ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( EXO ) MALEFACTOR ! | LUMIN FEAT.KAIHUN

    ลำดับตอนที่ #9 : | MALE08 : RAVISH |

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 57


    | MALE08 : RAVISH|

    AUTHOR : NUTCRACKER

     

     

     

     

     

     

     

     

                อาหารหลักมื้อสุดท้ายของวันวางเรียงกันบนโต๊ะอาหารขนาดกลางที่กว้างพอจะรองรับคนทั้งห้าชีวิตได้ เมนูวันนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษหนักหนา ก็มีเพียงแต่แกงจืดในชามขนาดใหญ่ที่ค้างหม้อมาตั้งแต่สองวันที่แล้วและปลาทอดที่เหลือมาจากเมื่อเช้า ที่ดูว่าจะเป็นของใหม่ก็มีแต่เมนูไข่ที่แบคฮยอนเจ้าเก่าเป็นคนโชว์ฝีมือ

     

                มินซอกคดข้าวจนพูนชามให้กับสองพี่น้องที่ดูจะสิ้นพลังงานไปเยอะกว่าใครในแต่ละวันทั้งที่ความจริงก็แทบไม่ได้ทำอะไร ยิ่งกับคนพี่ด้วยแล้วก็คงไม่พ้นนอนกระดิกเท้าดูโทรทัศน์สบายๆอยู่ที่บ้านแล้วปล่อยให้คนที่ไม่มีคดีอาญาติดตัวอย่างเขาเป็นคนหารายได้ ถึงจะเหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร... หากเทียบกับเดิมพันของลู่หานที่เอาที่ซุกหัวนอนมาแลกก็ถือว่ามันคุ้มกัน หากกลับไปอยู่คนเดียวที่นั่นป่านนี้เขาก็อาจจะไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกอีกต่อไปแล้วก็ได้

     

     

                “ปะป๊าครับ วันนี้เสี่ยวหยูมาหอมแก้มแอนดี้ตอนไถ่รูดด้วยครับปะป๊า” เสียงของเด็กน้อยเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุดตั้งแต่กลับมาถึง มินซอกลอบมองอยู่ห่างๆแล้วก็อมยิ้มออกมาจนแก้มแทบปริ... เขาไม่ได้ยินแอนดี้พูดถึงเพื่อนโรงเรียนมากี่วันแล้วนะ?

                “ถ่ายรูป” คนเป็นพ่อป้อนมะเหงกเบาๆหนึ่งทีเมื่อได้ยินลูกชายของตนเองพูดคำนี้ผิดอยู่เรื่อย “ท่าทางจะเนื้อหอมแฮะ สาวๆมารุมตอมเยอะเลยใช่ไหมล่ะ?”

                “ครับ~” แอนดี้พูดพลางอมยิ้มออกมาในขณะที่อาหารยังเต็มอยู่ในสองแก้ม “เสี่ยวหยูบอกว่าแอนดี้หล่อเหมือนปะป๊าเลยครับ เสี่ยวหยูบอกว่าเคยเห็นปะป๊าในทีวีด้วย”

                “เหรอ...” ลู่หานเหลือบตาขึ้นมองจงอินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้ในรายการข่าวมักจะฉายภาพร่างใบหน้าของเขากับพรรคพวกอยู่เสมอจึงไม่แน่ใจว่าเพื่อนที่โรงเรียนจะสามารถเห็นเขาได้จากที่ไหน จงอินรีบกลืนข้าวลงคอก่อนจะกระดกน้ำตามอีกค่อนแก้ว

                “จริงป่ะ แล้วอีเด็กนั่นมันบอกป่ะว่าเห็นพ่อมึงในรายการอะไร”

                “ปะป๊า...” เด็กน้อยงอแงกอดแขนพอใหญ่เมื่อได้ยินพี่ชายตัวดำของตัวเองพ่นคำหยาบออกมา ริมฝีปากเล็กเบะคล้อยพร้อมกับที่ใบหน้าขาวง้ำงอจนคนเป็นพ่อต้องยันเข่าเข้าให้หนึ่งที

                “พูดกับลูกกูดีๆไอ้สัด”

                “เหี้ยนี่ เอาเด็กมาอ้างนี่หว่า” สบถด่าออกไปอย่างนั้นแต่สุดท้ายแล้วก็ต้องอ่อนข้อให้เด็กที่ไม่รู้เดียงสาอย่างจำยอม “ละไง เสี่ยวหยูอะไรนี่ได้บอกป่ะว่าเห็นปะป๊าของแอนดี้ช่องไหน?”

                “เห็นในช่องทีวีครับ” คำตอบที่ได้รับมาดูท่าจะไม่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่ แอนดี้ตักข้าวคำใหญ่เข้าปากอีกครั้งก่อนจะเอามือปิดปากแล้วพูดต่อ “เสี่ยวหยูบอกว่าแม่ของเสี่ยวหยูพูดถึงปะป๊าด้วยนะครับ แต่พูดไม่ดีเลย”

                “...” คราวนี้ลู่หานเริ่มทำหน้าไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนตัวจงอินเองก็ถึงกับกลืนข้าวคำใหม่ไม่ลง แบคฮยอนติดอยู่ในโลกเงียบของตัวเองมานานพอสมควรแล้วก็ได้แต่มองทุกคนสลับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ

                “แล้วคุณแม่ของเสี่ยวหยูบอกว่าอะไรเหรอครับ?” มินซอกทำหน้าที่ถามต่อพร้อมกับตีสีหน้ายิ้มแย้ม แอนดี้หันกลับไปยิ้มตาหยีให้เมื่อแผ่นมือบางของพี่ชายคนใหม่ไล้เข้าที่หลังศีรษะกลมเล็กอย่างแผ่วเบา

                “คุณแม่ของเสี่ยวหยูบอกว่า...”

                “...”

                “...”

                “...”

              “ยอมแล้วทูนหัวอยากมีผัวเป็นสไปเดอร์แมน!!!

                “...”

                “...”

                “ห่า” จงอินสบถหยาบเต็มเสียงเมื่อมันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดกันไว้

     

     

                ทั้งสามคนบนโต๊ะอาหารมองหน้ากันอย่างโล่งใจแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ลู่หานแกล้งเอามือทาบหน้าท้องของตัวเองแล้วถอนหายใจพรูอย่างติดตลก เพื่อนที่โรงเรียนยังคงเข้าใจว่าพ่อของเด็กคนนี้ทำอาชีพเป็นสตันท์แมนของตัวเอกภาพยนตร์ดังหลายเรื่องทำให้ไม่มีเวลามาพบครูประจำชั้นอย่างผู้ปกครองคนอื่น... ลู่หานไม่ได้คิดจะปิดบังอาชีพที่แท้จริงของเขาต่อลูกชายของตนเองตลอดไป ในวันหนึ่งที่แอนดี้โตพอที่จะเข้าใจสัจธรรมของโลกใบนี้ได้ดีกว่าที่เป็น ลู่หานตั้งสัตย์ไว้แล้วว่าจะพูดมันออกมาด้วยตัวของเขาเอง

     

     

                “วันนี้พี่เวรกลับเร็วจังเลยครับ แอนดี้ดีใจที่ซู้ดดดดดเลย!~

                “ฉอเลาะ” ไม่วายที่จะเอ่ยแซวก่อนจะเหน็บผ้ากันเปื้อนกลับที่เก่าเมื่อเห็นว่ามันเริ่มหมิ่นเหม่ออกมาเพราะความไม่อยู่นิ่งของลูกชายของตนเองอีกแล้ว

                “เปล่านะครับปะป๊า!!” เด็กชายเถียงเสียงแข็งขณะที่ในมือยังกำช้อนแสตนเลสแน่น ใบหน้าเล็กยิ้มร่าไปทางมินซอกที่กำลังอมยิ้มอยู่เช่นกัน “วันนี้พี่เวรสอนการบ้านแอนดี้หน่อยนะครับ เมื่อวานปะป๊าสอนผิดหมดเลย แอนดี้ไม่อยากให้ปะป๊าสอนแล้วครับ!

