คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : | MALE02 : AGIT NIGHT |
| MALE02 : AGIT NIGHT |
AUTHOR : NUTCRACKER
ห้องเช่ารายวันที่มีเพียงเตียงขนาดห้าฟุตตั้งอยู่ตรงกลาง ที่นอนเหม็นอับไม่สร้างความรำคาญใจให้เขาอย่างวินาทีแรกที่ก้าวเข้ามา ที่นี่ไม่มีสิ่งของอำนวยความสะดวกอะไรเลยนอกจากหน้าต่างหนึ่งบานที่พอจะเปิดให้อากาศถ่ายเทได้บ้าง เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนของคนทั้งสองถอดออกมาซักแล้วผึ่งไว้ที่ราวตากผ้าด้านนอก เสื้อและกางเกงหนึ่งชุดที่ซื้อมาจากแผงรายทางเป็นของมินซอก ส่วนอีกคนก็ตั้งท่าว่าจะไม่เอาลูกเดียว
ลู่หานทิ้งตัวเปลือยๆแผ่ลงบนฟูกแข็งแล้วหันหน้าเข้าไปทางประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทมานานกว่าครึ่งชั่วโมง เปลือกตาหนาคล้อยต่ำจนใกล้จะปิดลงก่อนจะได้ยินเสียงกุกกักจากการกระทำของคนที่อยู่ในห้องน้ำอยู่ราวห้านาที
“หยิบเสื้อให้หน่อยได้ไหม?” เสียงเล็กดังกังวานออกมาจากภายในห้องน้ำแคบ
“ออกมาเอาเอง” ร่างสูงพลิกตัวสอดเข้าไปภายใต้ผ้านวมที่แบนติดฟูกซึ่งดูเหมือนจะผ่านการใช้งานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“ผมยังไม่ได้ใส่อะไรเลย”
“โอย กูไม่ได้อยากเห็นของมึงนักหรอก” ลู่หานพูดตัดบทก่อนจะตะแคงตัวไปอีกข้าง
“...” ใบหน้าเล็กชะโงกผ่านกรอบประตูพีวีซี เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาทางนี้จึงตัดสินใจก้าวออกมาจากบริเวณนั้นในที่สุด
“ปิดหน้าต่างด้วย”
“คุณหนาวหรอ?”
“เสือก” ครั้งแรกเขารู้สึกหวาดกลัวในน้ำเสียงทุ้มหนักเวลาที่โพล่งคำสบถหยาบๆออกมา แต่คงเพราะได้ยินมันซ้ำๆมาตลอดทางจนชินหู ทำให้เขาพอจะเข้าใจว่ามันเป็นคำพูดติดปากของไอ้หน้าตัวเมียนี่ไปแล้ว
หน้าต่างถูกปิดลงตามคำสั่ง เขาทิ้งสะโพกลงที่ปลายเตียง กดศอกลงบนหน้าขาแล้วนั่งเท้าคางตัวงอ เขาจะทำอย่างไรดีกับชีวิตวันพรุ่งนี้ เอกสารอะไรก็ไม่มีติดตัวมาสักอย่างหรือต่อให้ต้องกลับไปเอาที่ห้องรูหนูนั่นก็คงจะกลายเป็นศพหากพวกมันยังดักรออยู่ สมัครเป็นเสมียนบริษัทแถวๆนี้ก็เข็ดหลาบจากงานเดิมชนิดที่ว่าต่อให้จะอดมื้อกินมื้อยังไงก็ขอไม่ทำอาชีพนี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องวุฒิการศึกษานี่ลืมไปได้เลย
“เหี้ยเอ๊ย” มินซอกตื่นจากภวังค์ของความคิดหลังจากได้ยินคนที่นอนอยู่ครวญเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา
“คุณ...” ร่างเล็กเอ่ยปากเรียกก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มือบางเปิดผ้านวมที่คลุมกายของอีกฝ่ายจนถึงไหล่ออกช้าๆก็พบว่าบาดแผลที่เจ้าตัวเคยบอกว่าหายแล้วกลับรื้นของเหลวสีชาดออกมาอีกครั้ง “ไหนบอกว่าไม่เป็นอะไรมากไง”
“ยุ่ง” ร่างสูงปัดมือเขาออกแล้วขมวดคิ้วมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ผมไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรนะถ้าหากว่าคุณนอนจมกองเลือดตายอยู่ที่นี่”
“เดี๋ยว” คำพูดนั้นทำเอาเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปข้างหน้าต้องหยุดกึก “ซื้อบะหมี่กลับมาด้วย กูหิว”
“อือ รู้แล้ว รออยู่นี่แหละ” เขาเหยียดยิ้มออกมาโดยที่ไม่ให้อีกคนเห็น เหตุผลก็คงเพราะลู่หานไม่ได้ปฏิเสธการปฐมพยาบาลอย่างที่ผ่านมา
ประตูห้องถูกปิดลงโดยไม่ลืมที่จะลงกลอนพร้อมกับร่างเล็กที่เดินกลับมาพร้อมถุงยาและบะหมี่ คนตัวสูงที่นั่งชิดขอบเตียงหันกลับมามองเขาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วหันกลับไป ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าในขณะที่เขาคลี่ห่ออาหารทั้งสองห่อออกพร้อมกับวางตะเกียบลงด้านบน
“กินเสร็จแล้วผมจะทำแผลให้” มินซอกยกห่อบะหมี่ขึ้นมาวางบนตักหลังจากที่เขาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง
“แม่ไม่สอนหรือไงว่าห้ามแดกอะไรบนที่นอน” เขาหยุดเคี้ยวลงชั่วขณะแล้วมองลงไปที่พื้นกระเบื้องข้างหน้า บ้าชิบ... พื้นที่แค่นี้วางเท้าก็เต็มแล้วด้วยซ้ำ
พรืด...
