ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( EXO ) MALEFACTOR ! | LUMIN FEAT.KAIHUN

    ลำดับตอนที่ #6 : | MALE05 : YESTERDAYS |

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 57


    | MALE05 : YESTERDAYS |

    AUTHOR : NUTCRACKER

     

     

     

     

     

     

     

     

                มือบางลากฟองน้ำชโลมไปบนจานกระเบื้องอย่างใจเย็น ไม่ต้องใช้แรงมากนักคราบอาหารที่ตกค้างอยู่บนจานแต่ละใบก็หลุดร่อนออกมาอย่างง่ายดาย แบคฮยอนมองน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกด้วยสายตาที่ว่างเปล่า มันเป็นเพียงเป็นสิ่งเล็กๆหากนับจากทั้งหมดที่เขาคอยตั้งข้อสงสัยให้กับตนเองมาเสมอว่า... เสียงของพวกมันจะเป็นอย่างไร?

                ไม่กี่นาทีที่แล้วร่างบางรู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในฉากด้านหลัง เขาเห็นจงอินเก็บของหลังบ้านตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว หากเดาไม่ผิดวันนี้ก็คงออกไปตั้งแต่เช้าอีกตามเคย ที่เขาสัมผัสได้ก็คงหนีไม่พ้นลู่หานและคนที่ย้ายเข้ามาใหม่คนนั้น

                ในความโชคร้ายมักจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นเสมอ... นั่นคือสิ่งที่พี่ชายของเขาคอยย้ำเตือนตลอดมา ถึงแม้หูทั้งสองข้างจะไม่ได้ยิน ถึงแม้จะสื่อสารออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่เขาก็ยังคาดคะเนถึงความเป็นไปของหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดอยู่รอบตัวได้อย่างแม่นยำจากสัมผัสในความรู้สึก ไม่รู้ว่าจะให้คำนิยามกับมันว่าอย่างไรแต่ชานยอลก็บอกให้เรียกมันว่า พรสวรรค์

     

     

                และตอนนี้เขากำลังรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนเดินใกล้เข้ามาจากทางด้านหลัง...หากการคาดเดาครั้งนี้ไม่ผิดพลาด คนที่อยู่ข้างหลังเขาตอนนี้ก็คงเป็นใครไม่ได้นอกจาก เพื่อนใหม่ที่ช่างดูอ่อนต่อโลกเสียเหลือเกิน...

     

                “ให้ฉันช่วยไหม?” แบคฮยอนไม่ได้ยินเสียงที่อีกคนเปล่งออกมาแต่ภาษามือผิดๆถูกๆนั่นก็พอจะทำให้เขาคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายอยากจะสื่อสารกับเขาแบบไหน

                ไม่เป็นไร ผมเสร็จแล้ว

                “คราวหลังฉันขออาสารับงานนี้เอง” รอยยิ้มสดใสของคนตรงหน้าเป็นสิ่งเดียวที่เขานึกอิจฉา ชานยอลหายไปกว่าครึ่งสัปดาห์แล้ว ไม่มีใครบอกข่าวคราวอะไรให้เขาได้รู้เลยสักนิด แล้วเขาจะใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติได้อย่างไร...

                ไม่ต้องหรอก มันเป็นหน้าที่ของผม

                “แล้วหน้าที่ของฉันล่ะ?” มือบางหมุนวาล์วน้ำในอ่างล้างจานให้ปิดสนิทก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนตัวเล็ก

     

     

                ผมอยากรู้ข่าวคราวของชานยอล

     

     

                รอยยิ้มที่เขานึกอิจฉาค่อยๆหุบเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตากลมสวยคู่นั้นเต็มไปด้วยความกังวลถึงเรื่องอะไรบางอย่างที่เขาไม่สามารถรับรู้ได้ แต่แล้ว รอยยิ้มใหม่ก็คลี่ออกมาจากริมฝีปากสีชมพูสด

     

                “เขาปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง” มือเล็กที่สั่นเกร็งขยับขึ้นประกอบการสื่อสารแสดงให้เห็นถึงน้ำหนักของความน่าเชื่อถือในการคำพูดของคนตรงหน้า ผู้ชายคนนี้กำลังโกหกเขา...เหมือนที่ลู่หาน จงอินและใครต่อใครไม่เว้นแม้แต่ชานยอลที่พยายามทำมันตลอดมา

                เขาติดต่อกลับมาที่นี่แล้วเหรอ?

                “เปล่า...” เพื่อนใหม่คนนี้โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย คาดคั้นเอาความจริงเพียงแค่ประโยคเดียวก็ถึงกับจนมุมเสียแล้ว

                แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาปลอดภัย?’

                “ฉันเชื่อแบบนั้น...พวกเราเอาตัวรอดมาได้ พี่ชายของนายก็ต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน”

                เขากับลู่หานจะไปสอนหนังสือให้กับเด็กแถบชานเมือง...ชานยอลบอกกับผมแบบนั้น

                “...” มินซอกเม้มปากแน่นเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองสื่อสารไปกลับกลายเป็นความผิดพลาด

                ไม่มีความจำเป็นต้องเอาตัวรอด... คุณอยากอธิบายอะไรอีกไหม?

                “เรา...พวกเราทั้งหมด...” มินซอกกำมือหลวมๆพลางใช้ความคิดว่าจะใช้ข้ออ้างไหนเพื่อแก้ต่างให้กับความผิดพลาดของตนเองดี “...พวกเราพลัดหลงกันระหว่างทาง”

                ถ้างั้นชานยอลก็ควรจะกลับมาถึงบ้านวันนี้...หรือช้าที่สุดก็คงเป็นวันพรุ่งนี้

                “...” คนตัวเล็กหน้าเสีย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่หน่วยตาทั้งสองจะหลุบต่ำ มินซอกทิ้งแขนแนบข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง เขากำลังไม่รู้ว่าจะโกหกแบคฮยอนอย่างไรดี...

                คุณ...แบคฮยอนแตะเบาๆที่หลังมือของมินซอกแทนการเรียกด้วยเสียง รู้ใช่ไหมว่าชานยอลอยู่ที่ไหน?

                มินซอกพยักหน้าช้าๆก่อนจะกัดริมฝีปากตนเองอีกครั้ง “เขาไปทำงาน”

                ...

                “แบบที่บอกนายไว้...”

