ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( EXO ) MALEFACTOR ! | LUMIN FEAT.KAIHUN

    ลำดับตอนที่ #7 : | MALE06 : PARANOIA |

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 57


    | MALE06 : PARANOIA |

    AUTHOR : NUTCRACKER

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                มีหลอดไฟสีส้มสลัวที่ห้อยจากเพดานแล้วหย่อนลงมาในตำแหน่งของโต๊ะอาหารซึ่งมันเป็นเพียงแสงสว่างเดียวที่ถูกเปิดทิ้งไว้ภายในบ้านเช่าเงียบเชียบ ลู่หานนั่งพิงพนักเก้าอี้พลางเหยียดขาไขว้เท้าขึ้นมาบนโต๊ะที่มีกับข้าวเหลืออยู่สองสามอย่างหลังจากที่เขาและแอนดี้เสร็จสิ้นมื้อเย็น ปกติแล้วจงอินจะกลับตั้งแต่ช่วงหัวค่ำพร้อมกับผู้หญิงหรือผู้ชายสักคนที่หิ้วติดมือมา แต่เพราะมีเขาเป็นตัวภาระอยู่ที่นี่เจ้านั่นถึงได้กลับไปใช้ชีวิตแบบคนกลางคืน กว่ามันจะกลับเข้ามาในบ้านอีกทีปาเข้าไปจนเกือบฟ้าสาง

     

                แก้วตาสีเข้มเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งก็พบว่าเข็มสั้นมันเหลื่อมล้ำเลขสิบมานิดหน่อยแล้ว โทรศัพท์มือถือที่ไม่มีติดตัวทำให้ไม่สามารถติดต่อกับใครได้เลยในเวลาแบบนี้ หันไปมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ผลอยหลับไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วพร้อมกับโทรทัศน์ที่เปิดช่องการ์ตูนทิ้งไว้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาลุกออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นแล้วเลือกที่จะหรี่เสียงของโทรทัศน์ลงพร้อมกับลูบหัวลูกชายตัวน้อยเบาๆ

     

                “แอนดี้... แอนดี้ครับ” ว่าพลางตบก้นของเด็กเล็กสองสามครั้งเพื่อเรียกให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งนิทราแต่ดูท่าว่านิสัยติดนอนนี่จะถอดพิมพ์เขามาไม่มีผิด

                “แอนดี้ ขึ้นไปนอนบนห้องไหม? เดี๋ยวปะป๊าพาไป”

                “...” เด็กชายตัวน้อยงัวเงียลืมตาขึ้นมาแล้วส่ายหน้าเชิงปฏิเสธ แขนเล็กเอื้อมโอบลำคอของคนเป็นพ่อที่โน้มรอพลางดึงเข้าหาลำตัวอย่างเอาแต่ใจ

                “ไม่เอาน่า อย่าขี้เซาดิ ไปนอนบนห้องเร็ว”

                “แอนดี้จะไปนอนพร้อมปะป๊า” เด็กน้อยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งแล้วปล่อยตัวเองให้หลับไปอย่างง่ายดาย

                “ขี้ตื๊อเหมือนพ่อเลยนะ” ข้อนิ้วหนาเคาะลงบนขมับเล็กเบาๆแล้วขยับตัวออกห่างจากลูกชายคนเก่ง ผ้าขนหนูสีทึมที่ร่วงลงมากองอยู่บนพื้นถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือของคนเป็นพ่อแล้ววางห่มมันลงแนบกับลำตัวของเด็กน้อยจนชิดมาถึงปลายคาง

     

                ร่างสูงเอียงคอมองใบหน้าของลูกชายที่กำลังหลับใหลพลางนึกถึงตอนที่ตนเองยังเป็นเด็ก สิ่งเหล่านี้เขามักจะได้รับมันมาจากแม่มากกว่าที่ได้รับจากพ่อขี้ยา แม้พื้นฐานครอบครัวที่ไม่ค่อยดีนักจะปลูกฝังให้เขาเป็นเด็กที่หนักไปทางก้าวร้าวแต่ก็ยังตั้งสัตย์กับตัวเองเอาไว้เสมอว่าหากมีเลือดเนื้อเชื้อไขเกิดมาสักคนไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็จะโอบอุ้มดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่จะมีปัญญา เขายังคงจดจำวินาทีแรกที่แอนดี้ลืมตาขึ้นมาบนโลกได้ดี ในช่วงชีวิตที่แสนเข็ญก็มีเพียงเด็กคนนี้ที่เปรียบเสมือนของขวัญจากพระเจ้าที่เขารอคอยมาตลอดชีวิต

     

     

                น่าเสียดายนักที่ท่านมอบของขวัญอันทรงคุณค่าให้เขาได้เพียงแค่ชิ้นเดียว...

                เพราะอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้นม่านสวรรค์ก็เปิดรับดวงวิญญาณของภรรยาที่เปรียบดั่งแก้วตาดวงใจไปพร้อมๆกับลมหายใจของลูกสาวที่อยู่ในท้องของเธอไปตลอดกาล

     

     

                ริมฝีปากหยักแค่นยิ้มออกมาอย่างฝืนๆพลางสะกดกลั้นของเหลวที่กำลังหลั่งรื้นขึ้นที่หลังขอบตาร้อน คงไม่โทษเบื้องบนที่คอยลิขิตให้ชีวิตเขาพบเจอแต่ความสูญเสีย อย่างน้อยที่สุดท่านก็บันดาลให้ลูกชายคนเดียวของเขาสามารถยอมรับและทำความเข้าใจกับการที่ต้องเสียแม่ไปได้โดยที่ไม่มีผลร้ายตามมา

     

     

                ก๊อกก๊อก...

                เสียงเคาะดังมาจากโต๊ะอาหารซึ่งรู้กันว่าเป็นสัญญาณเรียกของแบคฮยอน ร่างสูงบีบจมูกตัวเองแน่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพดานแล้วกลอกตามองร่างบางที่ยืนอยู่ไม่ไกล

     

                เขายังไม่กลับมาอีกหรอ?

                “ใคร?” การเคลื่อนไหวผ่านมือบางแบบเดิมที่เขาเห็นจนชินตาทำให้สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการจะสื่อได้แบบไม่ต้องรอให้สมองประมวลผล

                ชานยอล

                “ยัง” ลู่หานส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วก็พบกับนัยน์ตาว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของแบคฮยอน ร่างบางแค่ถอนหายใจออกมา ยังดีกว่าวันแรกๆที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องแล้วนอนร้องไห้เหมือนเด็ก ผิดกันที่เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าเพราะเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นดี

                แฟนพี่ล่ะ?

                “ไม่รู้” ร่างสูงยักไหล่ตอบอีกครั้งเพราะไม่ถนัดเรื่องใช้ภาษามือสักเท่าไหร่ แบคฮยอนเข้าใจว่าเขากับมินซอกรักกันแต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงก็เลยคิดว่าปล่อยให้มันเข้าใจแบบนั้นไปเสียเถอะ

                กลับดึกอีกแล้ว

                “อะไรนะ?” ลู่หานวนนิ้วอยู่ข้างใบหูเป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังไม่เข้าใจในสิ่งที่แบคฮยอนพูดถึง ร่างบางเพยิดหน้าขึ้นไปที่นาฬิกาแขวนผนังแล้วโต้ตอบกลับมาที่ภาษามือแบบเก่า

                แฟนพี่น่ะ เขากลับดึกอีกแล้ว

                “ช่างหัวมันดิ” คราวนี้ลู่หานเบ้ปากพลางยักไหล่ขึ้นมาแสดงถึงอาการที่ไม่ยี่หระ

                แฟนกันประสาอะไร

                “อะไรของมึงวะ” ลู่หานสบถเสียงดัง ผ่านมากี่ปีกี่ชาติก็ไม่เคยจะคุยกับไอ้เด็กนี่รู้เรื่องสักวัน ถ้าหัวไวเหมือนจงอินหรือปรับตัวเข้ากับแวดล้อมง่ายเหมือนแอนดี้ก็คงจะดี

     

     

     

                คิดแล้วอายเด็กชิบหาย

     

     

     

                เดี๋ยวรอเป็นเพื่อน

                “...” แบคฮยอนใช้ภาษามืออีกครั้งทำให้เขายืนมองนิ่งพร้อมกับสีหน้างงๆ เด็กเวรนี่มันจะเอายังไงกันแน่วะ เมื่อกี้ก็แสดงออกให้รู้แล้วว่าคุยไม่รู้เรื่องยังจะเซ้าซี้อยู่ได้

                นี่พี่ไม่เข้าใจเหรอ?