“แค่กแค่ก...” คนตัวเล็กสำลักบะหมี่ออกมาทันทีเมื่ออีกฝ่ายเดินมาตรงหน้า
“โอย... มึงเป็นเหี้ยไรเนี่ย?!” นัยน์ตาคมกร้าวหันมามองอย่างหัวเสีย หลังมือเล็กเช็ดริมฝีปากตนเองออกลวกๆแล้วรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในแก้มลงไปในครั้งเดียว
“คุณนั่นแหละจะบ้าหรือไง? ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้า?” ลู่หานก้มลงมองตัวเองหลังจากที่ได้ยินอีกฝ่ายโวยวายออกมาเป็นครั้งแรก เขาไม่ได้คิดอะไรกับการเปลื้องผ้าในห้องที่มีเพศเดียวกันอาศัยร่วมด้วย เปลือกตาหนากระพริบติดกันแล้วตวัดสายตาขึ้นไปมองใบหน้าเรียวขาวอีกครั้ง
“มันน่าตื่นเต้นขนาดนั้นเลยดิ?”
“เห็นแล้วกินไม่ลง” เส้นคิ้วเล็กขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลงเพื่อให้สายตามองเห็นเพียงแต่เส้นบะหมี่ที่วางอยู่บนตัก
“แดกไม่ลงก็เอามานี่”
“ไม่”
“หึ...” เสียงหัวเราะห้วนดังขึ้นในระยะใกล้ เขาไม่ได้หันขึ้นไปมองด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าเย้ยหยันแบบไหน ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นก่อนจะก้มหน้าก้มตากินบะหมี่แบบไม่พูดไม่จา ร่างสูงเดินออกไปจากตรงนั้นเมื่อเห็นว่าพื้นกระเบื้องแคบนั่นไม่กว้างพอที่จะให้เขายัดตัวเองลงไปนั่งได้
ปึง!
ในห้องที่มืดและเงียบมีแสงไฟส่องสว่างอยู่เพียงไม่กี่ดวง ซองเอกสารสีน้ำตาลหนึ่งชุดถูกโยนลงกลางโต๊ะกระจก นายตำรวจในเครื่องแบบสีดำนั่งกอดอกพิงพนักเก้าอี้ทำงานแล้วถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะดึงเอกสารตรงหน้าออกมากวาดตาอ่านผ่านๆ
“คดีอะไรครับท่าน?”
“ค้าประเวณี” ชายวัยกลางคนในเครื่องแบบเดียวกันทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “พวกมันทำเป็นขบวนการติดต่อกันมานานหลายปีแล้ว”
“พวกเราเคยได้รับแจ้งเกี่ยวกับการค้าประเวณีมาหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ แต่ผมก็ไม่เห็นว่าท่านจะสนใจ... เหมือนจะมุ่งไปที่อาชญากรรมรายวันมากกว่า”
“คดีนี้พบสามศพในบริเวณปั๊มน้ำมันบนถนนที่ตัดออกไปนอกเมืองเป็นชายหนึ่งหญิงสอง จากการสันนิษฐานเบื้องต้นนี่เราคาดว่าเป็นการทะเลาะวิวาทระหว่างการส่งตัวเหยื่อ”
“แล้วมันสำคัญยังไงล่ะครับ?”
“หนึ่งในสามศพนั่นเป็นลูกสาวของชอลยง ซึ่งตอนนี้จับตัวคนร้ายได้สองคนแล้ว” ภาพถ่ายทั้งหมดถูกเทออกมาจากซองกระดาษ นายตำรวจหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นมองภาพที่อยู่ในมือแล้วก็ต้องคว่ำริมฝีปากลงอย่างหดหู่ใจ
“ลูกสาวของคุณชอลยงยังเด็กมาก ไม่คิดว่าจะตกเป็นเหยื่อค้าประเวณีกับเขาด้วย”
“จุนมยอน ผมอยากให้คุณช่วยจับตัวคนร้ายอีกสองคนที่เหลือในคดีนี้” มือสากแตะที่ต้นแขนของเขาแล้วทอดมองมาอย่างฝากความหวัง “ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องที่คุณถนัดนัก แต่ชอลยงก็กำชับมา...”
“กำชับ? คุณชอลยงกำชับมาว่าอะไรหรือครับท่าน?”