                ‘…’

                “แล้วเขาจะกลับมาที่นี่ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน...” แบคฮยอนยังคงจับตามองคำพูดที่ถ่ายทอดผ่านภาษามือที่ดำเนินขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง “ฉันไม่รู้...ไม่รู้จริงๆ”

                ผมเชื่อคุณ

                แบคฮยอนกลั่นรอยยิ้มที่โง่ที่สุดในชีวิตพลางพยักหน้าให้อีกฝ่ายที่ดูจะใจชื้นขึ้นมาหลังจากที่ได้รับคำตอบแบบนั้น

     

                นับตั้งแต่วันที่เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ได้รับอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง โลกที่กว้างใหญ่ใบนี้กลับมีเพียงความเงียบงันเช่นเดียวกับความทรงจำที่จางหาย ผู้ชายคนหนึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ตรงหน้าในเวลานั้น ถึงแม้ว่ามันจะเงียบเหงา...แต่ตราบใดที่ดวงตาคู่นี้ยังคงมีภาพของใครคนเก่าอยู่ในระยะสายตา เขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกต่อไปแล้ว

     

                แต่มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของความหลอกลวง... ความเป็นจริงทุกอย่างมันฟ้องออกมาหลังม่านตาคู่นั้น รอยยิ้มที่เสแสร้งของพี่ชายอย่างชานยอลทำให้เขาจำยอมที่จะทำเป็นไม่รับรู้มัน

     

                ชานยอลไม่ใช่ครูสอนหนังสือ...แต่กำลังทำงานที่ขัดต่อกฎหมาย

                ชานยอลไม่อยากทำหน้าที่พี่ที่ดีโดยการให้น้องชายนอนสบายอยู่ที่บ้าน...

                แต่เพราะโลกมันโหดร้ายเกินกว่าคนที่พิการอย่างเขาจะออกไปผจญชะตากรรมข้างนอก

     

                ชานยอลไม่ใช่พี่ชาย...แต่เป็นคนรัก

     

     

                นั่นคือความทรงจำหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลือหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา... คนรักของเขาเพียงหวังที่จะปกป้องให้เขาอยู่ต่อไปอย่างปลอดภัย โดยการกักขังให้อยู่ภายในชายคาบ้านหลังนี้ด้วยสถานะและข้ออ้างดีๆที่ชานยอลเรียกมันว่า ความห่วงใย

     

    ดวงตาเล็กทอดมองคนตรงหน้าอย่างเหม่อลอย เพื่อนใหม่กำลังเรียกชื่อเขาพร้อมกับเขย่ามือที่จับกันไว้เบาๆ เสียงที่อีกคนพูดออกมานั่นแน่นอนว่าเขาไม่มีทางได้ยิน แต่ที่รู้ก็เพราะอ่านเอาจากการขยับปากซึ่งเขาสามารถจดจำได้จากเวลาที่ใครต่อใครเรียกชื่อเขานั่นเอง

     

    “แบคฮยอน...” อีกครั้งที่กลีบปากสีชมพูสดขยับออกมาเป็นชื่อของเขา แบคฮยอนกระพริบตาหนึ่งครั้งให้ตื่นจากภวังค์ของความคิดก่อนจะพยักหน้ากลับไป

    ขอโทษที ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยฝ่ามือบางเคลื่อนไหวขึ้นมาเพียงข้างเดียวแต่ก็พอจะทำให้เพื่อนใหม่ของเขาสามารถเข้าใจได้ ถึงจะรู้สึกไม่พอใจที่อีกฝ่ายโกหกเขา...แต่ก็ไม่เป็นไร

     

    หากว่าความเป็นจริงมันโหดร้ายเกินว่าที่ใครจะยอมให้รับรู้...

    เขาจะปักใจเชื่อในคำโกหกเหล่านี้ก็ได้

     

     

    คุณชื่ออะไรหรอ?

                “ชื่อฉัน?” มินซอกเอ่ยถามพลางชี้นิ้วเข้ามาที่หน้าอกของตัวเอง

                ออกเสียงหน่อยได้ไหม? ผมจะลองเดาดู

                “ได้สิ” ร่างเล็กพยักหน้าแล้วยิ้มให้กับความพยายามของเด็กคนนี้ “คิม...มิน...ซอก”

                ผมตามไม่ทันแบคฮยอนขมวดคิ้วแล้วเอียงคอมองอีกครั้ง ...ช้ากว่านี้ได้ไหม?

                “อีกครั้งนะ” มินซอกยื่นหน้าเข้าไปหาคนที่อายุน้อยกว่าก่อนจะเริ่มแง้มริมฝีปากให้ขยับออกมาจนเต็มรูป “ฉันชื่อ...คิม มิน ซอก”

                “คิก...” เสียงหัวเราะดังออกมาจากการเปล่งเสียงของแบคฮยอน เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงจากเด็กคนนี้ และเป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกันที่ได้เห็นคนหูหนวกส่งเสียงแสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมา “กิม มี ซก”

                “นายพูดได้...” ชื่อที่แบคฮยอนเรียกหลังจากที่อ่านการขยับปากของเขานั้นผิดเพี้ยนไปเล็กน้อยแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา มินซอกเพิ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาเอ่ยถึงจึงสื่อสารโดยใช้มือเป็นภาษากลางอีกครั้ง “นายพูดได้ด้วยหรอ? ฉันได้ยินเสียงของนายด้วย”

                มันเป็นอดีต

                “...”

                หูของผมเคยใช้งานได้...แต่หลังจากที่ไม่ได้ยินผมก็เลยไม่พูด

                “แต่นายพูดในสิ่งที่คิดได้นะ พูดกับฉัน”

                ใช้ภาษามือง่ายกว่า ผมไม่ได้ยินว่าตัวเองออกเสียงยังไง ความหมายอาจจะเพี้ยน

                “ก็ได้”

                ผมจะทำมือแบบนี้แทนชื่อของคุณร่างบางว่าพลางขยับมือออกมาเป็นทรงแปลกๆ

                “มันคืออะไรหรอ?”

                ซาลาเปาไงล่ะ

                “ฮึ...” มินซอกหัวเราะออกมาเบาๆ เขาเลิกคิ้วสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเรียกเขาแบบนั้นแล้วก็ถามกลับไปด้วยภาษามืออีกตามเคย “ทำไมถึงเป็นซาลาเปาล่ะ?”

                มีคนเรียกคุณแบบนี้มินซอกกลอกตาซ้ายขวาอย่างใช้ความคิด แบคฮยอนอมยิ้มให้เขาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขากำลังทำหน้าสงสัย

                “ใครหรอ?”

                ผมไม่มั่นใจว่าจะออกเสียงชื่อเขาถูกไหม...

