ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( EXO ) MALEFACTOR ! | LUMIN FEAT.KAIHUN

    ลำดับตอนที่ #5 : | MALE04 : VAGUE |

    • อัปเดตล่าสุด 1 มี.ค. 57


    | MALE04 : VAGUE |

    AUTHOR : NUTCRACKER

     

     

     

     

     

     

     

     

              “แล้วไม่มีตำรวจมาขอตรวจค้นอะไรที่นี่เลยหรอ?”

     

    เสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงของ อี้ฟาน ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ จากที่ลู่หานกับจงอินคุยกันตอนเย็นทำให้มินซอกจับใจความได้ว่าอี้ฟานประกอบอาชีพเป็นหมอทำแท้งในสถานพยาบาลเถื่อนหลังลาออกจากสถานีอนามัยแถบชานเมืองเหตุเพราะเงินเดือนอันน้อยนิด มินซอกและลู่หานกลอกตามองไปที่จงอินหลังจากคำถามแรกถูกส่งมา จงอินที่มักจะอยู่ติดบ้านส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ

               

    “ไม่มี”

                “แล้วพวกกลุ่มนั้นล่ะ? มีใครเข้ามาถามหาลู่หานบ้างไหม?” คำถามที่สองดังขึ้นมาจากคนเดิม ดวงตาที่เรียบเย็นมองตรงไปที่จงอินที่นั่งอยู่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามก่อนเจ้าตัวจะยักไหล่ให้หนึ่งครั้ง

                “ก็ไม่เห็นมี เห็นแต่ไอ้สองตัวนี่แหละที่แวะมา” จงอินพูดพลางเพยิดหน้าไปหาลู่หานทีมินซอกที ร่างหนาทิ้งน้ำหนักตัวลงบนพนักจนเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่เอนกลับหลังทำให้เหลือเพียงสองขาของมันที่แบกรับน้ำหนักทั้งหมดเอาไว้

                “คุณทำอาชีพอะไร?” คำถามถัดไปยิงตรงมาที่มินซอก ร่างเล็กเหลือบตามองลู่หานที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ร่างสูงพยักหน้าให้หนึ่งครั้งเป็นสัญญาณบอกให้มินซอกตอบคำถามตามความจริง

                “ผมเพิ่งโดนไล่ออกจากงานมาก่อนที่จะเจอกับลู่หาน... ก่อนหน้านี้ผมเป็นเสมียนบัญชีให้บริษัทค้าส่งเฟอร์นิเจอร์น่ะ”

                “แล้วครอบครัวคุณล่ะ?”

                “ไม่มี ผมอยู่กับแม่เลี้ยงตั้งแต่ที่พ่อผมตาย เราไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่น่ะ... พอเธอแต่งงานใหม่ผมก็แยกออกมาอยู่คนเดียว นอกจากพ่อแล้วผมก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก”

                “อืม... ลู่หานกับมินซอกคงอยู่ที่นี่ได้แค่ไม่กี่วัน อีกไม่นานตำรวจหรือไม่ก็เด็กพวกนั้นต้องตามมาถึงที่แน่ จงอินยังเก็บของไว้ที่หลังครัวอยู่ไหม?”

                “เก็บอยู่” ร่างหนาตอบออกมาหลังจากจุดบุหรี่ตัวใหม่ขึ้นมาสูบอย่างไม่ยี่หระ

                “เอามันออกไปให้เร็วที่สุดก่อนที่ตำรวจจะมาเจอ”

                “รู้แล้วพ่อ” สรรพนามที่จงอินเรียกอี้ฟานนั้นไม่ใช่การประชดประชันแต่อย่างใด ด้วยอายุและวุฒิภาวะที่มีมากกว่าทำให้ทุกคนที่นี่ต่างเรียกอี้ฟานแบบนี้เช่นเดียวกันหมด

                “ส่วนสองคนนี้ ถ้าหาที่อยู่ชั่วคราวไม่ทันฉันจะลองหาให้”

                “กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” คำพูดที่ยืนกรานของลู่หานทำให้สายตาทั้งสามคู่ต่างมองตรงมาที่เขา “กล้าพนันกับกูไหมล่ะว่าเรื่องที่มันแดงขึ้นมาแล้วตำรวจคนไหนจะเสนอหน้าทำคดี”

                “ข่าวที่ออกเมื่อเย็นมันไม่ใช่รายงานข่าวอาชญากรรมรายวัน มันเป็นคดีจับตาย”

                “ลูกกูอยู่ที่นี่ แล้วพ่อจะให้กูไปอยู่ที่ไหน?” คำเถียงที่ดูจะหนักข้อขึ้นทำเอาจงอินและมินซอกต้องปิดปากเงียบ เหลือก็แต่อี้ฟานที่ยังนั่งกอดอกมองหนุ่มเลือดร้อนอย่างใจเย็น “ชานยอลกับเซฮุนถูกจับไปแล้ว อีกไม่นานก็คงจื่อเทาก็คงตามไป กูเชื่อว่าจุนมยอนต้องรับคดีนี้แน่”

                “มันคงไม่ง่ายอย่างที่ผ่านมาหรอกนะลู่หาน” อี้ฟานยิ้มบางก่อนจะกระดิกปลายนิ้วลงบนโต๊ะไม้จนได้ยินเสียงกอกแกก

     

     

     “ลองทบทวนดูแล้วกัน ระหว่างหน้าที่การงานที่จะทำให้ตัวเองสบายไปตลอดชาติกับไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่รนแต่จะเอาปัญหามาให้ นายตำรวจอย่างคิมจุนมยอนจะเลือกอะไร?”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     
     

    หลังจากที่อี้ฟานกลับไปก็เป็นหน้าที่ของผู้อาศัยอย่างคิมมินซอกที่ต้องรับบาทของพนักงานทำความสะอาดไปโดยปริยาย ถ้วยชามที่ใช้แล้วถูกทิ้งคาอ่างมานับสัปดาห์ส่งกลิ่นเหม็นบูดจนเขาสุดจะทน ไหนจะคราบน้ำมันที่เหนียวเหนอะเกรอะกรังบนเตาแก๊สรวมไปถึงภายในบ้านที่มีแต่เศษขยะเหม็นอับและข้าวของรกเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด คนที่รักความสะอาดยิ่งกว่าอะไรอย่างเขาคงอยู่เฉยไม่ได้นานแน่

     

    หน้าต่างห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดชั้นบนถูกเปิดออก ร่างเล็กมองชะโงกลงไปทางด้านล่างก็มองเห็นจงอินกำลังทำอะไรงกๆเงิ่นๆอยู่หลังบ้าน คงจะกำลังเคลียร์ของอย่างที่อี้ฟานกำชับไว้ เมื่อร่างหนาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ก็เป็นมารยาทของเขาที่ต้องยิ้มตอบกลับไป

