
“เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวเรื่องวีดีโอที่จะเอาไปเปิดในงานพวกพี่จัดการให้ ยินดีด้วยนะครับ”
ผมโค้งตัวลงแล้วจับมือแสดงความยินดีกับน้องทั้งสองคนที่กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา ซึ่งพอแต่งงานไปแล้วน้องผู้ชายอาจจะโดนเมียซ้อมจนติดข้างฝา โชคดีแล้วกันนะมึงนะ จงเสพย์สุขกับเรียลลิตี้ชีวิตหลังความตาย ทำงานชิบหายได้เงินใช้วันละแปดสิบบาท เดี๋ยวนะ นั่นชีวิตกูนี่หว่า
ผมเดินออกมาจากสตูดิโอแล้วกลับเข้าไปในออฟฟิซ มีพนักงานหญิงหลายคนเกาะกลุ่มเม้าท์กันในช่วงพักกลางวัน ผมวางกล้องตัวใหญ่ลงบนโต๊ะทำงานแล้วเสียบยูเอสบีเพื่อจะถ่ายไฟล์เข้ามาในคอมพิวเตอร์ พอหยิบมือถือออกมาวางไว้ก็เห็นอีเมลแปลกๆส่งเข้ามาจนล้นเครื่องไปหมด พอกดอ่านดูก็ไม่มีอะไรนอกจากการติดต่อผมเพื่อถ่ายงานทั่วไป ทิ้งงานข้างนอกเอาไว้ก่อนเพราะงานประจำในบริษัทนี้ดูท่าจะใหญ่หลวงกว่า ถ้าไม่เสร็จภายในวันนี้มีหวังว่าหัวหน้าต้องเอาขวดเหล้ามาฟาดกบาลแน่ๆ
LINE!
รีทัชรูปไปได้สักพักเสียงไลน์จากขาประจำก็ดังขึ้น ผมกัดแซนด์วิชที่เมียทำให้อีกคำแล้ววางกลับเข้าไปในปิ่นโตก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: ทำไมไม่ตอบคาทก?
พออ่านแล้วผมก็สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่อีเมียส่งมาพร้อมกับตัวอักษร เปลี่ยนแอพพลิเคชั่นไปที่ Kakao Talk ก็เห็นว่ามันส่งมาเป็นสิบข้อความตอนที่ผมกำลังถ่ายงานอยู่
Kakao Talk
MINSEOK K. : ตัวเอง
MINSEOK K. : ตอนนี้เค้ากำลังจะไปโรงแรม Yes! Gun นะ
MINSEOK K. : ต้องมาช่วยคยองซูแต่งตัวง่ะ เดี๋ยวไม่เป๊ะ
MINSEOK K. : กดตังค์มาแล้วนะหมื่นนึง จะเอาไปซื้อชุดไปงาน
MINSEOK K. : อีทีเอ็มตัวเองเค้าโอนตังค์ให้ไปแล้วนะ แต่งตัวดีๆด้วย
MINSEOK K. : เข้าใจเปล่า
MINSEOK K. : ...
MINSEOK K. : ตัวเอง
MINSEOK K. : ตัวเองจ๋า
MINSEOK K. : อีลู่
MINSEOK K. : เมื่อกี้ทัก What’s app ไปมึงก็ไม่ตอบ
MINSEOK K. : มึงจะตอบไม่ตอบ
MINSEOK K. : อีลู่!!!
อีอ้วนนี่ท่าทางอยากโดนตีน จะแชทกันไปทำไมหลายๆแอพวะกูไม่เข้าใจ มีไลน์อันเดียวนี่มึงคุยไม่พอใช่ไหม ก่อนที่จะทักคาทกมึงยังทักวอทแอพกูมาแล้วอีก จิตใจมึงทำด้วยอะไรวะ กูไม่ตอบก็คือไม่ตอบ กูยุ่ง กูไม่ว่าง กูมีงานทำนะอีอ้วน กูถ่ายงานครึ่งชั่วโมง ส่วนอีกสองชั่วโมงครึ่งที่เหลือไม่ว่ากูจะดูหนังโป๊ โม้บอลหรือนอน Shark Wow! มันก็ถือว่ากูไม่ว่าง กูถือว่ามันเป็นงาน กูทำมันเป็นอาชีพ มีศักดิ์เป็นแค่เมียอย่าริมาสั่งกูนะ เหิมเกริมเกินไปละมึงนี่!
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: อ่านแล้วทำไมไม่ตอบ?
อ้าว... นี่กูผิด?
คือมึงเพิ่งบอกกูเมื่อกี้เองนะว่าทำไมไม่ตอบคาทก พอกูจะไปตอบคาทกมึงก็หาว่ากูไม่ตอบไลน์ เห้ยนี่มึงจะเอายังไงกับกูกันแน่วะ คิดว่ากูไว้ชีวิตมึงครั้งหนึ่งแล้วจะจิกหัวด่ากูยังไงก็ได้ใช่ป่ะ เย็นนี้กลับไปมึงเจอแน่ กูจะเอาสากฟาดหน้ามึงให้แก้มบุบลงไปข้างนึงเลยอีเมียกระจอก
Kakao talk
HAN L. : ตัวเอง
HAN L. :
HAN L. : เมื่อกี้เค้าถ่ายงานอยู่อ่ะ
HAN L. : ตัวเองจะให้เค้าไปงานแต่งด้วยใช่เปล่าครับ?
HAN L. :
LINE
น้องหานคนแมน : อ้าว...
น้องหานคนแมน : เมื่อกี้เค้าไปตอบคาทกอ่ะตัวเอง
น้องหานคนแมน : ไม่รู้ว่าตัวเองรอเค้าตอบไลน์อยู่
น้องหานคนแมน :
เมื่อข้อความถูกส่งออกไปแล้วผมก็ถอนหายใจเสียงดัง “ห่า...” ไม่เข้าใจเลยว่าเวลามันมาอีหรอบนี้นี่ผมจะต้องทำยังไง ปากดีไปเถอะอีเมีย เดี๋ยวกูเสกกุมารเข้าท้องมึงสักเก้าเดือนเลยดีไหมเผื่อจะได้หายซ่า แต่มานั่งนับๆดูแล้ว...นี่กูเสกกุมารใส่มึงไปครั้งละประมาณห้าร้อยล้านตัวแล้วนะเว่ย แต่ทำไมมึงยังไม่ท้องสักทีวะ ท่าทางจะเป็นหมันแล้วนะมึงเนี่ย... หึ คนไร้น้ำยา!
LINE!
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง :
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง : ตัวเองกินแซนด์วิชที่เค้าทำให้ยัง
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง : อร่อยไหม?
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง :
ผมนั่งยิ้มอยู่คนเดียวสักพักก่อนจะหยิบแซนด์วิชที่อยู่ในปิ่นโตออกมากัดอีกคำ ให้ว่ากันตามจริงคือรสชาติแม่งธรรมดามาก มันก็พอกินได้แต่ไม่ถึงกับอร่อยล้นฟ้า ถ้าเป็นคนอื่นทำมาให้ผมคงนึกด่าในใจว่าทำไมมึงถึงไม่ไปซื้อในเซเว่นอันละสิบสองบาทมาแดกแทนวะ แต่พอมาเป็นฝีมือของเมียผมที่ตื่นตั้งแต่เช้ามืดมาทำแซนด์วิชกระจอกๆให้ผมเป็นชั่วโมงนี่ ผมก็ตอบไปโดยไม่คิดเลยล่ะ...
น้องหานคนแมน : อร่อยที่สุดในโลกเลยครับ!
หลังจากวางโทรศัพท์ทิ้งไว้ก็ถึงช่วงเวลาเคลียร์งาน หลายปีมานี้ผมได้ค้นพบแล้วว่างานอาร์ตทุกประเภทถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตของผมแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่าการทำงานในบริษัทใหญ่ๆแบบนี้ก็ทำให้ต้องเผชิญกับความเครียดและการแข่งขันที่หนักหนากว่าในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ยิ่งในสภาวะที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจแบบนี้ ในบริษัทเอกชนที่ต้องการจะลดต้นทุนการผลิตเพื่อปรับสมดุลของผลกำไรก็มักจะหาจังหวะที่จะปลดพนักงานที่ทำงานไม่ตรงตามเป้าหมายได้ทุกเมื่อ โหอีเหี้ย นี่กูจบประมงหรือเศรษฐศาสตร์มาวะ ทำไมสกิลธุรกิจของกูแม่งเทพสัดๆ อ๋อ...เปล่าหรอกครับ ที่พูดไปทั้งหมดนี่ก็มาจากรายการข่าววิทยุบนรถเมล์นั่นแหละ โง่ๆอย่างกูเหรอจะคิดได้ มึงบ้าเปล่า ไม่ต้องมาถามย้อนด้วยนะว่ามันคืออะไร กูเองก็ไม่รู้ แค่พูดให้มันดูมีสาระไปงั้นแหละ
“ลู่หาน”
“ครับ?” ผมขานรับทันทีเมื่อเสียงที่คุ้นหูดังมาจากข้างหน้า เสียงแก่ๆแบบนี้ไม่มีใครหรอก เจ้านายกูเอง
“ไฟล์รูปของเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังเก็บไว้อยู่ไหม”
“เก็บไว้อยู่ครับ” ถามแบบนี้ Work In แน่ๆ... (งานเข้าครับห่า อย่ามาทำหน้างง)
“ที่ให้ลู่หานถ่ายรูปครอบครัวของผม ยังเก็บไว้ใช่ไหม”
“ยังอยู่ครับพี่”
“ภรรยาผมบอกว่ารูปของเธอยังอ้วนไป ขอให้คุณช่วยรีทัชอีกรอบหน่อย”
“อ๋อ” นั่นกูบีบให้แบบสุดตีนละนะ ยังจะอ้วนไปอีกเหรอ... “ได้ครับ เดี๋ยวผมดูให้”
“เห้อ” ผมหันไปมองเจ้านายอีกครั้งที่ดูท่าจะกำลังหนักอกหนักใจอะไรอยู่ ผมเอื้อมมือไปดันเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกมาจากโต๊ะแล้วผายมือให้เขาตามมารยาท
“ไหวป่ะครับ นั่งก่อนดิพี่”
“ขอบใจมาก” เขาเงียบไปสักพักแล้วก็นั่งเท้าคางบนโต๊ะ ผมเปิดไฟล์ภาพในสัปดาห์ที่แล้วขึ้นมารอไว้แล้วเหลือบมองเจ้านายตัวเองอีกครั้ง
“เป็นไรป่ะพี่ พูดได้นะ เต็มที่เลย”
“ไม่เป็นไร”
“ผมรับฟังนะครับ เรามันแมนๆกันอยู่แล้ว เครียดเรื่องงานเปล่า? ระบายได้ๆ”
“จริงเหรอวะ”
“จริงดิครับ ระบายมาเหอะ เนี่ยเดี๋ยวผมกลับบ้านไปโดนเมียฉาดบ้องหูทีเดียวก็ลืมแล้ว”
“เรื่องมันเศร้าขอเล่าสั้นๆ เห็นว่ามึงมีเมียเหมือนกันก็คงจะเข้าใจหัวอกกูนะ” เอาละครับ สรรพนามเริ่มเปลี่ยน...
“มาครับมา” ผมละสายตาออกจากคอมแล้วสไลด์เก้าอี้ไปอยู่ตรงหน้าเจ้านาย ความเป็นห่วงเป็นใยส้นตีนไรลืมซะเถอะ คือนี่กูอยากเสือกล้วนๆเลยไง เผื่อแม่งไล่กูออกจากบริษัทจะได้มีข้อมูลไว้แบล็คเมล์ กำลังจะด่าเมียใช่ไหม ดีล่ะ...เดี๋ยวกูอัดเสียงไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
“คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...”
