คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : | MALE12 : HINT |
| MALE12 : HINT|
AUTHOR : NUTCRACKER
ท่ามกลางความเงียบ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงชีพจรของตนเองดังระส่ำไม่เป็นจังหวะ เหงื่อชื้นซึมออกจากฝ่ามือและร่องนิ้วจนเขาต้องเช็ดมันกับชายเสื้อของตัวเองอยู่หลายครั้ง ทั้งสองคนยืนอยู่ด้านหลังกำแพงนี้มาสักพักแล้ว หัวใจของเขาท้นแน่นไปด้วยความกังวลและหวาดกลัว แต่ดูเหมือนว่าชานยอลไม่ได้กำลังรู้สึกแบบเดียวกับเขา...
ชานยอลกระชับเสื้อโค้ทสีครีมตัวยาวให้เข้ารูปแล้วชะโงกหัวออกไปให้พ้นขอบกำแพงเล็กน้อย แก้วตาสีดำสนิทไม่ได้สะท้อนให้เห็นสิ่งใดนอกจากภาพของผู้คุมที่กำลังเดินตรวจการ มีนักโทษสองสามคนที่กำลังถูกลงโทษเพราะกระทำความผิดอะไรสักอย่างที่เขาไม่สามารถรู้ได้ ไม้ตะบองถูกฟาดลงตามลำตัวเปลือยล่อนจ้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างป่าเถื่อน ความเมตตาไม่สามารถหาได้ในคุก...นั่นเป็นเพียงบทเรียนเดียวที่เขาได้รับจากสถานที่แห่งนี้
“พี่ ผม...”
“ชู่ว!” เซฮุนกลืนคำพูดของตนเองลงไปทันทีเมื่อชานยอลปรามเสียง คิ้วหนาขมวดแน่น อันที่จริงเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจังหวะไหนที่อีกฝ่ายจะพาเขาวิ่งออกไป แต่ตราบใดที่ผู้คุมพวกนั้นยังอยู่ในระยะที่สายตามองเห็นได้มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับพวกเขาแน่ ๆ
“ผมวิ่งเร็วนะ อย่างพี่อ่ะวิ่งไม่ทันผมหรอก” ร่างสูงเหลือบตามองเจ้าของคำพูดติดตลกนั่นแล้วแสยะยิ้มออกมา ถ้อยคำนั้นมันแฝงความเป็นจริงเอาไว้เป็นนัย โจรปล้นจี้อย่างปาร์คชานยอลน่ะหรือ? นับประสาอะไรจะไปวิ่งเร็วเท่าโจรวิ่งราวอย่างเขาได้
“เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเร็วกว่า” ร่างสูงยืดตัวชิดกำแพงพลางทอดลมหายใจพรู
“ผมอยากขอโทษ”
“เอาไว้พูดวันหลัง” ชานยอลบอกปัด นัยน์ตาเฉี่ยวคมสอดส่องไปรอบ ๆ อีกครั้ง ระเบิดเวลาจุดขึ้นในหัว พวกเขาทั้งสองคนไม่สามารถใช้กำแพงนี้เป็นเกราะกำบังได้นานนัก
“ผมอยากขอโทษตอนนี้”
“อย่าทำเหมือนว่าเราจะตายกันวันนี้ได้ไหม” ร่างสูงเอ็ดอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปไหน ชานยอลคงจะสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของเขาจากเสียงลมหายใจที่ดังเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ อีกฝ่ายบีบแขนเขาแน่นขึ้นราวกับต้องการจะบอกว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้กำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว
“ผมอยากขอโทษเรื่องแบคฮยอน”
ชานยอลนิ่งชะงัก สันกรามคมสบแน่นก่อนจะหลับตาลงในชั่ววินาที แน่นอนว่าอีกคนคงไม่ได้ต้องการฟังอะไรจากปากของเขา ความจริงแล้วเซฮุนไม่ถนัดกับการเรียบเรียงคำพูดเพื่อที่จะอธิบายอะไรสักอย่าง แต่หากเพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ มันเป็นสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำ
“ถ้ารู้ว่าพี่รักเขามากขนาดนี้ ผมคงไม่...”