     

    หันกลับมายังสองพ่อลูกที่กำลังหลับใหล ห้องนี้ไม่มีเตียง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากมายนัก มีแต่เพียงฟูกและหมอนเก่าๆที่ดูจะเป็นสิ่งเดียวในบ้านที่สะอาดที่สุดตั้งแต่ที่เขาได้เห็นมา เด็กน้อยแอนดี้กำลังนอนหลับในท่าประหลาดอยู่ข้างคนเป็นพ่อ สังเกตอีกทีแล้วจึงเห็นว่าสองพ่อลูกนี่นอนท่าเดียวกันราวถอดแบบกันมาก็ไม่ปาน

     

    “ฮึ...” มินซอกหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นสภาพที่สิ้นฤทธิ์ของทั้งสองคน คนหนึ่งก็คุณพ่อปากร้าย ส่วนอีกคนก็ลูกชายแสนซน... แต่มันคงดีกว่านี้แน่หากพื้นที่ว่างที่เหลือถูกเติมเต็มด้วยใครสักคนให้กลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างบ้านอื่น

     

     

     

    เจ้านี่มันคืออะไรนะ?

     

     

     

    คำถามแรกผุดประกายในหัวทันทีที่คู่ตาเล็กหยุดมองกรอบรูปเขรอะฝุ่นขนาดกลางวางบนชั้นขนาดใหญ่ ไม่รอช้ามือเล็กก็หยิบมันเข้ามาไว้ในครอบครองก่อนจะเป่าลมเบาๆจากริมฝีปากให้มวลฝุ่นนั้นกระจายออกจนเห็นรูปภาพลางๆ

     

     

    เป็นรูปที่ลู่หานถ่ายคู่กับหญิงสาวท้องแก่... เธอคงจะเป็นคุณแม่ของแอนดี้แน่ๆ

     

     

    พิจารณาจากโดยรวมแล้วอายุของทั้งสองคนคงไม่ห่างกันมากนัก ภาพถ่ายใบนี้คงถ่ายเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่แอนดี้จะลืมตาดูโลก ก็สักประมาณห้าปีได้แล้วมั้ง? แต่ถึงอย่างนั้นลู่หานก็ดูไม่แก่ขึ้นเลย ที่เปลี่ยนไปก็คงจะมีแต่ลักษณะใบหน้าและแววตาที่ดูแข็งกร้าวขึ้นจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม เกิดเป็นคำถามที่ดังขึ้นในใจว่าลู่หานจะแบกรับความรู้สึกแบบไหนหลังจากที่เสียภรรยาของตนเองไป

     

     

    “วางมันลง” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลังท่ามกลางความเงียบจนคนตัวเล็กต้องสะดุ้งโหยง มินซอกเขย่งเท้าวางกรอบรูปลงบนที่เก่าของมันตามคำสั่งของอีกคนโดยดี

    “ข...ขอโทษ ผมเข้ามารบกวนคุณหรือเปล่า?” ร่างสูงส่ายหน้าทั้งที่ยังงัวเงีย

    “แอนดี้แพ้ฝุ่น เดี๋ยวมันไม่สบาย” คำตอบจากเนื้อเสียงแหบห้าวของคนที่เพิ่งตื่นนอนใหม่ทำเอาคนตัวเล็กต้องระบายยิ้มออกมาบางๆ

    “รู้แล้ว ผมจะไม่ทำอีก”

    “ทำไมมาห้องนี้? ไหนตกลงกันแล้วว่ามึงต้องไปนอนกับแบคฮยอน”

    “แบคฮยอนล็อคห้องแล้ว... แต่ผมไปนอนกับจงอินก็ได้นะ”

    “ไม่ต้อง” ลู่หานเถียงทันควัน “มันขี้ปี้”

    “แล้ว? ผมก็ผู้ชายนะคุณ”

    “กูบอกว่าไม่ก็คือไม่ มึงจะเถียงทำส้นตีนอะไรอีก” นัยน์ตาของคนขี้หงุดหงิดที่มองมาทำให้สุดท้ายแล้วก็เป็นมินซอกอีกครั้งที่ต้องยอมเลิกรา

    “งั้นผมนอนที่พื้นก็ได้”

    “ไม่ต้อง” บ้าชิบ... นอนที่ไหนก็ไม่ได้ ผู้ชายคนนี้จะเอายังไงกับเขากันแน่!

    “ถ้างั้นผมจะไปนอนที่โซฟาข้างล่าง”

    “มึงอย่าเรื่องมากได้ป่ะ? แล้วก็ไม่ต้องมาทำตัวน่าสงสารด้วย รำคาญตา”

    “เอ๊ะ! นอนห้องแบคฮยอนก็ไม่ได้ นอนกับจงอินก็ไม่ได้ นอนพื้นก็ไม่ยอม จะลงไปนอนข้างล่างคุณก็ไม่ให้ไปอีก ใจคอจะให้ผมยืนหลับตรงนี้เลยหรือไง?”

    “เหอะ มึงเก่งขนาดนั้นเลย?” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม ท่าทางกวนประสาทนั่นกำลังจะทำให้คนใจเย็นอย่างมินซอกอยากจะเข้าไปตะกุยหน้าอีกคนแรงๆเสียจริง

    “ผมประชด”

    “ถ้ายืนหลับจริงมึงก็ร่วงลงมาทับกูอยู่ดี”

    “แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง? ผมไม่นอนก็ได้ อยู่เฝ้าคุณกับลูกถึงเช้าเลยเอาไหมล่ะ?”

    “โง่” คำด่าสั้นๆพรอดออกมาจากคนที่ดูท่าจะไม่สบอารมณ์นัก ลู่หานดันร่างของแอนดี้ให้ชิดขอบฟูกก่อนจะเขยิบตัวตามไป “มานอนข้างกูนี่”

    “ไม่ดีแน่...” เถียงเสียงเบาก่อนจะหลบสายตากร้าวแข็งของชายหนุ่มที่มองกลับมา มินซอกจะไม่มีทางนอนข้างกับผู้ชายอันตรายคนนี้อีกเป็นอันขาด นั่นเป็นปณิธานที่เด็ดเดี่ยวที่สุดในชีวิตของเขาเลยล่ะ “คือผม... ผมกลัวว่า...”

    “กลัวโดนเอาว่างั้น?” คำพูดขวานผ่าซากทำเอาเจ้าตัวรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าเข้าที่กลางกระหม่อม มินซอกชักจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!

    “คุณพูดบ้าอะไรของคุณน่ะ?!