“คนร้ายจะต้องถูกจับตายเท่านั้น” จุนมยอนนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะอ่านหลักฐานการให้ปากคำของคนร้ายจากบันทึกของเจ้าหน้าที่
“ท่านครับ... ไม่ว่าจะทำผิดขนาดไหนแต่เราก็ควรจะให้โอกาสพวกเขาสู้คดีในชั้นศาล”
“แต่ชอลยงมีอิทธิพลกับหน้าที่การงานของพวกเรามากคุณก็รู้” นายตำรวจหนุ่มไม่ปฏิเสธอะไร เจ้าของชื่อนั่นไม่ได้มีอิทธิพลแค่ในสายงานของเขาเท่านั้น แต่เป็นคนคุมอำนาจของคนเกือบทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้เลยก็ว่าได้ “คุณเป็นคนเดียวที่เรามองเห็นในตอนนี้นะ ถ้าคดีนี้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว... คุณจะได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ”
แสงไฟจากอาคารบ้านเรือนในสถานที่ที่ไม่คุ้นตาทยอยปิดลงไปทีละดวงจนกระทั่งบรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความมืด บานหน้าต่างที่ปิดสนิทยังไม่สามารถบรรเทาความหนาวเย็นในเวลากลางคืนได้เท่าที่ควร มินซอกตื่นขึ้นมาในกลางดึกเพราะการเคลื่อนไหวของคนที่นอนชิดขอบเตียงอีกข้าง
“คุณยังไม่นอนอีกหรอ?”
“...” ไม่มีคำสบถถ่อยๆกลับมาอย่างที่ควรจะเป็น เขาพลิกตัวกลับไปพบกับแผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่ยังนอนเปลือยกายอย่างไม่รู้จักกระดากอาย ร่างเล็กทอดสายตามองอยู่ครู่ใหญ่ๆก่อนจะได้ยินเสียงถอดถอนหายใจออกมาเป็นระยะ
“นี่คุณ...”
“มึงเคยคิดถึงใครสักคนมากๆไหม?”
“ไม่ล่ะ ผมตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“...” ไม่มีการโต้ตอบจากคนตรงหน้าอยู่พักใหญ่ มือเล็กยันร่างของตัวเองขึ้นมาก่อนจะค้อมหน้าผ่านลำตัวของคนที่นอนอยู่ข้างๆไป อีกฝ่ายไม่ได้หันกลับมามองค้อนเขาด้วยท่าทางหงุดหงิดเหมือนเคย พร้อมกันกับที่เห็นว่าปลายนิ้วมือหนาจับกระดาษใบเล็กๆอยู่หนึ่งใบ
“นั่นอะไรน่ะ? ผมขอดูบ้างได้ไหม?”
“สันดานชอบแส่นี่แก้ไม่หายสักทีนะ” ถึงจะพูดออกมาอย่างนั้นแต่สิ่งที่อยู่ในมือก็ถูกส่งกลับไปทางด้านหลังตามคำขอ
“อา... นี่คงเป็นน้องชายของคุณ” มันเป็นรูปถ่ายธรรมดาของเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่ดูเปี่ยมสุข ด้านหลังมีตัวหนังสือภาษาจีนที่เขาไม่รู้ความหมายเรียงติดต่อกันเป็นประโยค
“เปล่าหรอก” ดวงตาเล็กเหลือบมองใบหน้าคมเกลี้ยงจากทางด้านข้างที่เผลอยิ้มออกมาบางๆ “หน้ามันเหมือนกูมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
“เหมือนถอดพิมพ์กันมาเลยล่ะ... เขาเป็นลูกชายคุณหรอ?”
“อืม” เนื้อเสียงทุ้มต่ำครวญออกมาในลำคอ “มันเป็นเด็กดีนะ ไม่งอแงด้วย”
“แล้วภรรยาคุณล่ะ?”
“ตายไปตั้งแต่มันยังจำหน้าพ่อมันไม่ได้เลยมั้ง”
“ถ้าคุณไม่ลำบากใจ ผมอยากจะ...”
“อยากเสือกเรื่องของกูอีกอ่ะดิ” อีกคนพลิกตัวกลับมานอนราบไปกับฟูก ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวกลับดูอ่อนโยนลงจนเขาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น ใบหน้าคมเกลี้ยงหันมาปรายตามองเขาแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ตัวคนเดียวแบบมึงจะไปรู้อะไร”
“ผมไม่ได้บังคับคุณสักหน่อยนี่”
“มันชื่อแอนดี้ ปีนี้ก็ห้าขวบแล้ว” สิ้นประโยคแล้วก็ดึงรูปถ่ายใบเดิมกลับคืนมา “ผิดจังหวะไปหน่อย... มันเกิดมาในตอนที่พวกกูไม่มีอะไรเลยแม้แต่ที่ซุกหัวนอน”
“คุณก็เลยทำอาชีพแบบนี้หรอ?”
“งานไหนที่มันได้เงินดีก็ทำหมด ไม่งั้นแม่มันก็ร้องจะเอาออกท่าเดียว”
“แล้วเธอรู้ไหมว่าคุณทำงานพวกนี้?”
