ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( EXO ) เข้าใจยาก | LUMIN

    ลำดับตอนที่ #3 : | TWO SHOT |

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 57


    | 2 |

    AUTHOR : NUTCRACKER

     

     

     

     

     

     

     

               

     

               

    ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่หลังจากโดนจับยัดเข้ามานั่งในรถแล้วอีอ้วนนี่ก็ทำหน้าที่เป็นสารถีไม่พูดไม่จาอะไรกับผมสักคำ ก็คงจะเหนื่อยอยู่หรอกเพราะมันเล่นเดินบ่นผมมาตลอดทาง แถมยังเป็นการขับรถตอนกลางคืนที่มันไม่ถนัดเอามากๆ อยากจะอาสาเป็นคนขับแทนให้มันก็ร้องไม่เอาท่าเดียว แหม่...สงสัยว่าอยากจะเอาหลายๆท่า ถามหน่อยว่าสิ้นเปลืองพลังงานกูไหม หลายท่านี่กูก็เหนื่อยเป็นนะ

     

     

    “นมไหม?”

     

     

    ผมเหล่ตามองไปตามเสียง นี่มันกำลังเปิดไฟเลี้ยวเข้าไปที่ข้างทางข้างหน้า อย่าบอกนะว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาทำกันในรถ? มาถามกันหน้าซื่อๆเลยนะว่าเอานมไหม ถามมาขนาดนี้มีหรือที่ผัวหื่นอย่างผมจะไม่ตบปากรับคำ นี่รีบปลดตะขอกางเกงออกเลยครับ รู้สึกลมตีขึ้นมาในพุง ไม่นานนักก็ต้องเรอเปรี้ยวๆออกมาหนึ่งที

     

     

    “เอาจ้า”

     

     

    เอาสิจ๊ะผัวเตรียมพร้อมเพื่อเมียแล้วจ้ะ มันหันมามองผมแบบหน่ายๆ นี่สงสัยพื้นที่แค่นี้มึงคงเข้ามาในอาณาเขตกูไม่ได้สินะ ว่าแล้วก็ปรับเบาะให้เอนลงเผื่อเมียจะลุกขึ้นมาป้อนนมสะดวกๆ

     

     

    “อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องแตะอะไรนะ”

    “จ้า” สงสัยวันนี้แม่งมาเกมรุก ผมโปรยยิ้มให้เมียหนหนึ่งแต่ดูท่าว่ามันจะไม่สนใจเท่าไหร่ มัวแต่สนใจอย่างอื่นอยู่สินะ ทะลึ่งเหมือนกันนะมึงเนี่ย

    “เดี๋ยวเค้ามา”

     

     

    อ้าวอีนี่...

    พอพูดจบมันก็เปิดประตูรถเดินลงไปที่มินิมาร์ทข้างทาง อ๋อสงสัยลงไปซื้อถุงยาง น่ารักจริงๆเลยนะเมียผมเนี่ยถึงขนาดจำไซส์ลู่หานจูเนียร์ได้เป็นอย่างดี แต่ก็อย่างว่าแหละครับว่าของผมอ่ะไม่ได้จัดอยู่ในหมวดไส้เดือนกิ้งกือตะขาบอะไรพวกนั้นเลย นี่มังกรยักษ์! อสูรกายหัวม่วงมึงรู้จักไหม! จะหาถุงยางมาปราบมันได้นี่คือต้องเป็นคิงไซส์เท่านั้น แต่ถ้าฉุกเฉินยังไงก็ใช้ถุงผ้าคลุมไปก่อนก็ได้ถือว่าลดโลกร้อนไปในตัว ไงล่ะ นี่ผัวพันธุ์อนุรักษ์ตัวจริง

     

     

    รอไม่นานเท่าไหร่คนตัวเล็กก็เดินกลับเข้ามาในรถพร้อมกับถุงพลาสติกใบเล็กๆหนึ่งใบ ผมยิ้มกรุ้มกริ่มเล็กน้อยก่อนจะมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงมันแกะซองอะไรสักอย่างแบบนี้ก็คงไม่ต้องถามละว่ามันคิดจะทำอะไรอยู่ อยากจะเผด็จศึกผัวจริงๆสินะ นี่ที่ไปตามถึงร้านเหล้าคือมึงกระเหี้ยนกระหือรือใช่ไหม? สงสัยรสรักกูนี่คงจะทำให้มึงติดใจไปจนถึงอาทิตย์หน้าแน่ๆ

     

     

     

     

              เพี้ยะ!!!

     

     

     

                “โอ๊ย!

     

     

                ผมร้องออกมาทันควันหลังจากที่ฝ่ามืออรหันต์ของอีอ้วนนี่โบ้เข้ามาเต็มบ้องหูจนได้ยินเสียงวิ้งๆ ผมหันกลับไปมองตัวต้นเหตุทันที นี่มึงตบกูขนาดนี้มึงไม่คิดว่ามันมากเกินไปเหรอ? นี่กูผัวมึงนะ ทำอะไรรู้จักให้เกียรติกันบ้าง ไม่ใช่เอะอะก็ตบตี มึงนี่สงสัยต้องโดนกูอบรบสักยกจะได้หลาบจำว่าคนที่อยู่ในฐานะเมียอย่างมึงไม่ควรจะ...!!