    “บอกให้มาก็มา ถ้ากูจะเอากับมึงจริงๆกูไม่ทำต่อหน้าลูกหรอก” ร่างเล็กกำหมัดแน่นพลางสูดลมหายใจเข้ามาลึกๆในครั้งเดียว เห็นดังนั้นลู่หานจึงยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ “อยากจะลงไปนอนโซฟาข้างล่างก็ตามใจนะ กูก็ยังไม่เคยเอากับใครบนโซฟาเหมือนกัน”

    “น่าเกลียดที่สุด” นี่มันคงจะเป็นคำด่าที่รุนแรงที่สุดในชีวิตของคนที่ไม่เคยมีปากเสียงกับใครอย่างคิมมินซอก คำพูดคำจาติดตลกของร่างสูงไม่ได้ทำให้อีกคนรู้สึกตลกไปด้วยเลยสักนิด

    “อย่าเล่นตัว กูหงุดหงิดละนะ”

    “ผมไม่ได้เล่นตัว ผมกลัวว่าลูกชายคุณจะนอนไม่สบายต่างหาก”

    “ข้ออ้าง”

    “ผมไม่ได้อ้าง ผมคิดแบบนั้นจริงๆ อีกอย่างผมกลัวว่าคุณ...”

    “กลัวว่ากูจะลุกขึ้นมาจับมึงถ่างขากลางดึกอีก... จะพูดแบบนี้ใช่ป่ะ?”

    “ลู่หาน!

    “หึ” เจ้าของใบหน้าคมขาวพรายเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ออกมาเพราะนึกขันในอาการร้อนรนจนอกแทบไหม้ของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ปลายฟูก “หน้าอย่างมึงอ่ะ แค่มองก็รู้ไปถึงไส้ติ่งความคิดละ”

     

    มินซอกขมวดคิ้วขัดใจพลางหลุบหน้าลงอย่างจำยอม เขาถอนหายใจออกมาแรงๆอีกครั้งแต่ปฏิกิริยาแบบนั้นก็ไม่ได้สร้างความรำคาญใจให้กับลู่หานอย่างควรจะเป็น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อร่างเล็กกำลังชั่งใจว่าจะเอายังไงกับผู้ชายคนนี้ดี

     

     

    เอาเถอะน่า แอนดี้ก็ยังอยู่ตรงนี้

    ลู่หานคงไม่ทำเรื่องพันธุ์นั้นหรอก... มั้ง?

     

     

     

    “จะมัวพิรี้พิไรอะไรอยู่วะ? คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกละครหรือไง? เร็วๆกูจะนอนแล้ว” คำพูดที่ยืดยาวนั่นแสดงให้เห็นว่าลู่หานกำลังเริ่มจะหงุดหงิดอีกคนอยู่พอตัว

    “คุณ...”

    “อะไรอีก?”

    “คุณให้แอนดี้นอนตรงกลางได้ไหม?” ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความมากเรื่องของคนตัวเล็ก แล้วเบี่ยงหน้ากลับมามองอย่างไม่สบอารมณ์

    “เรื่องมาก” กระแทกคำสบถเสียงดังแล้วก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมานอนแนบอก ลู่หานพลิกตัวลงวางร่างของลูกชายที่กำลังหลับใหลเอาไว้กลางฟูกก่อนจะเอื้อมมือไปตบเบาะเรียกสองครั้ง

     

    หลังจากที่หลอดไฟดวงสุดท้ายในบ้านดับลง มินซอกเอนร่างของตนเองลงบนฟูกแข็ง ลู่หานดึงผ้านวมผืนเก่าที่จางกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มให้คลุมร่างของทั้งสามชีวิตที่นอนอยู่บนเบาะผืนเดียวกัน

     

     

    ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ...

     

     

    ลำแขนแกร่งที่พาดกอดลูกชายคนเก่งกลับล่วงล้ำขึ้นมาบนช่วงเอวคอดของคนตัวเล็กที่นอนอยู่ริมสุด แม้เปลือกตาหนาจะปิดสนิทลงไปนานแล้วแต่มินซอกก็ไม่อาจล่วงรู้ว่าร่างสูงหลับจริงหรือแกล้งหลับให้เขาตายใจกันแน่...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     
     

    วันรุ่งขึ้น...

     

    มินซอกลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าเมื่อนกที่ทำรังอยู่บนต้นไม้ข้างหน้าต่างส่งเสียงร้องกระจองอแงแทนที่จะเป็นเสียงของนาฬิกาปลุก นัยน์ตาเรียวทอดมองลู่หานที่ยังคงนอนหลับในท่าเดิมตั้งแต่เมื่อคืน

     

    “...” ไม่รู้ว่าที่ว่างที่อยู่ระหว่างกันนั้นถูกกลืนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหน้าของตนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

     

    ถึงจะไม่เคยมีรสนิยมทั้งเพศที่สนใจผู้ชายด้วยกันแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าคนตรงหน้านี่ก็ดูหล่อเหลาเอาการ โครงจมูกที่โด่งเป็นสันสามารถรับกับรูปหน้าเรียวยาวและริมฝีปากสีแดงคล้ำได้อย่างพอดิบพอดี

     

    ร่างเล็กดันมวลแขนแกร่งที่โอบพาดรอบเอวของตนเองออกให้พ้นทาง เขายันตัวให้ลุกขึ้นนั่งแล้วคลานลงจากฟูกนอน บิดขี้เกียจหนึ่งทีเพื่อบรรเทาความง่วงในเวลาเช้าตรู่แบบนี้ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จได้ไม่นาน คนตัวเล็กก็พาร่างจอมงัวเงียของตนเองลงมาจนถึงบันไดบ้านขั้นสุดท้ายได้สำเร็จ

     

    “พี่เวร!!!” เสียงของเด็กน้อยลั่นดังไปสามบ้านแปดบ้านทำให้มารความง่วงของคนที่ยังไม่ตื่นดีต้องกระเจิงหายในฉับพลัน

    “ตื่นแต่เช้าเลยนะเรา กำลังจะไปโรงเรียนแล้วหรอครับ?”

    “ครับ! วันนี้ปะป๊าตื่นสาย ไม่มีใครทำเสื้อเรียบๆให้แอนดี้เลยครับ” เด็กน้อยเบะปากคว่ำหากแต่แววตาสุกใสนั้นกลับไม่ได้เศร้าสร้อยอย่างที่เจ้าตัวพยายามแสดงออกมา 

    “ปะป๊าคงเหนื่อยน่ะ... งั้นเดี๋ยวพี่จะรีดเสื้อให้แอนดี้แทน ดีไหมครับ?”

    “จริงหรอครับ! พี่เวรจะรีบเสื้อให้แอนดี้จริงๆหรอครับ?!