                “ไม่เป็นไร ฉันเดาได้” ใบหน้าเรียวขาวยิ้มกว้างเพราะรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ยินเสียงของแบคฮยอนอีกครั้ง ริมฝีปากของเด็กน้อยเคลื่อนไหวอย่างยากลำบาก แต่ในที่สุดชื่อของใครคนนั้นก็เปล่งออกมาอย่างถูกต้องและชัดถ้อยชัดคำ

     

     

     

              “ลู่หาน”

     

     

     

                “ลู่หานงั้นหรอ...” ได้ยินอย่างนั้นก็ต้องเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่คิดว่าลู่หานจะมีโมเม้นต์นี้กับเขาด้วย ผู้ชายคนนี้ช่างน่าตลกเสียจริง

                ผมคิดว่าเขาชอบคุณ แบคฮยอนยิ้มล้อ มินซอกหุบยิ้มเข้ามาทันทีที่รู้ตัวก่อนจะส่งหมัดลุ่นๆเข้าที่หน้าท้องของร่างบางเบาๆ

                “เพ้อเจ้อน่า” ร่างเล็กเหลือบตามองแบคฮยอนที่ยังคงยิ้มให้เขาแบบนั้นก็ต้องถลึงตาให้กับเด็กช่างล้อ

                คุณไม่ชอบเขาหรอ?

                “เปล่า...ฉันไม่ได้เกลียดเขา” มินซอกปฏิเสธทันควัน ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่การสื่อสารระหว่างสองคนนี้ผิดพลาด แบคฮยอนไม่ได้เข้าใจอย่างที่มินซอกกำลังพูดถึง

                คุณสองคนชอบกัน

                “ใช่ เรามาด้วยกัน” ร่างเล็กพยักหน้าให้ทันทีโดยที่ไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจความหมายของคำพูดของเขาผิดไปเสียแล้ว

                พวกคุณไม่เหมือนกันเลย แปลกดีที่เข้ากันได้

                “เขาปากเสีย ขี้หงุดหงิดแล้วก็...” ทะลึ่ง...มินซอกคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

                ชานยอลก็ปากแข็งเหมือนกัน

                “เขาชอบดุนายเหมือนกันหรอ?”

                เปล่าเลย เขาเป็นคนพูดน้อยแต่น่ารัก

                “ดีจัง” มินซอกตอบกลับไปแค่นั้นเพราะรู้สึกว่าบทสนทนาของเขาและแบคฮยอนเริ่มจะแปลกๆยังไงชอบกล เหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่ก็ไม่ประติดประต่อกันเท่าไหร่ ภาษามืองูๆปลาๆนี่ดูท่าว่ามันจะทำพิษให้เสียแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     
     

                ควันบุหรี่ลอยฟุ้งออกมาจากหน้าต่างห้องของจงอิน ริมฝีปากหยักแตะลงบนก้นกรองของมันพลางสูดลมควันเข้ามาจนเต็มปอดและปล่อยให้ลอยโขมงขึ้นเหนือศีรษะของตนเองอีกครั้ง ลู่หานโยนหนังสือพิมพ์รายวันที่เคยวางทิ้งไว้ด้านล่างลงบนพื้นดังตุบ ร่างสูงไถตัวลงมาตามแนวผนังแล้วนั่งยองบนพื้น มือข้างที่ไม่ได้คีบบุหรี่เสยผมขึ้นพร้อมกับเม้มปากแน่น

     

                จุนมยอนไม่สามารถปิดข่าวให้เขาได้เหมือนอย่างเคยเพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับลูกสาวของบังชอลยง ต่อให้จะเดินเข้าโรงพักไปมอบตัวแล้วให้การกับตำรวจว่าตัวเองมีเจตนาจะช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ นอกจากว่ามันจะกลายเป็นข้ออ้างที่ไม่มีใครเชื่อแล้วหนำซ้ำคดีค้าประเวณีที่ตัวเองทำไว้ถึงอย่างไรโทษก็คงไม่พ้นประหารชีวิต

     

                “ลู่หาน?” เสียงของใครบางคนดังออกมาจากหน้าประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้ ร่างสูงเหลือบมองเจ้าของโครงกายเพรียวเล็กก่อนจะเคาะเถ้าบุหรี่ออกจากปลายมวน

                “ทำไมคุณถึงมาสูบบุหรี่ในห้องนี้ล่ะ?”

                “เสือก” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างไม่ยี่หระแล้วก็อัดควันเข้าปอดอีกครั้ง

                “ห้องอยู่ใกล้กันแค่นี้ ยังไงแอนดี้ก็ได้กลิ่นอยู่แล้ว...คุณน่าจะไปสูบข้างล่าง”

                “ไม่ต้องมาสั่ง” มินซอกถดคอลงเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงสภาพอารมณ์ที่ฉุนเฉียวรุนแรงผิดปกติของลู่หาน  “ออกไป จะไปทำอะไรก็ไป”

                “ผมแค่...”

                “กูบอกให้ออกไปไง!” ร่างสูงสูดควันเข้ามาอีกครั้งแล้วพ่นมันใส่ตรงที่อีกฝ่ายยืนอยู่ มินซอกเดินถอยหลังออกไปสองก้าวก่อนที่ปลายเท้าจะสะดุดเข้ากับหนังสือพิมพ์ฉบับเก่า

                “ลู่หาน...อ่านหนังสือพิมพ์แล้วใช่ไหม?” ลู่หานขบกรามแน่นพลางถอนหายใจออกมายาวๆให้กับความเร้าหรือของคนตรงหน้าแล้วปรายตามองอย่างไม่สบอารมณ์

                “อย่ามายุ่งกับกู รำคาญ”

                “แต่ผมเป็นห่วง เห็นคุณหายไปก็เลยขึ้นมาดู”

                “มึงก็เห็นแล้วนี่ไงว่าไม่ได้เป็นอะไร”

                “คุณเป็น” นัยน์ตาแข็งกร้าวมองสบเข้ามาที่คู่ตาของเขาในฉับพลัน “ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดมากกับข่าวที่ออกในหนังสือพิมพ์”

                “แล้วไง?”

                “ผมอยากให้คุณย้ายออกจากที่นี่...บางทีมันอาจจะไม่ปลอดภัยอย่างที่คุณคิด”

                “ไม่”

                “ผมหวังดีนะ” มินซอกก้าวเข้าไปใกล้และย่อเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างกลัวๆกล้าๆ ควันบุหรี่ถูกพ่นผ่านโครงจมูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเจ้าตัวจะโยนมันลงไปทางหน้าต่างข้างหลัง

    “ถ้าเป็นห่วงแอนดี้ผมจะดูแลเขาแทนคุณก่อนก็ได้”

                “จะเป็นนางฟ้านางสวรรค์มาจากไหนก็ไม่มีใครรักมันได้เท่ากูหรอก”

                “ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณจะทำยังไง?”

                “...” ลู่หานเม้มปากก่อนจะเงยหัวเสียดกำแพง ร่างสูงเอื้อมคว้าซองบุหรี่ที่อยู่บนฟูกนอนของจงอิน แต่แล้วมือเล็กของมินซอกก็เข้ามาปรามเขาไว้

                “ไม่สูบได้ไหม?” ชายหนุ่มสบตาคนตัวเล็กนิ่งแล้วขืนมือออกจากอีกฝ่าย “บุหรี่มันอาจจะทำให้คุณใจเย็นลงได้...แต่ไม่ได้ทำให้เจอทางออก”

                “ไม่เห็นเหรอว่าเครียด? ไม่ดูดบุหรี่แล้วจะให้ทำอะไร? ดูดิสนี่ย์คลับแก้เครียดหรอ?”