     

     

    “อีลู่!!!

                “จ๋า...”

    “มึงมองอีดอกนั่นใช่ไหม?!

    “ห่ะ?” ผมกลับหน้ากลับไปที่หน้าต่างรถเร็วๆ อีดอกไหนวะแม่งไม่เห็นจะมีสักดอก มีแต่กิ่งก้านใบ ชะชะ! ใบก้านกิ่ง ฝนตกลมแรงจริงจริ๊ง ฝนตกลมแรงจริงจริ๊ง ชะชะ!

    “กูถามว่ามึงมองมันใช่ไหม?! ตอบ!!!

    “เห้ย เปล่า ไม่ได้มองนะตัวเอง”

    “ไม่ได้มองมันแล้วมึงมองพ่อมึงอยู่เหรอ!!!

    “ป๊าเค้าอยู่จีน...”

    “อ๋อ ป๊าอยู่จีนเหรอ...มึงมานี่เลยนะอีลู่ มึงมาใกล้ๆกูเดี๋ยวนี้เลย”

     

     

    พูดจบติ่งหูผมก็ถูกดึงออกไปจนแทบจะขาดออกจากหัว นี่สาบานกับกูเถอะว่าแรงคน เมื่อกลางวันมึงแดกไรไปวะอีเหี้ย ช้างแมมมอธเหรอ? นี่ก่อนแดกมึงลอกขนมันออกยัง งามันล่ะได้เอามาลักลอบขายไหม? อ๋อนี่มึงซุกเงินกูอีกเหรอ... ได้เลยอีเมีย ได้ ได้เลย ทำแบบนี้ใช่ไหม เดี๋ยวถ้ากูกระโจนคร่อมมึงเมื่อไหร่มึงจะหาว่ากูไม่เตือน

     

     

    “เมื่อกี้มึงมองคนไหนนะ คนซ้ายหรือคนขวา” ผมหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถอีกครั้งขณะที่ยังโดนดึงหูอยู่ เห็นวัยรุ่นสาวสองคนเดินตีคู่กันออกไปแล้วหันมาหัวเราะคิคิให้ผมอีก คำถามคือ...อีพวกห่านี่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?

    “เค้าไม่ได้มองสักคนเลยนะตัวเอง สาบานได้”

    “อีลู่”

    “จ๋า...”

    “มึงเลือกมาเลยว่าจะเอาปูอัดหรือวาซาบิ”

     

     

    เอาอีกละ ปูอัดหรือวาซาบิอีกละ มึงดูรายการทีวีแชมป์เปี้ยนมากไปป่ะอีเมียขา ซูชิสักก้อนแทนฮอลคูลไหมจะได้อารมณ์ดี ผมเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าเนียนสวยของเมียบังเกิดเกล้าอีกครั้งที่ตอนนี้กำลังง้ำงอจนเหมือนนางยักษ์ขมูขี วินาทีต่อจากนั้นซาวด์แทร็คก็ดังขึ้น...อย่ามองตาได้ไหมถ้าเธอไม่แคร์ อย่าดึงหูได้ไหมถ้าเธอไม่รัก พอเถอะลู่ กลับมาที่ปูอัดหรือวาซาบิของมึงเถอะนะ

     

     

    “ว่าไง มึงจะเอาปูอัดหรือวาซาบิ...หืม?” เมียยิ้มมุมปากแต่แววตาคู่นั้นที่มองมาเต็มไปด้วยความอำมหิต โคตรให้อารมณ์แบบ Joker ในภาพยนตร์แบทแมนมากๆ อีห่า...ออสก้าร์เลยทีเดียว

    “วาซาบิจ้า” ผมพูดพลางกระพริบตาปริบขอความเห็นใจ เปล่านะครับไม่ได้กลัวสักนิด จริงๆมันเป็นอุบายต่างหากล่ะ! เดี๋ยวพอมันใจอ่อนเมื่อไหร่ผมก็มือถึงตีนถึงเลยครับ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ลูลู่นะ

    “วาซาบิเหรอ? ดีเลย... งั้นก้มหัวลงเลยนะที่รัก” ด้วยความเป็นผัวที่ดีก็ทำตามที่เมียเพิ่งกอดขาอ้อนวอนขอร้องทั้งน้ำตาอย่างง่ายดาย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย!

     

     

     

     

                ผมแหกปากร้องลั่นรถพร้อมกับที่เสียงหัวเราะในลำคอของเมียผมดังขึ้นมาอย่างสะใจ เมื่อกี้มันเอาเล็บจิกเนื้อที่มีอยู่น้อยนิดบนหลังคอของผมเต็มแรงจนได้ยินเสียงกึก! โหอีเหี้ย...นี่วาซาบิประเทศไหนของมึงเหรออีเมีย เดือดสัด!!!!!!!

     

     

                “ทีหลังมึงจะมองอีพวกนี้อีกไหม...”

                “ตอบ!!!