    “รีดเสื้อครับ” มินซอกย่อตัวลงให้อยู่ในความสูงเดียวกันกับเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา ก่อนจะลูบผมนิ่มช้าๆด้วยความเอ็นดู “ไหนพูดตามพี่หน่อยสิครับ... รีดเสื้อ”

    “รีบเสื้อครับ!

    “ฮึ...” ร่างเล็กส่งเสียงหัวเราะเบาๆก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาริมฝีปากของตน “รีดเสื้อครับ”

    “รีบ... เอ๊ย! รีก ไม่ช่าย! รีดเสื้อครับ!!!

    “ฮ่ะ... เก่งมาก” มินซอกเอ่ยปากชมทำให้เด็กน้อยต้องยิ้มหน้าแป้น “ตอนนี้แอนดี้ต้องไปขัดรองเท้ารอพี่นะครับ เข้าใจไหม?”

    “เข้าใจครับ!

     

    เสื้อนักเรียนขนาดจิ๋วที่รีดเสร็จใหม่ๆยกขึ้นมาแขวนไว้กับราวอลูมีเนียมขนาดกลางที่วางอยู่ใต้บันได มินซอกทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังตัวเก่าพลางทอดสายตามองเด็กน้อยที่กำลังจัดกระเป๋าสำหรับการไปโรงเรียนในเช้าวันใหม่อย่างกระฉับกระเฉง

    แอนดี้ไม่ใช่เด็กที่มีความคิดโตเกินวัยและอาจจะไม่ได้เฉลียวฉลาดไปมากกว่าเด็กคนอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกันมากนัก แต่สำหรับเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แอนดี้กลับมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองได้ดีกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก

     

     

    ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่คิดสักเท่าไหร่ว่าเกิดจากการอบรมที่ดีของลู่หาน...

    บางทีอาจเป็นเพราะ เลือดแม่มันข้นกว่า เลือดพ่อก็ได้

     

     

                “คนอื่นไปไหนกันหมด?” เสียงของผู้มาเยือนเป็นเหตุให้มินซอกต้องตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความคิด อี้ฟานที่เพิ่งมาใหม่วางหนังสือพิมพ์ของวันนี้ลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆมินซอกโดยเว้นระยะห่างออกไปกว่าช่วงแขน

                “ยังไม่ตื่นกันเลยครับ”

                “ลู่หานก็ด้วยเหรอ? ปกติมันต้องตื่นมาดูแอนดี้แล้วนี่” มินซอกพยักหน้า

                “คงเหนื่อยน่ะ เมื่อคืนก่อนก็ไม่ค่อยได้นอน”

                “ลู่หานบอกผมว่าคุณใช้ภาษามือสื่อสารกับแบคฮยอนได้ด้วย?”

                “งูๆปลาๆน่ะครับ... ช่วงที่เรียนสายอาชีพผมเคยฝึกงานที่สถานบำบัดคนพิการอยู่เกือบปี มีคุณลุงคนหนึ่งเขาเป็นแบบแบคฮยอนน่ะ ก็เลยได้มีโอกาสศึกษาภาษามือมาบ้าง”

                “แล้วที่ว่าไม่ค่อยได้นอนล่ะ มัวทำอะไรกันอยู่เหรอ?” อี้ฟานเลิกคิ้วมองเขาราวจับผิดอะไรสักอย่าง สายตาแบบนั้นทำให้มินซอกแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายให้มันรู้แล้วรู้รอด

    “เอ่อ คือ...” มินซอกหลุบตาลงก่อนจะจิกกงเล็บเข้าหาเบาะโซฟาแน่น ใบหน้าของอี้ฟานที่เคยเครียดขรึมกลับแปรเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มมุมปากเหมือนกับกำลังหยอกล้อเขาอยู่

    “ผมไม่ถือหรอก ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนสองคนน่ะ”

    “แต่ผมไม่ได้...”

    “ลู่หานไม่น่าจะมีโรค แต่ถ้าคุณไม่ไว้ใจคราวหน้าก็ลองไปขอถุงยางที่จงอินดู”

    “ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” มินซอกยกมือทั้งสองข้างขึ้นปรามให้อีกฝ่ายหยุดคิดเช่นนั้น “เราไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น... เขาเจ็บแผลที่หัวไหล่ก็เลยต้องลุกขึ้นมาทำแผลกันบ่อยๆ”

    “ฮ่ะ...” อี้ฟานแค่นหัวเราะออกมาแต่แล้วก็พยักหน้ารับในสิ่งที่คนตัวเล็กอธิบายกับเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กคนนี้จะรู้ตัวบ้างหรือเปล่า...

     

    แววตาที่ทั้งคู่มองกัน...

    มันไม่ได้นิยามความสัมพันธ์ให้หยุดอยู่ที่คำว่า แค่ผ่านมาเจอ

     

     

     

     

     

    เข็มสั้นของนาฬิกาติดผนังเคลื่อนไปจนเหลื่อมล้ำบนเลขสิบ ประมาณสิบนาทีที่แล้วแบคฮยอนเพิ่งลงมาจากชั้นบนพร้อมกับเสื้อผ้าชุดที่ใส่เมื่อวาน ร่างบางยิ้มทักทายเขาเล็กน้อยแล้วก็เดินตรงไปหลังบ้าน

    อาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวในครัวป่านนี้ก็คงจะเย็นชืดไปหมดแล้ว เพราะใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวมาโดยตลอดประกอบกับที่ไม่ได้เว้นช่วงให้ตนเองได้เรียนรู้กิจวัตรประจำวันของคนในบ้านหลังนี้สักเท่าไหร่จึงไม่รู้ว่าคนในครอบครัวนี้เขาจะตื่นนอนกันเวลาไหน

    แต่ช่างเถอะ งานบ้านงานครัวก็ควรจะทิ้งไว้ให้เป็นหน้าที่ของผู้อาศัยอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?

     

     

    ควบคุมตัวผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมลูกสาวอดีตนักการเมืองใหญ่แล้ว 2 ราย!’

     

     

    ตัวหนังสือขนาดใหญ่ในกรอบสีดำบนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ประจำวันทำให้คนตัวเล็กรู้สึกสะดุดตา โดยปกติแล้วหนังสือพิมพ์จากสำนักนี้จะไม่นิยมขายข่าวอาชญากรรมให้แก่ผู้บริโภค แต่วันนี้ช่างแปลกนัก...