                “ได้สิครับ” มินซอกตอบรับกลับมาอย่างง่ายดาย

                “ลูกด่าว่ามึงโง่อ่ะ” จงอินแซะ

                “มึงฉลาดตายห่า”

                “ปะป๊าไม่โง่นะครับ!!!

                “กูบวกเลขไม่ผิดแล้วกัน”

                “เหี้ยดำนี่สงสัยไม่อยากแก่ตายสินะ”

    “ลู่หาน...”

                “ไม่ต้องเรียก”

                “มึงผิด”

                “มึงแหละผิด”

                “มึงโง่”

                “พี่ดำห้ามว่าปะป๊านะครับ!!!

                “มันบวกเลขผิดทั้งกระดานเลยนะแอนดี้”

     

     

     

     

               

    ปึง!

    เสียงทุบโต๊ะดังมาจากทางแบคฮยอนที่นั่งกินข้าวเงียบๆคนเดียวอยู่นาน แอนดี้ยกมือขึ้นปิดปากแน่นเมื่อเห็นว่าพี่ชายตัวเล็กของตัวเองกำลังทำหน้าดุ แบคฮยอนมองไปทางมินซอกที่ดูจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจในภาษาของเขาแล้วเริ่มร่างมือขึ้นในอากาศคร่าวๆ

     

     

    “แบคฮยอนบอกว่าให้เลิกเถียงกันบนโต๊ะอาหารแล้วตั้งหน้าตั้งหน้ากินข้าวได้แล้ว”

    “พูดเหมือนเสียงพวกกูไประคายหูมันงั้นล่ะ”

    “นี่คุณ” มินซอกมองตาขวางหลังจากที่ลู่หานพูดในสิ่งที่ฟังดูไม่สร้างสรรค์สักเท่าไหร่

    “กูพูดผิดตรงไหน?”

    “มันก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะพูดไม่ใช่เหรอ?” ลู่หานหน้าเจื่อนลงไปในที่สุด จงอินเหลือบตามองทั้งคู่เล็กน้อยแล้วอมยิ้มออกมา

    “กินปลาซะแอนดี้ จะได้ไม่โง่เหมือนพ่อมึง” เด็กหนุ่มว่าพลางตักปลาทอดที่เหลือในจานกับข้าวให้กับเด็กน้อยที่จ๋อยไปเพราะโดนแบคฮยอนเอ็ดเมื่อครู่

     

     

    ความวุ่นวายบนโต๊ะอาหารหยุดลงหลังจากที่จงอินเป็นฝ่ายยอมราศึก หน้าที่ทำความสะอาดตกเป็นของแบคฮยอนอีกตามเคย ความจริงแล้วหากได้ร่วมมื้ออาหารกันมินซอกก็จะเป็นคนที่คอยช่วยอยู่อีกแรง เพียงแต่วันนี้แอนดี้งอแงให้พี่เวรของเขาช่วยสอนการบ้านอยู่ท่าเดียวแบคฮยอนจึงปฏิเสธการช่วยเหลือของมินซอกไปโดยปริยาย

     

     

    “ง่วงแล้วอ่ะดิ” ลู่หานว่าพลางตบแก้มลูกชายคนเก่งของตัวเองเบาๆ จากนั้นเด็กน้อยก็พยักหน้าหงึกกลับมา

    “อย่าลืมสัญญานะครับ...ถ้าคุณครูถามว่าใครสอนการบ้านวันนี้ให้ แอนดี้จะบอกคุณครูว่ายังไงนะ?”

    “บอกว่าพี่เวรสอนการบ้านให้แอนดี้ครับ!” เด็กน้อยตอบกลับมาเสียงเจื้อยแจ้ว

    “อยู่นอกบ้านไม่เรียกพี่เวรดิ” ลู่หานขัด

    “แล้วแอนดี้ต้องเรียกพี่เวรว่าอะไรหรอครับปะป๊า”

    “ขอปะป๊าคิดก่อน” ร่างสูงเอานิ้วเคาะขมับอยู่สองสามครั้งแล้วแกล้งทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

    “ติ๊กต่อกติ๊กต่อก” แอนดี้ก็เหมือนจะให้ความร่วมมือเช่นเดียวกัน

    “เรียกว่าพี่มินซอกสิครับ” เจ้าของชื่อพูดขึ้นก่อนจะเอายีหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู ลู่หานดีดนิ้วดังเปราะแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

    “พี่มินซอกครับ~

    “เอาล่ะ ทีนี้แอนดี้ของพี่มินซอกจะต้องเตรียมตัวเข้านอนแล้ว ถ้าเป็นเด็กดีทำตามที่พี่บอกล่ะก็...ในวันคริสต์มาสคุณลุงซานต้าจะมีของขวัญชิ้นใหญ่มาให้แอนดี้นะครับ”

    “จริงหรอครับปะป๊า”

    “ใช่แล้ว” ลู่หานพูดจบก็คว้าตัวเจ้าลูกชายเข้ามาในอ้อมแขนแล้วหอมแก้มดังฟอด “ทีนี้แอนดี้จะไปนอนกับปะป๊าได้ยัง?”

    “ไปครับไปครับ!~

    “ฮึบ!” ร่างสูงยันตัวลุกขึ้นมาพร้อมกับเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขน “หนักนะเนี่ย...ถ้าโตกว่านี้ปะป๊าจะอุ้มไม่ไหวละนะ”

     

     

    เสียงพูดคุยกันของสองพ่อลูกยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กแก่นจะเริ่มง่วงเข้าเต็มทีอย่างที่ลู่หานพูดจริงๆเพราะการตอบสนองของเด็กติดอเลิร์ทอย่างแอนดี้ค่อนข้างจะช้ากว่าปกติอยู่พอควร มินซอกเดินไล่หลังตามไปส่งแต่แล้วก็หยุดฝีเท้าลงที่บันไดขั้นแรกเมื่อเสียงของอะไรบางอย่างที่ถูกลากไปมาดังขึ้นจากหลังบ้าน เขาชะเง้อมองอยู่สักพักก็เห็นว่าเป็นจงอินที่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่

     

     

    “คุณขึ้นไปเถอะ ผมจะไปดูจงอิน” ลู่หานมองเขาตาขวางอย่างไม่พอใจนักแต่เป็นเพราะอยู่กับแอนดี้จึงไม่สบถด่าเขาเสียงดังอย่างเช่นผ่านมา

    “กูไปเอง”

    “คุณก็รู้ว่าแอนดี้จะไม่ยอมนอนถ้าคุณไม่กล่อมเขา”

    “แต่”

    “ไม่มีแต่”

    “...”