     

     

                จะให้พูดกี่ครั้งว่าไม่ได้มอง มึงนี่ไม่เคยเชื่อกูเลยนะ พูดแบบนี้คิดว่ากูเป็นคนปลิ้นปล้อนใช่มะ? หรือไง? ถึงแม้เมื่อคืนกูจะจับมึงปลิ้นแต่กูก็ไม่เคยปล้อนนะ ทำได้แค่ปล้นเท่านั้นแหละน้ำหน้าอย่างกู

     

     

                “ไม่มองแล้วจ้า”

                “มึงนี่เผลอไม่ได้จริงๆ”

     

     

                ด่าเสร็จก็ปล่อยให้หูผมเป็นอิสระได้สักที ตอนนี้กำลังรู้สึกร้อนฉ่าที่กกหูเหมือนมีคนเอาไฟแช็คมาลนไว้ ผมลูบหูตัวเองอยู่เป็นนาทีก่อนที่คนข้างๆจะยื่นอะไรสักอย่างมาให้ ไม่ต้องมายัดเยียดถุงยางให้กูเลยนะ ร่างกายกูได้รับการกระทบกระเทือนเกินกว่าที่ปีศาจหัวม่วงจะตื่นขึ้นมาทำลายโลกได้อีกแล้ว

     

     

                “กินซะ จะได้หายเมา”

     

     

                ผมหันกลับไปมองก็พบว่ามันไม่ใช่ถุงยางอย่างที่คิด แต่เป็นนมเปรี้ยวขวดใหญ่ที่เมียสุดที่รักเดินลงไปซื้อให้ที่มินิมาร์ทข้างทางเมื่อกี้แถมยังเอาหลอดเจาะให้เสร็จสรรพเลยครับ ผมรับมันมาก่อนจะพยักหน้าขอบคุณอย่างผู้ดีมีมารยาทแล้วค่อยๆกินอย่างสงบ

     

     

                รถยนต์ขนาดกลางถูกขับเข้ามายังที่จอดรถประจำในคอนโดของผม ไม่รู้ว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้วแต่ลานจอดรถค่อนข้างจะเงียบ ผมทิ้งขวดนมเปรี้ยวลงในถุงพลาสติกแล้วมัดปากเตรียมโยนทิ้งในถังขยะใกล้ๆ มึนหัวขนาดนี้ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตื่นไปทำงานไหวหรือเปล่า เมียผมก็อีกคน ยิ่งเป็นคนปวดหัวง่ายมากๆหากว่านอนไม่พอ ดูทรงแล้วคงจะต้องตื่นเช้ากว่าเดิมมารีดเสื้อรีดผ้าให้ใส่ แต่เดี๋ยวนะ...พูดถึงผ้าแล้ว...

     

     

     

     

     

                ผ้าที่กูซักทิ้งไว้...

     

     

     

     

     

     

     

                เสื้อกู...

                กางเกงกู...

                กางเกงในกู...

     

     

     

     

     

              “ไข่อับแน่...”

              “เชื้อราในร่มผ้า...”

                “สังคัง...”

                “หนองใน”

     

     

    ผมพูดออกมาทีละประโยคอย่างเหม่อลอย คือจั๊กแร้เหม็นเขียวนี่กูไม่มายด์นะต่อให้ใครจะด่าก็เหอะ แต่ถ้าปีศาจหัวม่วงกูเหม็นเมื่อไหร่นี่...

     

     

    “อะไรเหรอตัวเอง”

     

     

    มินซอกเอ่ยถามออกมาหลังจากที่หยิบสัมภาระขึ้นมาวางบนตักเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าขาวหันมามองผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย (รอสมน้ำหน้ากูอยู่ก็บอกมา) ผมหันกลับไปยิ้มแหยๆ กูจะบอกมันยังไงดีวะ ถ้าบอกว่าลืมเอาผ้าออกมาตากนี่กูโดนตบอีกแน่

     

     

    “คิดถึงผ้าที่ลืมไว้ในเครื่องใช่ป่ะ?” มันถาม

    “ตัวเองเห็นแล้วเหรอ?”

    “เห็นแล้ว เหม็นอับไปหมดเค้าก็เลยซักให้ใหม่ ตากให้แล้วด้วย”

    “...”

    “ขืนรอตัวเองมาทำก็คงจะมักง่ายเอาออกมาตากทันทีเลยใช่ไหมล่ะ?”

    “...”

    “เค้าเลยทำให้ดีกว่า กลัวตัวเองใส่เสื้อผ้าแล้วคัน”

     

     

     

     

    ความรู้สึกผิดมาเต็ม...

     

     

     

     

    “ตัวเองไม่ต้องคิดมากนะ เค้าไม่โกรธหรอก”

    “จริงอ่ะ...”

    “จริง”

    “ใจดีจัง”

    “แต่ในกระเป๋ากางเกงตัวเองอ่ะ”

    “...”

    “สามพัน...เค้าเอามาแล้วนะ”

     

     

     

     

    ค่าบอลกู...

    สินะ...