     

     

    รวบตัวสองคนร้ายฆ่าโหดหญิง 2 ชาย 1 เบื้องต้นรับสารภาพแล้วว่ามีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ดังกล่าวจริงแต่ไม่ได้ลงมือกระทำด้วยตัวเองพร้อมชี้เบาะแสผู้ร่วมกระบวนการอาชญากรรมเพิ่มเติมอีก 2 ราย อ่านต่อหน้า 12’

     

     

    มือบางที่กำชายกระดาษหนังสือพิมพ์สีหม่นต้องสั่นเทา ต่อให้อยากจะหาอีกร้อยแปดพันเก้าวิธีที่จะมองโลกในแง่ดีอย่างที่เคยทำแต่มันคงเป็นไปไม่ได้กับเรื่องแบบนี้ มินซอกขบฟันลงริมฝีปากของตนเองจนขึ้นเป็นแนวสีขาวซีดก่อนจะพลิกหน้ากระดาษไปที่เลขสิบสอง

     

     

    เมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 6 ก.พ. 14 ตำรวจได้รวบตัวนายปาร์คชานยอลอายุ 23 ปี และนายโอเซฮุนอายุ 21 ปี ผู้มีส่วนร่วมกับผู้ต้องหาคดีฆ่านายอูจงฮวาน (51 ปี) นางสาวคิมเซมี (17 ปี) และเด็กหญิงบังฮเยริน (5 ปี) ลูกสาวนายบังชอลยงอดีตนักการเมืองใหญ่ โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าประเวณี

     

     

    มินซอกละสายตาออกจากหน้ากระดาษเพียงชั่วครู่ก่อนจะเหลือบมองแบคฮยอนที่กำลังนั่งเล่นกับฟองผงซักฟอกอยู่หลังบ้าน เขาเอื้อมมือหยิบรีโมตมาปิดการรายงานข่าวบนจอโทรทัศน์ ถึงแบคฮยอนจะหูหนวกแต่ก็ไม่ได้ตาบอด...คงไม่ดีแน่หากต้องมาเห็นพี่ชายของตนเองปรากฏอยู่บนจอโทรทัศน์ในสภาพที่ไม่น่าชื่นชมเช่นนี้

     

     

    ‘…จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การว่ายังมีคนร้ายอีก 2 รายในคดีดังกล่าว ประกอบด้วยนายลู่หานอายุ 27 ปีและนายหวงจื่อเทาอายุ 24 ปี…’

     

    มินซอกกำชายกระดาษหนังสือพิมพ์แน่นแล้วหุบหน้ากระดาษลงเมื่อทอดสายตาลงไปพบกับภาพที่แสดงอยู่ใต้ข่าวซึ่งปรากฏใบหน้าของลู่หานอย่างชัดเจน นิ้วมือเล็กกดเข้าที่หัวตาของตัวเองพลางขบกรามแน่น

     

    กิตติศัพท์ของบังชอลยงเป็นอย่างไรมีใครบ้างที่จะไม่รู้ นอกจากจะครองอิทธิพลเหนือคนทั้งโซลแล้วเรื่องความโหดเหี้ยมก็ต้องยกให้เขา จากคดีที่ผ่านมาหากมีชื่อนักการเมืองคนนี้ปรากฏในข่าวอยู่ด้วย คนร้ายทุกรายจะต้องถูกจับตายทั้งหมด... หรือหากต้องรอลงอาญาในชั้นศาลก็ไม่เคยเหลือรอดจากโทษประหารเลยสักราย

     

     

     

    ลู่หานมีเจตนาที่จะช่วยเหลือเด็กคนนั้นด้วยซ้ำ... มันต้องมีทางออกสักทางสิ

     

     

     

     

    “ไอ้เหี้ย หิวว่ะ” มินซอกพับหนังสือพิมพ์แล้ววางมันลงที่เก่า คำพูดหยาบคายที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแหบห้าวนั่นคงไม่ใช่ใครนอกจากลู่หาน

    “ผมทำอาหารเช้าไวในครัว คุณหมอบอกว่าแอนดี้ชอบกินไส้กรอกทอดน่ะ”

    “ใครคุยกับมึง?” ร่างสูงตอบเขากลับมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วว่าท่าทางแบบนั้นมันเป็นนิสัยของอีกคนจริงๆหรือเป็นเพราะหงุดหงิดเวลาที่เห็นหน้าเขากันแน่

    “ก็คุณบอกว่า...หิว...นี่...” คำพูดของมินซอกช้าลงในคำสุดท้ายแล้วหลุบตาลงทันทีเมื่อสภาพของลู่หานตอนนี้ค่อนข้างจะไม่น่ามอง

    ร่างสูงพาดผ้าขนหนูผืนเล็กไว้บนท้ายทอยเพื่อกรองน้ำจากเส้นผมดกดำที่หมาดชื้นหลังจากสระผมเสร็จใหม่ๆ ผิวกายขาวแต้มด้วยรอยแผลเป็นอยู่หลายแห่งถูกเผยให้เห็นเพราะเจ้าตัวกำลังเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างนั่นไม่ต้องพูดถึง มีเพียงบ็อกเซอร์ขาสั้นบางๆเท่านั้นที่พอเดินแล้วก็เห็นความเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่อยู่ภายใต้เนื้อผ้าสีเข้มนั่นได้อย่างชัดเจน

     

    ให้ตายเถอะ... ลู่หานกล้าเดินไปเดินมาในบ้านด้วยสภาพแบบนี้ได้ยังไง!

     

     

    “กูบ่น ไม่ได้หมายความว่ากำลังต้องการคำตอบจากมึง”

    “นี่ก็กัดกันแต่เช้า” หนุ่มผิวคล้ำที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นสองเงยหน้ามายิ้มหน่ายๆให้มินซอกและลู่หาน ก่อนจะหยิบรองเท้าผ้าใบเก่าๆที่วางอยู่ใต้บันใดมาสวมใส่อย่างเร่งรีบ

    “เอ้า นี่มึงจะไปไหนวะ?”

    “ไปถ่ายเอ็มวี”

    “เอ็มวีพ่อง” ลู่หานสบถด่าก่อนจะปาผ้าขนหนูไปแปะบนหน้าของจงอินได้อย่างพอดิบพอดี

    “ไปส่งของ ต้องเคลียร์ออกหน่อยละ เผื่อไอ้พวกจมูกดีมาค้นบ้าน” จงอินรวบเศษเงินที่วางอยู่บนตู้รองเท้าเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดแล้วคว้าเป้ขนาดใหญ่ขึ้นมาสะพายหลัง

    “ของเยอะนี่ รวยเละเลยดิรอบนี้?”

    “เหอะ ไม่อ่ะ” จงอินยักไหล่ “ยัดใส่ไปในเส้นต๊อกถุงละสองเม็ด”

    “จะคุ้มค่าแบกไหมวะเนี่ย” ลู่หานแค่นหัวเราะพลางชายตามองเด็กหนุ่มที่กำลังจะเดินพ้นประตูบ้าน

    “จงอิน...” ไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าของชื่อเท่านั้นที่หันไปตามต้นเสียง ร่างสูงที่ก่อนหน้านี้ทำปากดีใส่เขาต้องกลายเป็นส่วนเกินในบทสนทนาไปโดยปริยาย “...ระวังตัวด้วยนะ”

    “รู้แล้วน่า เสร็จแล้วจะรีบกลับมาหาเลย” เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นเสียงอ่อนเสียงหวาน เหล่ตามองลู่หานที่กำลังชักสีหน้าแล้วก็แอบสมน้ำหน้าในใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยไม่ได้...