                “โอย... เหี้ยไรมึงวะเนี่ย มึงหิวข้าวดิ? หรือมึงปวดขี้?”

                ...ร่างเล็กเอียงคอมองด้วยความสงสัยเพราะคนตรงหน้าที่พล่ามขึ้นมาไม่หยุดปาก 

                “เหี้ย กูบอกว่ากูไม่รู้เรื่องไง”

                โง่อ่ะ

                “เห้ย นี่มึงไม่เข้าใจที่กูพูดหรอ?”

                โง่อ่ะ

                “ไอ้สัด...”

                โง่อ่ะ

                “ทำซ้ำอีกสิบรอบกูก็ไม่เข้าใจหรอก”

                โง่อ่ะ

                “เออ โอเค” ลู่หานยกนิ้วว่าโอเคแล้วทำเป็นยิ้มตอบกลับไปให้มันสิ้นๆเรื่องไปซะ

                โง่จริงด้วยเสร็จสิ้นการเคลื่อนไหวแบคฮยอนก็ปิดปากยิ้มอย่างสะใจที่หลอกด่าพี่ชายอารมณ์ร้ายได้สำเร็จ

                “ยังจะมายืนยิ้ม” ชายหนุ่มขยับมือตามความเข้าใจของตนเองโดยไม่อิงหลักการใช้ภาษามือเลยสักนิด แต่โชคยังดีที่แบคฮยอนพอจับทางจากสีหน้าและแววตาได้อยู่บ้าง ทำให้การสื่อสารผิดๆของลู่หานไม่กลายมาเป็นอุปสรรคสำหรับเขา

                “ยังอีก มึงโคฟเวอร์เป็นมิสโคเรียอยู่เหรอ?”

                ‘…’

                “ยิ้มเสร็จก็ไปนอนได้ละ ดูเวลาซะบ้างว่ากี่โมงกี่ยามแล้ว” จนแล้วจนรอดคนเป็นพี่ก็ต้องเพยิดหน้าไปทางนาฬิกาที่ติดอยู่บนฝาบ้าน หลายปีแล้วหลังจากที่แบคฮยอนประสบอุบัติเหตุ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้นับตั้งแต่วันนั้นมันก็กลายมาเป็นคนป่วยออดๆแอดๆเสมอ

                นอนไม่หลับ

                “เปิดเพลงฟังดิ”

                พี่ว่าไงนะ?

                “นอนฟังเพลง เดี๋ยวก็หลับ”ลู่หานพูดพลางเสตามองไปตรงชั้นวางซีดีทำให้แบคฮยอนมองกลับมาตาเขียว...ฟังเพลงพ่อง!

                โง่แล้วยังชั่วอีก

                “ขอเดาว่ามึงคงด่ากูอยู่” ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วเย้าตบใต้คางร่างบางหนึ่งครั้งแบบไม่แรงมาก ตั้งแต่ชานยอลไม่อยู่ที่นี่ก็ไม่เคยได้พูดคุยพูดเล่นกับใครอีกนอกเสียจากวันนี้ที่ยังมีลู่หานแบคฮยอนยิ้มจืดกลับไปในที่สุด

                “ไปนอนได้ละป่ะ” ร่างสูงปัดมือไล่ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะอาหารแล้วเทน้ำลงในแก้ว เหลือบตามองร่างบางตอนนี้เปลี่ยนมาทำหน้าตายแล้วยังไม่เดินออกไปไหน สภาพแบบนี้มันผีบ้านผีเรือนชัดๆ

                มองอะไร?

                “ไรมึง” ลู่หานเลิกคิ้วพลางตีหน้านิ่งก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมากระดกดื่มอย่างใจเย็น เมื่อเห็นว่าไอ้เด็กนี่ยังยืนมองเขาอยู่อย่างนั้นจึงยกมือขึ้นอีกข้างแล้วชูนิ้วกลางใส่

                “กวนตีนอ่ะ”

                “ทีด่าล่ะพูดปร๋อ ลืมไปเลยว่าเคยหูหนวก” ร่างสูงสบถออกมาทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเข้าใจ แบคฮยอนมักจะพูดออกมาให้ได้ยินอยู่บ่อยๆจึงไม่สร้างความประหลาดใจให้เขาสักเท่าไหร่นักในครั้งนี้

                “ลู่หาน”

                “อะไร” เจ้าของชื่อขานรับพลางยืนพิงขอบโต๊ะแล้วกอดอกเอาไว้หลวมๆ คิ้วหนาขมวดแน่นเมื่อการสื่อสารผ่านมือนั้นเริ่มต้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิดก่อนจะเหลือบขึ้นไปสบตากับร่างบางที่ยืนห่างเขาออกไปไม่กี่ช่วงแขนหลังจากที่ทำความเข้าใจเรียบร้อยแล้วเกี่ยวกับสิ่งที่แบคฮยอนพยายามจะกล่าวถึง...

                พี่คิดว่าเขาโอเคกับงานนี้จริงหรอ?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แสงไฟจากภายนอกสาดเข้ามาตามซี่กรงเหล็กภายในเขตเรือนจำ ชานยอลและเซฮุนถูกคุมขังในอาคารเล็กๆที่แยกตัวออกมาจากอาคารของนักโทษในแดนจองจำอื่น ทั้งคู่ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเหมือนนักโทษคนอื่น ไม่ได้พบเจอใคร ไม่ได้ออกไปไหน มันเป็นการกักขังที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยด้วยซ้ำ

     

    คนที่มีชีวิตอยู่ข้างนอกนั่นคงไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขาใช้ชีวิตติดอยู่ในที่แห่งนี้ นอกจากเสียงลมหายใจที่ว่างเปล่าแล้วเขาก็ได้ยินแต่เพียงเสียงเดินลากเท้าของผู้คุมและตำรวจที่แวะเวียนเข้ามาตรวจการ ผู้คุมคนหนึ่งเพิ่งเดินออกไปเมื่อสักครู่ใหญ่ๆที่ผ่านมา เขาแวะมาพร้อมกับถาดอาหารที่มีแต่ของเดนจากพวกนักโทษคนอื่น ถึงใจจะต่อต้านกับอาหารแต่ละมื้ออยู่บ้างแต่ก็ยังขอบคุณที่มันทำให้มีชีวิตรอดจนถึงวันนี้

     

    “เราอยู่ที่นี่มากี่วันแล้ว” ชานยอลหลุบตาลงหลังจากได้ยินเสียงของอีกชีวิตที่พักอาศัยภายในห้องขังเดียวกับเขา

    “พี่คิดว่าเราจะได้ออกไปไหม” เด็กคนนั้นพูดขึ้นอีกครั้งแต่ก็มีเพียงความเงียบงันแทรกระหว่างช่องว่างของการสนทนา ชานยอลเหลือบมองเด็กหนุ่มที่กำลังไต่บันไดเล็กๆขึ้นไปที่เตียงนอนชั้นบน

    “ผมคิดถึงแม่...” เสียงเดิมพูดขึ้นอย่างอิดโรย ความมืดทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของคู่สนทนาได้ชัดเจนนัก แต่เสียงถอนหายใจและท่านอนก่ายหน้าผากที่สะท้อนเป็นเงาบนผนังทำให้เขาคาดเดาได้ว่าเด็กคนนี้กำลังเป็นกังวลมากแค่ไหน

    “ผมสงสัยมาตลอดเลยนะว่าทำไมพวกเราถึงได้มาอยู่ในแดนประหาร”

    “...”

