คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : | MALE01 : MISFORTUNE |
| MALE01 : MISFORTUNE |
AUTHOR : NUTCRACKER
ครืน...
ร่างที่พิงผนังตู้คอนเทนเนอร์สั่นไหวไปตามเส้นทางเดินรถที่ขรุขระ เขาได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่นั่งอยู่ติดกันที่หลับไปตั้งแต่ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เขามองไม่เห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าความมืดและมีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของเด็กสาววัยรุ่นดังระงมราวกับต่อบทสนทนาให้กันเพื่อบรรเทาความปวดร้าวในค่ำคืนนี้ที่จะเปลี่ยนพวกเขาไปตลอดชีวิต
“อะ...” ร่างเล็กสะดุ้งเต็มตัวเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นทับบนหน้าขา ความชื้นของมันซึมผ่านเนื้อผ้ากางเกงสแล็คตามมาด้วยสัมผัสอุ่นร้อนอย่างประหลาด
แซ่ก
เพลิงขนาดเล็กจากไฟแช็คของคนที่อยู่ข้างๆยื่นเข้ามาหน้าลำตัว ศีรษะของเด็กหญิงผู้อับโชคหนุนบนตักของเขา ความรู้สึกเฉอะแฉะที่ว่านั่นมาจากศีรษะที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ หลังมือบางอังสัมผัสเหนือหน้าผากเล็กของเด็กหญิงแล้วกวาดปลายนิ้วมือเคลื่อนลงไปตามไรผมชื้นอย่างเชื่องช้า
“มีอะไร?”
“ผมคิดว่าเธออาจจะกำลังป่วย ตัวร้อนเหมือนไฟเลย” เขาพูดพลางไล้ฝ่ามือไปบนเนื้อผิวนวลอุ่นของเด็กเล็ก “ไม่เคยเลี้ยงเด็กด้วยสิ”
“ทำไมมึงชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจังนะ”
“นั่นสิ”
“.....”
“ใช้ชีวิตอยู่อย่างสันติ มีครอบครัว มีบ้าน... ทำไมต้องมีคนไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตเขาด้วย”
“เหอะ” มันแค่นหัวเราะในลำคอ “กูน่าจะปล่อยให้มึงกลายเป็นศพตั้งแต่อยู่ที่ซอยนั่นละ”
ร่างเล็กกัดฟันแน่น เขารู้ตัวว่าไม่ควรต่อปากต่อคำกับคนประเภทนี้ แต่ถึงอย่างไรเมื่อรถคันนี้เดินทางไปถึงจุดหมาย เขาก็ต้องโดนเชือดให้ตายเหมือนหมูเหมือนหมาอยู่แล้ว
“ทำไมพวกคุณต้องจับเธอมาด้วย?”
“อย่าแส่”
“ทำกับผู้หญิงพวกนั้นมันก็แย่พอแล้ว แต่นี่เด็กนะคุณ ยังพูดไม่เป็นภาษาเลยด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“หน้าตัวเมีย”
สัมผัสเย็นวาบถูกแนบเข้าที่ข้างลำคอของเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แกนคมแข็งบาดริ้วเข้าที่ผิวเนื้อบริเวณนั้นจนรู้สึกแสบ เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้เพราะข้อมือถูกผูกติดอยู่กับมัน
“ไหนลองพูดอีกครั้งดิ... ถ้าไม่กลัวว่านั่นเป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้ายในชีวิตของมึงอ่ะ” เสียงหัวเราะห้าวในลำคอดังขึ้นอีกครั้งหลังจากสิ้นประโยค