    “ถ้าทำอะไรเสร็จแล้วผมจะรีบตามขึ้นไป” คำพูดของเขาทำให้แววตาของลู่หานเปลี่ยนไป “อาบน้ำด้วยนะคุณน่ะ” แถมตอนนี้หมอนั่นยังอมยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเขาอยู่อีก พอพูดถึงเรื่องอาบน้ำแล้วก็รู้สึกร้อนขึ้นที่ใบหน้าเหมือนกำลังโดนไฟสุม เขาเบี่ยงหน้าออกมาให้พ้นจากแววตาอันตรายคู่นั้นก่อนจะวิ่งเหยาะออกไปในทันที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ภายในห้องขังที่มืดสลัว...

     

     

    มีเพียงแสงไฟจากภายนอกลอดผ่านเข้ามาตามซี่กรงและเงาผู้คุมที่เดินตรวจการผ่านไปผ่านมาทุกครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มร่างโปร่งยาวยังคงนั่งเหยียดขาอยู่ในมุมเดิมแล้วกลอกตามองเด็กหนุ่มที่นั่งห้อยขาอยู่บนเตียงชั้นบน เซฮุนกลายเป็นคนสูบบุหรี่จัดนับตั้งแต่วันที่โดนจับเข้ามาแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคนักเมื่อเจ้าหน้าที่คนเดิมยังคงแวะเวียนเข้ามาส่งเสบียงอาหารและบุหรี่ซองใหม่ให้กับเขาทั้งสองคนอยู่ทุกคืน

     

     

    เด็กนั่นไม่ชวนเขาคุยมาหลายชั่วโมงแล้ว การที่เข้ามาอยู่ด้วยกันตรงนี้ทำให้จากที่ไม่สนิทกันเลยสักนิดก็ได้รู้จักกันมากขึ้น เขารับรู้ถึงความยากลำบากของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ต้องคอยหาเงินมาเยียวยาแม่ที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลต่างจังหวัด แต่อย่างไรก็ตาม... แม้ว่าความจำเป็นในชีวิตของคนที่พลัดหลงเข้ามาในสายอาชีพนี้มันจะเป็นเหตุผลค้ำคออยู่ก็ช่าง แต่ความน่าสงสารมันไม่ถูกยกขึ้นมาตัดสินในชั้นศาลในเมื่อยังมีอาชีพสุจริตอีกมากที่รองรับคนที่กำลังตกยาก พวกเขาแค่ไม่เลือกจะทำมันตั้งแต่แรกเท่านั้นเอง

     

     

    “พี่...มีคนมา” เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแล้วกระโดดลงมาจากเตียงชั้นสองจนเกือบจะเสียหลัก ชานยอลปรายตามองออกไปด้านนอกก็เห็นว่าพวกผู้คุมหายไปจากบริเวณนี้กันเกือบหมดแล้ว

    “ต้องเป็นจื่อเทาแน่ๆเลย” เซฮุนพูดด้วยแววตาที่เลื่อนลอย เด็กนี่สนิทกับจื่อเทามากที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งหมดแล้วมันก็ไม่สนิทกับใครอีกเลย มันยังคงหวังว่าเพื่อนรักของมันจะเข้ามาช่วยถึงในห้องขัง... ฝันกลางวันไปเถอะเด็กน้อย

    “ทำไมมันไม่เข้ามาสักทีวะ” เซฮุนบ่นซ้ำแล้วยืนคอตกอยู่สักพักก่อนจะชะเง้อมองจนหัวติดลูกกรง

    “เลิกหวังเหอะ มันเข้ามาไม่ถึงข้างในนี้หรอก”

    “ทำไม?”

    “ถ้ามาจริงก็คงโดนยิงไส้แตกตั้งแต่ด่านแรกแล้ว” ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะดึงบุหรี่หนึ่งในสี่มวนที่เหลือออกมา ร่างเพรียวหันมาปรายตามองขัดอารมณ์เขาเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับไปชะเง้อมองหาเจ้าฝีเท้าด้านนอกอย่างใจจดใจจ่อ

     

     

     

     

     

     

     

    “ผิดหวังล่ะสิที่เป็นฉัน”

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงที่ดังขึ้นไม่สร้างความแปลกใจให้แก่ชานยอลสักเท่าไหร่ ต่างกันกับเซฮุนที่ปล่อยมือออกจากลูกกรงแล้วเดินคอพับกลับมานั่งบนเตียงชั้นล่าง ชานยอลจุดบุหรี่ในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองนายตำรวจหนุ่มคนเดิมที่มักจะเข้ามาหาเขาทั้งสองคนในเวลานี้เป็นประจำ

     

    “อาหารแดนนี้คงไม่ถูกปากสินะถึงต้องเทให้ไอ้พวกแดนอื่นกินกันหมด”

    “เละเหมือนข้าวหมา ใครจะไปแดกลง” เซฮุนบ่นคนเดียวเบาๆ

    “ร้านแถวนี้ปิดกันหมดแล้ว หวังว่าพวกนายคงจะไม่รังเกียจอาหารสำเร็จรูปหรอกนะ” ร่างที่ยืนต้านแสงไฟพูดขึ้นพลางห้อยถุงพลาสติกสีขาวจากร้านสะดวกซื้อแขวนเอาไว้กับกรงเหล็ก เซฮุนที่อยู่ใกล้กว่าเดินไปรับมันเข้ามาก่อนจะเปิดถุงออกดู

    “ผมไม่ชอบกินโจ๊ก”

    “แดกๆไปเหอะ” ชานยอลพูดสวนออกมาทันควัน ร่างบางสอดมือเข้าไปในถุงพลาสติกก่อนจะถ้วยโจ๊กต้มสำเร็จออกมาสองถ้วยแล้วจึงพบขุมทรัพย์ที่วางรองอยู่ข้างใต้

    “บุหรี่นอกว่ะพี่!” เซฮุนแสดงอาการดีใจราวกับเด็กที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ ถึงจะรู้สึกพอใจกับมันแต่ท้องที่ร้องกิ่วก็ทำให้ต้องหันไปสนใจกับโจ๊กสำเร็จรูปที่วางอยู่ข้างๆมากกว่า

    “แบ่งไว้สูบวันอื่นบ้างก็ดีนะ หลังจากวันนี้ไปฉันคงไม่ได้เข้ามาที่นี่อีกนาน”

    “เมื่อวานก็พูดแบบนี้” เซฮุนพล่อยออกมาอีกครั้ง

    “มะรืนนี้เจ้าหน้าที่จะพาพวกนายออกไปให้การกับศาล” ชานยอลจี้บุหรี่ในมือลงบนพื้นทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ร่างสูงกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะแหงนมองหน้านาตำรวจอีกครั้ง

    “ต้องมีทนายไหม?”