    “ทั้งๆที่ศาลยังไม่ลงอาญาเลยด้วยซ้ำ...”

    “บุหรี่ยังเหลือไหม?” เซฮุนเงียบไปสักพักแล้วขยับตัวขลุกขลักไปมาบนที่นอนเหมือนกำลังควานหาอะไรสักอย่าง จนท้ายที่สุดแล้วบุหรี่ซองหนึ่งก็ถูกโยนเข้าไปหล่นตุบบนหน้าตักของร่างสูงในอีกไม่กี่นาทีต่อมา

    “ถ้าจำไม่ผิดมันคงเป็นมวนสุดท้ายแล้ว”

    “ความจำดีนี่” ชานยอลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น เปลวเพลิงเล็กๆประกายขึ้นที่ปลายไม้ขีดไฟแล้วจ่อเข้าที่ปลายมวน อัดควันเข้าไปจนสุดปอดหนึ่งครั้งแล้วจนเหลือเพียงไอควันบางๆผ่อนออกมาจากโครงจมูกพร้อมกับลมหายใจออก“แบ่งคนละครึ่งแล้วกัน”

    “เอาไปเถอะ ผมให้” เด็กนั่นหันหน้าเข้าชิดกำแพงทันทีหลังจากพูดจบเสมือนกับว่าเป็นการปิดประโยคสนทนาของวันนี้ลง

     

    เซฮุนอายุน้อยกว่าเขาราวสองปีแต่ยังมีความเป็นเด็กในตัวสูงถึงแม้ภายนอกจะดูเหมือนคนเจนโลก เด็กนั่นสนิทกับจื่อเทามากกว่าใครเป็นเพราะรู้จักกันมาก่อนที่จื่อเทาจะชักชวนเข้ามาอาชีพเสริมแบบนี้ มันไม่ค่อยคุยกับเขาถ้าหากว่าไม่เดือดร้อนหรือมีเรื่องสำคัญอะไร ส่วนกับลู่หานนั่นลืมเสียเถอะ... หมอนั่นมันเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกอยู่แล้ว

     

    ลมหายใจที่ทอดยาวสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าเซฮุนหลับไปแล้วทั้งที่เพิ่งจะคุยกับเขาเสร็จไปเมื่อครู่ ในใจก็นึกยินดีกับเด็กนี่อยู่ไม่น้อยที่ในที่สุดก็หลับลงได้หลังจากที่อดนอนมาเต็มสัปดาห์ เขาทอดมองแผ่นหลังบางอยู่เนิ่นนานพลางหวนนึกถึงใครบางคนที่รออยู่ที่บ้าน

     

     

    ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง...

    จะคิดถึงเขาเหมือนที่เขากำลังคิดถึงอยู่บ้างไหม...

     

     

     

    รีบกลับมานะ

     

     

    คำบอกลาที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายยังคงก้องในหัว รอยยิ้มแสนเศร้าแต้มขึ้นบนใบหน้าขาวของคนตัวบางในวินาทีสุดท้ายก่อนจากกัน เหมือนกับทุกครั้งที่แบคฮยอนจะพาดเสื้อโค้ทสีครีมตัวเก่าขึ้นมาบนไหล่ของเขาก่อนจะออกมาทำงานอย่างว่า เขาฝืนยิ้มกลับไปพร้อมกับให้คำสัญญากับอีกฝ่ายว่าจะกลับไปให้เร็วที่สุด

     

     

    ฉันจะรอนะ

     

     

    ในสมองยังคงฉายภาพหยดน้ำใสที่ไหลออกมาเป็นทางจากดวงตาทั้งสองข้าง เขาป้ายนิ้วลงบนแก้มนิ่มจนเป็นรอยบุ๋มลงไปตามแรงกด ทุกครั้งที่คิดถึงภาพนั้นก็มีความรู้สึกราวกับว่าความชื้นของหยาดน้ำตายังคงเจือจางอยู่บนปลายนิ้วหัวแม่มือนี้...

     

     

     

    เขาจะได้ออกไปพบกับแบคฮยอนอีกไหม?

    แบคฮยอนต้องใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อในวันนี้ไม่มีเขา...

    ลมหายใจในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร... ไม่มีใครรู้เลย

     

     

     

    ร่างหนาขบกรามพลางหลับตาแน่น แขนข้างหนึ่งพาดลงบนหัวเข่าข้างที่ยกชันขึ้นมาแล้วซุกหน้าของตัวเองลงบนต้นแขนอย่างอ่อนล้า เสียงสะท้อนของเข็มนาฬิกาที่ก้องไปทั่วอาคารพร้อมกับที่มันบรรเลงซ้ำอยู่ในหัวสมอง เขาเพิ่งจะเคยสัมผัสความรู้สึกที่ว่าเวลาของคนที่รอคอยบางสิ่งบางอย่างอย่างไร้จุดหมายนั้นมันเหน็บหนาวยาวนานมากแค่ไหน

     

     

     

     

     

    แต่กแต่กแต่ก

    เสียงฝีเท้าของดังขึ้นมาจากภายนอกตามด้วยเสียงประตูบานเลื่อนจากหน้าอาคาร ชานยอลลืมตาขึ้นมาในความมืดหลังจากที่เผลอหลับไปได้ครู่ใหญ่ ฝีก้าวของคนแปลกหน้าขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนทำให้เขาต้องลุกยืนขึ้นมา เส้นเงายาวเหยียดของผู้มาเยือนปรากฏชัดบนพื้นปูนภายนอกห้องขัง มือหนาจับลูกกรงเอาไว้แล้วแทรกใบหน้าชะเง้อมองหาเจ้าของฝีเท้า เงาสะท้อนหดสั้นลงไปตามธรรมชาติเมื่อคนที่อยู่ข้างนอกเดินใกล้เข้ามาถึงจุดหมายทำให้มองเห็นใครคนนั้นโผล่ออกมาจากฉากสีดำในท้ายที่สุด

     

    “ไม่กินอะไรกันสักหน่อยล่ะ” นัยน์ตาหม่นเศร้าประกายความผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าไม่เข้าข่ายพวกที่คาดหวังว่าจะได้เจอ

    “ไม่หิว” ร่างสูงตอบคำถามส่งๆก่อนจะเดินหันหลังให้เจ้าหน้าที่ที่คงจะเข้ามาตรวจเวรกลางดึกก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างถูกโยนเข้ามากระทบแผ่นหลังกว้างพอดิบพอดี

    “เอาไป” ชานยอลเบนสายตากลับหลังเพื่อเพ่งมองวัตถุสี่เหลี่ยมที่กระเด็นลงไปอยู่บนพื้น เขาก้มหยิบมันขึ้นมากำไว้ในมือแล้วสอดมันเข้าไปภายในเสื้อโค้ทสีครีมพลางพยักหน้าขอบคุณ

    “เด็กคนนั้นสบายดีนะ”

    “ก็ไม่เห็นมันป่วย”

    “ฉันหมายถึงเด็กคนนั้น” ร่างสูงหยุดฝีเท้าของตนเองลงชั่วขณะเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงเพื่อนร่วมห้องขัง ใบหน้าเรียบเฉยมองย้อนกลับไปเพื่อจะรอฟังนายตำรวจคนนั้นพูดจนจบ

    “ชื่อพยอนแบคฮยอนใช่ไหม?” ชายหนุ่มเอี้ยวตัวกลับไปเร็วๆพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน... นายตำรวจคนนี้รู้จักแบคฮยอนได้อย่างไร?