“อย่าพูดเลย” ชานยอลพูดตัดบท เซฮุนไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกผิดหวังกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายมากนักเพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องเข้าทำนองนี้ “แบคฮยอนยังไม่ตาย มันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
“เรื่องนั้นผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย...แต่ผมดีใจนะที่รู้แบบนี้”
“ถ้าออกไปได้ก็กลับไปนะ” ร่างสูงพูดพลางหันกลับมาสบตากับเขา “ไปขอโทษเขาด้วยตัวเอง”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ” เด็กหนุ่มระบายยิ้มออกมาไม่กว้างนัก ข่าวดีคืออย่างน้อยชานยอลก็ไม่ได้ใจร้ายและกำลังมอบหลักพิงให้แก่เขา ส่วนข่าวร้ายก็คือ...เขาทั้งสองคนหรือไม่ใครก็ใครอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับไปเห็นโลกภายนอกอีกเลย
“ตอนมึงวิ่งราวเคยวิ่งได้ไกลขนาดไหน?”
“ถ้ามีตำรวจไล่จี้ก็หนีจนกว่าจะพ้น”
“วิ่งแบบความเร็วไม่ตกเลยเนี่ยนะ?” ชานยอลเลิกคิ้วถาม การที่อยู่ดี ๆ ก็มาชวนคุยเรื่องนี้ นอกจากจะช่วยคลายความกังวลให้กับเขาแล้วมันยังมีความเป็นไปได้สูงว่าใกล้ถึงเวลาเต็มที
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าวิ่งไกล ๆ ใครจะไปคงความเร็วได้ตลอด”
“แต่มึงก็รอด”
“แต่พี่อย่าลืมนะว่านั่นมันในเมือง ตำรวจจะคว้าปืนมายิงสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้”
“...”
“แต่ที่นี่มันในคุก มีทั้งตำรวจทั้งผู้คุมอยู่ใกล้แค่นี้ มันจะยิงเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” เด็กหนุ่มอธิบายอย่างสมเหตุสมผล ปาร์คชานยอลเลียริมฝีปากพลางใช้ความคิดอยู่ราวหนึ่งนาทีจนแน่ใจ
“กูเชื่อว่าอีกไม่นานต้องมีใครสักคนคาบข่าวเรื่องที่เราหนีออกมาจากห้องขังนั่นมาบอกไอ้พวกนี้ มึงรู้ใช่ไหมว่าเราต้องทำยังไง?”
“เราจะวิ่งออกไปตอนที่พวกมันคุยกัน”
“เรามีเวลาไม่มากแต่กูเชื่อว่ามึงหนีทัน”
“แต่ถ้าผมโดนจับได้ก่อน...”
“กูจะวิ่งต่อไป” คำตอบของชานยอลเด็ดขาด เซฮุนเข้าใจดีว่าจุดหมายทางข้างหน้าสำคัญกว่าเพื่อนร่วมทางอย่างเขาเป็นไหน ๆ
“มีคนเดินออกมาแล้ว” เด็กหนุ่มพูดขึ้น ร่างสูงทอดตามองความเคลื่อนไหวของผู้คุมคนหนึ่งที่เดินออกมาจากห้องขังแดนประหาร แน่นอนว่ามันไม่ผิดจากที่พวกเขาคาดการณ์เลยแม้แต่นิดเดียว
“นับหนึ่งถึงสามแล้ววิ่งออกไปพร้อมกันนะ” ทั้งคู่พยักหน้าให้กันหนึ่งครั้ง เซฮุนกุมกระบอกปืนที่ตนฉวยมาจากนายตำรวจคนนั้นก่อนจะเหน็บคืนกลับเข้าไปด้านหลัง หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่พวกเขาหลังจากนี้....
“หนึ่ง”
เซฮุนกลั้นหายใจแน่นในอก ในเวลานี้เขาไม่ได้คิดถึงใครเลยนอกจากแม่แท้ ๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาต้องการเพียงได้เจอหน้าแม่ก่อนที่ตัวเองจะตายก่อนเท่านั้น
“สอง”
ปาร์คชานยอลเองก็คงไม่ต่างกันกับเขา...