“ปล่อยเธอไป เธอยังเด็กมาก” เสียงหวานพูดออกมาอย่างสั่นเครือ “ถ้าวันหนึ่งคุณมีลูกตัวเท่านี้ คุณจะรู้หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ว่าถ้าลูกตัวเองหายตัวไปมันจะทรมานแค่ไหน”
“.....” แกนมีดที่กดแนบลำคอเริ่มอ่อนแรงลง ‘มัน’ อาจจะกำลังเห็นด้วยกับเขาอยู่ก็ได้
“ผมรู้ว่าคุณน่าจะมีวิธีอยู่ในหัว... แต่ถ้ากลัวพวกเขาจะรู้ คุณก็แค่บอกว่าเธอหายตัวไป” มือเล็กเคลื่อนเข้าไปวางซ้อนบนหลังมือหยาบโลน เขาสาบานว่าไม่ได้อยากทำแบบนี้กับมันเลยสักนิด “เธอให้การกับตำรวจไม่ได้หรอก เชื่อผมสิ”
“หุบปาก” มือกร้านเคลื่อนออกมาให้พ้นจากสัมผัส เขาหวังเพียงแค่ว่าคำพูดที่ยืดยาวจะเป็นประโยชน์กับชีวิตของเด็กคนหนึ่ง แต่สุดท้ายจะเป็นยังไงก็ต้องปล่อยให้ขึ้นอยู่กับสำนึกของเดรัจฉานแบบ ‘มัน’ อยู่ดี
การเดินทางที่ยาวนานหยุดลงในปั๊มน้ำมันที่ร้างคน ประตูเหล็กของตู้คอนเทนเนอร์เปิดออกเป็นช่องแคบจากคนข้างนอก คนที่อยู่ข้างๆลุกขึ้นพลางกระตุกข้อมือให้เขาลุกตามมาด้วย
“แวะนอนก่อน สลับกันขับไม่ไหวแล้วว่ะ” คนหนึ่งในพวกมันพูดขึ้น แสงไฟในปั๊มทำให้เขามองเห็นใบหน้าของพวกมันสามคนได้อย่างชัดเจน
“ข้างในโคตรร้อน” และคนที่สี่คือคนที่ยืนอยู่ข้างเขา
“ไม่ตายหรอก รอบที่แล้วยังขนมาตั้งสามสิบกว่าคน”
“อืม”
เสียงฝีเท้าเร็วๆดังขึ้นภายในตู้คอนเทนเนอร์ก่อนประตูเหล็กจะถูกดันออก ดวงตาเล็กเบิกกว้างเมื่อเห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังจะกระโจนออกมา
สวบ
หนึ่งในสามคนตรงหน้าดึงมีดสปาต้าออกมาจากฝักที่ห้อยอยู่ด้านหลังแล้วจ้วงแทงคอหอยเด็กสาวคนนั้นจนมิดด้าม เขาอ้าปากค้าง ใบหน้าเล็กก้มลงจนชิดกับลำคอทำให้มองไม่เห็นภาพต่อจากนั้น ไม่กี่นาทีต่อมาเขาได้ยินเพียงเสียงดังตุบเหมือนอะไรสักอย่างถูกโยนเข้าไปด้านใน หากเดาไม่ผิด... ก็คงเป็นศพของเด็กสาวคนนั้นที่มันเพิ่งคร่าชีวิตไปใหม่ๆ
เสียงกรีดร้องโหยดังพร้อมกับเสียงสะอื้นที่อื้ออึง เขาหันกลับไปมองเพียงเสี้ยวตาก็พบกับคราบเลือดแดงฉานที่อาบเป็นทางยาวจากศพที่ถลาเข้าไปยังพื้นด้านใน ใครสักคนเอาผ้าที่ห้อยอยู่ตรงประตูเหล็กมาชิดคราบเลือดที่เปรอะด้านนอกของรถ
“ไอ้เวร จะให้กูนั่งไปกับศพเนี่ยนะ” คนที่ยืนข้างเขาโวยออกมาเสียงดัง
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า”
“อีกไม่นานคงจะตามไปอีกศพ” มือที่โชกเลือดเชยคางของเขาขึ้นมา ตรงหน้าเป็นเด็กวัยรุ่นชายที่เหมือนจะเด็กกว่าเขาอยู่หลายปี มันย้อมผมสีบลอนด์อ่อน ปัดผมไปทางด้านข้างเหมือนที่พวกมือบอนแถวบ้านนิยมทำกัน ขอบตาดำคล้ำเหมือนคนติดยา “หน้าตาดีนะเนี่ย”
“เอามันไปนอนด้วยเลยไหมล่ะ?” อีกฝ่ายยกข้อมือขึ้นให้เพื่อนร่วมขบวนการช่วยปลดกุญแจมือทำให้ข้อมือของเขาถูกยกตามขึ้นมาเช่นกัน “จะได้หมดภาระกูสักที”