    “จับพวกที่เหลือได้แล้วสินะ”

    “ลู่หานยังอยู่ที่นั่น ส่วนจื่อเทาหายไปอย่างไร้ร่องรอย” กลิ่นควันบุหรี่ลอยฉุนแตะปลายจมูก เซฮุนขยับตัวเล็กน้อยแต่คงไม่ได้ตื่นขึ้นมาอย่างที่ควรจะเป็น ร่างสูงหันกลับไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าห้องขังแล้วเพ่งตามอง “บุหรี่ไหม?”

    “ได้ก็ดี” บุหรี่ซองใหม่ที่อยู่ภายใต้เสื้อโค้ทสีดำตัวยาวถูกล้วงออกมาแล้วยื่นให้ผู้ต้องหาที่ยืนอยู่ภายในห้องขัง ชานยอลก้าวเท้าออกไปอย่างไม่รีบนักก่อนจะคว้ามันมาไว้ในมือ

    “รู้ว่าลู่หานอยู่ที่นั่นแล้วทำไมคุณถึงไม่จับเขา”

    “นายควรจะดีใจนะ” ร่างขาวแค่นยิ้มออกมาบางๆ “นายจะคิดยังไงล่ะถ้าหากว่าลู่หานมารวมตัวอยู่กับพวกนายในนี้แล้วหลังจากนั้นจื่อเทาก็เดินทางไปที่บ้าน...”

    “...”

    “ไปปะกับหนูน้อยที่หูหนวกและเป็นใบ้โดยบังเอิญ”

    “...”

    “รอดตายมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว นายคิดว่าคนแบบนั้นจะปล่อยให้เด็กนั่นรอดตัวไปอีกครั้งไหมล่ะ?”

    “คุณรู้?”

    “รู้เยอะกว่าที่นายคิด” ใบหน้าขาวปรายยิ้มขึ้นมาอย่างเป็นต่อ ร่างสูงขมวดคิ้วแน่นแล้วชายตามองอีกฝ่ายอย่างจับสังเกต... ตำรวจคนนี้เขาเคยเห็นที่ไหนนะ?

    “ฉันพูดมาเยอะแล้ว คราวนี้ก็ถึงตานาย” นายตำรวจคนนั้นนั่งยองแล้วจี้บุหรี่ลงบนพื้น ชานยอลกุมลูกกรงห้องขังเอาไว้หลวมๆแล้วขมวดคิ้วมองตาม

    “บอกมาได้หรือยังว่าจื่อเทาอยู่ที่ไหน?”

    “ผมไม่รู้”

    “จื่อเทาตามเก็บพวกที่เหลือไปจนเกือบครบแล้ว จะเหลือก็แต่พวกนายทั้งหมดที่มันคงจะยังไม่รู้ว่าซุกหัวกันอยู่ที่ไหน”

    “ลู่หานไม่เคยบอกใคร ผมเองก็ด้วย”

    “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะหาไม่เจอ”

    “...”

    “คดีที่ติดตัวอยู่ตอนนี้ยังไงก็ดิ้นไม่หลุดอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวหรอกว่าถ้าจื่อเทาถูกจับแล้วความลับที่กุมไว้มันจะแพร่งพรายออกมา”

    “...”

    “นอกจากโจรกรรมมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนายยังฆาตกรรมอีกสามศพด้วยนะ”

    “...”

    “มันไม่เคยมีอยู่ในบันทึกของตำรวจ กลัวไอ้บ้านั่นมันจะเข้ามาคายเรื่องอัปยศพวกนี้ใช่ไหมล่ะ?” นายตำรวจคนนั้นแค่นยิ้มเย็น ชานยอลดึงบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากซองแล้วล้วงไฟแช็กที่เพิ่งเก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อออกมา ควันบุหรี่ลอยตลบไปจนทั่วห้องขัง ร่างสูงย่อกายลงนั่งกับพื้นในที่สุด

    “จื่อเทาไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน... แต่ครอบครัวของมันอยู่ที่โพฮัง มันกลับบ้านทุกสุดสัปดาห์เพื่อไปเจอกับลูกสาวสองคนที่อยู่ที่นั่น”

    “พวกเธออายุเท่าไหร่?”

    “เจ็ดขวบ...เป็นฝาแฝด”

    “ขอบคุณ ฉันหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์” จุนมยอนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วกระชับชุดเครื่องแบบให้เข้าที่

    “เดี๋ยวก่อน” ชานยอลยืนขึ้นตามพลางเคลื่อนมือขึ้นจับลูกกรงแน่น

    “มีอะไร?”

    “เรื่องที่บอกไปนั่นมันเป็นความลับระหว่างผมกับมัน พวกเราทั้งหมดไม่มีใครรู้เลยว่าจื่อเทามีครอบครัวอยู่ที่ไหน มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้”

    “พรุ่งนี้ฉันจะให้เจ้าหน้าที่เข้ามาคุ้มครอง”

    “ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น”

    “แล้วต้องการอะไร?”

    “ผมฝากแบคฮยอนด้วย”

    “...”

    “อย่าให้จื่อเทาเจอเขา” ร่างสูงพูดเสียงเบาอย่างเว้าวอน คนตรงหน้าไม่พูดอะไรก่อนจะเดินหายเข้าไปในความมืด

     

     

     
     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เสี้ยวที่ตอนนี้อยู่ตรงกับศีรษะของเขาอย่างพอดิบพอดี  เวลาคงใกล้เข้าเที่ยงคืนเต็มทีแล้วไม่รู้ป่านนี้คนที่บ้านจะเป็นอย่างไรกันบ้าง วันนี้ที่คลินิกของอี้ฟานรับคนไข้เคสสุดท้ายในเวลาสองทุ่ม ยังจัดการอะไรไม่เรียบร้อยดีเขาก็ต้องขอลากลับก่อนเพราะมันเลยเวลากลับบ้านมาหลายชั่วโมงแล้ว มินซอกกัดฟันเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวด้วยท่าทางอิดโรย กลิ่นเลือดคาวคลุ้งยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกเช่นเดียวกับใบหน้าของคนไข้แต่ละคนที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมอง... งานนี้ได้เงินเร็วและได้รับเยอะกว่าตอนที่เขาทำงานอยู่ในบริษัทเฮงซวยนั่นเป็นไหนๆ ถึงจะไม่มีความสุขกับการที่ต้องเจอกับพวกขี้นินทาสักเท่าไหร่แต่เขาก็ยังมีช่วงเวลาที่ทำให้ยิ้มได้มากกว่างานที่ทำอยู่นี้ แต่ช่างเถอะ หากทำไปเรื่อยๆก็คงจะชิน

     

                คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาไปตามถนนที่มืดและเปลี่ยว มีเพียงไฟฉายกระบอกเล็กๆที่ช่วยนำทางต่อไปได้ หลายวันมานี้ลู่หานให้มีดพกเขาไว้หนึ่งเล่มเผื่อมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ป้องกันตัวเองไว้ก่อน... สงสัยจะลืมคิดไปว่าต่อให้มีคนร้ายบุกเข้ามาประชิดตัว คนที่ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครแบบเขาก็ต้องยืนทื่อเป็นท่อนไม้แล้วปล่อยให้พวกมันปล้นฆ่าได้อย่างง่ายดายอยู่ดี

     

     

     

                ฟึ่บ...ฟึ่บ...ฟึ่บ

                เสียงฝีเท้าที่ย่ำโดนใบไม้แห้งดังขึ้นผิดกับจังหวะเท้าของเขา มินซอกหยุดยืนนิ่งชั่วขณะก็พบว่าเสียงนั้นได้หายไปพร้อมๆกัน เขาสูดลมหายใจเข้ามาครึ่งปอดพลางคิดว่าตอนนี้คงไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนที่สะกดรอยตามเขามาคงไม่ใช่พวกประสงค์ดีแน่

     

    ร่างเล็กเอี้ยวตัวกลับไปสาดไฟตรงทางที่เขาเดินผ่านมา ตัดสินใจล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังแล้วหยิบมีดพกมาถือเอาไว้ในมือ

     

     

     

                ว่างเปล่า...