                “สูบบุหรี่มันทำให้เหนื่อยง่าย ถ้าคุณไม่ฟังผมแล้วยังสูบบุหรี่เยอะขนาดนี้พอถึงตอนที่ต้องหนีคุณจะไม่ลงไปนอนหอบเลยหรือไง”

                “งั้นก็เข้ามาใกล้ๆ”

                “ทำไม?...อ่ะ! นี่คุณ!” ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบลู่หานก็ดึงเขาเข้าหาลำตัว “จะทำอะไร?

                “คลายเครียดไง...ไม่ดูดละบุหรี่ จะดูดคอมึงเดี๋ยวนี้ล่ะ”

    “ไม่” ร่างเล็กสะบัดตัวแรงๆจนพ้นจากอ้อมแขนของบุคคลอันตราย “งั้นก็สูบไปเลย”

    “แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” ลู่หานแค่นยิ้มมุมปากก่อนจะดึงบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากซอง มินซอกมองหน้าเขาเล็กน้อยอย่างคาดโทษก่อนจะเบี่ยงหน้าออกไปทางอื่น

    “ดูทำหน้า ทำเหมือนไม่เคยไปได้”

    “ไม่เคยอะไร?”

    “ทำไม? มึงไม่เคยโดนดูดคอดิ?” ได้ผล...การกวนประสาทแบบนี้ทำให้คนตัวเล็กหันกลับมามองตาเขียว ซึ่งนั่นนับว่าเป็นยาคลายเครียดชั้นดีของลู่หานเลยก็ว่าได้

    “พูดอะไร หน้าไม่อาย”

    “แล้วจูบอ่ะเคยป่ะ?”

    “นี่คุณ! มันไม่ใช่เวลาที่เราจะมาคุยเรื่องพวกนี้กันนะ”

    “อ้อเหรอ...มึงอายุเท่าไหร่ละล่ะ?”

    “ยี่สิบแปด ถามทำไม?”

    “จะสามสิบแล้วเพิ่งเสียซิงจูบเองเหรอ...งั้นเรื่องอื่นคงไม่ต้องถามถึง” มินซอกกลั้นลมหายใจเอาไว้ในอกแล้วปรายตามองลู่หานที่กำลังหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งเขาแบบนี้...บ้าเอ๊ย!

    “ผมไม่ได้แต่งงานมีเมียมีลูกเหมือนคุณนี่”

    “จูบแรกกูตอนอายุสิบสอง มีเซ็กส์ครั้งแรกตอนอายุสิบเจ็ด”

    “แก่แดด”

    “แล้วชักว่าว...โอ๊ย!” ยังไม่ทันจบประโยคฝ่ามือหนักๆของมินซอกก็แปะเข้าที่ข้างแก้มของเขาจนเต็มแรง มันไม่ได้เรียกว่าตบ...แต่จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ? โบกเหรอ?

    “ไม่ต้องมามองด้วยสายตาแบบนั้น ผมไม่รู้สึกผิดสักนิดเลย”

    “เหอะ ทำเหมือนไม่เคยคุยกับเพื่อนเรื่องพวกนี้ไปได้” ลู่หานยิ้มหน่ายๆแล้วทิ้งก้นลงบนพื้นซีเมนต์ ขาทั้งสองข้างของเขาเริ่มอ่อนล้าหลังจากที่รับน้ำหนักตัวมาสักระยะหนึ่งแล้ว

    “คุณคิดว่าคนอื่นจะพูดเรื่องแบบนี้จนชินปากเหมือนตัวเองหรือไง?”

    “ผู้ชายที่ไหนก็คุยกันทั้งนั้น”

    “แน่นอนว่าไม่ใช่ผม”

    “ก็มึงเล่นอินโนเซนส์ซะขนาดนี้” ร่างสูงว่าพลางจ่อไฟแช็กค้างไว้ที่ปลายมวนบุหรี่ ไม่กี่วินาทีเพลิงขนาดย่อมก็สว่างวาบขึ้นมาก่อนที่ควันสีหม่นจะลอยตลบขึ้นเหนือมวลอากาศอีกครั้ง

    “ลู่หาน...ผมจริงจังนะ ผมคิดว่าคุณอยู่ที่นี่ไม่ได้”

    “อย่าเสือก” มินซอกเหยียดริมฝีปากออกจนเป็นเส้นตรงทันทีที่อีกฝ่ายยังคงรั้นไม่ฟังเหตุผลของคนอื่นแบบนี้

    “ผมคิดว่าคุณควรจะฟังคนอื่นบ้าง อี้ฟานก็เป็นห่วงคุณ ใครๆก็ห่วงคุณกันทั้งนั้น”

    “เลิกพูดเหอะ เสียเวลาว่ะ”

    “แต่...”

    “ขนาดพ่อพูดกูยังไม่ฟังแล้วมึงคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ขนาดตัวมึงเองยังเอาไม่รอดแล้วนับประสาอะไรจะมาสั่งมาสอนคนอื่น”

    “...” กรามเล็กขบเข้าหากันแน่น ที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะลู่หานแท้ๆ

    “คนอื่นก็ทำได้แค่ให้คำแนะนำ...แล้วไงวะ? คนที่มันกำลังเผชิญปัญหาอยู่ก็คือกูป่ะ?” ร่างสูงพูดก่อนจะอัดควันเข้าไปจนสุดปอด นัยน์ตาคมกร้าวหันมาเสมองแค่เพียงปลายตาพลางพ่นควันใส่หน้าคู่สนทนาอย่างใจเย็น “กูมีทางออกสำหรับตัวเองก็แล้วกัน”

    “...”

    “อ่อ...แล้วก็สำหรับภาระอย่างมึงด้วย”

    “...”

    “เหอะ...ถ้าฆ่ามึงให้ตายตั้งแต่ตอนนั้นป่านนี้จะเป็นยังไงนะ” ลู่หานยกยิ้มจืดๆพร้อมกับจี้บุหรี่ลงบนพื้น

    “คุณเคยฆ่าคนหรือเปล่า?” แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยเหลือบมองใบหน้าคมขาวของคู่สนทนา

    “ถามทำไม?” พูดพลางหรี่ตามองคนตรงหน้า ไม่รู้ว่าเพราะคนอื่นรู้กันอยู่แล้วหรือไม่กล้าถามเขากันแน่ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำถามแบบนี้

    “ผมจำได้นะ ตอนที่จื่อเทาแทงคอเด็กสาวคนนั้น...คุณมองมันเหมือนเป็นเรื่องปกติ”

    “ผิดกับมึงที่กลัวจนตัวสั่น” ลู่หานยิ้มเยาะเมื่อย้อนนึกถึงวันแรกที่เจอกัน

    “ก็ผมไม่เคยเห็นคนฆ่ากันตายในระยะที่ใกล้ขนาดนั้นนี่”

    “ถ้ามีส่วนร่วมในการฆ่าก็คงนับไม่ถ้วน แต่ถ้าฆ่าด้วยตัวเอง...”