“สาม วิ่ง!”
เซฮุนออกตัวช้ากว่าชานยอลเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาไม่ได้เชื่อใจอีกฝ่ายมากอย่างที่ควรจะเป็น ในวินาทีที่รีบเร่งอย่างน้อยที่สุดเขาก็โล่งใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลอกเขาให้ไปเป็นเหยื่อของพวกผู้คุมพวกนั้น หากคนที่อยู่ตรงนี้กับเขาเป็นหวงจื่อเทา... คนที่โหดเหี้ยมแบบนั้นอาจจะฆ่าเขาให้ตายตั้งแต่ตอนที่หลบอยู่หลังกำแพงนี้เพื่อตัดภาระไปแล้ว
“เหม่ออะไรอยู่ วิ่งให้เร็วกว่านี้!”
ชานยอลตะโกนเรียกสติให้กลับคืน สองขาก้าวสลับกันให้เร่งขึ้นจนเท่าทันจังหวะเท้าของคนที่วิ่งนำอยู่ ผู้คุมในชุดสีกากีค่อย ๆ วิ่งตามหลังพวกเขามาทีละคนสองคนจากทุก ๆ ตึกที่พวกเขาวิ่งผ่าน เพราะทุกอย่างถูกวางแผนไว้และมันก็ถูกดำเนินการขึ้นอย่างรวดเร็ว โชคดีเหลือเกินที่ทั้งคู่ไม่ได้รอให้เวลามันผ่านไปนานจนผู้คุมพวกนั้นเรียกตำรวจมายิงกระสุนไล่หลัง
“เวรละมึง”
ชานยอลสบถออกมาทันทีเมื่อวิ่งมาจนพบกับอุปสรรคขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า มันเป็นกำแพงปากฉลามที่มีความสูงราวห้าเมตรอย่างที่นายตำรวจคนนั้นบอกเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นมันคงไม่มีทางออกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
“เหยียบไหล่ผม” ร่างสูงหันกลับมามองเด็กหนุ่มทันควัน “เหยียบไหล่ผมแล้วปีนขึ้นไป”
“ให้กูทำแบบนั้นแล้วมึงจะข้ามไปยังไง?” อีกฝ่ายถามเสียงแข็ง
“พี่ก็วิ่งต่อไปเลย”
ไม่ปล่อยให้เสียเวลามากไปกว่านี้ เซฮุนยันกำแพงเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะรนหาทางดันตัวเองขึ้นมาบนไหล่เขา น้ำหนักตัวของชานยอลมากกว่าที่เขาคิดไว้ แรงกดทั้งหมดที่เขารับเอาไว้บนไหล่มันมากพอที่จะทำให้แขนทั้งสองข้างของเขาขยับไม่ได้ไปอีกหลายวัน
แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว!
เสียงฝีเท้าของเหล่าผู้คุมใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกตามหาตัวนักโทษดังลั่นเป็นระยะ สัญญาณเตือนฉุกเฉินดังไปรอบบริเวณเป็นจังหวะเดียวกับที่ระเบิดเวลาในหัวของเซฮุนกำลังจะระเบิด
แต่ไม่ทันแล้ว เขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้!
ตุบ!
แล้วสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้มันเกิดก็เกิดขึ้น! ปาร์คชานยอลล้มเหลวในการปีนข้ามรั้วครั้งแรก ร่างสูงตกกระแทกกับพื้นปูนอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดไม่อาจทำให้อีกฝ่ายตะเกียกตะกายที่จะหนีน้อยลง ตราบใดที่เขายังไม่ถอดใจ ตราบใดที่พระเจ้ายังมองเห็น...พระองค์คงจะไม่ใจร้ายกับเขาจนเกินไป
“สนุกล่ะมึง!”