“ความรักไม่เกี่ยวกับหน้า”
“ใจนึงชอบแทบบ้า”
“แต่อีกใจมันเอาแต่อ้า”
“ทำทะลึ่งๆ”
“เธอบอกว่าเราทะเล่อทะล่า”
“พอนิ่งๆ เงียบๆ”
“เธอบอกว่าเฉียบแต่เชยเป็นบ้า”
“...”
“เอ้า! ยากูซ่า!!!!!”
“...” (เจ้านาย)
“...” (ผม)
“...” (คนในออฟฟิศ)
“...” (กำแพง)
“...” (ต้นไม้)
“...” (สายลม)
“...” (แสงแดด)
“...” (ลุงขายโอเลี้ยง)
“...” (ป้าร้านข้าวแกง)
“...” (หมาหน้าเซเว่น)
“...” (กลับมาที่เจ้านาย)
“...” (และผม...)
“ซ่ามากมั้ง”
ได้ดิเพื่อน...
“มาพี่ ผมซีเรียสละ”
ผมพูดพลางประสานมือเข้าหากันแล้วมองตรงไปที่คุณจองอึนเจ้านายของผม เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเอานิ้วเคาะโต๊ะเสียงดังกรอกแกรก ผมทอดนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เป็นประกายฟรุ้งฟริ้งเสมือนดวงดาวระยิบระยับที่ประดับอยู่บนผืนนภายามราตรีในคืนที่ไม่มีแสงไฟมองเขาอย่างเต็มไปด้วยคำถาม...
“คงสงสัยสินะ”
“ครับ”
สงสัยมากเลยว่านั่นมึงทำผมทรงอะไรวะ ตอนอพยพจากเกาหลีเหนือมานี่สายการบินต้อนรับมึงด้วยเหรอพี่ชาย แฟซ่าสักขวดไหม...
“ไม่อยากเล่ายาว เดี๋ยวเสียเวลาทำงาน สรุปเลยละกัน”
“โอเคครับพี่”
“กูตดในผ้าห่ม”
“อ๋อ...”
สันดานเดียวกับกูเลยนะคิมจองอึนนา...
“เมียกูมันบอกว่ามันทนนอนต่อไปไม่ได้ ให้เอาไปซัก”
“ครับ แล้วเป็นไงครับพี่”
“ซักแล้ว กลิ่นยังไม่หมด”
“แล้วพี่ทำไงครับ”
“เลยซักอีก”
“ครับพี่ แล้วเป็นไงต่อครับ”
“กลิ่นก็ยังไม่หมด”
“โอเคครับ พี่ก็เลย...?”
“กูก็ซักอีก”
“ครับ แล้วเป็นไงครับ”
“กลิ่นก็ยังไม่หมดอีกอ่ะ”
“โอ้โห คราวนี้พี่ทำยังไงต่อไปครับ”
“เมื่อเช้ากูก็เลยซักอีก”
“ครับพี่”
“แต่แม่งก็ยังไม่หมดอีกว่ะ”
“แล้วทีเด็ดมันอยู่ตรงที่...?”
“กูเลยเอาไปซักที่ร้าน”
“หอมสะใจเลยไหมครับคราวนี้”
“แล้วกลิ่นมันก็หมดแล้ว”
“อ้าว ก็ดีแล้วนี่พี่”
“แล้วตอนนั่งวินกลับบ้าน...”
“...”
“กูตดใส่มันอีกแล้วว่ะ”
โอ้วมายดาร์ลิ้ง...
“กูเหนื่อยแล้วว่ะ”
“ครับพี่” เป็นกูกูก็เหนื่อย อีเหี้ย นั่นมึงตดหรือขี้ มึงจะซักยากซักเย็นอะไรขนาดนั้น
“กูไม่อยากกลับไปซักผ้าแล้ว แค่คิดกูก็ท้อแล้วว่ะ”
“ครับพี่ ผมเข้าใจพี่ครับ” อยากออกไปแตะขอบฟ้าแต่เหมือนว่าเครื่องซักผ้าไม่เข้าใจ...
“เลิกกับเมียดีไหมวะ”
“เห้ย ใจเย็น ตอนนี้พี่แค่เหนื่อยป่ะวะ? อย่าเพิ่งท้อนะ คนเรามันต้องมีวิธีบำบัดความเครียดนะครับ”
“ยังไงวะ...”
“นี่เลย วิธีผม” พอพูดจบผมก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาวางแผ่ตรงหน้า จากนั้นก็กระชากรูปถ่ายใบหนึ่งออกมา
ฟึ่บ!
“นี่รูปถ่ายเมียผมครับ เวลาท้อผมจะนั่งมองรูปใบนี้แล้วสุดท้ายก็ยิ้มออกมาได้เอง”
“...”
“มันช่วยได้จริงๆนะพี่ ลองนึกถึงเรื่องของเรากับเมียดูนะ ผ่านอะไรกันมามากแค่ไหน” เจ้านายของผมนิ่งไปสักพักเหมือนเขากำลังคิดตามในสิ่งที่ผมชักจูง ผมวางรูปของมินซอกลงบนโต๊ะทำงานแล้วจ้องมองใบหน้าที่กำลังเศร้าสร้อยของเจ้านายผม
“ทุกๆครั้งเวลาที่ผมนึกถึงเมียแล้วมองย้อนอดีต มันทำให้ผมรู้เลยว่าปัญหาที่เผชิญอยู่ตอนนี้มันแทบเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เคยผ่านด้วยกันมาเลย”
“...”
“กับอีอ้วนนี่กูยังทนฟังมันบ่นมาได้เป็นสิบปี แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องที่เจออยู่ตอนนี้วะ”
“...”
“...”
“ความคิดมึงเจ๋งว่ะ”
“ใช่ป่ะพี่...” ผมกระพริบตาปริบ สีหน้าของเจ้านายผมดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่โดนผมจรรโลงใจให้หนึ่งบท วันนี้กูได้ทำความดีอีกแล้วใช่ไหมวะเนี่ย เดี๋ยวกลับไปเล่าให้เมียฟังสักหน่อยมันคงปลื้มชิบหาย
“หายเหนื่อยในพริบตา”
“ไม่เป็นไรครับ ไหนๆก็ไหนๆละ ขอลางานครึ่งวันนะพี่นะ”
“อ้าว...”
“ไม่ต้องมาอ้าว มีอย่างอื่นต้องทำ บอลก็ต้องดู งานแต่งก็ต้องไป เป็นแค่เจ้านายอย่าริมาสั่ง ขนาดเมียยังห้ามผมไม่ได้เลยนะ ไปเลยพี่ มาทางไหนกลับไปทางนั้น กลับไปทำงานของตัวเองได้ละ มาป้วนเปี้ยนอะไรหน้าโต๊ะทำงานคนอื่นเขาวะ”
“ไอ้เหี้ยนี่...”
“แหมพี่ ผมล้อเล่นน่า ผมไปละนะ พรุ่งนี้เจอกัน ฝากปิดคอมด้วยครับ บาย!”
หลังจากก้าวออกมาจากบริษัทได้ผมก็เดินตรงไปยังตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ริมทาง เมื่อกี้เพิ่งวางสายจากเมียไป คุยได้ไม่ถึงนาทีก็ต้องรีบวางเพราะว่ามันกำลังแต่งหน้าให้ว่าที่เจ้าสาวอยู่ แต่ก็พอจับใจความได้ว่ามันโอนเงินมาแล้วจำนวนหนึ่ง... จะเป็นหนึ่งอะไรนั้น ไปติดตามชมกันครับ
ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด
รหัสเอทีเอ็มของผมถูกกรอกเข้าไปในเครื่องกดเงินอัตโนมัติ ตอนนี้เริ่มมือไม้สั่น สายตาพร่ามัว เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผมได้กดเงินออกมาจากบัญชีของตัวเอง ก็อย่างที่บอกแหละครับว่ามีเมียก็เหมือนมีทาส ตู้เอทีเอ็มที่คอนโดอยู่ไกลชิบหาย เรื่องอะไรจะมานั่งกดเงินเอง มึงบ้าเปล่า เงินดงเงินเดือนนี่ผมไม่เคยโอนให้มันสักแดงเดียวเลยนะ ผัวฉลาดๆอย่างผมน่ะเหรอ... นี่เอาเลขที่บัญชีเมียให้บริษัทเลยครับ สิ้นเดือนปุ๊บเงินเข้าบัญชีเมียปั๊บ! เป็นไงล่ะ อีอ้วนนี่ไม่มีโอกาสได้มาขอเงินกูสักบาทหรอกเพราะกูไม่มีทางให้มึงแน่ๆ หึ ให้มันรู้ไปซะบ้างว่าใครเป็นบ่าวใครเป็นเจ้า
LINE!
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: ตัวเองกดเงินยัง
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: เค้าโอนไปตั้งแต่เช้าแล้วน้า
น้องหานคนแมน: กำลังจะกดจ้าเตง
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: อะเค
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: เอาไปทำผมแต่งตัวหล่อๆมางานนะ ใช้ประหยัดๆด้วย
น้องหานคนแมน: ครับที่ร้าก
ตี๊ด
‘ดูยอดเงินคงเหลือในบัญชี’
ตี๊ด
อีเหี้ย...
ตัวเลขที่แสดงบนหน้าจอทำให้ผมถึงกับเข่าทรุด
‘ยอดเงินที่ถอนได้: 1,021.93 บาท’
แม่ขา...ที่เรื่องจริงเหรอคะแม่ น้องหานรับไม่ด้ายยยยยยยยยยยย!
แต่งหน้า ทำผม ซื้อชุด แต่มึงให้กูมาพันเดียวเนี่ยนะ? มีหน้ามาบอกให้ใช้อย่างประหยัดอีกเหรอ จิตใจมึงทำด้วยอะไรกันแน่วะ ทำไมมึงทำร้ายผัวตัวเองได้อย่างเลือดเย็นแบบนี้
ผมกัดฟันกดเงินในบัญชีออกมาด้วยความโมโห จากที่เคยมือสั่นเพราะความตื่นเต้นตอนนี้กลับรู้สึกว่ามีดวงไฟขนาดใหญ่สุมไหม้อยู่ในอก ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว ตอนโอนเงินมานี่มึงนับเลขศูนย์ตกไปตัวนึงหรือเปล่าวะอีอ้วน จะโทรไปทวงเดี๋ยวแม่งก็หาว่าผมขี้งกอีก
เอาวะ!
พันเดียวก็พันเดียว เซ็ตผมร้อยห้าสิบบาทก็คงหรูประหนึ่งเดินพรมแดงในเทศกาลเมืองคานส์แล้วมั้งหาน...
ผมสูดลมหายใจเข้ามาจนเต็มปอดเพื่อสงบจิตสงบใจ ที่รู้สึกโกรธขนาดนี้อาจจะเพราะกูหิวมากก็ได้ นี่ทั้งวันก็แดกไปแค่โจ๊กสามชาม แซนด์วิชแปดชิ้น น้ำเปล่าสองลิตร หมูปิ้งสิบไม้และข้าวเหนียวสามถุง...มันจะไปพอยาไส้อะไรวะ ที่ร่ายมาทั้งหมดนี่ยังไม่ได้ครึ่งของเสี้ยวกระเพาะกูเลยนะ
หลังจากที่เดินให้เหงื่อไหลเข้าง่ามดากมาได้สักพัก ในที่สุดเบื้องหน้าของผมก็เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ตรงนี้มีซุ้มขายขนมหวานและของว่างเรียงรายกันตามทางเดินก่อนจะไปถึงประตูห้าง ไม่ได้มาเดินที่นี่นานร้านค้าก็เปลี่ยนแปลงไปเกือบหมด เพิ่งรู้ว่าสมัยนี้จะมีขนมแปลกๆให้กินกันด้วยอย่างเช่นร้านนี้ที่ขายไอติมไข่แข็ง... โอ้จีซัส! ฟังแค่ชื่อก็สัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ แต่ใดใดในโลกนี้มันจะมีอะไรแข็งได้เท่าไข่กูอีกเหรอ มึงอย่ามาเว่อร์น่า!