     

     

     

                ใบหน้าหวานขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อไม่สามารถมองเห็นเจ้าของฝีเท้านั้นได้ในระยะใกล้แต่สาบานได้เลยว่าเขาไม่ได้หูเพี้ยน! ทำไมถึงไม่มีใครเลยล่ะ เป็นไปได้หรือเปล่าว่าถ้าตอนนี้มันไม่ได้เดินตามหลังเขามา มันอาจจะอยู่ข้างหน้าก็ได้...

     

                “เงียบ” มือปริศนาจู่โจมเข้ามาปิดปากเขาแน่น แขนของมันโอบรัดรอบคอเข้าไว้จนทำให้รู้สึกอึดอัด ชีวิตเขาจะต้องมาเจอกับเรื่องบ้าๆพวกนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน!

                “มีเงินเท่าไหร่?” มันผ่อนลมกระซิบที่ข้างใบหูจนทำให้เขาต้องเบนหน้าหนี ใบหน้าเล็กสะบัดพ้นจากฝ่ามือที่ปิดแน่นบนริมฝีปากก่อนจะรู้สึกได้ว่าแรงรัดที่รอบลำคอนั่นค่อยๆเบาลง

                “ไม่รู้” เขาตอบเสียงเบา

                “ทิ้งมีด” สิ้นเสียงกระซิบสั่งมินซอกก็ทิ้งมีดพกที่ลู่หานให้ติดตัวไว้อย่างจำยอม แขนทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาเหนือศีรษะเพื่อให้คนที่อยู่ข้างหลังค้นตัว หวังว่ามันจะต้องการแค่เงิน...

                “หันมา”

                “...” คนตัวเล็กยังคงยืนนิ่งเพราะความหวาดกลัวที่ปรี่ล้นจนทำให้ก้าวขาไม่ออก แก้วตาสีอ่อนกลอกมองอย่างลนลานและในที่สุดคนข้างหลังก็ออกปากสั่งเขาอีกครั้ง

                “อย่าให้พูดเป็นครั้งที่สอง” น้ำเสียงนิ่งเย็นของบุคคลปริศนาก้องเข้ามาในใบหู ร่างเล็กกลืนน้ำลายดังอึกก่อนจะค่อยๆหันกลับไปด้านหลังตามคำสั่งของมัน

                “เงยหน้าขึ้น” มินซอกกลอกตาไปมาอยู่ชั่วขณะ ปกติแล้วพวกกรรโชกทรัพย์มันจะไม่ต้องการให้เหยื่อเห็นหน้าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม...?

     

     

                มินซอก... เงยหน้าขึ้น

     

     

                ปล่อยให้ความกังวลเจืออยู่ในใจได้ไม่นานร่างเล็กก็ตวัดสายตาขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินชื่อของตนเองกลั่นทอออกมาเป็นน้ำเสียงทุ้มเย็น  ขอบตาเล็กร้อนผ่าวเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ใช่โจรใจร้ายที่ไหนแต่กลับเป็นผู้ชายห่ามๆที่เขาเพิ่งเอาแต่ร่ำร้องให้ออกมาช่วยอะไรสักอย่างกับเหตุการณ์ที่เจอเมื่อครู่นี้

     

                “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมถึงไม่กลับพร้อมพ่อ จะขอกลับมาก่อนคนเดียวทำไม” ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็ยิงคำถามใส่เขา

                “ไม่รู้เหรอว่าตอนกลางคืนแถวนี้มันอันตราย ถ้าที่ยืนอยู่นี่มันไม่ใช่กูแล้วมึงจะทำยังไง?”

                “...” ดวงตากลมใสช้อนมองใบหน้าของชายหนุ่มที่ดูจะหงุดหงิดเขาอยู่ไม่น้อย ร่างเล็กกดแรงสะอื้นให้อยู่ภายใต้แผ่นอกแล้วกำหมัดแน่น

    “พูดอะไรหน่อยดิ มึงพูดดิว่ามึงดูแลตัวเองได้อ่ะ แล้วต่อไปนี้มึงจะเป็นจะตายยังไงกูจะไม่...”

     

     

    ตุบ!

    ไม่รอฟังจนจบกำปั้นเล็กก็ทุบลงบนแผงอกแกร่งเต็มแรงจนทำให้ร่างสูงเซกลับหลังไปเล็กน้อย ลู่หานช้อนกรอบตาขึ้นมองคนที่เพิ่งบันดาลโทสะใส่เขาเมื่อครู่ด้วยความไม่เข้าใจแต่ปริศนาในใจเขาไม่ได้จบลงที่ตรงนั้นเมื่อร่างเล็กที่ยืนนิ่งกลับหอบสั่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วทุบเขาซ้ำลงตรงที่เดิมแรงๆอีกสองสามที

     

    “มินซอก?” น้ำเสียงหยาบเย็นเอ่ยเรียกก่อนจะคว้าข้อมือของอีกคนไว้ให้หยุดการกระทำที่ไร้เหตุผลนั้นลง ใบหน้าหวานที่ก้มต่ำทิ้งหยาดน้ำให้ไหลลงมาจากกลางดวงตาข้างหนึ่งแล้วเหลือบตาขึ้นตามเสียงเรียก

    “คุณก็รู้ว่าผมกลัว” เสียงหวานโพล่งออกมาอย่างสั่นเครือ ลมหายใจติดขัดระคนกับเสียงสะอื้นแผ่วแว่วดังเข้ามาเต็มสองหู... แค่ลองทดสอบความกล้าดูแค่นี้ต้องถึงกับร้องไห้กระจองอแงเลยเหรอ? บ้าไปแล้ว!

    “เออ...” ร่างสูงตอบรับในสิ่งที่อีกคนพูดด้วยสีหน้างงๆ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนตรงหน้าแสดงความขลาดกลัวออกมาอย่างไม่ปิดบัง ดวงตาเล็กยังคงจดจ้องมาที่ใบหน้าของเขาเหมือนกับรอให้พูดอะไรบางอย่าง มินซอกดูจะไม่พอใจในผลงานของเขาสักเท่าไหร่และนั่นนับเป็นสิ่งสุดท้ายที่บีบให้ต้องเดินมาถึงทางตัน

     

     

     

    กูขอโทษ

     

     

    “...”

     

     

     

     

    “อย่าร้องไห้ดิ... เห็นแล้วหายใจลำบาก”

     

     

     

    ในที่สุดคนตัวเล็กก็ยอมยกหลังมือขึ้นปาดหางตาชื้นออกลวกๆ ลู่หานยังยืนตัวแข็งอยู่อย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี ทั้งๆที่อีกคนก็อายุมากกว่าเขาหนึ่งปีแต่ทำไมตอนนี้เขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังรังแกเด็กอยู่ก็ไม่รู้

     

    มินซอกก้มเก็บมีดพกและกระบอกไฟฉายที่หล่นกระเด็นออกไปไม่ไกลนัก มีดพกเล่มเก่าถูกสอดกลับเข้ามาในกระเป๋ากางเกงพร้อมกับถือกระบอกไฟฉายที่คงจะกระแทกกับพื้นแล้วดับไป ปลายนิ้วเรียวเลื่อนปุ่มข้างกระบอกขึ้นให้เพื่อให้แสงไฟเล็กๆนั้นได้ส่องทางอีกครั้ง

     

    “หิวป่ะ?” คำถามนั้นดังขึ้นมาจากฝ่ายตรงข้ามที่ตั้งใจจะทำลายกำแพงความเงียบลง ร่างเล็กส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ แม้จะเดินตีคู่กันไปแต่ก็ยังคงรักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับลู่หานเอาไว้คงเส้นคงวา

     

     

    ขอโทษบ้าบออะไร มันไม่ได้ทำให้หายโกรธเลยสักนิด

     

     

    “โกรธนานระวังเจอยักษ์นะ” ร่างสูงพูดต่อด้วยเสียงทะเล้น ร่างเล็กหันไปมองอยู่สักพักก็ต้องถอนหายใจออกมายาวๆ... สาบานกับเขาสิว่านี่คือวิธีการง้อของคนที่เป็นผู้ใหญ่

    “เก็บมุขนี้ไปเล่นกับแอนดี้เถอะ”  

    “ไม่ใช่ยักษ์เด็กนะ นี่ยักษ์ผู้ใหญ่” อีกคนเถียงต่อ

    “ยักษ์บ้าอะไร?”