               

     

     

    มันพูดก่อนจะล้วงธนบัตรสีน้ำตาลที่ยับยูยี่ออกมาพัดหน้าตัวเองแบบเยาะเย้ยสัดๆ หอมแฟ้บเชียวนะมึง สะตุ้งสตางค์นี่ลืมไม่ได้เลยนะ ลืมที่ไหนเป็นต้องเสร็จมึงตลอด ผมยิ้มออกมาพร้อมกับที่กำหมัดแน่นด้วยความแค้นสุดขีด แหมยังทำเป็นลอยหน้าลอยตา หน้ามึงแดงๆนะช่วงนี้เป็นไรป่ะวะ? อ๋อเปล่าหรอก หน้าเลือดนี่เอง

     

     

                “มองไร จะไม่ให้เค้าใช่ป่ะมองแบบนี้อ่ะ”

     

     

                จบประโยคก็มาทำหน้าง้ำหน้างอใส่กูอีก จะให้ไม่ให้มึงก็เอาเงินกูไปแล้วอีอ้วน ไม่ต้องมาประชด ไม่ต้องมาถาม คือมึงหยิบไปแล้ว มึงแพลนรายการช็อปปิ้งไว้แล้วด้วยอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ

     

     

                “ตัวเองจะไม่ให้เค้าใช่มะ...”

                “เห้ยเปล่านะ”

                “ตัวเองเอาคืนไปเถอะ”

                “อ้าว...ทำไมอ่ะตัวเอง?”

                “เค้าก็มีเงินเค้าอยู่แล้ว เค้าไม่อยากได้เงินตัวเองหรอก”

                “...”

                “ถึงแม้ว่าเค้าจะทำงานเหน็ดเหนื่อยทุกวันแล้วยังต้องมาตามทำงานบ้านที่ตัวเองทำไม่เรียบร้อยเอาไว้อีก”

                “...”

                “เนี่ยวันนี้ก็ล้างจาน ล้างห้องน้ำ ซักเสื้อผ้า ซักกางเกงในให้ตัวเองด้วย เป้าเหลืองขนาดไหนก็นั่งขยี้ให้จนขาวสะอาดเหมือนเดิม”

                “...”

                “ตัวเองก็เอาแต่ไปกินเหล้าสนุกสนานกับเพื่อนแล้วปล่อยให้เมียอย่างเค้านั่งเฝ้าคอนโดอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย”

                “...”

                “เงินสามพันเค้าไม่เอาก็ได้ ถึงแม้ว่าเค้าจะดูรองพื้นชาแนลไว้แล้วก็ตาม”

                “...”

                “เห้อ...”

     

     

                ไงล่ะ กูพูดผิดที่ไหน 555555555555555555555555555555555555555555555555

                ผมก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละครับ มักจะเสียท่าให้กับอาการงอนน่ารักๆของเขาแบบนี้อยู่เสมอ แล้วครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมถวายค่าบอลทั้งหมดให้เมียไปแบบไม่คิดอะไรมาก อันที่จริงเรื่องของการช็อปปิ้งเขาก็ไม่ค่อยได้ขอจากผมเท่าไหร่เพราะส่วนตัวเขาเองก็ได้รับเงินจากการทำงานที่มากพอจะซื้อของให้ตัวเองได้อย่างสบายๆ ส่วนเงินที่ได้จากผมไปนั่นก็เอามากินบุฟเฟ่ต์ดีๆสักมื้อด้วยกัน บางครั้งก็ยังเหลือมาซื้อเสื้อตัวใหม่ให้ผมได้อีก

     

     

                เมียผมนี่น่ารักจริงๆ

     

     

     

                แต่อย่าคิดว่ากูหายเคืองเรื่องที่มึงดึงหูกูเมื่อกี้นะ บอกไว้เลยว่าไม่มีวันลืม!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              ร่างเล็กไล่ปิดไฟในห้องลงทีละดวงจนมาหยุดยืนอยู่ภายในห้องนอน ลู่หานเป็นคนดื่มเหล้าไม่เก่งแต่การได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนก็เป็นสิ่งที่เจ้าตัวดูจะมีความสุขกับมันมากเหลือเกิน เหตุเพราะคิวงานที่รัดตัวเร่งให้สามีของเขาต้องรีบทำทุกอย่างให้เสร็จวันต่อวันทำให้ไม่มีเวลาไปกินเลี้ยงกับเพื่อนบ่อยๆอย่างเช่นสมัยเรียน แต่ถึงอย่างนั้นลู่หานก็ยังให้เวลากับเขาไม่น้อยลงไปกว่าเดิมเลยสักนิด

     

     

     

    Minseok’s Part

     

     

     

                หลังจากที่ห้องนี้ตกอยู่ในความมืด ผมก็เดินเข้ามาทิ้งสะโพกลงที่ปลายเตียง ได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของลู่หานแล้วก็พอจะดูออกว่าเจ้านี่คงจะชัตดาวน์ตัวเองเพราะฤทธิ์สุราเรียบร้อยแล้ว ไหนเมื่อกี้ยังทำปากเก่งบอกจะจัดให้ผมสักดอก...พอหัวถึงหมอนก็ชิงหลับไปก่อนเสียดื้อๆ

     

     

                “ตัวเอง”

     

     

                มือเล็กสะกิดลงบนหัวไหล่หนาเบาๆ เวลาที่ลู่หานเมาแบบนี้ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็คงไม่ตื่นขึ้นมาอาบน้ำง่ายๆ

     

     

                “นอนดีๆ เดี๋ยวเค้าเช็ดตัวให้”

     

     

                พอเขาพูดจบ ร่างสูงก็พลิกตัวขึ้นมานอนหงายอย่างว่าง่ายแถมยังเลิกเสื้อยืดขึ้นมาให้จนถึงหน้าอก รู้แล้วว่าต่อจากนี้ก็คงจะไม่ใช่หน้าที่ของใครนอกจากผมจึงจัดการดึงเสื้อส่วนที่เหลือให้หลุดออกมาจากร่างของอีกคนในทันที