    “แน่นอนว่าใช่”

    “ปล่อยให้เรานอนแห้งอยู่แต่ในคุกแบบนี้แล้วจะให้เอาเวลาที่ไหนออกไปจ้างทนายมาสู้คดีได้วะ บ้าเปล่า” เซฮุนสบถออกมาอย่างหัวเสีย ชานยอลเองก็เห็นด้วยเช่นกัน

    “ถึงจะได้ผ่อนโทษในคดีนี้ แต่คดีที่ติดตัวอยู่ก็ทำให้ดิ้นไม่หลุดเหมือนเดิม”

    “หมายความว่ายังไง?” ร่างสูงกัดฟันกรอดก่อนจะลุกเดินออกมาจนถึงหน้าห้องขัง “ที่คุณพูดว่ายังไงก็ดิ้นไม่หลุดนั่นอ่ะ มันหมายความว่ายังไง?”

    “หมายความว่าสุดท้ายยังไงก็ต้องกลับมาลงเอยที่แดนประหารอยู่ดีไงล่ะ”

     

     

     

     

     

    กึก!

    คำพูดของนายตำรวจจุนมยอนทำให้เซฮุนต้องทิ้งช้อนพลาสติกลงในถ้วยโจ๊กแล้วกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกชาราวกับโดนน้ำเย็นสาดหน้า รู้ทั้งรู้ว่าโอกาสมันริบหรี่แค่ไหนที่จะหลุดพ้นจากห้องขังนี้แต่เขาก็ยังคิดว่ามันยังพอมีหวัง ชานยอลหันมาสบตากับเขาครู่หนึ่ง แววตาคู่นั้นไม่ได้เรียบเฉยอย่างที่ผ่านมา หนำซ้ำมันยังแอบแฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่เหมือนจะเป็นครั้งแรกว่าเขาทั้งคู่คงจะคิดตรงกัน ชานยอลหันหน้ากลับไปหาเจ้าหน้าที่คนเดิมแล้วปล่อยให้เขาต่อสู้กับความสับสนในหัวสมองอยู่ลำพัง

     

     

     

     

    “ผมจะกลับไปที่บ้าน” ชานยอลพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีถ้อยคำสบถด่าอย่างที่ผู้คุมคนอื่นชอบทำกัน ได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะอย่างหน่ายระอาจากคนที่ยืนอยู่หน้าห้องขัง

    “คิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง?”

    “กุญแจอยู่ตรงนั้น” ชานยอลเพยิดหน้าออกไปที่ประตูทางเข้า “หลายวันมานี้ผมเห็นผู้คุมหยิบมันออกมาเวลาที่จะปล่อยผมไปอาบน้ำ”

    “ลืมไปแล้วหรือไงว่าคนที่ฟังคำพูดเพ้อเจ้อของนายตอนนี้คือตำรวจ” จุนมยอนพูดพลางล้วงกุญแจพวงใหญ่ที่อยู่ซ่อนอยู่ภายใต้กระเป๋าเสื้อคลุมตัวยาวมาโยนเล่นในมือก่อนจะส่ายหน้าไปมาให้กับความคิดไม่เอาไหนของนักโทษหนุ่ม

    “แบคฮยอนอยู่ที่นั่น”

    “แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน?”

    “ในเมื่อยังไงก็ต้องตายอยู่ดี...ก่อนตายผมอยากกลับไปเจอเขา” จุนมยอนกลอกตานิ่งไปสักพัก หากจะเรียกเด็กคนนั้นมาพบกับชานยอลในวันที่ขึ้นศาลก็คงไม่ปลอดภัยแน่ แต่หากว่าให้ตำรวจคอยคุ้มกันไปจนถึงที่บ้านล่ะ? แต่ถ้าเป็นแบบนั้น...

    “ลู่หานมีลูก มีจงอิน แต่แบคฮยอนไม่มีใครเลย” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้ามาชั่วขณะ ดวงตาสีเข้มเพ่งตรงไปที่คนในเครื่องแบบสีดำสนิท “เขามีแค่ผม...”

    “ไร้สาระ” จุนมยอนสบถใส่หน้าก่อนจะหันหลังให้อย่างไร้ความปราณี “พวกนายสองคนก็ดูแลตัวเองให้ดี หวังว่าคงจะไม่อดตายเอากลางคัน”

     

     

                ร่างขาวเหลียวมองเด็กหนุ่มทั้งสองคนในห้องขังอยู่สักระยะ แม้จะเข้าใจดีว่าความรู้สึกแบบที่ชานยอลพูดมานั้นมันเป็นอย่างไร หากทว่าความสงสารกลับไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้ในหน้าที่ของการเป็นตำรวจ จุนมยอนกัดฟันแน่นก่อนจะกระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาหันหลังให้กับการอ้อนวอนของนักโทษแบบนี้

     

     

     

     

              “คุณเองก็มีครอบครัวใช่ไหม?”

     

     

     

                เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็จำต้องหยุดฝีเท้าลง เป็นอีกครั้งที่เขาเหลียวมองกลับไปที่นักโทษคนเดิมที่ยังคงยืนเกราะลูกกรงเอาไว้แน่น ดวงตากลมโตที่ชื้นแดงมองมาที่เขาอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยคำร้องขอ เขาไม่ได้ตอบคำถามของชานยอลหากแต่คำตอบที่ชัดเจนอยู่ในใจก็โถมประดังเข้ามาในหัวสมอง...ครอบครัวที่เขาใช้ทั้งชีวิตเพื่อระลึกถึงมันตลอดมา

     

     

     

                “หรือใครสักคน จะเป็นใครก็ได้ที่ปกป้องชีวิตของคุณ คุณจำได้ไหมว่าตัวเองรู้สึกยังไงในวันที่เขาไม่กลับเข้ามาในชีวิตของคุณอีก”

                “...”

                “ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายที่ได้เห็นหน้าเขา”

                “...”