“รู้ดิ ไม่ได้มีเมียเป็นควาย” อีกฝ่ายยิ้มหยอก “พอท้องคนที่สองเลยแอบทำแท้งด้วยตัวเอง”
“...”
“แต่เด็กมันดื้อไม่ยอมออก...” ลมหายใจขาดห้วง รอยยิ้มที่แต้มบนริมฝีปากหยักช่างดูสวนทางกับแววตารื้นเศร้าที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด “ก็ตายทั้งกลมนั่นแหละ” ลู่หานงอรูปถ่ายลงไปตามรอยพับแล้วสอดมันกลับเข้าไปใต้หมอน
“ที่ถามผมแบบนั้นเพราะคุณคิดถึงแอนดี้ใช่ไหม?”
“วันนี้มันเปิดเรียนวันแรก ถ้ากูอยู่ด้วยคงจ้อไม่หยุด”
บรรยากาศรอบข้างถูกกลบด้วยความเงียบอีกครั้งเมื่อคนตัวเล็กตัดสินใจที่จะยุติการสนทนาเอาไว้เพียงเท่านี้ กรอบตาหนากำลังเหม่อมองเข้าไปในความมืดราวกับตกอยู่ในภวังค์ของความนึกคิด
‘ถ้าวันหนึ่งคุณมีลูกตัวเท่านี้ คุณจะรู้หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ว่าถ้าลูกตัวเองหายตัวไปมันจะทรมานแค่ไหน’
ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นพ่อ ลู่หานคงมีความละเอียดอ่อนเกี่ยวกับชีวิตของเด็กตัวเล็กๆจึงตัดสินใจที่จะทรยศพรรคพวกของตนเองเพื่อที่จะช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนนั้น เหตุการณ์ในชั่วข้ามคืนที่ผ่านมายังคงติดตาเสมือนเป็นฝันร้าย เขาอาจจะเคยเห็นคนกระโดดตึกตายมาแล้วจนนับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้มันผิดกันเพราะเขากลับเป็นอีกตัวละครหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์สะเทือนขวัญ... แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าจดจำสักเท่าไหร่
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขาหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วนอนมองกำแพงตรงหน้าที่ว่างเปล่า แม้จะไม่มีเสียงรถบนถนนที่สัญจรไปมาหรือแม้กระทั่งไอ้พวกขี้ยาที่ชอบแหกขี้ตาชาวบ้านให้ตื่นมาฟังมันทะเลาะกันเหมือนตอนที่อยู่ในโซลก็เถอะ เขายังรู้สึกเหมือนมีอะไรหลายๆอย่างรบกวนจิตใจจนทำให้นอนไม่หลับ เขาอาจจะกำลังกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง... เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่นะ นอนอยู่บนเตียงเดียวกับอาชญากรอย่างนั้นหรอ? เขาปล่อยให้โอกาสดีๆหลุดลอยไปได้ยังไง ความจริงน่าจะหนีไปให้พ้นจากคนพวกนี้ตั้งแต่ตอนที่ลงไปซื้อบะหมี่แล้ว ไม่เข้าท่าเลยนะมินซอก ถ้าเกิดวันพรุ่งนี้มันหยิบมีดมาจ้วงคอหอยเหมือนที่มันขู่ไว้แล้วจะทำยังไงล่ะ? ต้องตายอยู่ที่นี่หรอ... แค่คิดก็...
“เฮ้ย! คุณ...” แขนแกร่งพาดเข้ามาช่วงเอวทำให้ร่างเล็กตื่นสะดุ้งอย่างหวาดผวา เขาดิ้นขลุกขลักไปมาแต่เหมือนว่าพละกำลังของอีกฝ่ายที่มีมากกว่าจะยิ่งขืนให้เขาจมเข้าไปในแผ่นอกร้อน
“เงียบ” เนื้อเสียงหยาบเย็นพรอดกระซิบที่ข้างใบหู ริมฝีปากบางจำต้องเม้มเข้าหากันแน่นแล้วหยุดความเคลื่อนไหวของตนเองลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ “อยู่เฉยๆ...”
“....”
“ดี...” ลมหายใจฮืดฮาดดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เสียงหัวเราะในลำคอของมัจจุราชสะกดให้ลมหายใจของเขาต้องถูกกักเอาไว้ในอก
แผ่นมือร้อนข้างหนึ่งสอดเข้ามาใต้ชายเสื้อตัวบาง สัมผัสหยาบโลนเบียดไล้ไปบนเนื้อผิวเนียนลื่นพร้อมกับที่มืออีกข้างสอดต่ำลงมาจากคอเสื้อ ดวงตาเรียวเล็กเบิกโพลงในความมืด เขาหายใจผิดจังหวะเมื่อสัมผัสแปลกๆนั่นกลับมาวนเวียนอยู่บนแผ่นอกอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
ริมฝีปากแห้งกร้านเกลี่ยไล้ไปมาที่หลังใบหูก่อนที่ความเปียกชื้นจากปลายลิ้นร้อนจะเคลื่อนลงมาตามแนวลำคอระหง ไออุ่นจากผิวกายของคนที่นอนอยู่ข้างหลังแผ่ซ่านเข้ามาผ่านสาบเสื้อของตนจนรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิภายในที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีคำขู่ที่หยาบกระด้าง...