ชานยอลสบถเสียงเขียว เซฮุนเม้มปากแน่นแล้วพยายามยันกำแพงเอาไว้อีกครั้ง เขามองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำอย่างไรถึงได้ขึ้นมาเหยียบบนไหล่เขาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ เสียงรองเท้าคอมแบตไม่ต่ำกว่าสิบคู่ระดมเข้ามาใกล้จนหลอนดังในแก้วหู เซฮุนหลับตาแน่น...เขาหวังว่าครั้งนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี
“เร็วอีกหน่อยพี่ เร็ว!” เด็กหนุ่มออกแรงดันสะโพกส่งตัวอีกคนให้ปีนสูงขึ้นไปกว่าเก่า ขาไม่กล้าแม้แต่จะมองกลับหลัง ตอนนี้เซฮุนเห็นเพียงแค่ภาพที่ปาร์คชานยอลโหนราวบนสุดของรั้วปากฉลามอย่างทุลักทุเล
สำเร็จ!
ชานยอลสามารถข้ามผ่านรั้วเวรนี่ไปได้ เซฮุนแทบจะสิ้นแรงและล้มลงในทันทีแต่อีกฝ่ายก็ยื่นมือลงมาให้เขา ชานยอลไม่ได้คิดจะหนีเอาตัวรอดแค่เพียงคนเดียวอย่างที่เปรยไว้
ปากฉลามที่อยู่บนยอดกำแพงกรีดแทงเข้าไปในแขนข้างหนึ่งที่ร่างสูงล็อคกำแพงเอาไว้จนเลือดไหลลงมาเป็นทาง เซฮุนพยายามกระโดดขึ้นไปอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถคว้ามือของชานยอลเอาไว้ได้เลย
“มันกำลังโดดรั้วออกไปแล้ว!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลัง นอกจากนั้นยังมีเสียงของวิทยุสื่อสารที่เหมือนจะใกล้หูขึ้นเรื่อย ๆ
“คว้ามือกูไว้ เราจะไปด้วยกัน” ชานยอลกัดฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน ร่างสูงหย่อนตัวลงไปมากขึ้นในขณะที่ยังยึดตัวแนบกับแนวกำแพงนั่นอยู่
“ไม่ถึง มันสูงเกินไป” เซฮุนโพล่งออกมา เขาพยายามกระโดดคว้าเอาไว้อย่างเต็มที่แล้วแต่มันก็ดูเหมือนว่ายังไม่เพียงพอ เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวหลังมองความเคลื่อนไหวของเท้าอีกเป็นร้อยคู่ที่กำลังสาวใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ชานยอลล้มเลิกความคิดที่จะดึงเซฮุนขึ้นมาด้วยสองมือเปล่า ความสูงของกำแพงทำให้เกิดระยะห่างระหว่างตัวเขาและเซฮุนมากจนเกินไป...แต่ถ้ามีเชือกสักอันล่ะ?
ชายหนุ่มมองไปรอบตัว เขาไม่พบอะไรที่สามารถใช้เป็นเชือกได้อย่างที่คิดไว้ เว้นเสียแต่...
ใช่แล้ว...
ชานยอลถอดเสื้อโค้ทของตัวเองออกอย่างทุลักทุเล เสื้อโค้ทสีครีมตัวยาวถูกฟั่นให้เป็นเกลียวก่อนจะหย่อนมันลงไปตามแนวรั้ว เซฮุนที่ยังอยู่ฝั่งคุกแหงนหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกับลมหายใจที่หอบหนัก ชานยอลขมวดคิ้วแน่น กลีบปากหนาขบกันจนเลือดซึมเมื่อร่างสูงไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดของปากฉลามที่แทงทะลุชั้นผิวหนังของตนได้อีกต่อไปแล้ว
สายตาทุกคู่จ้องไปที่เซฮุนเป็นจุดเดียว มินซอกเห็นว่าเซฮุนไม่ได้สบตากับใครนอกจากอี้ฟานที่เป็นคนเปิดประเด็นถามถึงวาระสุดท้ายของปาร์คชานยอล ลู่หานเคี้ยวอาหารในปากอย่างเชื่องช้าและกลืนมันลงคออย่างยากลำบาก จงอินกำลังนั่งไขว่ห้างแล้วสูบบุหรี่ เด็กผู้ชายคนนั้นแทบไม่แตะอาหารบนโต๊ะเลยแม้แต่คำเดียว
ร่างเล็กเม้มปากแน่น เขาคงจะเป็นคนที่มีความเศร้าน้อยที่สุดในเรื่องของปาร์คชานยอล ก็แหงล่ะ...มินซอกไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนั้นมาก่อน ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมบ้านหรือกินอาหารร่วมหม้อ เพียงแต่ได้รู้จักจากคำบอกเล่าจากปากของคนที่นี่ว่าปาร์คชานยอลไม่ใช่คนเลวร้าย
แต่ใครก็รู้ว่ากฎหมายไม่ได้ตัดสินจากพื้นฐานความชั่วดีของคน...