    “...”

    “ก็แค่ศพเดียว” สีหน้าของมินซอกไม่ค่อยสู้ดีหลังจากได้ยินคำตอบแบบนั้น ไม่ว่าจะศพเดียวหรือกี่ร้อยศพสังคมก็เรียกมันว่าฆาตกรอยู่ดี ลู่หานอาจจะไม่ใช่คนดีอย่างที่เขาคิดไว้

    “หวังว่าผมจะไม่ใช่ศพที่สองในชีวิตของคุณ”

    “จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าศพเดียวที่ว่านั่นมันเป็นใคร” ลู่หานพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับมันเป็นหัวข้อสนทนาทั่วไป มินซอกวางมือลงบนพื้นแล้วเนียนเขยิบตัวออกให้ห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นแค่อาชญากรอีกต่อไปแล้ว...

    “ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผมควรจะรู้”

    ถ้าบอกว่าฆ่าพ่อตัวเองตายกับมือ มึงจะเชื่อไหมล่ะ?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     
     

    แสงแดดแรงจัดในช่วงฤดูร้อนทำให้คนที่เดินทางด้วยเท้าอย่างลู่หานต้องหรี่ตา ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันที่ต้องยกแขนให้เสื้อยืดตัวเก่าปาดคราบเหงื่อไคลที่ติดอยู่บนใบหน้า

    เขาไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนแล้ว มีก็แต่การติดต่อจากแม่ผ่านตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญที่คุยได้ไม่กี่นาทีก็ต้องวางหู เขาเบื่อที่จะต้องมานั่งฟังเสียงร้องไห้ของแม่กับปัญหาเก่าๆที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับพ่อ แล้วไหนจะพี่ชายคนละพ่อนั่นที่เขาเกลียดชังมันเสียเหลือเกิน

    จนกระทั่งเมื่อวานคงเป็นสายสุดท้ายของการติดต่อผ่านโทรศัพท์ ปัญหาที่บ้านเรื้อรังจนเขาคิดว่าต้องกลับไปทำอะไรบ้าง แต่กับเด็กที่เพิ่งอายุย่างเข้าสิบเจ็ดจะไปมีปัญญาทำอะไรได้นอกเสียจากยืนทื่อเป็นขอนไม้แล้วมองดูพ่อของตัวเองซ้อมแม่ให้สลบคาแข้งเหมือนอย่างเคย

     

    “เปิดประตูให้หน่อย!” เด็กหนุ่มเขย่ารั้วเหล็กจนสั่นไหวไปทั้งแถบแต่กลับไม่มีการตอบรับจากคนที่อยู่ข้างในบ้าน ได้ยินก็แต่เพียงเสียงโครมครามที่ดังลอดออกมาเป็นระยะ

    ไม่ผิดคาดสักเท่าไหร่...กลับมาทีไรบ้านที่เคยอยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากสนามรบดีๆนี่เอง

     

    “เหี้ยเอ๊ย” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะปีนรั้วเข้าไปด้านในอย่างทุลักทุเล

     

     

     

    แอ๊ด...

    มือหนาบิดกลอนประตูแล้วเปิดเข้าไปพบกับความเงียบ ไม่มีแม่ที่ยืนรอเขาทั้งน้ำตาแล้วโหยไห้จนตัวโยนเหมือนเก่า

     

     

     

    เพล้ง!

    เสียงดังมาจากชั้นบน ปกติแล้วพี่ชายหน้าโง่จะนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าทีวีแต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เสียงพ่อกับแม่ที่ถกเถียงกันก็ไม่พรอดดังเข้าหูเลยสักประโยค...แล้วเสียงพล้งเพล้งที่ได้ยินเมื่อกี้นั่นมันดังมาจากตรงไหน?

     

    ลู่หานวางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟาเก่าๆก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปอย่างใจเย็น ประตูห้องนอนที่อยู่ริมสุดถูกแง้มไว้ให้เห็นคนที่อยู่ข้างในเพียงเสี้ยวหน้า พี่ชายต่างสายเลือดนอนอยู่บนเตียงแล้วจ้องเขาตาเขม็ง มันไม่เคยมองเขาแบบนั้น...แต่ก็ช่างหัวมันก่อน เขาควรจะเข้าไปดูแม่ในห้องให้รู้ว่าที่เงียบไปนั้นเพราะไม่อยู่บ้านหรือนอนจมหน้าแข้งของพ่อไปแล้วกันแน่

     

    “แม่” ข้อนิ้วหนาเคาะลงบนประตูสองสามครั้ง ไม่มีใครขานตอบกลับมาอย่างที่คาดไว้ ร่างสูงสูดลมหายใจอัดเข้ามาในปอดก่อนจะบิดกลอนประตูที่ปกติจะล็อคเอาไว้ แต่ครั้งนี้กลับเปิดออกมาได้สำเร็จ...

    “แม่...ไม่อยู่เหรอ?” ประตูแง้มเข้าไปได้แค่เพียงช่องเล็กๆเพราะรู้สึกเหมือนจะมีอะไรวางขวางอยู่ เขากวาดสายตามองขึ้นไปบนเตียง หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและแม้กระทั่งบนพื้นก็ไม่พบ

    “แม่?” เขาตัดสินใจเรียกออกมาอีกครั้ง เสียงโครมครามที่ดังผ่านผนังห้องข้างๆกลายเป็นเพียงลมอากาศที่ลู่หานไม่ใส่ใจจะฟังมัน

     

     

    แหม่ะ...

    หยดน้ำตกกระทบลงบนปลายจมูก ร่างสูงถดคอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยมันออกมาเบาๆ คงจะเป็นน้ำแอร์รั่วอยู่เหนือขอบประตูด้านบน ผ่านมากี่ปีกี่ชาติก็ไม่เคยจ้างช่างมาซ่อมให้มันเสร็จๆไปสักที

     

     

    “แม่...อยู่ในห้องน้ำหรอ?”

     

     

    แหม่ะ...แหม่ะ...