หนำซ้ำยังถูกแทนที่ด้วยเสียงครางห้าวเร้าอารมณ์จากเจ้าของลมหายใจหอบกระเส่าของใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา...
หัวไหล่เล็กถูกกดลงจนทำให้มวลกายบางตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอีกฝ่าย แผ่นมือทั้งสองข้างถูกตรึงเอาไว้บนฟูกนอน ใบหน้าคมเกลี้ยงโน้มเข้ามาใกล้จวบจนได้ยินเสียงหอบสั่นใกล้ใบหู สัมผัสแปลกๆเกิดขึ้นอีกครั้งจากริมฝีปากหยัก แต่คราวนี้ดันเคลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆแล้วหยุดลงเมื่อปลายเสื้อยืดตัวบางถูกยกขึ้นมาจนเผยให้เห็นโครงกายที่เล็กผิดไปจากผู้ชายทั่วไป
เขารู้สึกสับสนและไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่กลีบปากสีหวานกลับเม้มเข้าหากันแน่นแทนที่จะร้องปราม แกนลิ้นอุ่นเคลือบผ่านยอดอกของตนอย่างเชื่องช้าแล้วดูดเร้นมันขึ้นมาจนเกิดเสียง แววตาหื่นกระหายของอีกฝ่ายช้อนมองใบหน้าของเขาอย่างไม่อาจคาดเดาความคิดที่อยู่ในหัว รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่เสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ถูกถอดโยนออกไปคนละทิศทาง...
อะไรบางอย่างที่ตื่นแข็งกำลังเสียดสีผิวเนื้อระหว่างที่เรียวขาถูกแยกออกจากกัน กงเล็บจากนิ้วมือบางจิกลงบนผ้าปูที่นอนจนยับไม่เป็นรูป เข่าทั้งสองข้างพับงอเมื่อถูกกดเอาไว้ด้วยมือหนึ่งคู่ของคนที่อยู่ด้านบน เรือนร่างโปร่งสูงกำลังแทรกเข้ามาที่กลางลำตัว เปลือกตาบางหรี่มองสิ่งที่แปลกปลอมอยู่ตรงหน้า ส่วนยอดที่ชื้นน้ำกำลังจ่อเข้ามาตรงช่องทางด้านหลัง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก...
“เป็นเหี้ยไรมึงเนี่ย!?”
“ลู่หาน...” มินซอกยันตัวขึ้นแล้วคว้าผ้านวมมาห่มปิดเรือนร่างของตนในฉับพลัน ดวงตาเล็กจ้องมองไปที่คนตรงหน้าที่เพิ่งถูกเขายันโครมจนติดผนังไปเมื่อครู่ “คุณโอเคไหม?”
“เสือก” อีกฝ่ายกล่าวตอบออกมาอย่างหัวเสีย เขาขยับตัวออกไปกดเปิดสวิตช์ไฟที่อยู่ใกล้มือ แสงไฟในห้องไม่สว่างนักแต่ก็พอจะเห็นเลือดสดที่ซึมผ่านที่หุ้มแผลบนหัวไหล่ของลู่หานได้อย่างชัดเจน
“แผลคุณ...”
“ไม่ต้องมายุ่งกับกู” ร่างที่เปลือยล่อนจ้อนยันตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากพื้นกระเบื้องแคบๆที่ปลายเตียง เขาก้มหน้าลงเพื่อหลีกให้พ้นจากการมองเห็นภาพที่ไม่น่าดูตรงหน้า
ปึง!
ประตูห้องน้ำถูกปิดลงอย่างรุนแรงจากคนที่กำลังบันดาลโทสะ มินซอกถอยร่างของตัวเองกลับมาจนชิดหัวเตียงแล้วก้มลงสำรวจมองไปที่ร่างกายพลางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา หัวแม่มือเล็กเบียดลงเหนือเนื้อผิวที่เรื่อรอยแดงเพื่อตอกย้ำว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป... ความรู้สึกมากมายโถมประดังเข้ามาในหัวจนทำให้รู้สึกมึนงงกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
“บ้าไปแล้ว...” พึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะรีบหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นมาใส่ให้เรียบร้อย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีความรู้สึกอย่างไรในขณะที่อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่สงวนบนเรือนร่างของตนเองแบบนั้น
แต่คงไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่... หากเพราะมันเกิดขึ้นกับผู้ชายด้วยกัน
เสียงกุกกักจากชักโครกในห้องน้ำเงียบไปครู่ใหญ่ เขาไม่อยากจินตนาการต่อเลยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรหลังจากนั้น ที่เขารู้ตอนนี้คือต้องรีบข่มตาหลับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่ใครอีกคนจะออกมา...
ปู๊น...