                “ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง...และทั้งชีวิตคุณก็เหลือเพียงแค่เขา”

                “พูดอะไร?” นายตำรวจถามเสียงเย็น ร่างโปร่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

                “นั่นคือสิ่งที่แบคฮยอนกำลังเป็นอยู่ เขาไม่ได้ทำความผิดอะไร เขาไม่ควรจะได้รับความรู้สึกแบบนี้”

                “นายก็รู้ว่าฉันทำตามที่นายขอไม่ได้”

                “คุณจะตามไปยิงหัวผมที่บ้านหลังนั้นก็ได้ ให้มันเป็นความรับผิดชอบกับที่ในวันนี้คุณปล่อยพวกเรา”

     

     

     

                เซฮุนยกกรอบสายตาขึ้นมองคนสองคนที่ยืนถกกันหน้าห้องขัง ชานยอลไม่ใช่คนพูดเก่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้ตกอยู่ในคราบของคนที่กำลังอ่อนแอเท่าวันนี้มาก่อน นายตำรวจคนนั้นนิ่งไปสักพักราวกับเป็นวินาทีวัดใจ ใบหน้าขาวจัดหันกลับมามองที่พวกเขาเพียงเสี้ยวตา กรามทั้งสองข้างขบกันแน่น ไม่รู้ว่าเขากำลังลุ้นกับคำตอบของตำรวจคนนี้มากแค่ไหนแต่ตอนนี้มือทั้งสองข้างก็ประสานกันแน่นจนรู้สึกชื้นเหงื่อ ไม่มีใครพูดอะไรเลยในวินาทีนี้...ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจหนักๆที่แว่วดังผ่านเข้ามาทางกรงขัง ชานยอลหันมาสบตากับเขาอีกครั้งราวกับต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง

     

     

                “คิดว่าตัวเองวิ่งเร็วแค่ไหน?” จุนมยอนตัดใจถามออกมาพร้อมกับเชิดใบหน้าขึ้นแล้วโกยอากาศเข้ามาจนเต็มปอด ในที่สุดเขาก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้ร้ายทั้งสองอีกครั้ง

                “เร็วเท่ากับคนที่กำลังวิ่งหนีความตายเลยล่ะ”

                “งั้นเหรอ...”

     

     

     

                แกร๊ก

                แม่กุญแจหล่นลงบนพื้นเป็นสัญญาณว่าคนที่อยู่ด้านในกำลังจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เซฮุนค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้าราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชานยอลกลอกตามองร่างของนายตำรวจที่ถอยห่างออกจากประตูห้องขังไปสองสามก้าว

     

     

                “วิ่งออกไปทางด้านหลังแล้วจะเจอกำแพงหนามสูงประมาณห้าเมตร ถ้าไม่โดนแทงตายตั้งแต่ตรงนั้นก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆ” ทั้งคู่พยักหน้าพร้อมกัน

                “ถ้าข้ามไปได้แล้วเราต้องวิ่งไปทางไหน?” เซฮุนถาม

                “ทางไหนก็ไม่ต้องสนใจหรอก ตรงนั้นมันเป็นป่า ค่อนข้างจะรกมาก ต่อให้รู้ทางยังไงแต่พอวิ่งเข้าไปแล้วก็หลงอยู่ดี วิ่งไปจนกว่าเจอถนนใหญ่ก็พอ”

                “ข้างนอกมีตำรวจไหม? แล้วผู้คุมล่ะ...มีไหม?”

                “เดี๋ยวก็คงรู้เอง” ชานยอลขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นก่อนจะวางฝ่ามือดันประตูห้องขังให้เปิดออกกว้าง

                “แล้วเรามีเวลามากแค่ไหน”

                “เดี๋ยวก็รู้เองอีกนั่นแหละ” จุนมยอนพูดพร้อมกับสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เซฮุนคว้าซองบุหรี่ยัดเข้าไปในกระเป๋าด้านหลังขณะที่ชานยอลหยิบเสื้อโค้ทสีครีมเข้ามาสวมเอาไว้อย่างไม่ประณีตนัก

                “อย่าลืมตามมายิงหัวผมล่ะ”

    นายตำรวจเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เซฮุนเป็นคนเดินออกไปก่อนแล้วชะเง้อมองข้างนอกผ่านกระจกหน้าต่างสีทึม จุนมยอนยืนไขว้ขาพิงกำแพงก่อนจะเหลียวมองไปทางเซฮุนที่กำลังเดินกลับมา

    “แม่ของเด็กคนนั้นกำลังป่วยใช่ไหม” คำถามนั้นพุ่งตรงมาที่ชานยอล เขาพยักหน้าตอบก่อนจะก้าวขาช้าๆออกมาจากห้องขัง

    “ฉันมีติดตัวอยู่แค่นี้ รับไป” เงินสดก้อนหนึ่งโยนเข้าไปกระทบกับหน้าอกของเซฮุนเต็มแรงก่อนจะหล่นแหมะลงพื้น เด็กหนุ่มก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วช้อนตามองร่างขาวทันที

    “ทำไมถึงให้ผม”

    “เพราะฉันเข้าใจดีว่าการที่จะได้เห็นแม่เป็นครั้งสุดท้ายมันเป็นยังไง” จุนมยอนยิ้มจืด “ฝากมันไว้ในฝ่ายการเงินของโรงพยาบาล ถ้าต้องใช้อะไรเดี๋ยวเขาก็คงหักออกไปเอง”

    “ขอบคุณ”

    “ทีนี้นายทั้งสองคนก็เป็นหนี้บุญคุณฉัน” ชานยอลและเซฮุนมองหน้ากันก่อนจะหันไปสบตากับนายตำรวจนิ่ง

    “คุณอยากให้พวกเราทำอะไร”

    ชานยอลเอ่ยถามออกไปเพื่อคลายความสงสัยให้กับตัวเอง นายตำรวจถอนมือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วผลัดกลับมากอดอกแน่น แววตาคู่นั้นไม่ได้ดูเหมือนกำลังคิดหนักอย่างที่ควรจะเป็น... เป็นไปได้ว่าจุนมยอนได้วางแผนเอาไว้แล้ว

     

     

     

     

    “ลู่หานน่ะ...”

    “ฉันฝากมันด้วย”

     

     

     

     

    ทั้งคู่มองหน้ากันอีกครั้งแล้วพยักหน้ารับคำอีกฝ่ายทั้งที่หัวสมองยังเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ นายตำรวจถอนหายใจหนักก่อนจะทอดมองออกไปทางด้านนอกผ่านกระจกทึบบานใหญ่ ยังคงทบทวนอยู่ว่าเขาทำแบบนี้มันดีแน่หรือ? การยกเรื่องส่วนตัวขึ้นมาทำให้หน้าที่การงานของตนเองหละหลวมนับเป็นความผิดขั้นร้ายแรงของเจ้าหน้าที่ หากตำรวจทุกคนเป็นแบบเขาบ้านเมืองก็คงจะเต็มไปด้วยอาชญากรและคนที่นอนอยู่ในตารางก็คงจะเป็นตำรวจด้วยกันเอง

     

     

     

              ตุบ!