“ให้สิทธิ์มึงก่อนเลยเพื่อน ตอนนี้กูง่วง” เด็กเวรนั่นหัวเราะ มันดันมือออกแล้วเดินกลับไปที่หน้ารถพร้อมกับอีกสองคนที่เหลือ
เขาใช้แขนเสื้ออีกข้างเช็ดคราบเลือดออกจากปลายคางลวกๆ อยากจะรู้นักว่าจิตใจของพวกมันทำด้วยอะไรถึงได้ตัดสินชีวิตของเด็กผู้หญิงพวกนั้นได้ตามใจว่าควรจะอยู่หรือตาย เขายืนติดที่เพราะยังรู้สึกช็อคกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ส่วนอีกคนกำลังนั่งพิงตู้คอนเทนเนอร์ท้ายรถแล้วเอาบุหรี่ออกมาสูบอย่างต่อเนื่อง
เสียงคนคุยกันหน้ารถเงียบไปได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ร่างสูงเปิดแง้มประตูเหล็กออกมาเล็กน้อย กลิ่นคาวของเลือดสดคละคลุ้งจนทำให้เขาต้องปิดจมูก ดูเหมือนว่าพวกผู้หญิงที่อยู่ข้างในจะหลับกันหมดแล้วหรือไม่ก็คงสลบไปเพราะขาดออกซิเจน
“พวกนั้นหลับกันหมดแล้วหรอ? คือ...ผมหมายถึงเพื่อนๆของคุณน่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“ผมคิดว่าตอนนี้เรายังมีโอกาส...” นัยน์ตากร้าวหลุบลงมองมาที่เขาราวกับจะสั่งให้หยุดพูด เป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างเต็มตา คนตรงหน้าสูงกว่าเขาราวห้าถึงสิบเซนติเมตร ใบหน้าสวยที่เกลี้ยงเกลาไม่ได้ดูโหดร้ายอย่างที่ควรจะเป็น แต่แววตาเรียบนิ่งกับท่าทางที่เหมือนจะหัวเสียอยู่ตลอดเวลานั่นทำให้คู่สนทนาอย่างเขาต้องกลืนคำพูดของตัวเองกลับไป
“ถ้าพูดออกมาอีกคำคอหอยมึงขาดแน่” พูดจบก็กระโดดขึ้นไปบนตู้คอนเทนเนอร์ ร่างของเขาเสียหลักอย่างรวดเร็วจนเกือบจะล้มลง “ปัญหามากจริงๆนะมึง” อีกคนสบถต่อ
ขายาวก้าวข้ามศพของเด็กสาวที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นตู้คอนเทนเนอร์อย่างไม่ให้ความใส่ใจ เด็กหญิงตัวเล็กถูกปลุกให้ตื่นด้วยการตบเบาๆที่ข้างแก้มแต่ก็ไม่เป็นผล คนตัวเล็กยืนรออีกฝ่ายอยู่ด้านนอก ข้อมือบางที่ถูกดึงไปดึงมาจากการเคลื่อนไหวผ่านกุญแจมือรื้นรอยสีแดงอยู่โดยรอบ เขาปวดระบมถึงขีดสุดเมื่อร่างสูงยังเดินวนไปวนมาในพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านใน
“คุณ...”
“กูบอกให้เงียบ” น้ำเสียงเรียบเย็นพูดออกมาอีกครั้งพลางถอนหายใจยาวๆอย่างเบื่อหน่าย เขาเม้มปากแน่นแล้วชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านใน ร่างของเด็กผู้หญิงตัวเล็กถูกอุ้มขึ้นมาพาดไหล่ด้วยแขนเพียงข้างเดียว
ร่างสูงกระโดดลงจากรถอย่างระมัดระวัง ใบหน้าไร้เดียงสายังคงหลับใหลอยู่บนไหล่ของไอ้หน้าตัวเมียที่เขาเคยด่าฝากเอาไว้ ประตูเหล็กปิดลงแล้วถูกล็อคจากด้านนอก ทั้งคู่ยังคงนั่งพิงท้ายรถเหมือนกำลังรออะไรสักอย่าง
ครืน... ผลั่ก...