เดินมาจนเกือบสุดทางเดินผมก็ต้องมาหยุดอยู่ตรงร้านปลาหมึกย่างเจ้าประจำ ปลาหมึกสดหลายสายพันธุ์ถูกชำแหละแยกชิ้นส่วนเป็นอาหารอันโอชะของผู้ดีมีรสนิยมอย่างผม สายตาจับจ้องไปยังไข่ปลาหมึกสี่ชิ้นที่เสียบไม้รอการปิ้ง พวกมึงนี่เสียชาติเกิดจริงๆเลยนะ ตัวตั้งใหญ่แต่ไข่มึงเล็กแค่นี้อีกเหรอ สมควรแล้วที่จะต้องตกมาเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอย่างกูที่มีไข่ใหญ่กว่ามึงหลายเท่า หึ...
“ไข่ปลาหมึกไหมจ๊ะ?” ป้าแม่ค้าถามผมพลางฉีกยิ้มกว้าง เจ๊แกคงเดาว่าไอ้หน้าหล่อที่มายืนจ้องตรงนี้คงทำให้ไข่ปลาหมึกของเจ๊ไม่เป็นหมันแน่ ผมยิ้มแก้เขินก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป
“ไม้ละเท่าไหร่ครับป้า?”
“หกสิบจ้ะ”
ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมานับเงิน คือแม่งแบนสัด... นอกจากแบงค์พันหนึ่งใบแล้วในชีวิตผมก็ไม่เหลืออะไรอีกเลย และแล้วตัวเลขหลายหลักก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมอง นี่กูต้องเผื่อเงินไปเข้าร้านทำผม ไปซื้อชุดใส่เข้างานอีกนะ...แต่ก็ช่างแม่งเถอะว่ะ ในห้างคงมีพวกของลดราคาอยู่ละ
ค่าทำผม..........150
ค่าเสื้อ...............99
ค่ากางเกง........199
ค่าสูท..............300 (นี่กูให้เต็มที่เลยนะ)
ค่ารองเท้า...........0 (ไม่ต้องซื้อ ที่บ้านมีอยู่แล้ว)
คิดคำนวณคร่าวๆก็คงเหลือเงินประมาณสองร้อยห้าสิบ ผมเผยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะออกมาก่อนจะมองตรงไปที่ใบหน้าของป้าร้านขายปลาหมึก
“ป้าครับ ไข่ปลาหมึกสี่ไม้”
หลังจากเดินกินไข่ปลาหมึกย่างพร้อมกับตากแอร์ในห้างมาสักพักก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเสื้อที่ใส่ตอนนี้แม่งเต็มไปด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ด คือไอ้ไม้เสียบปลาหมึกเหี้ยนี่มึงจะแหลมไปไหน จิ้มไข่ปลาหมึกแต่ละทีนี่ทะลุถุงแตกออกไปอีกสามสี่รู เดินเข้าใกล้ทั้งขยะผมก็โยนไข่ปลาหมึกที่กินเสร็จแล้วทิ้งไปอย่างไม่แยแส เอานิ้วปาดน้ำจิ้มซีฟู้ดออกจากเสื้อแล้วมองซ้ายมองขวา โอเคทางสะดวกแบบนี้กูก็ดูดนิ้วซะเลย
รู้สึกว่าหนังท้องเริ่มตึงแล้วจะไปลองเสื้อลองกางเกงตอนนี้ก็คงไม่ได้ไซส์ที่เหมาะสมกับรูปร่าง คิดได้แบบนี้ผมก็เลยขึ้นบันไดเลื่อนแล้วตรงไปที่ร้านทำผม ไม่อยากจะฟ้องเลยครับว่ารอคิวนานชิบหาย กว่าจะถึงคิวนี่นั่งอ่านทีวีพูลหมดไปเป็นร้อยเล่ม แล้วอีช่างทำผมนี่ก็จริงๆเลยนะ คือเวลามึงจะยืนคุยกันนี่ช่วยเอาไดร์ออกไปไกลๆหนังหัวกูหน่อย หนังศีรษะกูเซนสิทีฟนะไอ้สัด เอาลมมาจ่อทีนี่มันสมองกูเดือดพล่านเลยนะ
“เสร็จแล้วค่ะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปในกระจกเอียงซ้ายเอียงขวาก็เห็นว่าใบหน้าตัวเองตอนนี้นี่จัดว่าหล่อเลยทีเดียว
“เท่าไหร่ครับ?”
“เซ็ตผมห้าร้อยค่ะพี่”
โอ้อีซัซ...
ไอ้ที่พวกมึงเป่าอัดฉีดกูมาทั้งหมด กูจะล้างออกตอนนี้ยังทันไหมวะ?
ผมกระพริบตาถี่ๆอยู่สองครั้งก่อนจะเปิดกระเป๋าสตางค์ออกดู นี่เหลือเงินอยู่เจ็ดร้อยหกสิบเองนะตอนนี้ ถ้าจ่ายให้มึงห้าร้อยนี่กูจะเหลืออะไรวะ คือร้านในคอนโดกูแค่ร้อยห้าสิบเองนะ ทำไมพวกมึงค้าเอากำไรเกินควรขนาดนี้วะสัด เดี๋ยวเถอะนะ อีเจ๊เจ้าของร้านนี่ใช่ไหมที่ตั้งราคาโหดมหาบรรลัยขนาดนี้ กูจะไปลากคอตำรวจมาจับพวกมึงให้หมดเลย
“โหน้อง ห้าร้อยเลยเหรอ นี่คนกันเองน่า สามร้อยได้ป่ะ” ผมทำหน้าเหวี่ยงในตอนแรกแล้วตบด้วยสายตาอ้อนวอนจอมมารยา สายตาแบบนี้ขนาดเมียกูยังใจอ่อนให้เลยนะ แล้วมึงเป็นใครเหรอถึงจะไม่ยอมลดราคาให้กู
“ไม่ได้หรอกค่ะพี่ เดี๋ยวหนูจะโดนเจ๊ว่าเอา”
“น่า...สามร้อยละกัน อีกสองร้อยนี่ขอพี่ไปเป็นค่ารถกลับบ้านเหอะ” นี่กูจะหมดความอดทนกับมึงแล้วนะ กูบอกว่าสามร้อยก็สามร้อยสิวะอย่าเรื่องมาก
“ไม่ได้จริงๆค่ะพี่”
“อ่ะ นี่ครับ” ผมยื่นแบงค์ห้าร้อยให้น้องเขาไปเพื่อตัดรำคาญ
“ขอบคุณค่ะ”
“รอบนี้พี่จ่ายสามร้อยนะ ส่วนอีกสองร้อยเดี๋ยวฝากไว้ก่อน เดี๋ยวรอบหน้าพี่จะมายืดผม อบไอน้ำ ทำสี ทำสปาผมหรืออาจจะต่อผมด้วยสักสามสี่แถว อย่าลืมเอาไปจดลงบัญชีนะครับเดี๋ยวครั้งหน้าพี่จะได้ไม่ต้องจ่าย”
น้องร้านทำผมไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแห้งๆตอบกลับมา แหงล่ะ...ยังไงผู้หญิงก็ต้องยอมให้ความหล่อของผมอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา นี่จัดว่าเทพสัดๆเลยนะมาเซ็ตผมในห้างโดยจ่ายเงินไปแค่สามร้อยเนี่ย แถมยังได้ซื้อคอร์สเปลี่ยนขนหัวครบวงจรแบบล่วงหน้าด้วย ผู้ชายอย่างผมช่างมีชีวิตที่สมบูรณ์จนน่าอิจฉาจริงๆ
ผมเปิดกระเป๋าสตางค์ดู โอ้อนิจจาพ่อมหาจำเริญ มีเงินเหลืออยู่สองร้อยหกสิบนี่มึงจะเอาไปทำส้นตีนอะไรได้เหรอครับ ผมหัวเราะเหอะๆอย่างเวทนากระเป๋าสตางค์ ในเมื่อมีเงินในมืออยู่แค่นี้ก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดสิวะ! ผมตบตักดังฉาดก่อนจะลงบันไดเลื่อนไปที่ฟู้ดคอร์ทด้านล่างแล้วเหมาลูกชิ้นปิ้งมาอีกหนึ่งร้อยบาทถ้วน
เสื้อผ้านี่ช่างแม่งเหอะกลับไปเปลี่ยนเอาที่คอนโดก็ได้ เสื้อผ้าดีๆของอีอ้วนก็มีถมไป ยังไงมันก็ไม่กล้าหือกับผมอยู่แล้วนี่หว่า หากว่ามันมีเสี้ยวความคิดว่าจะเอามีดมาเฉาะกบาลผมนะ นี่ก็ตีนเลยครับ เอาตีนเหยียดไปถึงหน้ามันเลยนะไม่อยากจะคุย จริงๆไม่ใช่คนโหดร้ายอะไรนักหรอกแต่มีเมียหงุมหงิมติ่มซำแบบนี้มันก็น่าหงุดหงิดป่ะวะ ต้องซ้อมเช้าซ้อมเย็นไงมันถึงจะหลาบจำ!!!
ใช้เวลาไปอีกชั่วโมงกว่าๆผมก็เดินเข้ามาในอาคารที่พักอาศัยของตัวเอง เปิดประตูห้องออกแล้วก็พบว่าภายในห้องมีถุงช็อปปิ้งเยอะแยะเต็มไปหมด นี่อีเมียมันคงจะหนีไปเดินห้างแล้วเอาของกลับเข้ามาซุกไว้อีกตามเคยสินะ ชีวิตดีเหลือเกินนะอีอ้วน ถอนเงินไปหมื่นนึงไปซื้อชุดน่ารักๆใส่แต่ทีกับผัวมึงโอนมาให้พันเดียว เดี๋ยวเหอะอย่าให้เจอ กูจะฉีกร่างมึงให้แบ่งเป็นสามส่วนแล้วโยนให้ไอ้เข้ไอ้หลามแดกให้หมดเลย
LINE!
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนปลายเตียงก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง พอพูดถึงปุ๊บก็ไลน์มาปั๊บ มึงนี่หนังเหนียวเคี้ยวง่ายแต่ตายยากจริงๆเลยนะอีอ้วนน้อย
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: ตัวเองแต่งตัวยัง?
น้องหานคนแมน: เค้ากำลังกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดครับ
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: ทำผมเสร็จแล้วใช่เปล่า?
น้องหานคนแมน: เสร็จแล้ว
น้องหานคนแมน: รู้เปล่าว่าตอนนี้แฟนตัวเองหล่อโคตรพ่อเลยนะ
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: จริงอ่ะ?