     

     

    สันดานเวลาชอบใครแล้วต้องปากหมาใส่นี่บอกให้แก้เท่าไหร่ก็ไม่หายสักที

     

     

    “ไปดีกว่ากู” เด็กหนุ่มล้วงมือในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินผิวปากออกไปข้างนอกอย่างอารมณ์ดี แน่นอนว่าจงอินรู้สึกสนุกเวลาที่แกล้งให้ลู่หานแสดงอาการแบบนั้นออกมา

    นานทีหลายปีหนกว่าจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ จริงอยู่ที่ลู่หานไม่ใช่คนที่มองความรักเป็นเรื่องตลกเหมือนกับเขา แต่ในช่วงที่ทั้งคู่ยังเป็นวัยรุ่นลู่หานเองก็เคยดื่มกินเที่ยวผู้หญิงไปตามประสาคนโสด และในที่สุดนิสัยพวกนั้นมันหายไปจากตัวลู่หานนับตั้งแต่วันที่แอนดี้โผล่ออกมาจากท้องของซูจองนั่นแหละ

     

    และยังคงเป็นแบบนั้นเรื่อยมาถึงแม้ซูจองสิ้นลมหายใจไปหลายปีแล้วก็ตาม

     

     

     

     

    หลังจากที่จงอินเดินออกไปจากรั้วบ้าน บรรยากาศที่หลงเหลืออยู่ตรงนั้นก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่แสนจะกดดัน แบคฮยอนซักผ้าเสร็จแล้วก็ยังมีน้ำใจช่วยล้างจานล้างกระทะในครัวต่อให้แทนที่จะมานั่งคุยทำลายความอึดอัดกับเขาตรงนี้ จะลุกจะเดินออกไปทางไหนลู่หานก็ยืนขวางทางไปหมด มิหนำซ้ำยังมาทำหน้าบึ้งตึงตังใส่ราวกับไปกินรังแตนที่ไหนมา

    เขาทำอะไรให้เกลียดชังหนักหนาก็อยากจะรู้นัก ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้กิริยาดีๆที่ลู่หานมีให้นี่แทบจะนับครั้งได้ ถ้าเป็นใครที่ไม่ใช่มินซอกก็คงจะอดไม่รนทนไม่ไหวสวนหมัดหนักๆกระแทกเบ้าตาให้วันละร้อยทียังไม่พอ

     

    “หลีกทางหน่อยได้ไหม? ผมจะขึ้นไปอาบน้ำแล้ว”

    “...” ลู่หานวางแก้วน้ำในมือกระแทกลงบนโต๊ะแรงๆ ร่างสูงยังไม่หลบออกไปอย่างที่อีกฝ่ายร้องขอ มีแต่เพียงนัยน์ตาสีเหล็กที่ไม่อาจคาดเดาความคิดได้ทอดมองกลับมา

    “คุณโกรธที่ผมไม่ยอมปลุกให้มาส่งแอนดี้ไปโรงเรียนด้วยกันหรอ?”

    “...”

    “เสื้อนักเรียนผมรีดให้เขาแล้ว...ผมก็แค่อยากให้คุณพักผ่อนบ้างนี่”

    “...”

    “คุณอย่ามาทำนิสัยเหมือนผู้หญิงแบบนี้สิ ไม่เห็นจะน่ารักตรงไหนเลย”

    “แล้วใครจะน่ารักน่าเอาใจใส่เหมือนไอ้เหี้ยดำล่ะ?”

    “ว่าไงนะ?” ในหัวสมองมีสารพันคำถามพรั่งพรูออกมาหลังจากที่ลู่หานพูดจาเชิงประชดประชันใส่เขาเมื่อครู่นี้ จงอินไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย...แล้วทำไมลู่หานถึงพูดแบบนั้น?

    “เหอะ เพิ่งเจอกันเมื่อวานก็แสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกนอกหน้า”

    “คุณพูดอะไรเนี่ย” มินซอกหัวเราะแกนๆแล้วยืนเท้าสะเอวมองอีกคนที่ดูหัวเสียไม่น้อย คงไม่รู้จะเอาเรื่องไหนมาแดกดันเขาแล้วสินะเลยต้องใช้เรื่องนี้...ประสาท! “คุณเป็นอะไร?”

    “เสือก”

    “เห็นไหมล่ะ... พอผมถามคุณก็หาว่าผมชอบก้าวก่ายชีวิตของคุณ แล้วพอผมทำเป็นไม่สนใจคุณก็หาว่าผมไปสนิทกับคนอื่นอีก”

    “เออ แล้วมึงจะทำไม?”

    “คุณนั่นแหละจะเอายังไงกันแน่”

    “มึงจะเอายังไงมึงพูดมาเลย คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มาพูดยอกย้อนกูแบบนี้เหรอ?”

    “นี่คุณ... คุณไม่พอใจผมเรื่องอะไรกันแน่? เพราะผมเป็นห่วงเพื่อนคุณหรอ?”

    “ใช่”

    “แล้ว? คุณก็เลยโกรธผม?”

    “ก็แล้วทำไมมึงต้องพูดแบบนั้นกับมันอ่ะ?”

                “ก็แล้วทำไมผมจะพูดไม่ได้ ถ้าตำรวจเจอเขาแล้วแห่กันมาที่นี่ คนที่ซวยไม่ใช่คุณหรอ?”

                “...”

                “ได้เปิดหนังสือพิมพ์วันนี้อ่านบ้างไหม? รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าหน้าของตัวเองมันโชว์หราอยู่บนหน้าหนึ่งอาชญากรรมแล้วนะ ที่ผมต้องเป็นห่วงเป็นใยเขานี่ไม่ใช่เพราะจริงๆแล้วผมเป็นห่วงคุณกับลูกมากกว่าหรือไง?”

                “กู?”

                “ใช่ คุณนั่นแหละ”

                “ห่วงกู?”

                “นี่คุณอย่ามาผิดประเด็นได้ไหม? ช่วยสนใจหน่อยว่าผมพูดอะไร”

                “มึงบอกว่ามึงห่วงกูกับลูก” ดูเหมือนว่าในสมองของลู่หานจะมีอยู่แค่นั้นจริงๆ...