เสียงเครื่องยนต์จากรถคันหนึ่งดังมาจากหน้าปั๊มตามมาด้วยเสียงปิดประตูรถยนต์ ร่างสูงที่ตื่นตัวก่อนชะโงกหน้าออกไปสังเกตความเคลื่อนไหวจากรถคันนั้นที่ดูเหมือนว่าเจ้าของรถกำลังแวะเข้าห้องน้ำอยู่ ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วกระตุกข้อมือให้เขาเดินตามไป
“ห้ามส่งเสียงอะไรเด็ดขาด”
“.....”
“แม้แต่เสียงตีน” อีกฝ่ายหันมากำชับพร้อมกับก้มลงมองเขาจากหัวจรดเท้า ร่างเล็กพยักหน้าลงหนึ่งครั้งแล้วเดินตามคนตรงหน้าไปเงียบๆ
ด้านหน้ารถบรรทุกคันใหญ่ที่เขานั่งมา สามคนในกลุ่มอาชญากรนั่นนอนหลับในท่านั่งพิงเบาะ เขาไม่สงสัยเลยว่าทำไมร่างสูงถึงบอกให้เขาเงียบเสียง เพราะถ้าพวกมันตื่น...
เกร๊ง...
แววตาดุดันหันขวับกลับมาในทันทีเมื่อเขาพลาดเข้าไปเตะกระป๋องน้ำอัดลมจนกระแทกกับฟุตบาศก์ด้านหน้า พวกมันที่อยู่ในรถขยับตัวเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอย่างที่ควรจะเป็น
“โง่” คำด่าสั้นๆดังออกมาจากอีกฝ่ายในแบบที่ได้ยินกันแค่สองคน เขาทำเป็นหูทวนลมแล้วมองตรงไปข้างหน้า
ฝีเท้าสองคู่ก้าวเข้าไปใกล้กับรถยนต์ขนาดกลางมากขึ้น เด็กน้อยยังคงนอนหลับไม่รับรู้ความเป็นไปรอบตัว เหมือนจะเป็นครั้งแรกของวันที่โชคเข้าข้าง เจ้าของรถคันนั้นไม่ได้ล็อคประตูเอาไว้
“แล้วเราจะแน่ใจยังไงว่าไปกับรถคันนี้แล้วเด็กจะปลอดภัย?”
“ถ้าเป็นคนดีก็คงพากลับไปส่งบ้าน แต่ถ้าไม่” นัยน์ตาสีเข้มมองมาที่เขา “ก็ค่าเท่าเดิม”
ร่างสูงบรรจงวางร่างของเด็กหญิงลงบนเบาะหลังของรถ อีกฝ่ายเท้าเอวมองร่างที่ยังหลับใหลอยู่สักพักแล้วเกาข้างแก้มอย่างใช้ความคิด สุดท้ายประตูรถก็ถูกปิดลง คงไม่แปลกถ้าเขาจะสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยอมช่วยเด็กผู้หญิงคนนี้ได้ง่ายดายนักทั้งๆที่ก็ต้องหากินบนความทุกข์ทรมานของลูกผู้หญิงอยู่แล้ว ขาเล็กก้าวออกไปพร้อมกับที่อีกฝ่ายกระตุกข้อมือ ดูเหมือนว่าพวกมันในรถบรรทุกนั่นยังคงหลับอยู่ ขอบคุณพระเจ้าที่ยังเมตตา...
“พวกแกมาทำอะไรที่รถของฉัน?!” เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นมาจากด้านหลัง คนตัวสูงหยุดฝีเท้ากึกแต่สายตายังคงมองตรงไปด้านหน้า ใบหน้าเล็กหันกลับไปมองข้างหลังอย่างเชื่องช้า ปืนที่เล็งมาทางเขาทำให้ต้องกลืนน้ำลายดังอึก
“เขามีปืน”
ตุบตุบ!