น้องหานคนแมน: จริงดิตัวเอง จะโกหกทำไม
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: เชื่อก็ได้
พี่หมินคนดีที่หนึ่ง: รีบมานะ เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงงานจะเริ่มแล้ว
น้องหานคนแมน: เดี๋ยวรีบไปครับ
ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วนอนพักเหนื่อยอยู่บนเตียงสักพัก ในสมองก็คิดแต่ว่ากูจะใส่ชุดไหนดีวะ ใส่กางเกงยีนส์กับเชิ้ตสีเข้มสักตัวก็คงจะดูดีพอให้เมียควงเข้างานได้แบบไม่อายใครแล้วมั้ง
ดีดตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วก็เขยิบตูดไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผมถอดเสื้อกับกางเกงออกขณะที่ยังยืนอยู่หน้ากระจก มองเห็นตัวเองในสภาพเกือบเปลือยแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า...
กูนี่อ้วนหมาตายควายยอมแพ้สมคำร่ำลือจริงๆ
เอาตีนเขี่ยที่ชั่งน้ำหนักออกมาจากใต้โต๊ะเครื่องแป้งแล้วลองขึ้นมาเหยียบดู เห้ยก็ยังไม่หนักเท่าไหร่นี่หว่า แค่อีกสิบกว่าโลก็ครบร้อยเท่านั้นเอง อีเมียนี่ชอบพูดให้กูเสียเซลฟ์จริงๆเลยนะ แบบนี้เขาเรียกว่าผู้ชายหุ่นหมี มึงนี่ก็ไม่รู้อะไร
หันไปด้านซ้ายมือก็เห็นตู้เสื้อผ้าสองประตูขนาดใหญ่ เปิดประตูแรกก็เป็นโซนเสื้อผ้าของผม ลองมองดูทั่วๆแล้วก็มีแต่เชิ้ตคนตัดอ้อยกับเสื้อยืดคอกลมที่ชอบใส่เอาสบายอยู่เท่านั้นแล้วก็กางเกงยีนส์ที่ผมยัดตัวเองลงไปไม่ได้มาเป็นชาติแล้วอีกแถวหนึ่ง ตู้กูนี่ไร้ประโยชน์สัดๆ
มาลองเปิดดูอีกฝั่งก็เห็นว่ามีเสื้อผ้าของเมียผมจุอยู่แน่นจนล้นตู้ มึงมีตั้งแต่สูทภูมิฐานยันเทศกาลแฟนซีเลยนะ ชุดลายเสือดาว ลายวัว ลายงู ลายจระเข้ห่านี่มึงจะซื้อมาทำสากอะไรวะ จะไปพรางตัวในไนท์ซาฟารีเป็นอาชีพเสริมเหรออีอ้วน! แหวกมือเข้าไปทางฝั่งของเสื้อเชิ้ตก็เห็นว่ามีแต่ตัวเล็กๆทั้งนั้น จะยัดแขนตัวเองลงไปสักข้างยังต้องคิดหนัก ใหญ่สุดในตู้ของมันก็เห็นจะเป็นเชิ้ตสีขาวแบรนด์ดังที่มันซื้อมาดองไว้ไม่เคยใส่ออกไปไหนเพราะกลัวเลอะเหงื่อ ถึงป้ายมันเขียนว่าไซส์ L แต่กูก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าคงใส่เข้าไปได้อย่างยากลำบากแน่ แต่ก็เอาวะ ไม่ลองไม่รู้!
“ฮึบ!!!”
ผมสูดลมหายใจเข้าแล้วแขม่วท้องเกร็งสุดตัวจนลมสวนออกมาทางรูทวารเป็นขบวนให้พอร้อนดาก ค่อยๆสอดแขนเข้าไปตามแขนเสื้อแล้วก็ยังโอเคอยู่ ปัญหามันติดอยู่ที่พุงกูนี่แหละ
แต่ในที่สุดผมก็ติดกระดุมหมดทั้งแผงจนมาถึงเม็ดสุดท้ายได้สำเร็จ...
ผมยังคงอมลมไว้ในแก้มประหนึ่งคางคกตัวน้อยในสายลมหนาว หากนึกภาพตอนนี้ไม่ออกก็ขอให้ลองจินตนาการสภาพของงูเหลือมตัวเท่าหางเต่าที่แดกลูกควายอย่างผมเข้าไปทั้งตัวจนร่างแทบปริ ใบหน้าของผมแดงก่ำเพราะกลั้นหายใจมานานเกินไปเสียแล้ว ถึงมันจะฟิตขนาดไหนยังไงเสื้อที่ได้รับการตัดเย็บมาอย่างดีก็คงพอจะยืดออกตามลำตัวได้บ้างแหละน่า คิดได้ดังนั้นจึงรีบปล่อยให้พุงของตัวเองกลับมาอยู่ในสภาพปกติอย่างรวดเร็ว
ปิ้ว! ปิ้ว! ปิ้ว!
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเชื่องช้าราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่น กระดุมสามเม็ดกระเด็นออกจากเสื้อไปติดกระจกจนเกิดเป็นรูอากาศขนาดใหญ่ตรงหน้าท้องกลมดิกของผม เสื้อแบรนด์นี้นี่ดีจริงๆเลยนะว่าไหม ออกแบบตัดเย็บมาให้เป็นเสื้อเชิ้ตแต่ก็ยังใส่ออปชั่นโชว์สะดือเอาไว้ในตัวด้วยอีกต่างหาก สมแล้วที่เมียกูซื้อมาในราคาเป็นหมื่น คุ้มดีจริงๆเลยนะอีช้างเขย่ง
หมุนตัวไปมาอยู่สักพักพลางคิดว่าแบบนี้ก็โอเคนะว่ะ แม่งแนวดี ติดอยู่ตรงที่ขี้สะดือกูเยอะและขนสะดือกูก็รกไปหน่อยเท่านั้นเอง จะให้มานั่งเอาแหนบถอนตั้งแต่ตอนนี้ก็คงไม่ทันงาน ผมตัดสินใจถอดเสื้อเชิ้ตของเมียออกอย่างทะนุถนอมที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เอาไงดีวะ...”
ผมพูดขึ้นมาคนเดียวเบาๆเพราะรู้ตัวว่าเพิ่งทำเสื้อตัวโปรดของเมียตะเข็บแตกไปทั้งตัวแถมยังกระดุมหลุดอีกสามเม็ด ถ้าเอาไปทิ้งตอนนี้มันก็จะเป็นการหายไปแบบไร้ร่องรอย เมียกูก็จะต้องประสาทแดกแล้วพลิกแผ่นดินถอดกระเบื้องหากันทั้งห้องแน่ๆ แต่ช่างเถอะเอาไว้ก่อน...เรื่องเสื้อขาดนี่มันเป็นปัญหาในอนาคต แต่เรื่องไม่มีเสื้อใส่นี่สิปัญหาปัจจุบันของกู!!!
ผมนั่งกุมขมับอยู่ปลายเตียงอย่างคิดไม่ตก เงินที่เมียให้มาก็หมดไปกับร้านทำผมและของกินที่ผมชอบเกือบหมดแล้ว อันที่จริงผมก็พอจะมีเสื้อโค้ทตัวยาวที่พอจะปิดเสื้อผ้าทุกชิ้นได้ถึงหัวเข่า แต่จะให้กลับไปใส่เสื้อเมียยังไงก็คงไม่เวิร์คแน่ แล้วกูจะใส่อะไรไว้ข้างในดีวะ...
ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก
ปิ๊ง!
ผมดีดนิ้วดังเปราะพอนึกขึ้นได้ว่าวันก่อนบริษัทเพิ่งสั่งซื้อเสื้อผ้าแล้วเจ้านายก็แวะเอามาฝากไว้ที่คอนโดผมระหว่างทางไปร้านซักรีด การถ่ายรูปในสตูดิโอบริษัทนั้นจะมีเสื้อผ้าทุกแบบทุกไซส์ให้ลูกค้าเช่า ยังไม่ได้เปิดถุงดูเลยว่าล็อตนี้มีอะไรบ้าง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว กูขอเปิดงานเลยแล้วกันนะ
ผมเดินออกมาที่ห้องโถง เดินฝ่าถุงช็อปปิ้งนับสิบของเมียแล้วหยิบถุงทรงกระสอบขนาดใหญ่ออกมาจากข้างโซฟา นั่งลงกับพื้นแล้วค่อยๆรื้อมันออกมาทีละชิ้นแล้วกูก็รู้สึกคันตีนขึ้นมาตะหงิดๆ ชุดทาร์ซานนี่มึงจะสั่งมาทำห่าไร เอามาถ่ายปฏิทินมาปลุกใจชะนีป่าหรือไงวะกูถามหน่อย ไหนจะชุดอัลลาดิน โอ้อีช้างกระโดด… A Whole New World เลยทีเดียว มองมาทางนี้ก็ชุดสโนไวท์ เสียดายที่แม่งไม่แถมแอปเปิ้ลสักลูกให้กูแดกไปพลางๆ และปิดท้ายด้วยชุดพระเอกภาพยนตร์ดังอย่างซูเปอร์แมน...
หล่อดูดีมีกล้ามท้องอย่างผมต้องเหมาะกับชุดนี้แน่ๆ
ผมแสยะยิ้มมุมปากออกมาอย่างได้รับชัยชนะ ใครจะไปรู้ ธีมงานแต่งงานของไอ้เหี้ยเตี้ยและเมียมันอาจจะเป็นเทศกาลแฟนซีก็ได้ เพียงแค่กูใส่ชุดนี้กับเสื้อคลุมตัวยาวนั่นก็คงจะดูเท่ในสไตล์ของเชอร์ล็อคโฮล์มส์ ลองนึกภาพที่กูถอดเสื้อโค้ทออกมาแล้วสาวๆทั้งงานก็ต้องเหลียวหลัง...จุดนั้นเมียกูคงจะโรยตัวเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับกระซิบเบาๆที่ข้างหูว่า
‘ยอมแล้วทูนหัว อยากเสียตัวให้ซูเปอร์แมน’
ผมหัวเราะอิอิแล้วยัดขาอันทรงพลังลงไปในกางเกงผ้ามันสีน้ำเงิน ดึงขอบกางเกงขึ้นมาถึงเอวจึงได้รู้ว่ามันเป็นกางเกงที่เน้นโชว์สัดส่วนเป็นพิเศษ วิ่งกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วยืนส่องกระจกเต็มบานหน้าตู้เสื้อผ้า อ่าห์...รู้สึกเซ็กซี่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรกคิดว่าจะหยิบชุดทาร์ซานไปเผื่อเมียสักหน่อยนะ แต่ก็ไม่เอาดีกว่าเพราะกลัวว่าเดี๋ยวเจ้าจอมขมังเวทย์ของผมจะกลายพันธุ์จนทำให้คนทั้งงานตกตะลึง
ออกมาหยิบเสื้อแขนยาวที่เข้าชุดกันมาสวมดูพร้อมกับติดผ้าแดงผืนใหญ่ไว้บนไหล่ทั้งสองข้าง แขม่วพุงเข้ามาสักหน่อยรูปร่างของผมก็จัดว่าบึกบึนพอประมาณ ผมยืนจังก้าอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งแล้วชูมือสะท้านฟ้า ท่านี้แหละที่กูจะใช้โพสต์ตอนยืนข้างบ่าวสาวหน้าประตูวิวาห์
เมื่อทุกอย่างได้รับการเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วผมก็หยิบเสื้อโค้ทสีเทาตัวยาวมาสวมใส่เอาไว้พร้อมติดกระดุมทุกเม็ดจนถึงลำคอ รองเท้าไม่ใช่ปัญหา...ถึงน้ำหนักผมจะขึ้นมายี่สิบกว่ากิโลตลอดสามสี่ปีมานี้แต่ขนาดตีนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่นัก มันยังทาบหน้าเมียได้พอดิบพอดีอยู่เหมือนเดิม
กระเป๋าสตางค์บรรจุเหรียญที่งัดออกมาจากกระปุกหมูจนบวมตุง ผมยัดมันลงไปในกระเป๋าสะพายข้างราคาแพงที่สุดที่ซื้อมาจากถนนคนเดินในราคา 49 บาท ไม่อยากจะแต่งอะไรมากหรอกครับ แค่เท่านี้เจ้าของงานก็คงยอมแพ้แล้ว!