    คราวนี้มันหล่นลงมาสองหยดบนข้างแก้ม แกนนิ้วกร้านปัดมันออกเมื่อรู้สึกรำคาญ มันยังหยดลงมาอย่างต่อเนื่องอีกสองสามครั้งแต่กลิ่นสาบคาวที่ระคนอยู่บนหยดน้ำพวกนั้นทำให้เขารู้สึกเอะใจ

     

    ลู่หานปาดมันออกมาจากข้างแก้มและปลายจมูกก่อนจะแบมือมองดูคราบน้ำที่ติดอยู่บนปลายนิ้ว นัยน์ตาคมเบิกกว้างเมื่อพบว่าน้ำสีแดงข้นแบบนี้คงไม่ใช่น้ำแอร์อย่างที่คิดไว้แน่ ไม่ทันรอให้สมองได้ประมวลผล...เขาเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่อยู่เหนือบานประตูนั้นอย่างรวดเร็ว

     

    “...” ริมฝีปากหนาสั่นระริก ของเหลวสีชาดร่วงหล่นลงมาอย่างต่อเนื่องบนใบหน้าของเขา ลู่หานเม้มปากแน่นพร้อมกับที่เข่าทั้งสองข้างอ่อนแรงลงจนต้องลงไปนอนพับอยู่บนพื้น

    “แม่...” น้ำตาหลั่งออกมาจนล้นดวงตาสีเข้มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    แม่ของเขาถูกแขวนอยู่ด้านบนโดยมีเชือกรัดแน่นที่คอจนลิ้นจุกปาก ลำตัวที่ห้อยอยู่หลังบานประตูเป็นสาเหตุที่เขาไม่สามารถดันประตูห้องเข้าไปจนสุดได้ในตอนแรก สภาพที่เห็นอยู่นั้นทำลายภาพของผู้หญิงที่สวยที่สุดในชีวิตของเขาอย่างไม่เหลือชิ้นดี เลือดที่ไหลท้นจากศีรษะเล็กเป็นบ่อเกิดของเหลวที่หยดลงมาหาเขาจนถึงเวลานี้...

     

    เขาปล่อยให้ตัวเองโหยสะอื้นอยู่ได้ไม่นานก็หยัดตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มกลืนเสียงสะอื้นกลับเข้าไปในลำคอก่อนจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้าคมเกลี้ยงแหงนมองผู้ให้กำเนิดที่เพิ่งหมดลมหายใจ ดวงตาที่ว่างเปล่าของแม่เบิกค้างและมองกลับมาที่เขาราวกับต้องการให้ทำอะไรสักอย่างในตอนนี้... แม่ไม่ต้องบอกหรอก เขาต้องทำมันแน่

     

    เรือนร่างสูงโปร่งทอดกายออกมาจากห้องนอนห้องนั้นอย่างคนไร้วิญญาณ เขาเดินตรงไปยังหัวบันไดก่อนจะหยิบขวานขนาดเหมาะมือที่วางทิ้งไว้โดยร้างการใช้งานมานานแล้ว คราวนี้เห็นทีว่ามันคงจะได้ใช้ประโยชน์จากครอบครัวของเขา...

     

     

     

     

    โครม! เพล้ง!

    เด็กหนุ่มเดินไล่ไปยังห้องต่างๆของบ้านที่มีอยู่ไม่กี่ห้องเพื่อตามหาต้นเสียงก่อนจะหยุดฝีเท้าลงอยู่ในห้องมุมสุดที่เพิ่งมองเห็นพี่ชายหน้าโง่ของเขาอยู่ในนั้น ดวงตาสีเหล็กมองลอดบานประตูที่แง้มไว้แล้วก็แค่นยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น

     

    พี่ชายต่างสายเลือดเป็นคนที่สองที่กำลังรองรับความคุ้มคลั่งที่บันดาลออกมาจากพ่อแท้ๆของเขาอยู่ตอนนี้ คนที่สมควรตายควรจะเป็นมัน...ไม่ใช่แม่ของเขาสักหน่อย

     

    “อึก...” เสียงจุกอยู่ในคอหอยของพี่ชายขี้โรค เขาเลือกที่จะมองผ่านดวงตาแข็งที่จ้องมาทางเขาโดยที่ไม่ได้เอะใจสักนิดเลยว่า...มันคือดวงตาแห่งความร้องขอ

    “อย่าดิ้นสิลูกรัก...เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าตัวมารที่ขัดอารมณ์ของฉันมันจะเป็นยังไง!

     

    น้ำเสียงแข็งกร้าวดุดันแบบนั้นลู่หานคุ้นเคยกับมันดี มันเป็นเสียงที่พ่อของเขาใช้ขู่เข็ญทุกคนในบ้าน แม้แต่เขาที่เกิดมาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อเพียงคนเดียวก็ไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นอะไรสักอย่างนอกเสียจากเป็นที่ระบายแรงมือแรงตีนมาเสมอ

     

     

     

    แอ๊ด...

    เขาเปิดประตูกว้างเข้าไปอีกหน่อยทำให้มองเห็นความเคลื่อนไหวของคนที่อยู่ข้างในได้อย่างชัดเจน หน่วยตาทั้งสองฉายมองสิ่งที่เห็นตรงหน้าแล้วความสับสนงุนงงก็โจมตีเข้าสู่สมองในฉับพลัน

     

    “ฮึ่ก...” ร่างขาวที่นอนเปลือยคว่ำอยู่ปลายเตียงยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วปัดไล่เขาให้หนีออกไป ดวงตาชื้นใสคู่นั้นจ้องแข็งมาที่เขาเสมอเพราะกำลังถูกรัดคอด้วยเชือกพีวีซี

    “อยู่เฉยๆน่า...ถ้าโก่งสะโพกสูงๆพ่อจะอนุญาตให้ตายอย่างนิ่มนวลที่สุดเลย” ริมฝีปากหนาอ้าค้าง พ่อไม่ได้ทำแค่ซ้อมมันจนน่วมอย่างที่คิดไว้แต่กำลังจะข่มขืนและฆ่ามันไปพร้อมๆกัน!

     

    จากที่เคยลังเลว่าจะสั่งสอนพ่อเขาอย่างไรให้สาสมกับที่อาจหาญมาพรากลมหายใจของคนๆเดียวที่รักและดูแลเขามาเสมอ ตอนนี้ความสำนึกดีคืออะไรเขาไม่ขอรับรู้มัน ทั้งโกรธและเจ็บใจที่ไม่เคยเชื่อในสิ่งที่แม่เคยเล่าว่าพ่อพยายามขืนใจพี่ชายและพยายามทำร้ายแม่ให้ถึงแก่ชีวิตอยู่ทุกวี่วัน หนำซ้ำยังคิดว่าแม่ใส่ร้ายและพยายามทำลายความคิดที่เขาต้องการมองพ่อในแง่ดีมาเสมอ

     

    ภาพที่เห็นตรงหน้าฟ้องชัดอยู่เต็มสองตา เขาไม่มีพ่ออีกต่อไปแล้ว...คนที่อยู่ตรงนั้นไม่ต่างอะไรจากสัตว์นรกเดรัจฉาน หยาบช้าเลวทรามเกินกว่าจะหาสิ่งใดในโลกมาเปรียบได้

     

     

     

    “...ฮึ่ก...อั่ก!