    อยู่ในความคิดของตัวเองไม่ได้นาน หมัดหนักๆก็กระแทกเข้ามาที่ปลายคางอย่างแรงก่อนจะโดนถีบให้ล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้น จุนมยอนขมวดคิ้วด้วยความสับสนก่อนจะเห็นเงาของนักโทษหนุ่มสองคนที่ยืนต้านแสงไฟอยู่เหนือร่างของเขา

     

     

    “ขอโทษนะ แต่จำเป็นต้องทำว่ะ” ชานยอลพูดออกมาก่อนจะหันไปมองหน้าเซฮุนแล้วส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ทั้งคู่ต้องอัดจุนมยอนให้เละตั้งแต่ตอนนี้เพื่ออำพรางว่าเจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายแล้วทำให้เขาสองคนหนีออกไปได้

     

     

    เสียงเท้าหนักๆยังคงกระแทกเข้าที่สีข้างและลำตัวของนายตำรวจคนเก่าซ้ำไปซ้ำมา กำปั้นแข็งซัดเข้าที่ใบหน้าและข้างจมูกหลายครั้งต่อหลายครั้ง เซฮุนตัวเล็กกว่าชานยอลมากแต่น่าแปลกใจที่ทำไมหมัดของเด็กคนนี้มันถึงได้รุนแรงนัก ชานยอลกระทืบซ้ำที่กลางหน้าท้องอย่างแรงจนนายตำรวจต้องนอนตัวงอ น้ำเลือดเหนียวไหลย้อยออกมาจากริมฝีปาก เซฮุนรั้งคอเสื้อของนายตำรวจหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะง้างหมัดขึ้นเหนือหัว

     

     

    “พอแล้ว” ชานยอลยกแขนกันไม่ให้เซฮุนชกหน้าของนายตำรวจคนนั้นซ้ำอีกครั้ง เด็กหนุ่มปาดเหงื่อที่ข้างขมับก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล

    “ไอ้นี่อ่ะ...ขอนะ” เซฮุนว่าพลางชักปืนที่เหน็บอยู่บนขอบกางเกงด้านหลังของเจ้าหน้าที่ก่อนจะยัดมันเข้าไปในกางเกงของตัวเอง

    “สภาพแบบนี้เมียไม่ให้เข้าบ้านแน่” ชานยอลพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะดึงให้คนที่เด็กกว่าเดินตามหลังไปยังประตูทางออก จุนมยอนนอนจมร่างที่เหมือนจะแตกร้าวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดวงตากลมโตของชานยอลหันกลับมามองเขาอีกครั้งก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง

    “โชคดี แล้วเจอกัน”

     

     

    เขาพยักหน้าอยู่ไม่กี่ครั้งดวงตาที่บวมปูดก็ต้องปิดลง นายตำรวจหอบหายใจหนัก ประตูเรือนจำถูกปิดลงแล้วในตอนนี้ เหลือก็แต่เพียงเขาอยู่กับห้องขังที่เงียบสงัด เสียงคนที่อยู่ด้านนอกตะโกนโหวกเหวกกันไปมาเมื่อนักโทษแหกคุกทั้งสองคนไม่รอดพ้นสายตาของผู้คุมได้

     

     

     

     

    ปัง! ปังปัง!

     

     

     

    ใครบางคนเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งก่อนจะเรียกชื่อของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังคงดังไม่เท่าเสียงปืนที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ราวกับเป็นสงครามขนาดย่อมในเรือนจำระหว่างผู้คุมนับร้อยและนักโทษสองนาย

     

     

     

     

    สองคนสี่เท้าที่ว่าก้าวเร็วเท่ากับหนีความตายนั่น...

    มันจะหนีทันยมฑูตอีกสองร้อยเท้าที่วิ่งตามไปหรือเปล่า?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลับไปได้สักพักก็ต้องตื่นขึ้นมาหลังจากที่รู้สึกได้ว่ามีแรงดึงอยู่บนคอเสื้อ ลู่หานขยี้ตาลวกๆก่อนจะก้มลงมองลูกชายตัวน้อยที่มักจะกำเสื้อของเขาตอนนอนหลับอย่างติดเป็นนิสัย คงจะหลับไปหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกันเขาถึงได้ไม่รู้สึกงัวเงียเลยสักนิด ทอดสายตามองออกไปทางนอกหน้าต่างก็พบว่าฟ้ายังมืดอยู่

     

    ก่อนที่จะหลับไปก็ได้ยินเสียงเลื่อยไม้อยู่หลังบ้าน ชะโงกหน้าออกไปดูทางหน้าต่างก็เห็นว่าไอ้หน้าจืดนั่นกำลังยืนเกะกะในขณะที่ไอ้มืดกำลังเลื่อยไม้อย่างขันแข็ง มินซอกตะโกนขึ้นมาว่าจงอินจะต่อชิงช้าให้หลาน นับว่าเป็นความคิดดีๆที่นานครั้งจะเกิดขึ้นมาสักทีจากคนอย่างมัน แต่ไม้พวกนั้นมันก็คงไปจิ๊กมาจากโกดังร้างข้างหลังอีกตามเคย

     

    หลังจากที่เขาตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ก็ไม่เคยพาลูกออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอีกเลย วันนี้ที่จงอินไปรับมาจากโรงเรียนแอนดี้ก็คงจะบ่นมาตลอดทางว่าอยากให้พ่อของมันพาไปเที่ยวเล่นที่ไหน อย่าว่าแต่สวนสนุกเลย...แค่สวนสาธารณะใกล้ๆ เขายังไม่กล้าจะพาลูกออกไปเดินเล่นเลยด้วยซ้ำ

     

     

     

    ว่าแต่เสียงที่เคยได้ยินนั่นมันหายไปไหนแล้ววะ...

     

     

     

    ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาไม่มีแม้กระทั่งเสียงเลื่อยไม้หรือเสียงตอกตะปูแว่วเข้ามาในหูเลยสักครั้ง ถ้าเลิกทำกันแล้วทำไมมินซอกถึงยังไม่ขึ้นมาข้างบนอีก? เขาเงี่ยหูฟังอยู่สักพักก็พบว่าไม่ได้คิดไปเอง เสียงจากข้างนอกเงียบไปแล้วจริงๆ

     

     

     

     

    แล้วมันทำอะไรกันอยู่วะ?

     

     

     

     

    ลู่หานแกะมือของแอนดี้ออกมาจากเสื้อของตัวเองก่อนจะยันตัวขึ้นนั่ง กุมขมับตัวเองแน่นก่อนจะตบหน้าผากไล่ความคิดสกปรกของตัวเองออกไป เพราะรู้จักจงอินดีกว่าใครถึงได้รู้ว่าไอ้เหี้ยนี่มันติดกามขนาดไหน ไม่ว่าจะกับผู้หญิงหรือผู้ชายก็ฟาดเรียบไม่เลือกหน้าอยู่แล้ว ส่วนมินซอกที่ขนาดเขายังไม่ทันพูดจาโอ้โลมอะไรก็ยอมให้เข้าถึงง่ายๆ

     

     

     

    แล้วถ้าเป็นจงอินล่ะ...?

     

     

     

     

     

     

     

    เหี้ยเอ๊ย

     

     

     

     

     

     

     

    ร่างสูงลุกพรึ่บขึ้นมาจากเตียง มือหนาจับกลอนประตูเอาไว้แน่นก่อนจะสูดลมหายใจเข้ามากลั้นเอาไว้ในอก ชั่งใจอยู่สักพักว่าควรจะออกไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ ถ้ามันจะล่อกันจริงๆก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาอยู่แล้วนี่หว่า... ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ก็เหมือนว่ามือเจ้ากรรมแม่งไม่เห็นจะยอมฟังความคิดกูบ้างเลย สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไปจนสุดบาน

     

     

     

    “พี่...เบาหน่อย” เสียงของจงอินดังขึ้นตามมาด้วยเสียงสูดริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง ลู่หานขบกรามแน่นก่อนจะก้าวขาออกไปข้างนอกแล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ

    “ใจเย็นๆสิ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” มินซอกพูดพลางหัวเราะชอบใจ ร่างสูงกำหมัดแน่นก่อนจะหลับลงตาเพื่อข่มความเดือดดาลของตัวเองเอาไว้

    “พี่ ตรงนั้นมัน...”