                “โอ๊ย! ผมบอกว่ารูปคุณมันอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์! คุณช่วยสนใจกันหน่อยได้ไหม? นี่ผมชักจะโมโหแล้วนะ”

                “อ๋อ นี่มึงกล้ามายืนเถียงกูฉอดๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

                “ผมไม่คุยกับคุณแล้ว หลบไปเลย!” ในที่สุดมินซอกก็ต้องสลัดคราบคนใจเย็นทิ้งเมื่อร่างสูงยังยืนติดที่ ออกแรงผลักก็แล้วแต่กลับเป็นเขาที่ต้องกระเด็นถอยกลับมา

                “นี่มึงโมโหอยู่งั้นดิ?”

                “...”

                “เหอะ...” ลู่หานหัวเราะในลำคอเบาๆแล้วชายตามองอย่างไม่ยี่หระ

                “...”

                “อยากสงบสติอารมณ์หน่อยป่ะ?” ร่างสูงเดินหน้าเข้ามาอีกสองสามก้าว ดวงตาที่เป็นประกายสีเข้มยังจดจ้องมายังใบหน้าเรียวขาวโดยไม่ปล่อยให้คนตัวเล็กอยู่นอกกรอบสายตา

                “นี่คุณ ถอยออกไปนะ” ร่างเล็กพูดขึ้นเมื่อตนเองเดินถอยหลังลงมาจนถึงทางตัน แผ่นหลังบางสัมผัสแนบกับผนังปูนเย็นเฉียบก่อนที่ฝ่ามือกร้านของคนตรงหน้าจะค้ำยันลงบนพื้นที่ว่างข้างใบหน้าของเขา “...คุณจะทำอะไรน่ะ?”

                “ช่วยสงบอารมณ์มึงไง” ลู่หานสะกดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ปรากฏบนมุมปาก ใบหน้าคมเกลี้ยงเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้าโดยไร้คำพูดห้ามปรามใดๆของฝ่ายที่กำลังเสียเปรียบ แน่นอนว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในอารมณ์สับสนกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

     

    ลมอุ่นที่เป่าระบายรดใบหน้าทำให้คนตัวเล็กต้องถดคอหนี สัมผัสหยาบโลนจากปลายนิ้วมือกร้านบีบเข้าที่ยอดคางเล็กพลางเชิดเชยมันขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เท้าเล็กยังคงพยายามที่จะย่ำถอยหลังราวกับเจ้าตัวจะลืมไปเสียแล้วว่าตนเองกำลังจนมุม

     

    “ไม่ต้อง...” ในที่สุดแผ่นมือบางทั้งสองข้างก็วางแนบลงบนแผ่นอกเปลือยแกร่ง มินซอกผลักออกด้วยแรงที่มีอยู่น้อยนิดหากแต่ไม่เป็นผล ใบหน้าหล่อเหลาของใครอีกคนยังคงนัวเนียอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าจะเบี่ยงหน้าหนีไปทางไหนอีกฝ่ายก็หาทางจู่โจมเขาได้อยู่ดี

    “ลู่หาน... อย่า ไม่เอา” น้ำเสียงเล็กปรามดังขึ้นแต่เจ้าของชื่อก็ยังทำหูทวนลม

                “หึ...” มีแค่เพียงเสียงหัวเราะแหบห้าวที่เขามักจะได้ยินบ่อยๆจากคนตรงหน้าตอบรับกลับมาแทนที่จะเป็นคำสบถด่าที่เขาขัดขืนการกระทำของอีกฝ่ายอยู่เช่นนี้

                “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” เขาผลักลู่หานออกแรงกว่าครั้งเก่าแถมยังทุบหัวไหล่ซ้ำจนสุดแรง เชื่อแล้วว่าถึกเหมือนกระทิง... ทำขนาดนี้แล้วอีกคนก็ไม่สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

                “อยู่เฉยๆน่า” จนแล้วจนรอดก็ต้องใช้กำลัง ร่างสูงคว้าข้อมือทั้งสองข้างของมินซอกเอาไว้ก่อนจะกดคู่มือนั้นแนบลงกับผนังอย่างเอาแต่ใจ

                “ไม่เอา...” เมื่อไม่มีสองมือคอยห้ามปรามคนตรงหน้าก็เหมือนยิ่งได้ใจ ปลายจมูกโด่งรั้นขยับเข้ามาซุกไซร้ที่สันกรามใต้ใบหู ไหนจะริมฝีปากแห้งกร้านนั่นที่ระดมจูบเรื่อยมาจนถึงปลายคาง เขาทำได้เพียงก้มหน้าลงจนชิดคอเพื่อหลบเลี่ยงจากสัมผัสแปลกๆนี้เท่านั้น “...อย่าทำนะ”

                “รู้ด้วยเหรอว่าจะทำอะไร?” เนื้อเสียงแหบทุ้มกระซิบถามข้างใบหู แรงกดที่ข้อมือเล็กยังคงไม่ลดราลงไปเพราะเกรงว่าสุดท้ายอีกฝ่ายจะขัดขืน ทิ้งช่วงเวลาเอาไว้แค่อึดใจเดียวมินซอกก็ส่ายหน้ากลับมาแทนคำตอบ

                “ไม่รู้หรอก แต่ผมว่ามันคงไม่ดีแน่” มวลกายบางบิดม้วนไปอีกทางเพราะอยากจะขืนออกมาให้พ้นจากการควบคุมของร่างสูงเสียเต็มประดา แล้วคิดว่าคนที่มีพละกำลังมากกว่าอย่างลู่หานจะยอมง่ายๆหรือเปล่าล่ะ?

                “มันต้องดีแน่...เชื่อสิ” โทนเสียงแหบพร่าที่ฟังหวานหูมากกว่าครั้งไหนทำให้ดวงหน้าขาวต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตา แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นพละกำลังขัดขืนที่มีก็เหมือนกระเจิงออกไปแทบหมดสิ้น...

     

     

    ดวงตาคู่นี้ช่างอันตรายเหลือเกิน

               

     

    เหมือนโดนขวานตีกลางแสกหน้าเมื่อพบว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต ใบหน้าของลู่หานขยับใกล้เข้ามาอีกแล้วหากแต่คราวนี้กลับช่างง่ายดายนัก กว่าที่คนตัวเล็กจะคิดได้ว่าถึงมือทั้งคู่จะถูกขึงแต่ขาอีกสองข้างก็ยังใช้งานได้...ริมฝีปากของตนก็โดนช่วงชิงด้วยรสสัมผัสของอีกฝ่ายไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

                แผ่นมือที่โดนกดขึงกำลังถูกแทรกประสานด้วยเรียวนิ้วยาว มินซอกบีบมือคนตรงหน้าเบาๆพลางหลับตาแน่นเมื่อรู้ตัวว่าถึงอย่างไรก็ไม่อาจหลีกหนีจากสัมผัสนี้ได้จึงยอมปล่อยให้มันเลยตามเลย เสียงครางอึงอลภายในลำคอแกร่งทำเอาคนตัวเล็กหวาดจนต้องห่อไหล่ หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่ขัดขืนเขาอีกต่อไปจึงยอมปล่อยให้คู่มือบางเป็นอิสระแต่โดยดี

     

                “มินซอก...”