     

                ผมเอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดไปตามเนื้อตัวของเขาโดยที่ไม่ต้องออกแรงมากนักเพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือด้วยการขยับนั่นขยับนี่ให้ผมทำได้อย่างสะดวก

     

     

                “หยุดเลย ไม่ต้องมานัวเนีย”

     

     

                ผมดุเขาเสียงแข็งพอเห็นว่าลู่หานไม่ได้นอนหลับอย่างที่คิดไว้เพราะเมื่อกี้ยังทำมือซุกซนป่ายไล้ไปบนร่างกายของผมด้วยความทะลึ่งตามนิสัย เห็นผมดุไปแบบนั้นเจ้าตัวถึงได้ยอมรามือโดยดี

     

                ความจริงแล้วผมไม่ชอบเลยที่ตัวเองเป็นคนอารมณ์ร้าย ชอบใช้ความรุนแรง แถมยังพูดไม่เพราะอีกด้วย แต่ก็ยังคงแปลกใจว่าทำไมลู่หานถึงได้ทำความเข้าใจกับนิสัยของผมได้ทุกกระเบียด ผมบอกรักเขาไม่บ่อย เวลาที่อยู่ไกลกันผมก็แทบไม่เคยบอกเลยว่าผมคิดถึงเขาแค่ไหน ตั้งแต่คบกันมาจนถึงวันนี้เขายังเป็นเหมือนเด็กที่งอแงขอให้ผมพูดอะไรแบบนั้น ความจริงผมก็อยากจะพูดมันออกมานะ...แต่ก็ไม่รู้สิ มันไม่ชินเลยกับเวลาที่เขาตั้งใจฟังเวลาผมพูดคำนั้น มันอาจจะเรียกว่าอึดอัดก็ได้ แต่คงเป็นความรู้สึกขวยเขินที่จะโดนเขาหยอกล้อกลับมามากกว่า

     

     

                “เค้าไปอาบน้ำนะ”

     

               

                ผมวางกะละมังน้ำอุ่นลงบนหัวเตียงก่อนจะยันตัวขึ้นมา ยังไม่ทันจะยืนได้ดีลู่หานก็ลุกพรวดแล้วดึงผมลงไปนอนปล้ำอยู่บนเตียงอีกตามเคย 

     

     

                “ไม่ต้องอาบแล้ว นอนเลย เค้าไม่ถือ”

     

               

                น้ำเสียงทุ้มหนักพูดอู้อี้ที่ข้างลำคอ ปลายจมูกโด่งยังคงซุกไซร้อยู่พร้อมกับที่ริมฝีปากพรมจูบบนเนื้อผิวของผมอย่างใจเย็น ในตอนนี้ลู่หานไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดอารมณ์เซ็กส์แต่หากปล่อยให้ทำต่อไปอีกฝ่ายคงจะเครื่องติดขึ้นมาง่ายๆได้อย่างแน่นอน แต่ยังไม่ทันจะขัดขืนการกระทำนั้นก็หยุดลงพร้อมกับได้ยินเสียงกรนเบาๆที่ข้างใบหู... แฟนของผมนี่ตลกชะมัดเลย ว่าไหม?

     

     

                “ฮึ...”

     

     

                ผมหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะผลักคนตรงหน้าออกให้ห่างเพียงเพื่อให้อากาศถ่ายเทเข้ามาได้บ้าง ตอนนี้ลู่หานอยู่ในช่วงที่กำลังอ้วนเป็นหมูยักษ์ทำให้ต้องนอนกรนแบบนี้ทุกวัน หลายครั้งที่รู้สึกรำคาญจนนอนไม่หลับแล้วต้องออกมานอนที่โซฟาข้างนอกแต่สุดท้ายยังไงก็ตายรัง... ได้ยินเสียงกรนของเขาอยู่ใกล้ๆยังดีเสียกว่าต้องออกมานอนคนเดียวเงียบๆแบบนั้น

     

     

     

                ผมชื่อคิมมินซอก เป็นเมคอัพอาร์ตติสท์ให้กับเอเจนซี่แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังหลายสำนัก ผมเกิดและโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะเพราะที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ ชีวิตของผมค่อนข้างจะเรียบง่ายเหมือนกับคนทั่วไป ผมพูดไม่ค่อยเก่ง ไม่ชอบเข้าสังคมสักเท่าไหร่ เวลาว่างๆก็มักจะปั่นจักรยานหรือเล่นสเก็ตบอร์ดกับแก๊งของผม... ซึ่งนั่นก็คืออี้ฟาน ชานยอลและจงอินนั่นเอง

     

     

                ผมได้ยินชื่อของลู่หานครั้งแรกในช่วงที่เรียนมัธยมปลาย นอกจากจะเป็นชาวต่างชาติแล้วก็ยังเป็นเด็กใหม่ในโรงเรียนของพวกเราอีกด้วย ทำให้ช่วงนั้นลู่หานได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากเด็กนักเรียนคนอื่น แต่ถึงจะมีลู่หานเพิ่มเข้ามาความป๊อปปูล่าร์ของอี้ฟานและชานยอลก็ยังคงเส้นคงวา ทำให้มีเรื่องราวที่ไม่ค่อยดีของลู่หานเวียนเข้ามากรอกหูผมอยู่บ่อยๆ ชอบฟันแล้วทิ้งบ้างล่ะ ชอบคบซ้อนบ้างล่ะ ชอบดื่มเที่ยวจนเสียผู้เสียคนไปบ้างล่ะ จนเชื่อได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงในวันที่ได้รู้ว่ามีผู้หญิงหลายคนที่อี้ฟาน ชานยอลและลู่หานผลัดเวียนเปลี่ยนมือกันใช้ราวกับตุ๊กตายาง

     

     

                จนกระทั่งวันหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่ามันจะดำเนินมาถึง...