ทว่าตัดสินจากการกระทำ
“แล้วหลังจากนั้นนายก็ปีนกำแพงนั่นข้ามมาได้?” คุณหมออี้ฟานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเมื่อเด็กหนุ่มหยุดเล่ากลางคัน ลู่หานกลอกตามองตาม
“ใช่ครับ...”
เซฮุนพยักหน้า เขาถูมือที่ชื้นเหงื่อของตัวเองสีกันเบา ๆ ถึงแม้อี้ฟานจะบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่เอาเรื่องแต่เขากลับรู้สึกกดดันแบบแปลก ๆ จากทุกคนรอบข้าง ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับเขาได้เหยียบเข้าไปในห้องขังแดนประหารอีกครั้ง
“...จากนั้นเราก็พากันวิ่ง แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าเราควรวิ่งไปทางไหน ที่นั่นมีแต่ป่ารกทึบกับหลุมเหวใหญ่ ๆ ผมเกือบพลัดตกลงไปหลายครั้ง”
เซฮุนเม้มปากพลางประสานมือเข้าหากัน ยิ่งในหัวของเขาฉายแต่ภาพที่ปาร์คชานยอลคอยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมากเท่าไหร่ ความรู้สึกผิดที่เกาะกินก้นบึ้งของหัวใจก็ยิ่งถาโถมเข้ามามากขึ้นเท่านั้น
“แต่ชานยอลก็ดึงมือ...”
“แล้วมันตายยังไง?” เสียงนั้นเป็นของจงอิน ร่างหนาทิ้งบุหรี่ลงในแก้วน้ำก่อนจะหันมาสบตากับเจ้าของเรื่องด้วยความกราดเกรี้ยว เขาไม่อาจทนฟังคนเห็นแก่ตัวพรรค์นั้นสาธยายคุณงามความดีของคนที่มันเพิ่งทิ้งให้ตายได้อีกต่อไปแล้ว “กูถามว่ามันตายยังไง!?”
“เหี้ยดำ” ลู่หานปราม
“มึงหุบปาก” คนน้องตะคอกกลับเสียงแหว กำปั้นหนักวางลงบนโต๊ะ “กูถามมัน ใครที่กูไม่ได้ถามก็อย่าสะเออะ” หน่วยตาของจงอินเต็มไปด้วยโทสะ ลู่หานกลอกตาอย่างเหลืออดแต่อี้ฟานก็ตบหน้าขาเขายั้งอารมณ์เอาไว้
“ตอบมาว่ามึงปล่อยมันให้ตายที่ไหน”
“พอได้แล้วจงอิน” คุณหมออี้ฟานตัดบทเพื่อยุติปัญหา ถอนหายใจออกมาให้กับความอารมณ์ร้ายผิดนิสัยของคิมจงอิน ลึกในใจเขาเชื่อว่าส่วนหนึ่งก็เพราะการตายของปาร์คชานยอลมีชื่อของโอเซฮุนห้อยท้ายอยู่ด้วย “มินซอก ไปทำธุระของคุณเถอะ”
“ครับ” ร่างเล็กพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะยกถ้วยอาหารบนโต๊ะที่ถูกตักกินไปไม่กี่ครั้งเข้าไปเก็บในตู้กับข้าว เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าลู่หานก็แอบปรายตามองอยู่ห่าง ๆ
“โธ่เว้ย!” จงอินตวาดเสียงหลงก่อนจะผลักโต๊ะเข้าใส่เซฮุนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “มึงอย่าคิดนะว่ามีคนคอยให้ท้ายแล้วจะทำอะไรก็ได้ ถ้าหลังจากนี้มีใครตายอีกแม้แต่คนเดียว...”