เด็กน้อยที่ลุกขึ้นนั่งทุบกระจกรถสองสามครั้ง นัยน์ตาเล็กเบิกกว้าง เขาพยายามจะอธิบายให้ชายวัยกลางคนนั่นเข้าใจแต่สมองดันประมวลผลช้ากว่าปกติจึงเล็ดรอดออกมาเพียงเพียงเสียงอึกอักในลำคอ
“ซวยกูแล้ว” ร่างสูงสบถออกมาทั้งๆยังมองตรงไป เสียงปิดประตูปึงปังดังออกมาทางด้านรถบรรทุก
“พวกมึงจะเอาเด็กไปไหน!”
ปัง!
นัดแรกนั่นไม่ใช่การขู่ ปืนที่อยู่ในมือไอ้เด็กเวรนั่นเฉียดหน้าเขาไปเพียงไม่กี่คืบแต่กลับพลาดไปเข้ากลางหน้าผากชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลัง
“ไปช่วยกันในนรกเหอะมึง”
ปังปัง!
เสียงปืนยังดังออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาไม่อาจสังเกตความเป็นไปรอบข้างได้ชัดเจนนักเพราะสับสนในทิศทางการเคลื่อนไหวคนที่ข้อมือผูกติดกัน รู้เพียงแต่ว่าเด็กน้อยที่อยู่ในรถคันนั้นถูกดึงเข้ามาอยู่แนบอกของไอ้หน้าตัวเมียนี่แล้ว
“ไอ้เหี้ย วิ่งสิวะ” มันพูดออกมาก่อนจะวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ข้อมือที่ถูกคล้องพันธนาการนับเป็นอุปสรรคให้เขาไม่สามารถก้าวทันคนตรงหน้าได้ แต่ถึงอย่างนั้น... เขาต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองล้มลงในเวลานี้
ปัง! ปังปัง!
“อั่ก...” คราบเลือดแดงฉานกระเด็นเข้าสู่ใบหน้าของทั้งคู่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ศีรษะของเด็กน้อยถูกระเบิดด้วยกระสุนปืนของไอ้ระยำที่วิ่งตามมา ในขณะที่เขายังคงไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ร่างสูงทิ้งศพเด็กลงบนพื้นถนนทันทีที่ลมหายใจสุดท้ายของเด็กน้อยสิ้นลงมือหนากระชากข้อมือเขาสุดแรงให้ทั้งร่างทะยานเข้าสู่ความมืดข้างหน้า
ปัง!
นานนับสิบนาทีที่เสียงปืนหยุดลง เป็นเวลาราวครึ่งชั่วโมงที่ทั้งคู่วิ่งเข้ามาในป่ารกและมืดทึบ ฝีเท้าของคนตรงหน้าค่อยๆลดความเร็วลงจนหยุดนิ่งในที่สุด คนตัวเล็กหอบหายใจหนักแล้วใช้มือยันเข่าของตัวเองเอาไว้
“เพราะมึงคนเดียว” ดวงตาวาวกร้าวหันมามองเขาด้วยสีหน้าโกรธจัด
“ผมขอโทษ...” เขาช้อนหน่วยตาชื้นใสขึ้นมองใบหน้าคมเกลี้ยงที่ถูกกลบด้วยคราบเลือดสีแดงข้น “คุณจะฆ่าผมก็ได้ แต่... ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้”
“หุบปาก”
“แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี?”
“ฆ่ามึงไง” อีกฝ่ายหันมาตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทำให้เขาต้องหลบสายตา
“จะทำจริงหรอ?”
“เหอะ ถ้าไม่ติดว่าต้องลากศพมึงไปตลอดทาง กูคงทำตั้งแต่อยู่ในรถแล้ว” ข้อมือหนากระตุกเข้ามาเล็กน้อยเพื่อเรียกให้เขาเดินต่อ ขายาวยังคงก้าวเดินออกไปเรื่อยๆราวกับไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย
“หยุดก่อน คุณได้รับบาดเจ็บนี่” ข้อมือบางเป็นฝ่ายกระตุกเรียกให้คนตรงหน้าหันมา หลังจากที่ดวงตาเริ่มปรับสภาพให้มองเห็นตอนกลางคืนได้แล้ว เลือดที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจากหัวไหล่หนาเป็นความผิดปกติแรกที่เขาสังเกตเห็น
“เสือก” ถึงจะยังไม่คุ้นเคยกันนัก แต่คำพูดที่ฟังดูไม่เป็นมิตรนั่นเริ่มทำให้เขาชินกับมัน
“เจ็บมากไหม?”