     

     

     

     

                “ตรงนี้มีคนนั่งไหม?”

                “...”

                “งั้นนั่งด้วยนะ”

     

     

     

     

     ผมกับลู่หานได้เรียนคลาสเดียวกันในช่วงมัธยมปลายปีสอง ลู่หานค่อนข้างจะเกเรจึงถูกครูจับให้มานั่งกับผมที่มีผลการเรียนดีกว่า ความอัธยาศัยดีของลู่หานไม่เป็นอุปสรรคต่อนิสัยพูดน้อยของผมเลยสักนิด ทำให้เราสองคนสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว...

     

     

                หนึ่งปีต่อจากนั้นอี้ฟานและชานยอลที่มีอายุมากกว่าผมได้จบการศึกษาในช่วงมัธยมปลายไปก่อน ส่วนจงอินก็ถูกที่บ้านส่งไปเรียนต่างประเทศกะทันหัน ทำให้กลุ่มเราเหลือเพียงแค่ผมกับลู่หานเท่านั้นที่ยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนเดิม เราสองคนตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ในขณะที่ไลฟ์สไตล์ของเราแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมไม่สนใจโซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่สนใจผู้หญิงและไม่ค่อยสนใจผู้ชายที่เข้ามาจีบด้วย แต่ลู่หานเป็นเด็กวัยรุ่นที่ยังรักสนุก  ยังคงมีชีวิตที่ติดเที่ยวกลางคืน แต่สุดท้ายแล้วอะไรสักอย่างก็ดลใจให้เขายุตินิสัยพวกนั้นแล้วมาผูกติดอยู่กับผมจนใครต่อใครต่างก็คิดว่าเราสองคนมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งกว่าที่เห็น

     

     

     

     

                และสิ่งที่ใครต่อใครพูดถึงนั้นก็กำลังจะเกิดขึ้นจริงหลังจากที่เราสองคนเรียนจบมัธยมปลาย...

     

     

     

     

     

                “พ่อกูให้เรียนประมงว่ะ”

     

     

     

                คำพูดของเขาวันนั้นทำให้ผมถึงกับกลืนอาหารที่อยู่ในปากไม่ลงคอ ผมวางช้อนลงแล้วมองหน้าเขาเงียบๆ ความฝันของลู่หานตรงกันข้ามกับสิ่งที่ครอบครัววางแผนไว้ให้ ลู่หานสนิทกับพ่อมาก ถึงแม้จะถนัดทำตัวไร้สาระไปวันๆยังไง สิ่งที่เพื่อนสนิทคนนี้ของเขากลัวที่สุดก็คือการทำให้พ่อผิดหวัง

     

     

     

                “แล้วจะเอายังไงต่อ?”

     

     

     

                ผมถามเพื่อให้เขาตัดสินใจเพราะรู้ว่าตนเองไม่ใช่คนที่จะชี้ชะตาให้เขา ลู่หานลงสอบแข่งขันในมหาวิทยาลัยมีชื่อสามแห่ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสาขาประมงที่พ่ออยากให้เรียน ลู่หานไม่ทุ่มเทกับการอ่านหนังสือเหมือนเด็กนักเรียนคนอื่นเพราะคิดว่าหากสอบไม่ติดยังไงพ่อต้องส่งเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนในสาขาที่ตนเองต้องการจะเรียนแน่

     

     

     

                แต่แม่งเสือกสอบติดรวดสามมหาลัยเลยไง... ไม่รู้จะสงสารหรือจะดีใจกับมันดี

     

     

     

     

                “คงต้องเรียนตามที่พ่อบอก”

                “เรียนประมงก็ดีแล้ว จบไปก็ไม่ต้องมาหางานทำให้วุ่นวาย กลับไปทำงานกับพ่อได้เลย”

     

     

               

                วันนั้นผมเอาแต่ปลอบใจลู่หานแล้วชักแม่น้ำทุกสายในโลกให้เขามองเห็นข้อดีในการเรียนสาขานี้ จนสุดท้ายแล้วความพยายามของผมทำก็สัมฤทธิ์ผล... ลู่หานลืมอคติกับสิ่งที่ตนเองต้องเรียนไปชั่วขณะแล้วบอกกับใครอย่างภาคภูมิใจว่าตนเองได้เรียนในสิ่งที่ไม่ทำให้พ่อผิดหวัง ผมเองก็เป็นไปกับเขาด้วย...ดีใจประหนึ่งสอบติดเองเลยทีเดียว (ฮา)

     

     

     

                “มินซอก”

                “เออ?”