สัญญาณเสียงรถไฟนอกเมืองเคลื่อนตัวออกจากสถานีดังลั่นจนสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนของแก้วหู ลู่หานปรายตามองคนตัวเล็กที่นั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นมาตั้งแต่ตอนที่รอเที่ยวรถในชานชาลา เปลือกตาบางหรี่ต่ำจนเกือบจะปิดลงหลายครั้งแต่เจ้าของร่างก็ยังสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งเหมือนคนปกติ สถานการณ์ที่น่าอึดอัดของคนสองคนที่ยังไม่สนิทใจกันเท่าที่ควรทำให้ไม่มีประเด็นให้สนทนากันมาตั้งแต่เช้า ไหนจะเรื่องเมื่อคืนอีกที่ต่างฝ่ายต่างไม่อยากนึกถึง...
ร่างบางที่เคลื่อนโงนเงนเหมือนตุ๊กตาล้มลงเนื่องจากไร้สภาพการทรงตัวทำให้ความอดทนของลู่หานขาดผึง เขาไม่สามารถมองดูการเคลื่อนไหวที่น่ารำคาญของมินซอกได้อีกต่อไปจึงตัดสินใจขยับตัวเข้าไปชิดเพื่อให้อีกคนเอนเข้ามานอนอิงไหล่
“ขอตรวจตั๋วด้วยค่ะ” พนักงานเก็บตั๋วประจำโบกี้เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มือหนาล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมหยิบตั๋วรถไฟที่ติดกันสองที่นั่งมายื่นให้แก่พนักงานสาว
“ขอบคุณค่ะ” ที่ผ่านมาเวลาผู้หญิงยิ้มให้นั้นก็นับว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา แต่รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของพนักงานหน้างิ้วในครั้งนี้กลับทำให้ต้องรู้สึกแปลกๆ
ใจจริงก็อยากจะผลักหัวของตัวภาระนี่ออกไปไกลๆ ก่อนที่คนทั้งโบกี้จะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศ แต่ก็ช่างเถอะ...ใช่ว่าจะเจอคนพวกนี้ในชีวิตประจำวันเสียเมื่อไหร่
“โอย... นั่งดีๆสิวะ” คำพูดนั่นเหมือนจะทำลายสมาธิในการนอนของอีกฝ่ายไม่ได้เลยสักนิด จากที่เคยนั่งอยู่ดีๆตอนนี้ก็เริ่มไหลลงจากที่นั่ง แน่นอนว่ามันทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว “กูบอกให้นั่งดีๆไง มึงจะลงไปนอนที่พื้นเลยป่ะ?”
มินซอกขยับตัวขึ้นมานั่งเหมือนคนปกติอีกครั้ง คนที่กำลังงัวเงียทอดตามองลอดออกไปนอกหน้าต่างแล้วหันกลับมามองหน้าเขาขณะที่ยังไม่ตื่นดีนัก “ใกล้ถึงหรือยัง?”
“มึงรีบมากป่ะ? ถ้ารีบมากก็ให้พ่อมึงขับเครื่องบินเจ็ทมารับ”
“แล้วคุณยังเจ็บแผลอยู่ไหม?”
“เสือก” น้ำเสียงดุดันกระแทกใส่หน้าเต็มๆก่อนที่ใบหน้าเรียบเฉยจะเบนทิศไปทางอื่น เขาตื่นมาทำแผลให้อีกคนตั้งแต่เช้าซึ่งดูเหมือนว่าเลือดยังไหลซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าถึงโซลแล้วคุณควรได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีมากกว่าที่จะเอาแอลกอฮอล์ราดแผลแล้วปิดด้วยผ้าก๊อซไปวันๆแบบนี้” แม้ว่ากระสุนที่ยิงเข้ามาจะเฉียดไหล่ของร่างสูงไปเพียงนิดเดียวแล้วพุ่งเข้าสู่หัวเด็กโดยตรงก็จริง แต่ความเร็วและแรงหมุนของลูกกระสุนนั้นก็สามารถคว้านเนื้อบนบ่ากว้างออกไปจนเกิดเป็นแผลฉกรรจ์ได้ นี่ก็เข้าวันที่สองแล้ว หากปล่อยให้นานกว่านี้คงไม่ดีแน่... “เชื่อผมเถอะ ที่พูดไปมันก็ดีต่อตัวคุณเองนั่นแหละ”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะแล้วค่อยมาสอนกู”
“ผมไม่ได้รับบาดเจ็บเหมือนคุณนี่”
“แล้วถ้าไม่ใช่เพราะมึง กูจะมาอยู่ในสภาพแบบนี้ป่ะ?”
“.....”
“มึงมันตัวซวย” ร่างสูงแค่นเสียงผ่านไรฟันแล้วมองอีกฝ่ายด้วยหางตา มินซอกเม้มปากแน่น ร่างเล็กแกล้งทำหูทวนลมราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดพล่อยๆที่ลอยแว่วเข้ามาในหู
แม้ว่าจะพูดกับตัวเองอยู่หลายครั้งว่าไม่ควรถือสากับสิ่งที่คนประเภทนี้ได้แสดงออกมา เขาไม่ควรใช้มาตรฐานของตนเองเป็นตัวตัดสินว่าใครเป็นแบบไหน แต่สารพันคำพูดแย่ๆที่เขาได้ยินมาทั้งชีวิตนั่นไม่สามารถทำให้เขารู้สึกเจ็บใจได้เท่ากับคำที่ได้ฟังในวันนี้...