“แฟนพี่ยังไม่มาอีกเหรอ?”
คนตัวเล็กที่ยังง่วนอยู่กับทรงผมตัวเองหน้ากระจกเอ่ยถามอีกฝ่ายที่กำลังนั่งตะไบเล็บเท้า มินซอกเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองนาฬิกาก่อนจะยิ้มตอบกลับไป
“เดี๋ยวก็มาแล้วมั้ง สงสัยจะกลับเข้าไปเปลี่ยนรองเท้าที่คอนโด”
“ทำไมเขายังขอเงินพี่ไปทำงานอยู่อีกวะ? นี่พี่ริบเงินผัวเรียบเลยเหรอ” คยองซูหัวเราะออกมา คำพูดนั้นทำให้มินซอกเองยังแอบยิ้มตามไปด้วย
“หน้าอย่างมันน่ะเหรอจะเก็บเงินทั้งบัญชีเอาไว้ได้ มีเท่าไหร่ก็หมดเกลี้ยง นี่คยองซูคิดดูนะ...ให้เงินไปซื้อกระดาษทิชชู่ร้อยนึงมันยังเจียดไปซื้อกระจู๋ทะเลมาแดกได้อีกสองสามขีดอ่ะ คิดดู๊!”
“กินเก่งขนาดนั้นเลยเหรอพี่”
“ยังน้อยไปสิ บางวันมันกินข้าวจากบริษัทมาแล้วนะ พอมาเจอกันพี่ถามว่ากินไรมายัง? มันก็ยังบอกจะว่ายังไม่ได้กิน ดูซิว่ามันกะล่อนขนาดไหน”
“แล้ววันนี้พี่ให้ไปกี่พันล่ะครับ”
“ให้ไปพันเดียวแหละ แต่พี่ซื้อชุดมาให้ตั้งสองสามชุดเผื่อมันเลือก วางไว้ตรงหน้าโซฟานั่นแหละ นี่มันคงจะไม่โง่บ้าเซ่อถึงขนาดมองไม่เห็นหรอกนะ”
คยองซูส่ายหน้าไปมาทั้งๆที่พวงแก้มยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มินซอกหยิบต่างหูที่เพิ่งซื้อมาใหม่ออกมาจากกระเป๋าแล้วใส่ไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างที่เหลือก็เก็บกลับเข้าไปในกล่องอย่างเดิมเพราะเจ้าของของมันยังมาไม่ถึงงาน
“อย่าตื่นเต้นลนลานจนพูดผิดพูดถูกล่ะเข้าใจไหม” มือเล็กลูบข้างแก้มน้องชายคนสนิทของตัวเองเบาๆแล้วตีเข้าให้หนึ่งครั้ง “ใครเผลอชมว่าเจ้าบ่าวหล่อก็อย่ากระโจนไปตบเขาล่ะ”
“โธ่! พี่เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกเสียจากหัวเราะออกมา
มือเล็กบรรจงจัดเครื่องสำอางที่วางอยู่เต็มโต๊ะเครื่องแป้งกลับเข้าเทรนเคสขนาดใหญ่ น้ำหอมกลิ่มเดิมฉีดฟุ้งขึ้นเหนือมวลอากาศก่อนที่เขาจะเดินผ่านละอองน้ำหอมนั้นอย่างไม่เร่งรีบ มินซอกเดินกลับไปจัดปกเสื้อของคยองซูให้เข้าที่ก่อนจะส่งยิ้มออกมาเล็กน้อยเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่คู่หูคนสนิทที่กำลังจะเข้าสู่พิธีสำคัญ
เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่ออกมายืนต้อนรับแขกที่แวะเวียนเข้ามาแสดงความยินดีแก่คู่บ่าวสาวในค่ำคืนนี้ ห้องประชุมขนาดใหญ่ของโรงแรมถูกจัดให้เป็นพื้นที่สมรสซึ่งก็ถูกตกแต่งด้วยช่อดอกไม้สีขาวสลับชมพูไปทั่วทั้งงาน คนตัวเล็กกระชับหูกระต่ายสีหวานที่อยู่ใต้ปกเสื้อเชิ้ตสีขาวก่อนจะชะเง้อมองไปยังประตูทางเข้างาน หลังจากที่โทรถามลู่หานเมื่อกี้ก็รู้ว่านั่งรถมาจวนจะถึงอยู่แล้ว
เดินออกมาเรื่อยๆจนโผล่พ้นประตูซุ้มดอกไม้ก็ดักรอสามีของตนเองอย่างใจจดใจจ่อ เหลือบมองในกระจกเงาของโรงแรมอยู่หลายครั้งว่ารูปลักษณ์ของตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร ความจริงแล้วการที่แต่งตัวแต่งหน้าดีๆออกมาทุกวันไม่ใช่ว่าอยากจะให้ใครที่ไหนคอยมอง เป็นที่รู้กันว่าลู่หานเจ้าชู้ประตูดินขนาดไหน ถึงจะเลิกนิสัยแบบนั้นไปนานแล้วตั้งแต่เริ่มคบกันใหม่ๆแต่หูตาที่แพรวพราวเวลามีคนสวยๆเดินผ่านก็ทำให้เขารู้สึกน้อยใจอยู่ทุกครั้ง แม้จะแสดงออกไปด้วยการตบแก้มดังฉาดหรือดึงหูแรงๆให้เลิกมองผู้หญิงพวกนั้น แต่ความจริงแล้วที่ทำไปก็เพราะอยากให้กลับมาสนใจที่เขามากกว่า... เพราะเป็นแบบนี้จึงต้องขยันแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูดีที่สุดเพื่อให้สายตาแบบนั้นมองมาที่เขาคนเดียว
“มาแล้ว...ที่รัก เค้าอยู่ตรงนี้!”
ประโยคแรกมินซอกพูดกับตัวเองเบาๆพร้อมทั้งฉีกยิ้มกว้างก่อนจะโบกไม้โบกมือกระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กๆเมื่อเห็นคนที่รออยู่กำลังเดินขึ้นบันไดมา ผมที่เริ่มยาวของลู่หานพอจัดทรงแล้วก็เรียกได้ว่าดูดีมากเลยทีเดียว
“ตัวเอง รอนานไหม?” ลู่หานเอ่ยถามทันทีหลังจากที่วิ่งขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว
“นานดิ เค้ารอจนตะคริวแดกตีนละเนี่ย”
“จริงเหรอ เดี๋ยวกลับห้องแล้วเค้านวดขาให้นะ” มินซอกพยักหน้าเร็วๆแล้วเอื้อมมือขึ้นไปเกลี่ยไรผมของลู่หานที่ตกลงมาให้กลับเข้าทรง
“ข้างนอกหนาวเหรอ ทำไมตัวเองถึงใส่เสื้อโค้ท”
“ไม่หนาวหรอก...โอ้โหดูดิ! วันนี้แฟนเค้าน่ารักจังเลย” คนตัวเล็กยิ้มหน่าย ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือแกล้งหยอกให้ดีใจเล่นกันแน่ ลู่หานจะชอบพูดแบบนี้ทุกครั้งที่เจอเขาเสมอ
“อย่ามาตอแหล”
“เปล่าเลย วันนี้ตัวเองน่ารักจริงๆ” ร่างสูงพูดพลางก้มลงมองปลายนิ้วมือเล็กที่ลากลงมาตามสาปเสื้อโค้ทตัวยาว รอยยิ้มที่เคยอยู่ในพวงแก้มค่อยๆคลายออกแทนที่ด้วยการเบ้ปากอย่างสงสัย
“ใส่อะไรมาอ่ะตัวเอง ทำไมกางเกงมันเป็นสีน้ำเงิน”
“อ๋อ ก็...”
“ไม่ได้ใส่ชุดที่เค้าซื้อให้เหรอ?” ลู่หานกระพริบตาปริบก่อนจะเลิกคิ้วถาม
“ชุดไรอ่ะตัวเอง”
“อ้าว ก็ชุดที่เค้าซื้อให้ตัวเองไง วางอยู่หน้าโซฟาเต็มเลยนะ เค้าซื้อมาให้เลือกตั้งหลายชุดอ่ะตัวเอง”
“อ๋อ...”