     

     

     

     

     

              “อยู่คอนโดด้วยกันนะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                เราสองคนได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากในมหาวิทยาลัย นอกจากความยากลำบากในการเรียนแล้วยังมีปัญหาต่างๆเข้ามารุ้มเร้าอีกมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันหรือแม้กระทั่งการทรยศหักหลังในกลุ่มเพื่อนด้วยกันเอง ความเจ็บปวดจากการเป็นฝ่ายโดนกระทำทำให้เรามองเห็นน้ำใจของคนที่อยู่เคียงข้าง อย่างที่อี้ฟานเคยบอกพวกเราไว้ว่า... หากไม่เคยล้ม เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะเหลือมือของใครที่ช่วยประคอง

     

     

     

                เราสนิทกันมากขึ้นอีกหลังจากที่ย้ายมาอยู่ร่วมกันนานนับปี ผมไม่เคยรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับลู่หานเพราะที่ผ่านมาเราต่างบริสุทธิ์ใจต่อกันมาโดยตลอด จนกระทั่งวันที่ลู่หานทำเหมือนตัวเองกำลังมีความรักนั่นแหละ...

     

     

     

     

                “ทำงานเหรอ? เปิดไฟไหม?”

                “ไม่ต้อง กูเขียนไดอารี่อยู่”

     

     

     

               

                ผมหัวเราะเหอะๆ เพราะไม่เคยรู้ว่าน้ำหน้าอย่างมันจะมีโมเม้นต์นี้กับเขาด้วย ผมเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วชะเง้อมองลายมือห่วยๆบนหน้ากระดาษถนอมสายตา ลู่หานยิ้มกรุ้มกริ่มเพราะรู้ว่าผมไม่มีทางเข้าใจในสิ่งที่เขาเขียนแน่

     

     

     

                “มีเด็กเหรอช่วงนี้?”

                “ไม่บอก”

                “เจอคนที่ชอบเหรอ?”

     

     

     

                ลู่หานชะงักไปชั่วครู่แล้ววางปากกาหมึกดำลงบนโต๊ะ ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมคำถามนั้นมันถึงใช้เวลาคิดนานขนาดนี้ ปกติแล้วมันจะต้องตอบกลับมาแล้วว่า ไม่เชิง ได้ก็เอา

     

     

     

                “ไม่รู้ดิ...”

                “...”

                “ไม่รู้ว่าชอบไหม แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนกำลังสำคัญตัวผิด”

                “สำคัญตัวผิด?”

                “มันทำเหมือนห่วงใยกูมากๆเลยว่ะ...แต่จริงๆมันก็นิสัยแบบนั้นอยู่ละ”

                “...”

                “กูอาจจะชอบมันก็ได้”

                “...”

                “...แต่ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อนเลย”

                “...”

                “...”

                “...”

                “มินซอก?”

                “...”

                “...”

                “อืม เขียนไปเหอะ นอนละ”

     

     

     

     

                ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆวันนั้นผมก็โกรธจนควันออกหูจนต้องเดินออกมาสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องของตัวเอง ผมกัดฟันแล้วก็กำหมัดแน่น ในหัวมีแต่คำว่า ลู่หานชอบคนอื่น ลู่หานชอบคนอื่น ลู่หานชอบคนอื่นเต็มไปหมด... ผมหงุดหงิดจริงๆกับความรู้สึกแบบนี้ ได้ยินเสียงมันเรียกตามหลังมาอีกสองสามครั้งแต่ผมก็ไม่สนใจหรอก ไม่อยากเห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นคนงี่เง่าได้มากขนาดนี้ ความจริงอาจจะเพราะผมมีเพื่อนน้อย...เมื่อเห็นว่าเพื่อนกำลังเอาใจใส่ใครเลยเกิดอารมณ์หวงเพื่อนขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล

     

     

     

                แต่ทำไมต้องโกรธแสบกระบอกตาขนาดนั้นด้วยก็ไม่รู้...

     

     

     

     

                เช้าวันต่อมาทุกอย่างก็เป็นเหมือนปกติ ผมยังไม่ลืมในสิ่งที่ลู่หานพูดเมื่อคืนหรอกนะเพราะมันคาใจจริงๆว่าลู่หานเขียนไดอารี่ถึงใคร เราทานอาหารเช้าแล้วนั่งดูรีรันฟุตบอลด้วยกันตามประสา วันนี้ไม่ค่อยอินเท่าไหร่เพราะเรื่องเดิมยังวนเวียนอยู่ในหัว ผมทนไม่ไหวแล้ว...ผมต้องรู้ให้ได้ว่าสิ่งที่ลู่หานเขียนมีใจความถึงใครแน่

     

     

     

                “ลู่หาน”

                “เออ”

                “สอนเขียนจีนหน่อย”

     

     

     

     

                มันหันมามองหน้าผมแบบงงๆ มันเคยคิดจะช่วยสอนภาษาจีนให้ผมอยู่หลายครั้งแต่ผมก็ปฏิเสธว่าไม่เอาลูกเดียว จังหวะนั้นผมหยิบใบเสร็จมินิมาร์ทที่มันวางทิ้งไว้แถวนั้นมาพร้อมกับปากกาหนึ่งแท่งแล้วยื่นให้ มันหัวเราะออกมานิดหน่อย

     

     

     

                “ตัวหนังสือมีเป็นพัน กูยังจะเขียนไม่ได้ทุกตัวเลย”

                “แล้วต้องเริ่มจากตรงไหน?”