ตัวซวย
คำพูดนี้มันควรจะเป็นของเขามากกว่าด้วยซ้ำ
ถ้าพวกมันไม่มาทำเรื่องระยำแบบนั้น ชีวิตเขาคงไม่ตกอยู่ในสภาพที่ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดด้วยวิธีไหนแบบนี้
แต่คิดไปก็เท่านั้น เจ็บใจเปล่าๆ
ลมหายใจที่กลั้วกลิ่นบุหรี่ถูกถอนออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่ได้นับ งานระยำที่เขาและอดีตเพื่อนร่วมงานอีกสามคนทำทิ้งไว้คงกลายมาเป็นข่าวหน้าหนึ่งอีกภายในไม่กี่วัน ลำพังตัวคนเดียวต่อให้เข้าไปนอนในคุกตลอดชีวิตก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ความเป็นอยู่ของเด็กที่เกิดเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรต่างหากที่เป็นปัญหา
มือหนาล้วงรูปถ่ายใบเก่าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เพราะไม่รู้ว่าจะมีลมหายใจอยู่กับหนึ่งชีวิตที่ตัวเองรักมากที่สุดได้นานขนาดไหน ด้วยอาชีพไม่สุจริตที่ตัวเองกัดฟันทำนั่นต้องออกไปผจญกับความเสี่ยงทุกทาง แค่ก้าวออกจากบ้านก็เท่ากับโอกาสที่จะได้กลับมาเหลือแค่ครึ่งเดียวอยู่แล้ว ไหนจะตำรวจ ไหนจะพรรคพวกที่พร้อมหักหลังกันได้ทุกเมื่อหากภัยมาเยือน
ขอให้แอนดี้เป็นเด็กดีแบบนี้แล้วก็ตั้งใจเรียนมากๆ จงมีความมานะพยายามเพื่ออนาคตของตัวเองนะ
คำสอนที่ถ่ายทอดออกมาเป็นลายมือห่วยๆเขียนกำกับไว้ที่ด้านหลังของรูปถ่ายใบนั้น ใบหน้าของเด็กเล็กกับรอยยิ้มที่สดใสทำให้เขาต้องแอบอมยิ้มออกมาทุกครั้งที่มองภาพใบนี้
‘ผมตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กแล้ว’
‘ที่ถามผมแบบนั้นเพราะคุณคิดถึงแอนดี้ใช่ไหม?’
นัยน์ตาสีเข้มตวัดมองคนข้างๆที่เริ่มจะโอนเอนเป็นตุ๊กตาล้มลุกอีกครั้ง หัวทุยถูกกดลงให้เข้ามาพิงต้นแขน เขาลอบมองใบหน้าขาวที่กำลังอิ่มเอมกับการนอนหลับ ทั้งที่ใช้สบู่ก้อนเดียวกันแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ากลิ่นของคนตรงหน้านั้นหอมกว่าเป็นไหนๆ ริมฝีปากแดงเรื่อที่ตอนนี้กำลังเบะคว่ำเหมือนเด็กเล็กทำให้อยากจะก้มลงไปขยี้จนช้ำให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ให้ตายเถอะลู่หาน... มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้!
‘อือ....’
ใช่แล้ว...
หลังจากที่หลบเข้ามานั่งหงุดหงิดคนเดียวอยู่ในห้องน้ำอยู่นานก็ตัดสินใจระเบิดอารมณ์ทุกอย่างลงในโถชักโครก เมื่อครั้งแรกสิ้นสุดลง... เขารู้สึกได้ว่าตนเองหลั่งเร็วกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเพราะสภาพอารมณ์ที่คั่งค้างจากความรู้สึกวาบหวามที่เพิ่งผ่านพ้นไป ถึงแม้จะช่วยตัวเองจนถึงจุดสุดท้ายของอารมณ์อีกสองสามครั้งต่อกันโดยไม่หยุดพัก แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอความต้องการที่แท้จริงเลยสักนิด
เพราะ ‘อยากร่วมเตียง’ ไม่ใช่แค่เพียงนอนข้างกัน
“บ้าไปแล้ว...” น้ำเสียงทุ้มหยาบพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะโขกหน้าผากเข้าที่ผนังรถไฟแรงๆเพื่อขับไล่ความคิดประหลาดออกไปจากหัว
“...คุณ”
ถึงจะเคยเห็นบรรดาพรรคพวกขยี้ผู้ชายด้วยกันมาแล้วจนชินตาแต่ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกที่เฉียดเข้าใกล้รสนิยมแบบนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว อาจเพราะขาดเรื่องทางเพศมานานนับตั้งแต่ที่เมียตายจึงทำให้เขารู้สึกโหยหามากเป็นพิเศษก็ได้...
“นี่คุณ...”