โคตรพ่อโคตรแม่ถุงช็อปปิ้งที่กูเดินเอาตีนเขี่ยทิ้งไปก่อนจะกระโจนใส่ถุงชุดซูเปอร์แมนหัว Quay นี่เอง
“กูว่าละว่าโง่ๆอย่างมึงต้องไม่เห็นแน่นอน”
อ้าวอีอ้วนนี่มีการมาเปลี่ยนอารมณ์ใส่กูซะงั้น ท่าทางจะวอนนะมึงเนี่ย ไม่อยากจะไฝว้นะตอนนี้ นี่คือกูเสียดายค่าเซ็ตผมหรอก ถ้าไม่ได้เซ็ตผมมานะรับรองว่าตอนนี้มึงป่นปี้เป็นขี้หมาแห้งแน่อีเมีย
“อยากให้เค้ากลับไปเปลี่ยนไหมอ่ะตัวเอง...” มินซอกทำหน้ายู่ก่อนจะส่ายหัวไปมา
“ไม่ต้องหรอก งานจะเริ่มแล้ว”
ผมฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับตั้งศอกขึ้นมาเสมอกับลำตัว หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเมียผมก็สอดแขนเข้ามาควงอย่างรู้งาน คอสตูมวันนี้ไม่ค่อยเข้าคู่กันสักเท่าไหร่ทั้งที่ปกติแล้วเราสองคนมักจะใส่เสื้อผ้าที่เข้าชุดกันเวลาออกงานเสมอ อาจเป็นเพราะการทำงานของผมที่เลี่ยงไม่ได้ทำให้ไม่ได้ไปเดินเลือกซื้อของด้วยกันเหมือนงานอื่นๆ มินซอกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ผมไม่ได้สนใจชุดที่ซื้อให้ออกมาจากถุงช็อปปิ้งห่าเหวนั่นซึ่งโดยปกติแล้วผมจะรื้อแม่งทุกอย่างที่ขวางหน้า จริงๆผมเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน...เวลามันจะซื้ออะไรให้ผมสักอย่างนี่ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าผมจะชอบไหม เรียกได้ว่าใช้เวลานานกว่าที่มันซื้อของให้ตัวเองเสียอีกหลายเท่าตัว
การถ่ายรูปหน้างานคู่กับบ่าวสาวเป็นไปอย่างเรียบง่าย ผมไม่ได้โพสต์ท่าซูเปอร์แมนอย่างที่ตะเตรียมไว้เพราะดูจากธีมงานแล้วแม่งก็ไม่ได้กลิ่นไอของความแฟนตาซีส้นตีนอะไรอยู่เลย ถ่ายเสร็จไปสองสามรูปมินซอกก็เดินนำเข้างานไปก่อน ส่วนผมก็ยืนรออยู่ตรงซุ้มถ่ายรูปกับคู่รักตัวเตี้ยนี่แหละ เห็นแบคฮยอนมันบอกว่าเดี๋ยวลัทธิบูชาเมีย(พร้อมกับจงอินที่เป็นลิ่วล้อ)จะมารวมตัวกันที่นี่
“แต่งเหี้ยไรมาวะ”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ รุ่นพี่เจ๊กเงิงบานก็เดินออกมาจากประตูห้องประชุมของโรงแรม ผมไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มค้าง สัดเอ๊ย...มองผ่านๆกูนึกว่าหลุยส์ซัวเรส ถ้าไม่พอใจคอสตูมกูนี่มึงก็อย่ามากระโดดกัดไหล่กูเด็ดขาดเลยนะ เดี๋ยวกูกลายร่างเป็นซอมบี้แล้วรุมกัดทุกคนในงานขึ้นมาจะหาว่าไม่เตือน
“อย่ามาขัด นี่มันเป็นสไตล์” ผมพูดเสร็จก็เสยผมหล่อๆขึ้นมาหนึ่งที จงอินที่ยืนดูอยู่ห่างๆก็ทำหน้าเบ้ ดูท่าทางมึงอยากจะลงมาจูบตีนกูมากสินะ
“เมียไม่ให้เงินซื้อเสื้อเหรอ” เสียงบุคคลที่สามที่เดินรั้งท้ายก็ดังขึ้นมา ผมมองมันตั้งแต่หัวจรดตีนและตีนจรดหัว แหมมึงหล่อมากเหรอสัด...อย่าให้กูขุดนะว่าเมื่อก่อนมึงทำไรกับชีวิตกูไว้บ้าง เมื่อหลายปีที่แล้วมึงลักลอบได้เสียกับเด็กกูสองคนรวดเลยนะอย่าคิดว่ากูลืม
“ทำไมหยาบคายจังอ่ะเพื่อน อยากแดกถั่วเหรอ” ชานยอลทำหน้าแหวะ ถั่วทุกสายพันธุ์เป็นศัตรูกับมันตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ จะอะไรซะอีกล่ะครับ...ก็แดกถั่วทีไรมันก็ขี้ไม่ออกทุกที
“ทำไมพวกมึงพูดมากจังวะ” จงอินตัดบทอย่างตัดรำคาญ เวลาเจอไอ้สัดนี่เข้าโหมดจริงจังทีไรก็รู้สึกคางสั่นอย่างบอกไม่ถูก ผมทำหน้าเป็น JPEG อยู่ห้าวินาทีก่อนที่ไอ้สามคนที่เหลือจะเดินมาประจำตำแหน่ง
“พวกพี่ตัวสูงอ่ะ ไปยืนหลังดิ” เสียงดังมาเจ้าบ่าวที่ยืนข้างผม ผมถอนหายใจออกมาอย่างเนือยๆแล้วส่ายหน้าช้าๆ เกิดมาสูงนี่ผิดมากเหรอวะ เรื่องแค่นี้ก็ไล่ให้กูไปยืนข้างหลังตลอด ผมชูนิ้วกลางใส่เหี้ยเตี้ยในชุดเจ้าบ่าวไปหนึ่งครั้งแล้วเดินอ้อมหลังมันไปก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีตีนใครมาดึงคอเสื้อโค้ทผมอยู่
“ไม่ใช่มึง” แหมอีดำนี่คอยเบรกกูทุกเรื่องตั้งแต่ตั๊กแตนยันแมมมอธเลยนะ
“ไม่ใช่มึงด้วย” ผมตอบกลับไปก่อนจะตวัดแขนเข้าไปฟาดไข่มันหนึ่งทีแต่ก็ดูเหมือนมันช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรบ้างเลย ไอ้พวกหนอนชาเขียวก็เป็นซะแบบนี้แหละครับ จะให้ทุบแรงสักเท่าไหร่ก็ไม่กระเทือนถึงท่ออสุจิมันหรอก
“มึงจะเลิกกัดกันได้ยัง” เทพธิดาพญาเงิงเข้ามาเป็นฝ่ายห้ามศึกก่อนที่มันจะเลยเถิดไปเหมือนๆกับครั้งที่แล้วมา ผมเบะปากแล้วเชิดหน้าใส่เหี้ยดำไปหนึ่งครั้ง...ให้มันรู้ซะบ้างว่าอี้ฟานเข้าข้างใคร
โป๊ะ!
“โอ้ย!” ผมร้องออกมาเสียงดังลั่นเพราะชานยอลยื่นมือมาเบิ๊ดโหลกผมทีนึง ลูบท้ายทอยตัวเองป้อยๆแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะฮิๆในลำคอของคนที่ยืนข้างๆ “ขำไรสัด บ้านเปิดคณะตลกเหรอ” ไม่วายที่จะหันไปแขวะ กูล่ะหมั่นไส้ไอ้เหี้ยดำจริงๆให้ตาย ถ่ายรูปเสร็จเมื่อไหร่มึงโดนเมียกูตบแน่
“ลู่” อี้ฟานเรียกนามสกุลผมเพราะกำลังจะเข้าสู่โหมดจริงจัง ตามพจนานุกรมของผมแล้ว...ในสถานการณ์แบบนี้ หากเรียกนามสกุลเฉยๆนั้นมันมีหมายความโดยนัยว่า ‘ถ้ามึงยังไม่หุบปากกูจะด่ามึงให้เสื่อมเสียยันต้นตระกูลเลยนะ’
“พร้อมนะครับ” พี่ตากล้องตะโกนเข้ามาเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์สงบดี เราทุกคนอึ๊บหน้าแมนเว้นเสียแต่บ่าวสาวที่ยิ้มกว้างอย่างปลื้มปิติ “หนึ่ง สอง สาม”
แชะ!
แฟลชสีขาวสว่างวาบขึ้นมาจนตาพร่าไปพักหนึ่ง ผมเปลี่ยนท่าโพสต์ภายในเสี้ยววินาทีก่อนที่ช่างภาพจะกดชัตเตอร์ อย่างที่รู้กันดีว่างานแต่งงานเพื่อนก็เหมือนงานรื่นเริงของเรา พอตากล้องให้จังหวะเสร็จพวกเราก็เปลี่ยนท่าโพสต์เป็นสารพัดท่ายากตามต้นฉบับฤาษีดัดตนแล้วทำหน้าให้เหี้ยที่สุดเท่าที่จะทำได้ถึงแม้ว่าสำหรับคนหล่อแบบผมมันจะลำบากยากเย็นขนาดไหนก็ตาม
แสงแฟลชจางลง ผมมองหน้าไอ้สามคนนั่นรายตัวก็พบว่าเพื่อนๆยักคิ้วกลับมาให้เป็นสัญญาณว่า... ไม่ใช่มึงคนเดียวที่ทำหน้าเหี้ยตอนถ่ายรูปเมื่อกี้ ผมหัวเราะในลำคอจนไหล่สั่น การทำหน้าตาประหลาดๆนั้นคงไม่ลำบากเกินไปสำหรับพวกมันหรอกครับ คือแค่ยืนเฉยๆก็หน้าพวกมึงก็แปลกแล้วไม่ต้องพยายามมากก็ได้
“เฮ้ย ในงานเลี้ยงเบียร์ป่ะวะ”
อี้ฟานเจ้าเก่าเอ่ยถามเจ้าของงานเสียงดัง เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวพยักหน้ากลับมาพวกเราทั้งหมดก็เผยยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข หลังจากเลยช่วงวัยรุ่นกันมาหมดทุกคนแล้วจึงรู้ว่าแหล่งมั่วผู้หญิงไม่ใช่นิพพาน...แต่เป็นงานเหล้าบุหรี่เบียร์ฟรีไม่อั้นต่างหากที่จัดว่าเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดของพวกผม
โต๊ะที่มินซอกจองไว้เป็นโต๊ะที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าสุดที่ทำให้พวกเรามองเห็นเวทีได้อย่างชัดเจน พอก้าวเข้าไปแล้วเห็นว่าทุกคนต่างแต่งตัวกันมาอย่างหรูหราจึงทำให้ความมั่นใจในตัวเองของผมลดลงไปเกินครึ่ง ตลอดงานผมเอาแต่มองหน้าและพูดคุยกับมินซอกเพราะเชื่อว่าเมียคงเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกที่ไม่มีวันมองผมด้วยสายตาแปลกๆถึงแม้ว่าภาพลักษณ์ของผมจะดูแล้วประหลาดขนาดไหน
สายตาที่เขามองผมเรียกความมั่นใจของผมให้กลับมาได้เสมอ
งานแต่งงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย เพราะมีเมียคอยคุมอยู่ทำให้ผมสามารถกระดกเบียร์ได้ไปแค่ไม่กี่กรึ๊บในขณะที่ไอ้สามตัวที่นั่งเรียงกันอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่งแดกเอาแดกเอาราวกับเป็นน้ำคลองหลังบ้าน บรรยากาศในวันนี้ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ผมแต่งงานกับมินซอก สภาพแวดล้อมค่อนข้างจะต่างออกไปมากพอดู เราแต่งงานกันเงียบๆในโบสถ์ต่างประเทศและเชิญชวนคนเข้าร่วมพิธีแค่ไม่ถึงร้อยคน แต่ก็นับว่าเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้หากเทียบกับความทุกข์ทรมานที่โดนเมียทารุณเยี่ยงทาสในปัจจุบัน...
บ่าวสาวพากันขึ้นเวทีไปแล้วพร้อมกับที่พิธีกรคนใหม่ถูกมอบหมายให้ขึ้นแท่นพิธีกรจำเป็นหลังจากที่พิธีกรหลักของงานเมาหัวราน้ำตั้งแต่ก่อนที่พิธีจะเริ่ม วีดีโอถูกบรรเลงขึ้นบนฉากด้านหลังในขณะที่ดวงไฟดับมืด ผมมองขึ้นไปบนเวทีสลับกับมองมินซอกเป็นระยะ เมียผมดูท่าจะสนใจสิ่งที่อยู่ในวีดีโอนั่นมากจนทำให้ต้องยิ้มแก้วรั่วออกมา มือที่อยู่ว่างๆไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนก็ได้โอกาสกุมมือเมียไปพลางๆ
หลังจากที่วีดีโอจบไฟในงานก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง ลำแสงสีส้มสาดไปทางคู่บ่าวสาวที่ต่างสารภาพความในใจให้แก่กัน มินซอกน้ำตาคลอออกมาเพราะความปิติยินดีกับเพื่อนรักอย่างคยองซูที่ได้เป็นฝั่งเป็นฝากับผัวสักทีหลังจากที่ได้กันมาจนรูทวารบานเท่าฝาหม้อ
“ผมจะรักคยองซูตลอดไป”
แบคฮยอนพูดออกไมค์เสียงดังฟังชัด คนทั้งงานร้องโห่ฮากันพลางลุกขึ้นปรบมือกันเกรียว ในสถานการณ์แบบนี้มีหรือที่แก๊งบูชาเมียอย่างเราจะน้อยหน้า ทั้งสี่คนประสานเสียงกันเป็นอะแคปเปล่าในทันทีเลยครับว่า
“ถุ้ย!!!!”