                “ชื่อมึงก่อนแล้วกัน”

                “ก็ได้”

     

     

     

                ลู่หานเดินอ้อมโซฟามาแล้วคร่อมตัวผมจากทางด้านหลัง

     

     

     

     

                “โทษนะ”

     

     

     

     

                เขาพูดขึ้นมาเบาๆแล้วเคลื่อนมือของตัวเองเข้ามากุมมือของผมที่กำลังจับปากกาอยู่ เขาพูดคลอไปหลังจากที่เริ่มร่างเส้นอักษรจีนขึ้นมาอย่างเชื่องช้าว่าต้องเขียนแบบไหน ตั้งแต่เขาเข้ามาแบบนั้นหูทั้งสองข้างของผมไม่ได้ยินอะไรอีกเลย...นอกเสียจากเสียงหัวใจของตัวเอง

     

     

     

                “เอ้า เสร็จละ”

                “มันอ่านว่าไง?”

                “เปาจื่อ”

     

     

     

                ผมหันกลับไปมองมันด้วยสายตาแบบ...เปาจื่ออะไรของมึงวะ? มันยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะบอกว่านั่นเป็นชื่อของผมที่มันตั้งให้ โอเค ก็ได้ เปาจื่อก็เปาจื่อ รู้แค่เปาจื่อคำเดียวก็ได้ นอกนั้นกูเรียนเองก็ได้วะ ไม่อยากจะพึ่งพามันสักเท่าไหร่หรอก

     

     

     

                หลังจากที่ลู่หานออกจากคอนโดไปเรียนช่วงบ่าย ผมอยู่คนเดียวสักพักแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ศึกษาภาษาจีนคร่าวๆ... มันไม่ใช่ภาษาบ้านของผม อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัวเลยสักนิด สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องของมัน ปกติไม่ค่อยชอบยุ่งของคนอื่นสักเท่าไหร่หรอกนะแต่ครั้งนี้ผมขอล่ะ

     

     

     

     

                วันนั้นผมไล่เปิดไดอารี่มันขึ้นมาตั้งแต่หน้าแรกแล้วอ่านดูด้วยความไม่เข้าใจ ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ลู่หานเขียนออกมาในแต่ละวันมีความหมายว่าอย่างไร รู้แต่เพียงว่าบนหน้ากระดาษเหล่านั้น...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                มีแต่คำว่า เปาจื่อ มากมายเต็มไปหมด

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - To be continue –

     

     

                สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกคน! หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน วันนี้น้องหนวดกลับมาแล้วค่ะ! ข่าวดีคือตอนนี้น้องหนวดปิดเทอมแล้วอาจจะอัพฟิคได้บ่อยขึ้นนะคะ ฮูเร่ย์!~ ส่วนข่าวร้ายก็คืออีกไม่นานน้องหนวดจะเปิดเรียนซัมเมอร์ค่ะ อาจจะต้องกลับมาดองอีกตามเคย แหง่ว 55555555555555555555555 แต่เรียนไม่หนักเท่าเทอมปกติค่ะ ไม่น่าจะหายไปนานเท่าเมื่อก่อนแล้วค่า ^_^

     

                พาร์ทนี้ขอละความฮาเอาไว้ชั่วครู่แล้วใส่เรื่องราวของพระนางบ้างสักหน่อยนะคะ เดี๋ยวหลังจากนี้จะกลับมาพบกับผู้ชายกลัวเมียคนเดิมแล้วค่ะ เห็นไหมคะว่ามินซอกไม่ใช่เมียใจยักษ์ใจมารที่ไหน เพียงแต่เป็นคนปากแข็งเท่านั้นเอง จริง ๆ แล้วนางรักอีลู่จะตายไป พาร์ทนี้บรรยายเยอะหน่อยหวังว่าจะยังไม่เบื่อกันนะคะ T_T

     

                ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และคะแนนโหวตบนหน้าฟิค ขอบคุณที่ให้ความสนใจฟิคของหนวดมาเสมอเลย ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีเพราะหนวดรู้ว่าตัวเองเป็นคนอัพฟิคช้ามากๆ แต่ทุกคนก็ยังติดตามกัน ถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยเรียกเม้นท์เท่าไหร่แต่สารภาพว่าคอมเม้นท์บนหน้าฟิครวมไปถึงสกรีมบนทวิตเตอร์นั้นเป็นกำลังใจที่ดีเยี่ยมของหนวดเลยค่ะ

     

                สำหรับพาร์ทนี้อ่านแล้วรู้สึกยังไงสามารถทิ้งคอมเม้นท์ไว้ได้นะคะ หรือใครไม่สะดวกไปสกรีมกันบนทวิตเตอร์ก็ได้ที่แท็ก #ฟิคเข้าใจยาก แล้วหนวดจะเข้าไปส่องนะคะ คิคิ

     

                + พาร์ทที่แล้วใครอ่านไม่ได้ติดตามที่ไบโอ @nutcraqerx90 เลยค่ะ หนวดลงไว้ใน blogspot นะคะ ขอบคุณค่ะ T_T

     

     

     

     



     


    themy butter

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×