“เสือก”
“ผมจริงจังนะ...” คนตัวเล็กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ อีกฝ่ายเงียบลงไปหลังจากที่เขาพูดจบ “ถ้าออกไปได้คุณควรจะไปหาหมอ”
“ไปให้พ่อมึงตามมาจับหรือไง”
“พ่อผมไม่ได้เป็นตำรวจ” อีกฝ่ายหันมามองเขาด้วยหางตา “ไปแค่ร้านขายยาก็ยังดี”
“กูจะไปหลังจากที่เชือดมึงให้ตายคามือเสร็จแล้ว”
“แล้วเราต้องเดินกันอีกไกลแค่ไหน...”
“หน้ากูเหมือนแผนที่หรอ?” ร่างสูงหันกลับมาพร้อมกับคำพูดกวนประสาท
“ผมกลัวว่าถ้าเช้าแล้วคนข้างนอกจะเห็นเราในสภาพนี้ มันคงไม่ดีแน่”
“ยังคิดว่ามีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกหรอ?”
“...” เขาไม่ตอบอะไร ออกจะเห็นด้วยกับคำพูดของอีกคนด้วยซ้ำ
“เดินไปอีกหน่อยคงเจอถนน น่าจะพออาศัยรถที่วิ่งผ่านไปผ่านมากลับเข้าเมืองได้”
“เราจะไปด้วยสภาพนี้?”
“แล้วคิดว่าในที่แบบนี้มีร้านตัดสูทให้มึงใส่ไหมล่ะ?”
“ตื่นดิวะ” ฝ่ามือหนาตบเบาๆที่ข้างแก้มเล็กของคนที่ยังนอนอยู่บนผ้าใบ มินซอกขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะวางฝ่ามือยันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่ง ดวงตาเรียวหยีกวาดมองไปรอบๆ มีแถบสีส้มกระจายอยู่บนแนวขอบฟ้า นั่นดูเหมือนว่าพระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว
“เราอยู่ที่ไหน?”
“ที่ไหนไม่รู้แต่ต้องไปแล้ว”
หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้มีรถบรรทุกขนส่งสินค้าแวะจอดริมถนนหลังจากที่เขาและมินซอกดักรออยู่นานนับชั่วโมง หลังจากที่คนขับรถแวะลงมายิงกระต่ายข้างทาง ทั้งคู่จึงพากันปีนขึ้นไปหลบอยู่ท้ายรถบรรทุกคันนั้นแล้วผลัดกันหลับบนผ้าใบที่ห่อคลุมสินค้าที่บรรทุกมา
มือหนาดึงปลายลวดที่ขึงผ้าใบแล้วงัดเข้าไปในรูกุญแจ คิ้วเข้มขมวดแน่นแล้วมองการกระทำของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ
แกร๊ก...
กุญแจมือหลุดออกจากกันได้สำเร็จ ข้อมือหนายกขึ้นปาดเหงื่อออกก่อนจะมองลงไปข้างล่าง เขากระโจนลงมาอย่างไม่รีรอแล้วกรอกตามองขึ้นไปด้านบน
“รออะไร ลงมาสิวะ”
“คือ...” คนตัวเล็กยังคงปัดป่ายไปตามตัว มือบางล้วงเข้าไปในเสื้อโค้ทของตัวเองทำท่าเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง “กระเป๋าสตางค์ผม...”
“อยู่นี่” เขายกกระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลเข้มที่มีรอยขาดทั่วทั้งใบขึ้นมาในระดับสายตา
“คุณเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“มึงจะพูดอีกนานป่ะ? กูบอกให้ลงมา” คนตัวเล็กเม้มปากแน่นแล้วแสดงทีท่ากล้าๆกลัวๆ แต่แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจกระโดดลงมา เขารู้สึกหัวเสียกับท่าทีเงอะงะของอีกฝ่ายจนอยากจะฆ่าให้มันตายๆไปซะ แต่ที่เก็บไว้เป็นภาระติดตัวเพราะคิดว่าคงใช้ประโยชน์จากมันในชีวิตประจำวันหลังจากนี้ได้บ้าง อย่างน้อยที่สุดก็คงเป็นเรื่องของความเป็นอยู่
“เราจะทำยังไงต่อดี?”