    “รู้แล้วน่า ก็ต้องทำตรงนี้แหละ”

     

     

    บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิดก็ได้...

    ลู่หานบอกกับตัวเองอย่างนั้น ขาทั้งสองข้างก้าวลงมาจากบันไดขั้นบนสุดอย่างเชื่องช้า เขายังคงข่มเก็บอารมณ์ของตนเองเอาไว้แม้ว่าการสนทนาของทั้งสองคนที่อยู่ข้างล่างยังคงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

     

     

    “เร็วหน่อย ทนไม่ไหวแล้ว” จงอินพูดขึ้นพลางสูดปากเสียงดังอีกครั้ง ลู่หานกัดฟันแน่นก่อนจะก้าวลงไปถึงบันไดขั้นที่สาม

    “ก็ทำให้มันเป็นแบบนี้เองไม่ใช่หรือไง”

     

     

    ในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงชานพัก แสงไฟสว่างจ้าจากกลางบ้านทำให้ต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย มินซอกกำลังนั่งชันเข่าอยู่ตรงหว่างขาของจงอิน ศีรษะทุยเล็กก้มๆเงยๆขึ้นมาหลายครั้งในขณะที่เด็กหนุ่มค้อมตัวเข้าไปหาใกล้ๆ ใบหน้าของทั้งสองคนใกล้กันเพียงคืบแต่ดูเหมือนว่ามินซอกไม่สนใจว่าตอนนี้ตัวเองกับมันกำลังใกล้ชิดกันมากแค่ไหน เครือเสียงทุ้มหนักยังคงครางอื้ออึงในลำคอทุกครั้งที่มินซอกก้มลงไปให้ความสนใจกับบางสิ่งบางอย่างตรงนั้น

     

     

     

    ในที่สุดเส้นความอดทนของลู่หานก็ขาดผึง

     

     

     

    ใบหน้าคมขาวก่ำแดงขึ้นมาด้วยอารมณ์พิโรธร้าย เหลือบไปเห็นกระป๋องเบียร์ที่อยู่ใกล้เท้าก็จงใจเตะมันออกไปจนสุดแรงจนตกกระแทกบนแผ่นหลังเล็กเข้าอย่างจัง ลู่หานเดินลงมายังบันไดขั้นที่เหลือพร้อมกับที่จงอินจะเงยหน้าขึ้นมามอง เขาเมินแววตาของน้องชายต่างสายเลือดก่อนจะก้าวลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย

     

     

    มินซอกแหงนมองจงอินอยู่ชั่วครู่ก่อนจะขยับรูปหน้าขาวให้เหลียวมองกลับหลัง มือบางยกขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าผากและปาดริมฝีปากตัวเองหนึ่งครั้ง ภาพที่เห็นฟ้องชัดอยู่เต็มสองตาว่าสองคนนี้กำลังทำอะไรกัน ลู่หานโกรธจนมือสั่น กรามคมขบแน่นจนขึ้นรอยนูนเป็นสัน เจ้าของแววตาอันแข็งกร้าวคู่นั้นหาได้ใส่ใจสิ่งต่างๆที่พรั่งพรูออกมาจากปากของน้องชายตนแต่อย่างใด ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้แขนแกร่งก็ฉุดกระชากข้อมือของคนตัวเล็กขึ้นมาจนสุดแรง

     

     

    “มึงมานี่!” น้ำเสียงแหบแห้งตวาดดังจนได้ยินเสียงก้องสะท้อนกลับมา ร่างเล็กเสียหลักลงบนพื้นจนทำให้จงอินต้องยกขาทั้งสองข้างขึ้นมายันไว้บนโซฟา พละกำลังมหาศาลของคนที่กำลังเดือดดาลทำให้เรือนร่างเพรียวบางจำต้องไถไปตามทางเดินอย่างห้ามไม่ได้

    “เห้ย ใจเย็นดิ”

    “อย่ามาเสือก” ลู่หานหันไปสบถเสียงเย็นใส่น้องชายของตนเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จงอินขมวดคิ้วแน่นแต่ก็เลือกที่จะสงบคำลงเมื่อเห็นว่าครั้งนี้อีกฝ่ายคงจะโกรธเขาจริงๆ

     

     

     

     

     

     

     

    C U T

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                เปลือกตาหนาเปิดขึ้นมาหลังจากได้นอนพักไปจนเต็มอิ่ม เหลือบมองพื้นที่ด้านข้างยังคงเห็นเจ้าของแผ่นหลังเล็กนอนนิ่งที่อยู่ในท่าเดิมตั้งแต่เมื่อคืน เขาแหวกผ้าม่านผืนใหญ่เปิดให้แสงสว่างลอดผ่านเข้ามาได้บ้าง หลังจากที่อีกคนหมดเรี่ยวแรงแล้วหลับไปกว่าเขาจะชำระคราบคาวได้หมดก็เทเวลาทิ้งไปนับชั่วโมง ร่างสูงเปิดผ้าห่มขึ้นพลางก้มมองรอยแผลฉีกขาดของคนตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าจะมีคราบเลือดแห้งกรังอยู่เล็กน้อย เขาเอื้อมมือเข้าไปด้านในแต่สะโพกเล็กก็ถดหนี มินซอกทอดมองเขาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าก่อนจะนอนจมฟูกลงไปอีกครั้ง ใบหน้าเนียนขาวเซียวซีดลงอย่างกับเป็นคนป่วย อยากจะถามอยู่เหมือนกันเจ็บปวดตรงไหนแต่ก็เลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ในใจคนเดียวเสียยังดีกว่า

     

     

                ร่างสูงเปิดประตูห้องออกมา ข้างล่างไม่มีเสียงพูดคุยกันอยู่เลยสักนิด เปิดเข้าไปภายในห้องของตัวเองก็เห็นว่าที่นอนของแอนดี้ถูกพับเก็บเข้ามาจนเป็นระเบียบแล้ว

     

     

    ความโกรธเคืองของเขาได้ถูกระบายออกไปแล้วแต่ก็ยังรู้สึกค้างคาใจอยู่ดี ยังตอบคำถามตัวเองไม่ได้เลยว่าเหตุใดจึงต้องทำรุนแรงกับมินซอกขนาดนั้นทั้งที่มันไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด ความสัมพันธ์ระหว่างมินซอกกับจงอินจะเป็นอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา...

     

     

     

                หรือมันจะเป็นเพียงหนึ่งความปรารถนาที่ฝังแน่นอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเขากันแน่?