    “...”

    “...อย่าเม้มปาก”

     

                ไม่ใช่คำร้องขอแต่เป็นคำสั่ง หลังจากที่แผ่นมือหนาปัดป่ายไปตามร่างกายของเขาจนพอใจ เอวบางคอดจึงเป็นที่พำนักสุดท้ายเพื่อรั้งให้ทั้งสองกายต่างแนบชิด ลิ้นร้อนที่ไล้วนเวียนบนริมฝีปากเล็กอยู่สองนานสุดท้ายก็สอดดันเข้าไปภายในโพรงปากของอีกฝ่ายได้สำเร็จ

                จากที่เคยบีบหลังมือหนาเอาไว้ มือที่ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนก็ต้องพึ่งพิงที่ขอบกางเกงของอีกฝ่ายไปโดยอัตโนมัติ ยิ่งคนตรงหน้าเครือครางออกมาอย่างพึงพอใจมากเท่าไหร่ อะไรบางอย่างก็เหมือนดลใจให้เขาตอบสนองกลับไปในทิศทางเดียวกัน

                อาจไม่ใช่จูบแรกที่แว่วหวานอย่างที่เคยคิดไว้...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารสจูบของลู่หานทำให้เขารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย ทั้งที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะมอบจูบแรกให้กับแฟนสาวที่เป็นรักแรกของเขาเท่านั้นแต่ในวันนี้กลับคิดว่าจูบแรกกับผู้ชายที่ไม่ได้รักกันก็ไม่เห็นว่ามันจะแย่ตรงไหน

                ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปอีกก้าวเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเริ่มจะโถมน้ำหนักเข้ามาใส่ตัวเขา แผ่นหลังของมินซอกแนบชิดติดกับผนังซีเมนต์อย่างที่ควรจะเป็น เขาไม่อาจทนทำใจเย็นกับคนตรงหน้าได้อีกต่อไปเมื่อปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมานั้นเร่าร้อนเกินกว่าจะอภัยได้ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่คาดโทษมินซอกอยู่ตรงนั้นกลับไม่ใช่รสจูบที่รุนแรงขึ้นอีกเท่าทวี หากเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ตื่นแข็งอยู่ใต้ร่มผ้าแล้วเสียดสีกับโคนขาเรียวเล็กโดยไม่ได้ตั้งใจ...

     

    “...พอแล้ว” เมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะไม่ปลอดภัย มือทั้งสองข้างก็ยืดดันหน้าอกของร่างสูงออกจนสุดแขน

    “อืม ว่างั้นล่ะ” ผู้ชายคนนี้อาจจะรู้ตัวแล้วก็ได้ว่าตัวเองอันตรายกับเขาขนาดไหนถึงได้ยอมเห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้

    “ผมจะขึ้นไปอาบน้ำ” ร่างสูงยังจ้องมองมาใบหน้าของเขาแบบที่ตาแทบไม่กระพริบ แม้ไม่อาจคาดเดาความคิดที่อยู่ในหัวของคนตรงหน้าได้แต่ถึงยังไงเขาก็เชื่อว่าคงไม่ห่างไกลจากเรื่องแบบคืนวันนั้นสักเท่าไหร่แน่...

    ลู่หานยอมหลีกทางให้คนตรงหน้าเดินผ่านไปโดยดี ร่างสูงเดินเข้าหามุมกำแพงแล้วโน้มหน้าผากของตัวเองแนบกับฝาผนัง ดวงตาสีเข้มก้มลงมองของสงวนที่กำลังตื่นตัวภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์ที่ก่อนหน้านี้เพิ่งฟ้องให้มินซอกได้รู้อีกครั้งว่าความต้องการทางกายของเขานั้นวิปริตมากเพียงไหน ต่อให้ไอ้หน้าจืดนั่นจะยังไม่พูดอะไรเขาก็รู้สึกอับอายไม่แพ้กัน

     

     

    “บ้าเอ๊ย...” ร่างสูงโขกหน้าผากเข้าหากำแพงอยู่สองสามครั้งเพื่อหยุดยั้งความคิดและความรู้สึกแสนประหลาดที่ฝังอยู่ในหัวสมองของตนเองในเวลานี้

     

     

     

                         

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - To Be Continue –

     

    อ่าห์...รอบนี้หายไปเป็นสิบวันแม่เจ้าโว้ย 5555555555555555555555 ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะรู้สึกผิดกับแฟนฟิคมากรอบนี้เลยอัพยาวแล้วก็จัดลู่หมินมาประเคนส่งให้แล้วค่ะ (หัวเราะร้าย) พาร์ทนี้มีอี้ฟานวับๆแวมๆแล้วนะคะ! ตัวละครออกครบสักที แต่สองคนร้ายที่กำลังทัวร์ห้องกรงนี่ค่าตัวแพงเหลือเกิ๊นนนนน สี่ตอนแล้วยังโผล่มาแค่ชื่อ 55555555

    สุดท้ายนี้อีหนวดขอคงคอนเซปต์ทิ้งท้ายด้วยการขอบคุณสำหรับทุกยอดวิว ทุกคอมเม้นท์ ทุกทวีตที่สกรีมติดแท็ก #ฟิคมฟต นะคะ หนวดเข้าไปส่องทุกวันเลยนะ รักนะรู้เปล่า <3

    มีคอมเม้นท์ถามในหน้าหลักอยู่ประปรายว่าฉากที่ไม่เหมาะสมนั้นย้ายไปอยู่ตรงไหน ยังไงหนวดขอบอกในตอนนี้เลยค่ะว่าอยู่ที่ไบโอทวิตเตอร์ @nutcraqerx90 เมนชั่นมาคุยกันได้นะคะหนวดเล่นถี่พอๆกับแอคหลักเลย มาพูดถึงสาเหตุที่ไม่ให้แอคหลัก เป็นเพราะหนวดเป็นผู้หญิงที่ติดพูดจาหยาบคายจนเป็นนิสัยค่ะ T_T กลัวว่าจะมีแฟนฟิคมาฟอลเราแล้วต้องมาอ่านคำพูดแบบนั้น บางคนอาจจะไม่ชอบน่ะค่ะ เข้าใจอีหนวดนะคะ ฮือ... Y_Y





    PORCELAIN  THEMEs
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×