“เดินเข้าเมืองแล้วหาที่พักสักที่”
“แต่เลือดคุณยังไม่หยุดไหลเลยนะ คุณน่าจะแวะคลินิกก่อน”
“เสือก” เขาตวัดสายตากลับไปมองที่ใบหน้าเรียวขาว คนตัวเล็กก้มหน้าลงแล้วเดินขนาบข้างเขามาเงียบๆ เขาแปลกใจนักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่คิดจะหนีในเมื่อตอนนี้เขาไม่มีอาวุธอะไรติดตัวเลยสักอย่างนอกจากมีดพกแค่เล่มเดียว เป็นไปได้ที่มันอาจจะยังไม่รู้...
ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วขณะ ร่างเล็กที่เหมือนจะเดินสัปหงกไปตลอดทางทำให้เขาแอบหัวเราะเยาะคนเดียวอยู่หลายครั้ง เสียงที่เงียบไปนั่นทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาพอประมาณ เขาหงุดหงิดกับสรรพนามกระแดะที่มันใช้จนแทบจะเข้าไปซัดให้ปากเหวอะ แต่ก็คิดขึ้นได้ทีหลังว่าภาษาที่ตัวเองเคยชินนั่นล้วนเป็นสำนวนที่หยาบคายทั้งหมดทั้งสิ้น
“มินซอก” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยชื่อของอีกคนผ่านริมฝีปากที่แห้งกร้าน
“คุณรู้ชื่อผม?”
“ก็ดูในบัตรประชาชน” เขาสังเกตกิริยาของอีกฝ่ายที่เหมือนจะลืมไปแล้วว่าตั้งแต่ที่เจอกันเขาทำอะไรกับชีวิตมันเอาไว้ ใช้เวลามองอยู่นานจนมันรู้ตัว...
“รอให้ถามกลับอยู่หรอ?” คำถามโง่ๆหลุดออกมาจากริมฝีปากเล็ก ภายใต้แววตาที่ว่างเปล่านั่น เขาเดาไม่ออกเลยว่าคนหน้าตาแบบนี้เวลายิ้มจะเป็นยังไง “คุณชื่ออะไร?”
“ลู่หาน”
“คิดไว้แล้วว่าคุณคงไม่ใช่คนเกาหลี ถึงสำเนียงจะชัดมากแต่ก็ออกเสียงผิดอยู่หลายคำ”
“...” เขารู้สึกหน้าเสียอย่างบอกไม่ถูก เวลาที่ออกเสียงผิดมันจะน่าขำขนาดไหนนะ แล้วถ้าตอนนั้นเขากำลังขู่ฆ่ามันอยู่ล่ะ... เหี้ยเอ๊ย!
- To Be Continue –
ได้ฤกษ์ลงแชปเตอร์แรกสักที ก่อนอื่นเลยขอขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นของคุณผู้อ่านที่มีต่อ #ฟิคมฟต นะคะ สารภาพว่าฟิคเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยที่อีหนวดเขียนแนวนี้ จะพยายามขัดเกลาภาษาให้เหมาะสมกับเนื้อหาให้มากที่สุดค่ะ หากพบข้อผิดพลาดตรงไหนแจ้งได้เสมอเลยนะคะ
ประการที่สอง ! แถ่แด๊ ~ พระเอกฟิคของเราปรากฏตัวแล้วค่ะ อย่างที่ทุกคนเข้าใจเลยว่าคนที่เจอ ‘ตัวแส่’ คือลู่หานนั่นเอง ส่วนอีกสามคนที่เหลือจะเป็นใครกันนะ... ติ๊กต่อกติ๊กต่อก
ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนนิดๆแล้ว แฟนฟิคของหนวดต้องรักษาสุขภาพมากๆนะคะ รักนะชู้บ <3
ความคิดเห็น