    “ยักษ์ไม่มีเพชร”

    “ยักษ์ไม่มีเพชร?” ลู่หานยักคิ้วให้หนึ่งครั้งพร้อมกับกระหยิ่มยิ้มขึ้นมาอย่างผู้ชนะ... ยักษ์ไม่มีเพชร เยะ...

    “โอ๊ย!” ฝ่ามือเล็กตบเข้าที่ข้างหูอย่างแรงจนคนที่โดนกระทำต้องหน้าบี้ มินซอกแทงเข่าเข้าที่สีข้างของลู่หานอีกทีจนต้องเดินตัวงอ... สมแล้วที่มาเล่นทะลึ่งไม่รู้เวลากับเขาแบบนี้!

    “เลวมาก” บันดาลโทษใส่อีกคนจนพอใจแล้วก็ทิ้งท้ายด้วยคำด่าที่ฟังดูรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา... คำว่าน่าเกลียดอะไรนั่นคงจำกัดดีกรีความชั่วของอีกฝ่ายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

    “ทำเก่งไปเหอะ ถึงบ้านแล้วเดี๋ยวรู้กัน”

    “ยังอีก” ร่างเล็กเอ่ยปรามเสียงแข็งพลางชายตามองอย่างคาดโทษ คราวนี้ดูเหมือนว่ามินซอกจะเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่าลู่หานถึงได้ยอมสงบศึกลงในที่สุด

     







     

     

    ไม่มีการพูดคุยอะไรระหว่างทางเพราะดูท่าว่าคนตัวเล็กยังคงหัวเสียกับการปรากฏตัวที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ของเขา ร่างสูงยังคงเหลือบมองท่าทีอยู่เป็นระยะจนกระทั่งมาถึงที่หมาย

     

    ประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับแสงไฟภายในบ้านที่ถูกเปิดทิ้งไว้สองสามดวงทำให้ลู่หานต้องเบิกตากว้าง เพราะความจำยังไม่เลอะเลือนทำให้เขาฉุกคิดขึ้นได้ในทันทีว่าก่อนที่จะออกไปข้างนอกนั้นแบคฮยอนเผลอหลับไปบนโซฟาตัวเดียวกับแอนดี้

     

     

     

    และเขาเปิดไฟทิ้งไว้แค่ตรงโต๊ะอาหาร...

     

     

     

    “มีอะไรหรือเปล่า?” มินซอกเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าลู่หานยังไม่ขยับฝีเท้าเข้าไป ร่างเล็กชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านในก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดียวกับตอนเช้าก่อนที่เขาจะออกจากบ้านด้วยซ้ำ

    “อย่า” พอกำลังจะก้าวเข้าไปในบ้านลู่หานจะยืดแขนออกมากันทางเอาไว้ นัยน์ตาเฉี่ยวคมมองนิ่งราวกับต้องการจะสื่อว่าเขาไม่ควรเข้าไปข้างในตอนนี้

     

    ร่างสูงถอดรองเท้าแล้วเดินไปในบ้านให้เงียบเสียงที่สุดโดยที่มีมินซอกยืนรออยู่ด้านนอก โซฟาหน้าโทรทัศน์เป็นจุดหมายแรกที่เขาเลือกจะตรงเข้าไปหาเพราะก่อนออกมาแอนดี้ยังนอนหลับอยู่ตรงนั้น

     

     

    แต่ก็ว่างเปล่า...

     

     

    ลู่หานเม้มปากพลางกำหมัดแน่นเมื่อความสับสนประเดประดังเข้ามาในสมอง มีเพียงคำถามเดียวที่ผุดขึ้นมาในเวลานี้นั่นก็คือ... แอนดี้หายไปไหน?

     

    ร่างสูงเสยผมขึ้นเมื่อกำลังตกอยู่ในภวังค์ของความตึงเครียด เป็นไปได้ไหมว่าแบคฮยอนจะพาแอนดี้ขึ้นไปชั้นบน... แต่ไอ้เด็กนั่นจะเปิดไฟทั้งบ้านทิ้งไว้ทำไม?

     

    “ลู่หาน” คนที่ยืนรอหน้าประตูเอ่ยเรียกอีกครั้งจนหน่วยตากร้าวต้องมองปราม ลู่หานส่งสัญญาณให้มินซอกกลืนคำพูดของตัวเองลงไปซะก่อนที่เขาจะเป็นบ้าไปมากกว่านี้!

     

     

    พรึ่บ!

     

    จู่ๆไฟทั้งบ้านก็ดับลงพร้อมกันคล้ายกับคนที่อยู่ชั้นบนเป็นคนสับสวิตช์ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังตกอยู่ในความมืด ร่างสูงกวาดสายตามองไปรอบๆบ้านเพื่อสำรวจความผิดปกติอย่างใจเย็น ได้ยินแต่เพียงเสียงเข็มนาฬิกาเท่านั้นที่กำลังบีบให้เขารู้สึกกดดันจนถึงขีดสุด แสงไฟรำไรจากภายนอกส่องเข้ามาทางด้านใน อีกไม่กี่นาทีจะเหยียบเที่ยงคืนแล้ว... เป็นไปไม่ได้แน่ว่าจงอินจะกลับมาก่อนหน้านี้ หรือหากเป็นพ่อก็แน่นอนว่าต้องขับรถผ่านเขาที่เดินเท้าเข้ามา

     

     

    นอกจากนี้ยังมีใครอีกไหม?

     

     

     

    ตึก...ตึก...ตึก

    จังหวะหัวใจเต้นถี่ขึ้นหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนตรงบันไดชั้นบน ไวกว่าความคิดลู่หานหรี่ตามองเจ้าของเงาตะคุ่มที่เคลื่อนตัวลงมาทีละขั้นในความมืด เขาหันกลับไปที่มินซอกอีกครั้งก็ค่อยโล่งใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปลอดภัยดี หากอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้สถานการณ์จะตกอยู่ในช่วงเวลาคับขัน เขาหวังเพียงให้คนตัวเล็กวิ่งหนีจนสุดฝีเท้าแล้วทิ้งเขาไว้ด้านหลังก็เพียงพอแล้ว

     

    ร่างสูงเดินถอยกลับไปทีละก้าวจนสุดทางที่โต๊ะอาหาร ความลังเลยังคงว่ายเวียนอยู่ในใจว่าถ้าหากมินซอกโยนมีดพกมาให้ตอนนี้จะมีโอกาสพลาดไปเป็นหนึ่งในอาวุธของคนร้ายหรือไม่ ไม่รอช้ามือหนาก็ควานหาอะไรบางอย่างที่มันพอจะเป็นอาวุธได้ในขณะนี้

     

    จาน ช้อน ส้อม ขวดน้ำพลาสติก ตรงนี้ไม่มีอะไรเข้าท่าเลยสักอย่าง... แต่ช่างแม่งเหอะ อย่างน้อยที่สุดหากเขามีอะไรติดมือไว้บ้างก็คงดีกว่าต้องสู้กับมันด้วยมือเปล่าอยู่แล้ว

     

     

     

     

     

     

     

    ขอบคุณสวรรค์... สิ่งที่อยู่ในมือคือมีด!