     

     

     

                ร่างสูงทอดกายลงมาจากบันไดทีละขั้น มินซอกตบหน้าเขาอยู่หลายครั้งจนทำให้มุมปากข้างหนึ่งเป็นรอยช้ำเขียวขนาดใหญ่ แม้ว่าจะตัวเล็กแค่นั้นแต่ได้ชื่อว่าเป็นแรงของผู้ชายด้วยกันก็มากพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดได้มากกว่าความแสบชาจากแรงผู้หญิง คงไม่ปฏิเสธว่าคืนแรกที่ผ่านมากับมินซอกนั้นทำให้เขารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย แต่การร่วมเตียงที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความยินยอมของฝ่ายตรงข้ามจะทำให้รู้สึกอิ่มหนำสักเท่าไหร่กันเชียว

     

                รู้ดีว่าทำรุนแรงเกินไปแต่ถ้าให้มองถึงอารมณ์ของเขาในขณะนั้นคงไม่มีวิธีไหนที่จะสามารถลงโทษอีกฝ่ายให้สาสมกับความโกรธหนักของตนเองได้ดีไปกว่านั้นอีกแล้ว จะไปโทษแค่จงอินฝ่ายเดียวได้ที่ไหน เห็นกันอยู่ว่าใครแม่งตั้งเกมรุก คิดแล้วโมโหว่ะเหี้ยเอ๊ย!

     

     

                “อ้าว ไง” จงอินเอ่ยทักก่อนจะหยิบขนมปังเปล่าๆมาเคี้ยวเต็มสองแก้ม

                “ไงหน้ามึงอ่ะ” ตอบกลับออกไปทั้งที่ยังไม่มองหน้าคู่สนทนาเลยด้วยซ้ำ ลู่หานเดินไปหยิบน้ำเปล่ามากรอกลงท้องหลายอึกแล้วคว้าขนมปังอีกแผ่นที่เหลือในจานขึ้นมาคาบบนริมฝีปาก

                “มินซอกยังไม่ตื่นเหรอ?”

     

     

                โครม!

                ลู่หานเขวี้ยงขวดน้ำในมือใส่ผนังหลังจากที่ได้ยินคำถาม เขาหอบหายใจเล็กน้อยแล้วมองกลับหลังไปทางจงอินอย่างไม่สบอารมณ์นัก

     

     

                “ห่วงมันมากก็ขึ้นไปดูมันเอง”

                “อ้าว... แล้วถ้าแม่งแก้ผ้าอยู่จะทำไงอ่ะ” จงอินแบมือทั้งสองข้างออกแล้วยักไหล่ขึ้นอย่างกวนส้นตีน

                “แก้ละทำไม?”

                “แก้ก็โป๊อ่ะดิ”

                “โป๊ละทำไม?”

                “โป๊ก็เห็นนมดิ” เด็กหนุ่มพูดก่อนจะเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาปิดหัวนมทั้งสองข้างของตัวเองเชิงติดตลก “ว้าย! คนผีทะเล!

                “ขำตายห่า”

    ลู่หานยังคงตีหน้าตายแล้วเดินมาตรงกลางบ้าน ตอนนี้โทรทัศน์กำลังฉายเกมโชว์ห่าอะไรสักอย่าง พอหันกลับไปอีกทีก็เห็นว่าน้องชายของตนนั่งเหยียดขาพาดขึ้นมาโต๊ะขนาดย่อมที่ตั้งอยู่หน้าโซฟา

    “ตีนไปโดนไรมา” ร่างสูงขมวดคิ้วมองฝ่าตีนดำๆที่มีผ้าพันแผลพันอยู่โดยรอบ ตรงกลางมีรอยสีแดงส้มเหมือนเพิ่งหยอดยาฆ่าเชื้อมาใหม่ๆ

    “เหยียบตะปูอ่ะดิเมื่อคืน” พูดจบก็ปาเปลือกถั่วที่กินทิ้งไว้ใส่ลู่หานอย่างจัง “เพราะลูกมึงคนเดียว!

    “ใครทำแผลให้วะ”

    “แบคฮยอนอ่ะดิ มือหนักชิบหาย บอกให้ทำเบาๆแม่งก็ไม่ฟัง” จงอินพูดใส่อารมณ์สุดฤทธิ์ทำให้ลู่หานหัวเราะออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยหน่าย

    “คราวหลังก็บอกให้มินซอกทำให้” เขาพูดขึ้นมาขณะที่ตายังมองจอโทรทัศน์ พอนึกถึงวันที่หนีมาด้วยกันแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “มือมันเบา ทำไม่เจ็บหรอก”

    ได้ยินแบบนั้นจงอินจึงโยนหมอนอิงที่ใช้วางรองแขนตัวเองอยู่ใส่พี่ชายต่างสายเลือดเสียเต็มแรงจนลู่หานต้องเอี้ยวตัวหลบ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ทำๆอยู่แล้วหมาตัวไหนมาลากมันขึ้นไปข้างบนวะไอ้สัด!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - To Be Continue –

     

     

               

    สวัสดีลู่หาน

    Welcome to นรก!

    ความโง่ followed you จ้า 55555555555555555555555555555555555555555

     

    อัพช้าโพดๆเพราะเพิ่งจัดการเรื่องอะไรที่ม.เสร็จเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง! เสียเวลาติ่งพี่หานกับน้องหมิวอยู่นานพอเห็นภาพบรรยากาศคอนเอ็กโซ ติ่งอย่างดิฉันก็ปริ่มเปรมเพคะ ไม่มีมู้ดมาเขียนฉากข่มข้งข่มขืนอะไรนี่เล้ย 5555555555555555555555

     

    ตอนนี้ยังให้ลุ้นกันบ้างประปรายว่าเซฮุนกับชานยอลจะรอดไหม แหมโดนคนร้อยคนวิ่งไล่นี่นึกสภาพเป็นสงครามกลางเมือง 555555555555555555555555 ส่วนพี่หานก็อืมมมมมมมมมมมม รู้กันจย้า 55555555555555555555555555555 (ส่วนที่ตัดออกไปตามได้ในไบโอทวิตเลยจ้า @nutcraqerx90)

     

    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์จากที่ผ่านๆมารวมไปถึงในอนาคตอันใกล้นี้นะคะ หนวดได้รับแรงผลักดันในการเขียนมาจากคอมเม้นท์ของทุกคนนี่แหละ หนวดอยากมาอัพเร็วๆบ้างเหมือนกันค่ะเห็นหลายคนตำหนิว่าอัพช้าไปหน่อย T_T คือกว่าจะเขียนได้มันต้องบิ้วท์ต้องขุดกันอยู่นานสองนานเลยเห้อ หนวดจะพยายามนะคะ คุณผู้อ่านทุกคนก็อย่าทิ้งหนวดนะคะ T_T

     

    สำหรับใครที่อยากสกรีมเชิญที่ #ฟิคมฟต เลยจ้า รักทุกคนเสมอเลยคร้าบ





     

    PORCELAIN  THEMEs
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×