ผมนั่งลงบนโต๊ะแล้วรู้สึกหิวจนตาลาย บริกรพม่ายกกับแกล้มเข้ามาเติมในจานขนาดใหญ่ที่วางอยู่กลางโต๊ะจีน ผมหยิบขนมอัดเข้าปากก่อนจะแอบกระดกเบียร์เข้าไปอีกสองสามอึกเมื่ออยู่ในช่วงเวลาลับตาเมีย สายตาเริ่มพร่าแล้วก็รู้สึกร้อนหน้าเหมือนโดนไฟแช็คลนแก้ม บอกกับตัวเองอีกครั้งว่ามึงจะเมาตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะไอ้หน้าหล่อ นี่เมียกูใส่ซองช่วยอีสองตัวนั่นไปตั้งเหยียบหมื่น ต้องแดกเบียร์แม่งให้หมดทั้งงานก่อนถึงจะเรียกว่าคุ้มค่า
“เชิญคุณลู่หานขึ้นมากล่าวแสดงความยินดีให้แก่บ่าวสาวครับ”
ฟังเสียงของพิธีกรที่เคารพผ่านๆหูแล้วก้มหน้าก้มตาจิ้มแหนมตุ้มจิ๋วขึ้นมาแดกอย่างบ้าคลั่ง แสงไฟสีส้มสาดมายังตัวผมที่กำลังหยิบพริกขี้หนูและขิงดิบขึ้นมาเคี้ยวแกล้มแหนม ผมอ้าปากค้างก่อนจะกลอกตามองไปรอบข้าง มินซอกสะกิดผมถี่ยิบเป็นสัญญาณให้วางเครื่องเคียงทุกอย่างในมือลงเพราะสายตานับร้อยกำลังจ้องมองมาทางนี้
Yes Mom!
งานซวยก็มา
“เฮ้ย ทำไมเป็นกูวะ”
ผมกระซิบถามไอ้สามตัวที่เหลือที่เอาแต่นั่งยิ้มกรุ่มกริ่ม โอย...อะไรอะไรก็กูตลอด งานอื่นไม่ได้เหรอไอ้สัด นี่ถ้าพวกมึงรู้ว่ากูใส่ชุดซูเปอร์แมนไว้ข้างในมึงจะไม่ทำแบบนี้!
“คุณอี้ฟานบอกว่าวันนี้คุณลู่หานมีทีเด็ด...ขอให้ถอดเสื้อคลุมออกด้วยนะครับ”
พิธีกรใจหมาเสือกพูดต่อ ผมถึงกับห๊ะไม่มีเสียงออกมาก่อนที่พวกมันจะเล่นยักคิ้วต่อกันเป็นคลื่นโดยที่ไม่สนในความรู้สึกของผมเลยแม้แต่นิดเดียว...
ทีเด็ดอะไรของมึ๊ง! เด็ดหัว Door มึงป่ะสัด พวกมึงนี่ขี้เสือกจริงๆเลยนะ อยากรู้ว่ากูใส่อะไรไว้ข้างในทำไมถึงไม่ขอดูดีๆวะ นี่ชานยอลก็ไม่ช่วยอะไรกูเลยเหรอ...มึงลืมใช่ไหมว่ากูเคยไปแก้ผ้าโดดน้ำเป็นเพื่อนมึงที่คลองแสนแสบ ถึงแม้ปลาจะรุมตอดไข่และสายผักตบจะแทงดากยังไงกูก็ไม่เคยบ่นให้มึงฟังสักครั้งเลยนะ ส่วนอีดำดอทคอมนี่ก็อีกคน มึงก็สมรู้ร่วมคิดกับพวกมันด้วยใช่ไหม เสียแรงเหลือเกินนะที่กูเคยเหมาวิตามินบำรุงผิวให้มึงตั้งสองสามถาด ถึงแม้ว่าตอนนั้นมึงจะปฏิเสธออกมาด้วยเหตุผลกากๆว่า ‘ผิวสีแทนนี่แหละดีแล้ว...ดูเหมือนคนรวยดี’ อืม ดูซิว่ามึงหักหาญน้ำใจกูขนาดไหน ถึงขนาดนั้นกูก็ไม่เคยทำร้ายมึงทางวาจา มีก็แต่เพียงคำถามภาษาดอกไม้ว่า ‘รวยแต่เขือเหรอเพื่อนรัก’ เท่านั้นเอง
“ตัวเอง...ทีเด็ดอะไรเหรอ”
อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก อกหานแตกตายแน่ขุ่นแม่ขา
อีอ้วน! มึง! มึงก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ มึงอยากโดนกูเด็ดมากใช่ไหมมึงถึงมีหน้ามาถามแบบนี้ อยากเห็นมากใช่ไหมชุดซูเปอร์แมนกูน่ะ สุดยอดความเป็นชายน่ะมึงอยากได้ใช่ไหม ได้เลย...เดี๋ยวคืนนี้พี่จัดให้ อย่ามาสะอึกสะอื้นว่าอิคึอิไตให้กูได้ยินนะไอ้สัด โอ้เยสฟัคมีนี่ก็อย่ามาพูดให้ได้ยินนะ หัดเคารพเชื้อชาติกูซะบ้างนะอีเมีย ได้ผัวเป็นคนจีนทั้งทีเนี่ยมึงไม่รู้เหรอว่าเวลาอยู่บนเตียงคราง ‘ไอ้หยา!’ ถึงจะถูกหลัก
“ตัวเอง ลุกสิ คนมองกันทั้งงานแล้ว”
ไม่ว่าเปล่า...ส้นตีนเล็กๆก็เหยียบลงมาบนรองเท้าหนังของผมเต็มแรง ถ้ามันพังขึ้นมามึงจะซื้อให้กูใหม่ไหมอีเมียกระจอก คู่นี้แพงสุดในชีวิตกูเลยนะ ป๊ากูซื้อมาในราคาตั้งสามหยวน ต่อราคาเหลือหยวนเดียวแม่งก็ไม่ยอมลดให้อีก
“ตัวเองลุกเร็ว! คนอื่นรออยู่นะ”
มันเร่งผมอีกครั้ง กูอ่ะรุกอยู่แล้วมึงไม่ต้องมาสั่ง เตรียมตัวรับให้ดีเถอะอีอ้วน เดี๋ยวมึงได้ขาดใจตายคาหมอนแน่!!!
ผมลุกยืนขึ้นมาพรวดเดียวแล้วระบายยิ้มเขิน ปรายตามองไปรอบๆก็พบว่าคนทั้งงานกำลังมองผมอยู่จริงๆ ไอ้สองตัวผัวเมียที่อยู่บนเวทีนั่นก็ส่งสายตามาให้ราวกับกำลังลุ้นผลบอลโลกอยู่อย่างไรอย่างนั้น อีกสามตัวบนโต๊ะพองแก้มขำในขณะที่อีเมียบังเกิดเกล้าก็มองผมอยู่ไม่วางตา อ่าห์...สัมผัสได้ว่าหายนะกำลังคืบคลานเข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เอายังไงดีวะ...คิดดิหาน คิด!
“ขอเชิญคุณ! ลู่หาน! ขึ้นมากล่าวแสดงความยินดีกับบ่าวสาวด้วยนะครับ!!”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวพร้อมทั้งเสียงนกหวีดมือจากอี้ฟานดังวี้ดวิ่วกระแทกรูหู ถ้าถอดเสื้อคลุมออกแล้วขึ้นไปยืนโชว์ไข่บนเวทีนี่ต่อให้พูดซึ้งขนาดไหนคงฮากันทั้งงานแน่ แต่เรื่องแบบนี้มีหรอที่คนฉลาดๆอย่างผมจะยอมให้ตัวเองโดนเผาอย่างไร้วัฒนธรรม ไม่มีทางซะหรอก!
ทั้งงานกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้งหลังจากเสียงปรบมือฉาดสุดท้ายสิ้นสุดลง ไม่รอทุกคนลุ้นให้เสียเวลา ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาแนบหูทันที
“ฮัลโหล...ครับ”
ความจริงไม่มีใครโทรมาหรอก กูตอแหลล้วนๆ
“ว่าไงนะ!!!”
ผมตะโกนใส่หูโทรศัพท์จนดังก้องไปทั่งงาน อีเมียอ้าปากค้างแล้วกระพริบตาปริบอย่างงงๆ ผมแกล้งตีหน้านิ่งแล้วคุยโทรศัพท์ต่อไปตามแผน
“คุณว่ายังไงนะ?! โมโจโจโจ้กำลังเปลี่ยนคนทั้งเมืองให้กลายเป็นหมาเหรอ!!!”
โธ่ยาหยี นั่นมันพาวเวอร์พัฟฟ์เกิร์ลส์!
“ครับท่าน ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้!!!”
ผมโยนโทรศัพท์ทิ้งทันทีหลังจากคุยโทรศัพท์(คนเดียว)จบ ทุกคนกำลังงงเป็นไก่ตาแตกเมียผมเลิกคิ้วถามประมาณว่า ‘คุณกำลังเล่นตลกอะไรกับชุ้น’ ไม่รอให้เกิดคำถาม ผมก็โน้มตัวลงไปจูบหน้าผากศรีภรรยาสุดที่รักหนึ่งครั้ง
“ออกศึกข้านึกแต่รบและรบ จบศึกข้านึกแต่รักเจ้าเท่านั้น”
สายโลหิตก็มา...
ผมถอดเสื้อคลุมออกด้วยความเร็วสูงเผยชุดซูเปอร์แมนสีน้ำเงินเข้มโชว์เรือนร่างกำยำล่ำเตี้ยของตัวเองต่อสายตาประชาชนคนทั้งงาน ไม่ได้หันไปมองเลยว่าตอนนี้มินซอกกำลังทำหน้ายังไง แต่ไอ้สามตัวบนโต๊ะกับสองผัวเมียบนเวทีนั่นตั้งท่าจะลมจับกันเป็นแถว
“สุขสันต์วันแต่งงานนะน้องชาย พี่ขอเวลาสิบห้านาทีไปกอบกู้โลก”
ทิ้งท้ายกับแบคฮยอนไว้แค่นั้นผมก็ชูมือทะยานขึ้นฟ้าอย่างที่ซักซ้อมมาจากคอนโดแล้วกระโดดเหยงๆออกไปทางประตูพร้อมกับที่สายตาทุกคู่มองตามมา
ถือว่ากูทำสำเร็จแล้วกัน...
ฮาสมใจมึงเลยไหมล่ะเพื่อนรัก
หึ...หึหึ...หึหึหึหึ!
เกินสิบห้านาทีแล้วที่ผมยืนหลบอยู่หลังประตูบานใหญ่ สุดท้ายไอ้สามตัวที่รวมหัวกันเผาผมก็ขึ้นไปเป็นตัวแทนอวยพรบ่าวสาวตามระเบียบ ผมแอบมองบรรยากาศในงานอยู่ตรงซอกประตูที่แง้มทิ้งไว้ ตอนนี้ไม่มีใครเห็นผมทั้งนั้นนอกจากบรรดาพนักงานพม่าที่ยืนหัวเราะคิกคักกันเป็นแถบ ผมเอามือข้างหนึ่งปิดไข่ส่วนอีกมือก็เอาไว้ปิดตูด กางเกงตัวนี้แม่งเป็นสกินนี่ชนิดสุดยอดแห่งการรัดง่ามดากโดยแท้จริง งานตัดเย็บของร้านนี้ไม่เคยทำให้บริษัทกูผิดหวังเลย
ไฟทั้งงานสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้บ่าวสาวกำลังตัดเค้กหลายสิบปอนด์ แต่ผมไม่ได้สนใจพวกมันหรอกครับ...ผมสนใจเมียสุดที่รักที่นั่งชะเง้อมองซ้ายทีขวาที มันคงกำลังคิดถึงผมใจแทบขาดสินะท่าทางแบบนี้ ก็แหงล่ะครับ...ได้มองเห็นไข่ผมที่นูนขึ้นมาจากเนื้อผ้าแค่เสี้ยววินาทีเดียวคงจะไม่หนำใจมัน บางทีมันอาจจะอยากสวมวิญญาณแม่เสือสาวเข้ามาขยุ้มขยำให้สาแก่มือก็เป็นได้
ผมกระหยิ่มยิ้มขึ้นมาแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอพอคิดได้แบบนั้น แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลาย... อีเมียก้มลงไปเก็บโทรศัพท์มือถือที่ผมโยนทิ้งไว้เมื่อครู่นี้แล้วยัดใส่กระเป๋า เสร็จตรงนั้นแล้วท่าทางร้อนรนของมันก็หายวับไปกับตาในทันที อ๋อ มึงเสียดายโทรศัพท์อยู่นี่เอง (กูก็นึกว่าคิดถึงกู ทำไมมันเป็นแบบนี้วะอีอ้วน!)