     

     

     

     

     

     

     

    ลู่หานค้อมกายลงเล็กน้อยเพื่อตั้งท่ารับการมาเยือนของบุคคลปริศนา นัยน์ตาสีเข้มจ้องเขม็งไปทางด้านหน้าเมื่อฝีเท้าประหลาดนั้นขยับเข้ามาใกล้ มันน่าจะตัวสูงพอกันกับเขาแต่มองจากลักษณะคร่าวๆก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะบุกเข้ามาในทิศทางไหน

     

     

     

     

    กึก!

     

     

     

    สัมผัสแหลมคมยื่นเข้ามาชิดที่กลางกระเดือก ลู่หานถดใบหน้าหนีได้ทันก่อนที่มันจะแทงทะลุลำคอของเขา ดวงตาสีเข้มกลอกมองคนที่ยืนหลบอยู่หน้าประตูเมื่อการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น มินซอกปิดปากแน่นเพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว... สาบานได้ว่าการวิ่งหนีเป็นทางเลือกสุดท้าย ถึงอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมให้ลู่หานโดนฆ่าตายตรงนี้แน่!

     

    ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางกักลมหายใจเอาไว้ในปอด เขาต้องไม่ขยับตัวในตอนนี้ สัญชาตญาณโจรเตือนเขาอย่างนั้น... ในเมื่อสิ่งที่อยู่ในมือคือมีดและสิ่งที่พร้อมจะตัดหลอดลมของเขาให้ขาดวิ่นก็คือมีดเช่นเดียวกัน ไม่มีเวลาลังเลอีกต่อไปแล้ว!

     

    ลู่หานกัดฟันแน่นก่อนจะเริ่มนับถอยหลังในใจ ทุกคนที่นี่ต้องกลายเป็นศพหากมันจัดการทุกอย่างได้เร็วกว่าเขาในเสี้ยววินาทีเดียว

     

     

     

     

     

     

    หนึ่ง...

     

     

     

     

    มีดในมือถูกกำแน่นเป็นสัญญาณเตรียมพร้อม

     

     

     

     

     

     

     

    สอง...

     

     

     

     

     

    ใบหน้าคมสันหันเคลื่อนให้ลำคอของตนเองหลีกพ้นจากทิศทางของปลายมีดแหลม มือข้างหนึ่งยันขอบโต๊ะเอาไว้เพื่อเตรียมทะยานตัวไปทางด้านหน้า

     

     

     

     

     

     

     

    สาม!

     

     

     

     

    พรึ่บ!

     

     

     

     

    “จงอิน...”

     

    มินซอกเพรียกชื่อของบุคคลปริศนาพลางเบิกตากว้าง แสงไฟขนาดย่อมสาดเข้าสู่ใบหน้าของคนร้ายในเสี้ยววินาทีก่อนที่ลู่หานจะลงมีดจนทำให้เป้าหมายต้องหรี่ตา มือหนาสั่นเครือขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อตำแหน่งที่เขาสุ่มเล็งนั้นอยู่ตรงกลางหน้าผากของจงอินซึ่งเป็นเสมือนน้องชายของตนเองอย่างพอดิบพอดี

     

    “...”

                “เหี้ย...” จงอินสบถออกมาเสียงเบาก่อนที่ไฟในบ้านจะพร้อมใจกันเปิดขึ้นมาอีกครั้ง ลู่หานกลืนน้ำลายดังอึกก่อนจะโยนมีดลงไปบนพื้นแล้วเสยผมตึง

     

                มินซอกก้าวเข้ามาในบ้านอย่างเชื่องช้าในขณะที่แบคฮยอนเดินลงมาจากบันไดพร้อมกับไม้หน้าสามขนาดใหญ่ในมือ ไม่มีใครพูดอะไรในขณะนี้ จงอินทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดในทันที ลู่หานก้าวถอยหลังออกมาเล็กน้อยพลางปรายตามองน้องชายสองคนของตนเองที่ทำอะไรแผลงๆเมื่อครู่ มือหนาโบกไล่ให้แบคฮยอนกลับขึ้นไปข้างบนซึ่งเจ้าเด็กนั่นก็เชื่อฟังดี มินซอกถอนหายใจออกมายาวๆเพราะรู้สึกโล่งใจ... ลู่หานกับจงอินเกือบจะฆ่ากันตายเสียแล้ว

     

                “กำชับไว้แล้วว่าอย่าออกไปข้างนอก ทำไมไม่ฟังกูบ้างเลยวะ” ควันบุหรี่ผ่อนพ่นออกมาจากริมฝีปากคล้ำของคนที่อายุน้อยกว่า น้อยครั้งนักที่จงอินแสดงอาการหัวเสียออกมาให้เห็นอย่างนี้

                “ก็ไอ้เวรนี่มันยังไม่กลับบ้าน รถก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ไม่มี โทรหาพ่อพ่อก็บอกว่ามันกลับมาแล้ว” ลู่หานตอบกลับไปพลางเพยิดหน้าโยนให้เป็นความผิดของมินซอก จากนั้นจึงก้มหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากซองบุหรี่ที่จงอินโยนทิ้งไว้

                “แล้วมันใช่เรื่องที่มึงจะต้องออกมาข้างนอกคนเดียวป่ะวะ?”

                “นี่มึงหงุดหงิดเหี้ยไรมาป่ะ? ขี้ไม่ออกป่ะ? หรือเมนส์มา?”

                “เมนส์มาก็เหี้ยละ”

               

                ลู่หานแสยะยิ้มออกมาชั่วขณะเมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ต่อปากต่อคำกับเขาให้ยืดยาวเหมือนอย่างเคย อาจจะเป็นเพราะยังรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อสักครู่นี้ทำให้จงอินหงุดหงิดเป็นพิเศษก็ได้... เขาถามตัวเองอยู่ในใจมาตั้งแต่แรกว่าอะไรทำให้จงอินกับแบคฮยอนหวาดระแวงได้ถึงเพียงนี้ แต่ความสงสัยที่อัดแน่นอยู่นั้นก็ไม่สามารถกักเก็บเอาไว้ได้นานเมื่อจงอินเลือกที่จะพูดมันขึ้นมาทำลายความเงียบที่แสนอึดอัดนี้แทน

     

                “จื่อเทาล่าพวกเราอยู่” จงอินโพล่งออกมาพลางเสตามองคนเป็นพี่ “มันมีมีด มีปืน มีสารพัดอาวุธที่มันจะหาได้ แล้วมึงมีอะไร? จะวิ่งกลับบ้านมาเอามีดทำครัวไปสู้กับมันเหรอ?”

     

     

     

                จื่อเทานี่เองที่เป็นต้นเหตุ

     

     

     

                “น้อยๆหน่อยไอ้สัด เป็นพ่อกูเหรอ?”

                “พูดมาได้ว่าเป็นพ่อมึงเหรอ” จงอินพูดพลางโยนไฟแช็คในมือให้ลู่หานที่กำลังรอรับอยู่ “ที่พูดนี่กูไม่ได้ห่วงมึงเหรอ?”

                “ห่วงอะไร? กลัวกูไม่ตายเหรอ? มึงนั่นแหละจะจ้วงคอหอยกูอยู่แล้ว”

                “จงอิน” หลังจากที่ซุ่มฟังอยู่นานก็ถึงทีของมินซอกที่ได้เป็นฝ่ายพูดออกมาบ้าง “เมื่อกี้พูดว่าจื่อเทากำลังล่าเราอยู่ใช่ไหม?”