แต่จะอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่ได้รู้สึกใจเต้นเวลาที่อยู่ใกล้ๆไอ้หน้าจืดนี่สักหน่อย! ออกจะหนักไปทางรำคาญเสียมากกว่า
“ลู่หาน!” เปลือกตาหนากระพริบหนึ่งครั้งหลังจากที่เสียงเล็กลั่นเข้ามาในแก้วหู “คุณเอาหัวโขกกำแพงทำไม?”
“ห๊ะ?”
“ผมถามว่าคุณเอาหัวโขกกำแพงทำไม”
“กู?” ร่างสูงชี้นิ้วเข้าหาตัวแล้วมองไปรอบๆ คนที่นั่งตรงกันข้ามจ้องมาที่เขารวมไปถึงคนอื่นๆที่ในโบกี้ก็ด้วย
“ก็ใช่น่ะสิ” ถ้าบอกเหตุผลมันตามตรงว่าทำไมถึงทำแบบนั้นคงมีเฮแน่...
“กู...”
“.....”
“กูทำเล่นๆ เพลินๆ”
“คุณทำเล่นๆหรอ?”
“เออ แบบนี้ไง” ว่าแล้วก็โขกหัวตัวเองลงไปที่ผนังรถไฟอีกสามสี่ครั้ง
“จริงนะ?”
“เออ”
อีกคนขยับเข้ามาใกล้แล้วเอามือป้องปากกระซิบที่ข้างหู “ไม่ได้หลอนยาใช่ไหม?”
“ไปไกลละ” ลู่หานปรายตามองก่อนจะเอี้ยวตัวหนี “กูไม่เล่นยา”
“หลอกเด็กเถอะ คงมีแต่ลูกคุณที่เชื่อ”
“เหี้ยนี่...” ร่างสูงสบถออกมาเบาๆแล้วชักสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
“ผมทำอาชีพสุจริตนะ”
“แล้ว?”
“....” คนตัวเล็กเบือนหน้านี้แล้วยักไหล่กลับมาเป็นคำตอบ เรื่องอาชีพที่มันว่านั่นเกี่ยวอะไรกับคำที่ด่ามันวะ? หรือว่า...
“คือนี่มึงจะบอกว่ากูเหี้ย?”
“ผมไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อยนี่” มินซอกปฏิเสธหน้าตายแล้วนั่งกอดอกหลวมๆอย่างสบายใจ เห็นลักษณะท่าทางที่โคตรกวนส้นตีนแบบนั้นลู่หานถึงได้กำหมัดแน่น
“ทำปากดีไปเหอะมึง อย่าคิดว่ากูเฉยๆแล้วจะทำเหี้ยอะไรก็ได้”
“คุณเป็นอะไร? เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายผมตามอารมณ์ไม่ทันแล้ว”
“กูรำคาญมึงไง ไม่เคยมีใครบอกใช่ป่ะว่าเวลาที่มึงอ้าปากพูดเหี้ยอะไรก็ช่างมันน่ารำคาญขนาดไหนอ่ะ?”
“ได้” ร่างเล็กกัดฟันกรอดแล้วเขยิบตัวออกห่างจนชิดขอบที่นั่ง “งั้นถึงโซลเมื่อไหร่ก็ต่างคนต่างไปเลยแล้วกัน”
- To Be Continue –
ตอนแรกคิดว่าจะตัดช่วงหลังมาใส่ไว้ในแชปสามแต่ไม่อยากให้การดำเนินเรื่องมันยืดยาวจนเกินไปเดี๋ยวตัวละครอื่นไม่ได้โผล่ สำหรับแชปนี้เลยอ่านกันตาแฉะหน่อยนะคะขอโทษจริงๆค่ะ T_T แชปนี้หนวดอยากให้คนอ่านได้ทำความรู้จักกับพื้นฐานชีวิตบางส่วนของสองตัวละครหลักในเรื่องก่อนอย่าเพิ่งเบื่อนะคะ T_T
เฮ้อ จะโดนแบนไหมหนอกับบท(เกือบ)อัศจรรย์ 55555555555555555555 กำลังคิดว่าถ้าโดนแบนขึ้นมาจะเอาไปลงที่ไหนดีนะ แต่คือมันก็ไม่ได้ปั๊มกันหรือเปล่าวะ? ไม่น่าโดนหรอกเนอะๆ (โลกสวยสุดเลยอีนี่) อยากบอกว่าฟิคเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หนวดตั้งใจจะเขียนให้จบ ต่อให้เม้นท์น้อยก็จะเขียนค่ะสู้ไม่ถอย!!!! ใครอยากสกรีมฟิคติดแท็ก #ฟิคมฟต นะคะเดี๋ยวหนวดจะไปส่องค่ะ เมนชั่นมาคุยกันได้นะคะที่ @nutcraqerx90 พูดกันตามตรงว่าไม่ใช่แอคหลักแต่เป็นแอคที่เปิดไว้เผื่อให้คนอ่านสิงฉาก CUT (ถ้าโดนแบน) ยังไงก็เล่นเหมือนกันตอบเหมือนกันค่ะ ปุอิ๊ง!
ปล. อีหนวดยังไม่สแกนคำผิดเลยค่ะ ใครพบคำผิดแจ้งได้เลยนะคะ Yahoo!
ความคิดเห็น