“ลำดับต่อไป ขอเชิญเจ้าสาวโยนช่อดอกไม้ได้เลยครับ”
พิธีกรคนเดิมพูดขึ้นพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ส่งให้กับมือเจ้าสาว มินซอกยังคงนั่งติดที่ ส่วนเหล่าชะนีน้อยใหญ่ในงานก็แห่กันไปยืนดักอยู่หน้าเวที มีตั้งแต่เด็กอนุบาลลามไปถึงอาม่าวัยเหยียบเก้าสิบ สัญชาตญาณสัตว์ป่าสงวนนี่มีแฝงอยู่ในตัวผู้หญิงทุกรุ่นจริงๆเลยนะครับว่าไหม
แต่เดี๋ยวก่อน
ออกมาอยู่ข้างนอกนานแล้วหลายคนคงจะสงสัยสินะครับว่าผมหายไปไหน มีหรือที่คนแบบผมจะหายไปโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว การพลิกล่างให้เป็นบนนั่นงานถนัดผมเลยล่ะ แต่ช้าก่อน...ถ้าคุณอดทนดูผมต่อไปภายในสิบนาทีนี้ ผมก็จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสในแบบที่คุณจะต้องไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยทีเดียว!
แถ่นแทน!
เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นเป็นจังหวะเร้าให้รอลุ้นว่าเจ้าสาวจะโยนช่อดอกไม้เมื่อไหร่ ผมย่ำเท้าอยู่กับที่เพื่อเป็นการสตาร์ทเครื่อง สายตามองตรงไปยังช่อดอกไม้ที่เป็นจุดหมายปลายทางเดียวในขณะนี้ งานแย่งดอกไม้ชะนีนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในร้อยล้านสิ่งที่ผมถนัดเหลือเกิน
โปรดอย่าทำลายสมาธินะครับ ตอนนี้ผมกำลังนับถอยหลังในใจ
นึง...
ส่อง...
ซั่ม!
ผมดันประตูให้เปิดออกแล้วทะยานตัวออกไปด้วยความเร็วสูงเป็นจังหวะที่ช่อดอกไม้หลุดออกมาจากมือเจ้าสาวได้พอดิบพอดี ตอนนี้ตัวผมกำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศ ผ้าคลุมสีแดงที่ติดอยู่บนไหล่ทั้งสองข้างกำลังพลิ้วไสวตามแบบฉบับซูเปอร์ฮีโร่ในตำนาน ขณะนั้นผมยกมือขึ้นลูบจอนหนึ่งครั้งแล้วเก๊กหน้าหล่อเผื่อว่าช่างกล้องจะกำลังจับภาพผมอยู่ แสงแฟลชมากมายสาดกระทบเบ้าตาจนทำให้ต้องหลับตาปี๋ แล้วสุดท้าย...
ดอกไม้ช่อนั้นก็เข้ามาอยู่ในมือของผมได้สำเร็จ!
ฝูงชะนีหลีกทางออกมาเป็นวงกว้างเพื่อให้ผมโรยตัวลงมาได้อย่างสวยงาม ก้นกบผมกระแทกพื้นดังปัง! เปรียบตัวผมเป็นวัตถุกลมๆน้ำหนักแปดสิบต้นๆหล่นลงมากระแทกกับพื้นไม้จนชำรุดต่อกันไปหลายแขนง การมาของผมนี่ยิ่งใหญ่จนทำให้รอบข้างสั่นสะเทือนจริงๆ มันช่างไม่ต่างอะไรกับการอุกาบาศก์วิ่งชนโลกเลยแม้แต่นิดเดียว
ผมรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเอามือลูบก้นป้อยๆเพราะปวดระบม ตอนนี้แม่งให้ความรู้สึกที่โคตรอภิมหาสัตว์ป่าอมตีน ผมกอดช่อดอกไม้เอาไว้ในแขนแล้วเดินกะเผลกไปอย่างเชื่องช้า น้องหญิงค่อยๆหลีกตัวออกไปทีละคนเหมือนกับฉากดังในภาพยนตร์ระดับประเทศจนสุดปลายทาง เมียสุดที่รักของผมเหลือบตามองไปทั่วงานแล้วก็ยิ้มออกมา มันคงจะภูมิใจสุดรูเยี่ยวที่ได้คนโรแมนติกอย่างผมมาเป็นคู่ชีวิต
ในงานกำลังบรรเลงเพลงธรณีกรรแสง ไว้อาลัยให้กับเหล่าชะนีที่มโนว่าตัวเองจะได้แต่งงานเป็นรายต่อไป กลับไปหาผัวให้ได้ก่อนเถอะสาวน้อย สิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้พี่ขอ!
“อะไรอ่ะ”
มินซอกเอ่ยถามออกมาเสียงเบาหลังจากที่ผมยื่นช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ตรงไปให้ ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ก็สื่อออกไปทางสายตาแล้วว่า... ‘ผมใส่ชุดซูเปอร์แมนแล้วเหาะเหินเดินอากาศเพื่อแย่งชิงดอกไม้ฟรีมามอบให้แก่คุณ’
มินซอกสาวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะรับดอกไม้ในมือของผมไปอย่างไม่ลังเล ได้ยินเสียงหัวเราะของเหล่าชะนีบ้างประปราย เสียงปรบมือฉาดใหญ่เริ่มมาจากอี้ฟานและก๊วนเพื่อนรักก่อนจะผสานรวมกันไปทั่วทั้งงาน
แต่พวกมันก็ไม่มีความหมายอะไรกับผมเท่ากับเสียงเล็กๆของมินซอกที่กระซิบข้างหูอยู่ตอนนี้...
“อีลู่ มึงอยากให้กูแต่งงานใหม่นักใช่ไหม?”
- To be continue –
59 หน้าเอสี่กับอีก 11,075 คำที่เขียนลงไป... คุ้มค่าแก่การรอคอยไหมคะสาวๆ 5555555555555555555555555 ขออภัยจริงๆค่ะที่อัพช้า อย่าเพิ่งโกรธเรานะ เราขออธิบายสักเล็กน้อยนะคะ จริงๆหนวดมีเหตุผลอยู่เพียงไม่กี่ประการเจ้าค่ะ
1. อารมณ์ไม่มา
2. เพิ่งย้ายคอนโดค่ะ ซื้อเฟอร์นิเจอร์และของใช้ใหม่หมดเลย กินเวลาไปหลายวันเลยค่ะ ตอนนี้ใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้วแหละตอนแรกไม่ค่อยมีเวลาเลย T_T
3. รอ ‘ฟิคเจ้าปัญหา’ อัพล่วงหน้าไปก่อนเจ้าค่ะ
มาพูดถึงฟิคเจ้าปัญหากันนะคะ คือหลังจากที่หนวดเปิดเรื่องนี้ได้ไม่นานก็มีน้องส่งฟิคเรื่องหนึ่งมาให้ดูแล้วหนวดก็ปรี๊ดแตกมาก แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่อยากชักปัญหามาให้มากเรื่อง กลัวแฟนฟิครำคาญกัน ขี้เกียจทะเลาะ ฯลฯ (ขืนไปฉะเขาแล้วยังไงก็เชื่อว่าไม่มีใครหน้าไหนจะออกมายอมรับอยู่ดีว่าทำจริง) ขอเรียนให้ทราบเลยนะคะว่าหนวดรู้ว่าฟิคของหนวดไม่ได้ดังอะไรเลย เป็นฟิคธรรมดาที่มีแฟนฟิคไม่มากเท่าฟิคเรื่องอื่นๆ (แต่หนวดก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามจริงๆนะคะ) ไม่อยากจะให้ใครมามองด้วยว่า นี่แกคิดว่าฟิคแกดังขนาดที่จะต้องมาคนมาก็อปเลยเหรอ โนค่ะโน! และอีกอย่างที่หนวดเข้าใจดีเลยค่ะว่าฟิคเนี่ยมันจะมีแนวเรื่องสักกี่แนวกันเชียว ไม่แปลกเลยค่ะที่จะเจอใครมาเขียนคล้ายๆกัน
แต่!
ฟิคเจ้าปัญหาเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่บังเอิญมาเขียนแนวเดียวกัน เขาเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของฟิคเรื่องนี้ไปด้วยค่ะ ไม่ใช่คนชอบจับผิดอะไรหรอกนะคะ ใจจริงเป็นคนชอบอ่านฟิคเบาสมองอยู่แล้ว แต่พออ่านเรื่องนี้แล้วคือทะแม่งสุด พอจะเดาอารมณ์ออกไหมคะที่เจ้าของผลงานผ่านไปเห็นเจ้าอื่นเขาทำแบบเดียวกับเราอ่ะ ถึงคนนอกจะดูไม่รู้แต่คนที่เป็นเจ้าของจะได้กลิ่นแปลกๆ พอศึกษาดูสักพักนี่รู้เลย แกเอาของฉันไปนี่หว่า... ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องจะดำเนินไปในทิศทางที่ต่างกันออกไปแต่เขาก็ยังทิ้งจุดด่างพร้อยให้หนวดจับได้อยู่ดี ลองเปรียบเทียบกับกระเป๋าก๊อปแบรนด์ดังที่วางขายตามตลาดดูสิคะ ทำลวดลายให้แตกต่างจากของจริงแต่คุณวางแพทเทิร์นมาแบบเดียวกัน แล้วเจ้าของแบรนด์อย่างฉันมีหรือที่จะไม่รู้?
หากว่าคุณกำลังอ่านอยู่ขอประกาศชัดไว้ตรงนี้เลยนะคะ หนวดหยุดอัพฟิคเรื่องนี้ไปสักพักเพราะต้องการให้ฟิคของคุณดำเนินล่วงหน้าไปก่อนเพื่อจะให้แน่ใจว่าคุณจะไม่เก็บรายละเอียดของฉันไปทำเป็นแบบฉบับของตัวเอง ถ้าอยากได้ก็เมนชั่นมาขอเลยค่ะ (ทวิตเตอร์ @nutcraqerx90) ยินดีที่จะให้พล็อตเรื่องทั้งหมด อยากทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสารนักก็ช่วยปั้นตัวเองเป็นเครื่องก๊อปชั้นดีเพราะที่คุณทำไปในตอนนั้นดิฉันเรียกมันว่า ‘ควายโรเนียว’ เจ้าค่ะ ปิ๊ง!
หนวดขอดราม่ายืดยาวครั้งเดียวนะคะ ต่อจากนี้จะไม่มีอีกแล้วค่ะ ขออภัยทุกคนจริงๆที่อาจจะทำให้เสียบรรยากาศ อยากขอบคุณแฟนฟิคทุกคนเหมือนเดิมด้วยค่ะที่ติดตาม #ฟิคเข้าใจยาก มาตลอด เมนชั่นมาทวงได้นะคะหนวดไม่รู้สึกอึดอัดเลย แถมยังดีใจด้วยที่ยังมีคนรออยู่ T_T ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ จำนวนแฟนพันธุ์แท้และคะแนนโหวตทุกคะแนนนะคะ หนวดจะตั้งใจเขียนเรื่องนี้ให้จบโดยไม่มีข้อแม้ค่ะ รักทุกคนมาก ๆ เลย รักษาสุขภาพด้วยนะคะ <3
ความคิดเห็น