     

    ร่างเปลือยขาวกำลังจะดิ้นชักเพราะขาดอากาศหายใจ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นมาไม่หยุดหย่อนเมื่อเท้าทั้งสองข้างเริ่มก้าวเข้าใกล้คนสองคนที่อยู่ด้านใน

     

     

     

    ขวานเล่มเก่าถูกกำแน่นอยู่ในสองมือ...

    เขาเงื้อมันขึ้นแล้วเล็งไปตรงกลางกระหม่อมของคนที่เขาเคยยกย่องให้เป็นผู้มีพระคุณ

    เปลือกตาหนาปิดแน่นก่อนจะทิ้งหยดน้ำตาหนึ่งหยดให้ไหลลงมาที่กลางแก้ม...

     

     

     

     

    ฉึกกกกกก!!!!

     

     

     

                เลือดสาดกระเซ็นขึ้นมาจนอาบเสื้อผ้าที่สวมใส่ ร่างของชายที่ย่างเข้าสู่วัยชราเอนล้มไปทางด้านหน้าและหมดลมหายใจลงอย่างรวดเร็ว เชือกพีวีซีคลายออกมาจากลำคอของพี่ชายที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตก่อนจะเห็นมันเคลื่อนตัวทุรนทุรายออกมาให้พ้นจากศพที่เพิ่งล้มทับตัวเองไปเมื่อครู่...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     
     

    “นั่นคงเป็นครั้งแรกที่คุณมีคดีอยู่ในบันทึกของตำรวจใช่ไหม?” คำถามแรกส่งมาพร้อมกับดวงตาคู่สวยที่กำลังช้อนมองฝ่ายตรงข้ามหลังจากได้ฟังเรื่องราวที่อีกคนเล่าอย่างตั้งใจ

    “เหอะ ไม่อ่ะ” ลู่หานยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เป็นครั้งที่สองแล้วที่มินซอกสังเกตเห็นว่าร่างสูงพยายามกลบเกลื่อนดวงตาที่รื้นเศร้าของตัวเองด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆแบบนั้น

    “คืนนั้นกูออกมาจากโซลแล้วหนีไปอยู่แถบชายแดน” ลู่หานคว้าซองบุหรี่เข้ามากำไว้ในมือหลวมๆ ก่อนจะดึงยาสูบมวนใหม่ขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่สนใจสายตาของคนตัวเล็กที่กำลังมองปราม

    “รับจ้างเป็นเด็กขนน้ำแข็ง กินนอนอยู่ในนั้นเป็นเดือนจนสุดท้ายมาเจอจงอินกับอี้ฟาน สมัยนั้นเหี้ยดำยังหำเล็กเท่ารากผักชีอยู่เลยมั้ง ผิวงี้ดำชิบหาย มองผ่านๆนึกว่าถ่านไหม้” ร่างสูงหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อนึกถึงตอนที่เจอกับจงอินครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ถึงตอนนั้นจงอินจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ตัวผอมแกรนแต่นิสัยก็ยังห้าวไม่ผิดจากทุกวันนี้

    “ส่วนพ่อ...ตอนนั้นมันเป็นหมอชนบท ถึงเงินเดือนจะน้อยแต่ก็คอยช่วยเหลือกูมาตลอดนั่นแหละ”

    “แล้วพวกคุณไปเจออี้ฟานได้ยังไง?”

    “เหี้ยดำมันกำพร้า ไปขโมยกับข้าวในตลาดมาจนโดนแม่ค้าฟันให้ที่ต้นแขน ส่วนกูก็เรื่องชกต่อยธรรมดา...พวกจับกังโรงน้ำแข็งแม่งล้อว่ากูเป็นคนต่างด้าวอ่ะ”

    “ฮึ...” มินซอกปิดปากหัวเราะเบาๆแล้วเหลือบมองลู่หานที่กำลังอมยิ้มอยู่เหมือนกัน

    “กูเลยท้าบวกแม่งเลย พอตกเย็นก็ยกพวกมาเป็นสิบ”

    “พวกคุณหรอ?”

    “เออ...” ลู่หานปรายตามองนิ่ง “พวกกูก็เหี้ยละ พวกมันดิ”

    “แล้วคุณล่ะ?”

    “ฉายเดี่ยวดิ แมนๆอย่างกู” ลู่หานทุบอกตัวเองสองครั้งจนทำให้มินซอกต้องหัวเราะร่าออกมาอย่างไม่ปิดบัง

    “แล้วพวกเขาล่ะ? แพ้ราบเป็นหน้ากลองเลยไหม?”

    “แพ้ไม่แพ้ก็นอนจมตีนอ่ะ”

    “ผมไม่เชื่อหรอก หนึ่งต่อสิบเนี่ยนะ?”

    “เออ...ก็หนึ่งตัวที่นั่งอยู่นี่ลงไปนอนจมยี่สิบตีนของพวกมันไง” ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วเว้นจังหวะให้ความเงียบทำงานอยู่ชั่วครู่ มินซอกอมยิ้มแล้วตีหน้าตักของอีกคนอย่างคาดโทษทำให้ลู่หานเป็นคนแรกที่หัวเราะออกมา

    “ผมก็นึกว่าจะเก่ง”

    “บวกกันแบบนั้นแล้วชนะก็มีแต่ในหนังเท่านั้นแหละ”

    “ถ้าผมเดาไม่ผิด... ปลายทางที่คุณกับจงอินไปเจออี้ฟานก็คงเป็นสถานีอนามัยที่เขาทำงานอยู่ใช่ไหมล่ะ?”

    “ฉลาดนี่” ลู่หานพูดพลางผลักหัวของคนตัวเล็กออกเบาๆ “งานเสือกนี่เก่งเชียวนะ”

    “ก็ไม่เห็นจะมีทางไหนที่ทำให้พวกคุณเจอกันได้แล้วนี่” มินซอกยักไหล่

    “มีดิ”

    “แบบไหนล่ะ?”

    “ก็เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยกูกับไอ้เหี้ยดำไง”

    “เพ้อเจ้อน่า” มินซอกเท้าศอกบนหัวเข่าแล้วเทินคางขึ้นบนฝ่ามือของตนเอง เขานั่งมองใบหน้าของลู่หานที่แต้มยิ้มอยู่จางๆก็ต้องแอบเผลอยิ้มตามไปด้วย

    “ฟังเรื่องเด็กสิบเจ็ดฆ่าพ่อตัวเองนี่ยิ้มไม่หุบเลยนะ”

    “...” รอยยิ้มนั้นเจืออยู่บนพวงแก้มของมินซอกได้ไม่นานคำพูดของลู่หานก็เข้ามาเป็นบ่อนทำลายมัน ริมฝีปากเล็กคืนรูปกลับมาจนใบหน้าหวานนิ่งสนิท

     

     

    ลู่หานกำลังยิ้มอยู่ก็จริง...