                “เสือก” ร่างสูงพลั้งปากสบถคำพูดทรามๆออกมาอีกครั้ง เขาแทบอยากจะตบปากตัวเองให้เลือดซิบในเวลานี้... ลืมไปเสียสนิทเลยว่ามินซอกกำลังโกรธเขาอยู่!

                “มึงอ่ะเสือก” จงอินตัดบทลู่หานทันควันก่อนจะหันกลับไปทางคนตัวเล็กอีกครั้ง “ใช่ ทำไมเหรอ?”

                “คุณรู้ได้ยังไง?”

                “พวกที่เหลือตายหมดแล้ว”

                “ว่าไงนะ?” สิ่งที่จงอินพูดขึ้นมาทำเอาลู่หานแทบสำลักควัน “มันเก็บเรียบเลยเหรอ?”

                “เออดิ”

                “แล้วตำรวจล่ะ?” มินซอกถาม

                “จับไม่ได้ ว่ากันว่ามันหนีไปเร็วมาก ไม่รู้ว่ามีใครหนุนหลังมันอยู่หรือเปล่า”

                “เป็นไปได้ไหมว่านักการเมืองคนนั้นจะหนุนหลังจื่อเทาอยู่?”

                “โง่น่า” ร่างสูงหันไปเอ็ดคนตัวเล็กหลังจากได้ฟังความคิดที่ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่นัก “ไอ้ชอลยงมันเก็บเรียบอยู่แล้ว จะไปหนุนหลังเหี้ยนี่ไว้ทำไม”

                “หลอกใช้?” จงอินเลิกคิ้วถาม มินซอกลูบคางตัวเองเบาๆพลางพยักหน้าเห็นด้วย

                “มันไม่โง่หรอก”

                “แล้วเขาจะฆ่าทุกคนแบบนี้ไปเพื่ออะไร?” ร่างเล็กปรายตามองลู่หานที่ดูน่าจะเป็นคนที่เคยใกล้ชิดกับจื่อเทามากที่สุดในนี้

                “เอาตัวรอดไง ฆ่าทุกคนที่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องของมัน”

                “เพื่อเหี้ยไรวะกูไม่เข้าใจ ยิ่งทำคดีแม่งก็ติดตัวเพิ่ม ตำรวจก็ล่ามันอยู่ดี”

                “ก็ฆ่าตำรวจอีกดิ ทางออกง่ายๆของคนมักง่ายอย่างมันเลยล่ะ” ลู่หานหัวเราะขึ้นจมูกก่อนจะอัดควันเข้าปอดอีกครั้ง เพราะจื่อเทาเป็นคนแบบนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เคยแพร่งพรายเรื่องส่วนตัวของตัวเองให้คนอื่นรับรู้โดยเฉพาะกับจื่อเทา

                “แต่ถ้าตำรวจล้อมมันได้ก็จบเลย” จงอินว่า

                “ผมคิดว่าคงยาก... ฆ่ามาแล้วตั้งกี่คนตำรวจยังจับเขาไม่ได้เลย”

    “ตีนผีอันดับหนึ่งเลยล่ะ” คนตัวเล็กคิดแล้วก็ลอบถอนหายใจออกมาช้าๆหลังจากที่ได้ยินลู่หานพูดแบบนั้น ลำพังลู่หานต้องซ่อนตัวจากตำรวจก็ว่าหนักพอแล้ว ยังจะต้องมาหนีจื่อเทาเพิ่มอีกคนด้วยหรือ? ชีวิตคนเรามันสามารถพลิกผันได้แค่ภายในชั่วข้ามคืนจริงๆ

    “ป่านนี้ไอ้พวกขี้คุกจะเป็นไงบ้างวะ?”

    “ทำไม? คิดถึงใครเป็นพิเศษดิ?” ลู่หานเอ่ยถามพลางอมยิ้มหยอก มินซอกไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่คนสองคนพูดกันสักเท่าไหร่เลยคิดว่าถ้าเงียบไปคงจะดีที่สุด

    “ตายห่าไปได้ยิ่งดี” จงอินไม่มีทีท่าว่าจะเล่นกลับ มิหนำซ้ำยังดูเคร่งเครียดกับสิ่งที่คนตัวสูงเย้าหยอกเป็นพิเศษ

    “จะเกลียดอะไรขนาดนั้น”

    “เกลียดหน้าแม่ง เห็นครั้งแรกก็รู้ละว่าเกลียด ไม่ถูกชะตา” มินซอกไม่รู้ว่าคนที่อีกฝ่ายพูดถึงอยู่นั้นเป็นใคร ไม่ชานยอลก็เซฮุน... แต่ถ้าเป็นชานยอล หากเกลียดกันแล้วจะอยู่ร่วมบ้านกันได้อย่างไร?

    “ไร้สาระ” ลู่หานว่าเข้าให้หนึ่งครั้งก็จะเดินผ่านหน้าจงอินไป เด็กหนุ่มยังคงนั่งยองกับพื้นแล้วสูบบุหรี่เหมือนเคยพลางมองออกไปด้านนอกด้วยแววตาเรียบนิ่ง

     

     

     

    ไม่ว่าคนที่ลู่หานพูดถึงอยู่จะเป็นใคร...

    แต่มินซอกเชื่อว่าใครคนนั้นจะต้องเป็นสาเหตุให้จงอินไม่ร่วมงานค้าประเวณีกับเพื่อนกลุ่มนี้แน่

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - To Be Continue –

     

     

                บ่นบ่นบ่น! ( ไม่สำคัญอะไร ข้ามได้เลยจ้า )

                หนวดรำคาญตัวเองจริงจริ๊ง! คือรายละเอียดในเรื่องมันเยอะมากๆทำให้ไม่สามารถเขียนทุกอย่างให้จบลงไปในตอนเดียวได้อย่างที่แพลนไว้ แง้ T_T คือถ้าเขียนรวบรัดมันก็จะชุ่ยอ่ะค่ะ ถ้าเขียนยาวๆก็กลัวว่าทุกคนจะขี้เกียจอ่านกันจังเลย คือที่เขียนมาในพาร์ทนี้ก็ 7,200+ คำแล้วอ่ะค่ะตัวเอง อ่านกันตาแฉะเลยใช่ไหมเนี่ย? ฉันล่ะอยากจะกรีดร้อง คือตอนนี้มันต้องมีอีกกกกกก มันต้องยาวกว่านี้แต่กลัวจะเบื่อกัน กรรม 55555555555555555555555 มันเลยเป็นความหงุดหงิดอยู่ในใจว่าเห้อ หนวดจะเขียนอะไรของหนวดเยอะแยะวะเนี่ย!

     

              ทอล์ค +

                ตอนนี้เซฮุนกับชานยอลออกแล้วค่าเย้ 55555555555555555 ตอนแรกหนวดคิดว่าจะเขียนเอ็นซีลู่หมินเลยดีไหมวะเกิดอารมณ์หมั่นอยากให้นางได้กันเร็วๆ แต่เดี๋ยวนะขออิ๊บไว้ก่อนเดี๋ยวใครจะหาว่ามินซอกของเราใจง่าย +_+ ขอบคุณสำหรับทุกโหวต/เม้นท์/เฟบและสกรีมนะคะ ยังไงกี้ก็ยังไม่ทิ้ง #ฟิคมฟต นะคะแต่ก็ขอฝาก #ฟิคเข้าใจยาก ไว้ในอ้อมใจแฟนฟิคของทุกคนด้วยนะ สงกรานต์นี้เล่นน้ำกันให้สนุกนะคะ ระวังอุบัติเหตุ ระวังโจรกรรม ระวังเนื้อระวังตัวกันด้วยนะคะสาวๆ ด้วยความปรารถนาดีจากน้องหนวดค่า <3




     

    PORCELAIN  THEMEs
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×