    หากแต่แก้วตาสีหม่นคู่นั้นกลับไม่ได้ยิ้มตามอย่างที่ควรจะเป็น

     

     

    “แล้วคุณได้เจอพี่ชายคุณอีกไหม?”

    “เจอกันอีกครั้งตอนกลับมาโซล แต่ก็ไม่ลงรอยกันเหมือนเดิม” ร่างสูงพูดพลางจุดบุหรี่ที่คีบเอาไว้ที่ปลายนิ้ว

    “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอ?”

    “ถามทำไม?” ควันบุหรี่ถูกระบายออกมาจากริมฝีปากและโครงจมูกรั้นอีกครั้ง

    “ถ้าคุณพอรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน...ผมว่าเขาน่าจะช่วยคุณได้” มินซอกตอบคำถามพลางปัดควันที่คนสูบจัดพ่นออกมากระทบใบหน้าของเขาออกไป

    “เปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ ไม่อยากพูดถึง” ร่างสูงว่าพลางเบือนหน้าออกไปอีกทาง ลู่หานเอนหลังชิดเข้าหากำแพงก่อนจะวางแขนทั้งสองข้างพาดไว้เหนือเข่าที่ยกชันขึ้นมา

    “ลู่หาน...”

    “อะไร?”

    “คุณคงลำบากมากเลยใช่ไหม?”

    “...” เจ้าของชื่อไม่ตอบอะไร ริมฝีปากแดงคล้ำเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะทอดแววตาที่เรียบเฉยมองไปบนกำแพงที่ว่างเปล่า... ลำบากมากไหมงั้นหรอ? แค่ลำบากตัวคงไม่เท่าไหร่แต่ลำบากใจนี่สิปัญหา

     

     

     

    “ผมรู้ว่าการที่ต้องยืนขึ้นมาด้วยลำแข้งของตัวเองมันลำบากขนาดไหน เรื่องที่คุณเล่ามามันอาจจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิตที่คุณต้องเผชิญหน้ากับมัน แต่ว่า...คุณก้าวผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาแล้ว”

     

                มินซอกระบายยิ้มจืดๆขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะวางฝ่ามือของตนทาบลงบนหลังมือแกร่ง ลู่หานหลุบตามองมือขาวที่เลื่อนมากุมมือเขาเอาไว้แล้วยกกรอบสายตาของตนขึ้นมองใบหน้าของคนตัวเล็กอีกครั้ง

     

                “คุณหากินกับความทุกข์ทรมานของลูกผู้หญิง คุณมองชีวิตของคนอื่นเป็นผักปลา คุณเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของคนแปลกหน้า คุณเคยฆ่าพ่อตัวเอง...ใช่ คุณคือคนที่สังคมควรจะตราหน้าว่าเป็นไอ้ฆาตกรสารเลว”

                “...”

                “แต่ลู่หานในมุมที่ผมเห็น...คุณเป็นพี่ชายที่ดีของจงอิน เป็นอีกที่พักพิงของแบคฮยอน คุณสำนึกในบุญคุณและกตัญญูต่ออี้ฟาน คุณเป็นพ่อที่ดีของแอนดี้ และที่สำคัญ...”

                “...”

                คุณเป็นเจ้าหนี้ชีวิตของผม” เรียวนิ้วมือทั้งห้าเคลื่อนไล้ไปบนหลังมือของร่างสูงอย่างเชื่องช้าราวกับเป็นการปลอบประโลม

                “อย่าไปยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเลย มันเป็นเพียงแค่บทเรียนราคาแพงที่ควรค่าต่อการเรียนรู้มัน... คุณมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็แสดงว่าพระเจ้าให้อภัยคุณแล้วนะ รู้ไหม?” ลู่หานพยักหน้าตอบช้าๆ แผ่นมือบางกุมมือเขาแน่นขึ้นกว่าเก่าแค่เพียงเล็กน้อย

                “ผมไม่ได้ตั้งใจจะสอน...แต่คุณพอจะรู้เจตนาของผมที่มาพูดกับคุณแบบนี้ใช่ไหม?”

                “เสื้อ กางเกง กางเกงใน”

                “อะไรหรอ?”

                “มาเป็นชุด”

                “คุณนี่มัน...” มินซอกเบนสายตาออกจากคนตรงหน้าหลังจากที่อีกฝ่ายพูดตัดอารมณ์เขาแบบนั้น มือบางเคลื่อนตัวออกจากหลังมือกร้านแต่ก็ถูกฉุดเข้าไปกอบกุมในอุ้งมืออุ่นอีกครั้ง

                “เออ กูรู้น่า”

                “ตกลงคุณก็ยังยืนยันที่จะไม่ย้ายออกไปไหนใช่ไหม?”

                “ก็ลูกกูอยู่ที่นี่แล้วจะให้กูไปอยู่ที่ไหนวะ? แอนดี้มันก็ยังต้องเรียนหนังสือ”

                “ถ้าแน่ใจที่จะทำแบบนั้นก็แล้วแต่คุณ”

                “ยอมแต่แรกก็จบละ จะเกลี้ยกล่อมทำเหี้ยไรนักหนาเสียเวลาชิบหาย”

                “แต่ผมคงอยู่ที่นี่เฉยๆไม่ได้หรอกนะ ผมไม่ชอบเอาเปรียบใคร”

                “หมายความว่าไง?” ร่างสูงขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่พูดออกมาเป็นจริงเป็นจัง

                “ผมจะหางานทำ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - To Be Continue –

     

     

                ขอโทษจริงๆนะคะที่รอบนี้หนวดมาอัพช้าอีกแล้ว T_T ก่อนหน้านี้ติดทำงานกับสอบติดๆกันเลยผสมกับอารมณ์ตัดพ้อชีวิตว่าทำไมเราถึงเหนื่อยแบบนี้น้อ... แต่ตอนนี้มันผ่านพ้นไปแล้วค่ะสบายๆหายห่วง! ขอบคุณแฟนฟิคทุกคนที่ยังรอนะคะ รักเสมอเลยนะรู้เปล่า? <3

     

                อะไรนะ? ได้ยินเสียงใครบอกจะไปหางาน... อยู่ในแวดวงนี้คนดีของหนวดจะไปทำงานอะไรนะ สงสัยจังเลย T_T

     

     

     

                #ฟิคมฟต

     

    PORCELAIN  THEMEs
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×