“...”
“แล้วถ้าคนคนนั้นไม่ใช่กู...”
สันกรามขบแน่นจนเส้นเลือดปูดเขียวขึ้นขมับ คู่ตาโหลประกายเดือดกร้าว มือหนาคว้าแก้วน้ำขึ้นมาไว้ในมือก่อนจะถีบโต๊ะให้ตัวเองได้ยืนขึ้น
“ต่อให้ต้องติดคุกติดตารางไปชั่วชีวิตกูก็ไม่สนแต่มึงต้องชดใช้!”
ปึง!
ประตูบ้านปิดดังปังตามด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรั้วที่เตือนว่าจงอินนั้นเหลือทนกับความขุ่นเคืองที่ไม่สามารถระบายออกมาเป็นการกระทำได้ ทิ้งไว้แต่เพียงน้ำในแก้วที่เจ้าตัวสาดใส่หน้าของตัวปัญหาอย่างเต็มข้อ เซฮุนหลับตาลงก่อนจะปาดความเปียกชื้นออกจากใบหน้าอย่างไม่ยี่หระนัก ลู่หานเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วพาดเท้าทั้งสองข้าวเหยียดยืนขึ้นมาบนโต๊ะอาหารส่วนอี้ฟานก็นั่งกอดอกอย่างกลัดกลุ้ม
ทิ้งระยะอยู่นานสองนานกว่าจะมีคนเปิดประเด็นสนทนาขึ้นมาใหม่ โชคดีที่พ่อไปส่งแอนดี้ที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เด็กตัวเท่านั้นไม่ควรมารับรู้เรื่องราวที่โหดร้ายของโลกภายนอกหรือแม้แต่สัมผัสกับอารมณ์รุนแรงของคนในโลกภายใน
ควันบุหรี่ลอยขึ้นมาจากปลายนิ้วมือของลู่หาน เขากำลังลังเลว่าควรบอกเรื่องนี้กับแบคฮยอนดีไหม อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยยุติการรอคอยอย่างมีความหวังนั่นแล้วดึงมันกลับเข้ามามีชีวิตใหม่ในโลกของความเป็นจริง แต่อีกใจหนึ่ง... ความหวังที่ใครต่อใครมองว่ามันเล็กน้อยก็อาจจะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของใครบางคน อาจจะเป็นความหมายเดียวให้ใครคนหนึ่งได้มีชีวิตอยู่ต่อ
“แบคฮยอนมีสิทธิ์รู้เรื่องนี้” อี้ฟานพูดขึ้นราวกับอ่านความคิดของอีกคนออก ลู่หานและเซฮุนประสานสายตาไปที่คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ดวงตาของคุณหมออี้ฟานแน่วแน่เพราะใช้เวลาที่ผ่านมาทั้งหมดทบทวนเรื่องนี้มาอย่างดีแล้ว
“พ่อ? แล้วถ้าเกิดแม่งทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมา?”
“ชีวิตคนเรามันสั้นนะลู่หาน” แววตาที่จริงจังกำลังสบมองไปยังใบหน้าของทั้งสองคนที่อ่อนวัยกว่าซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก "ในความสัมพันธ์ของคนสองคน การรอคอยอย่างไร้จุดหมายมันทรมานเสียยิ่งกว่าตายจากกัน เราไม่มีอำนาจตัดสินว่าใครควรจะจมอยู่กับความทุกข์หรือระเริงกับความสุขสมหวัง ความจริงเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนด”
“แต่นอกจากชานยอลมันก็ไม่มีใครแล้ว พ่อก็รู้”
“แม้แต่แกเหรอ?” อี้ฟานเลิกคิ้ว “จงอิน มินซอก แอนดี้หรือแม้แต่ตอนนี้ที่เรามีเซฮุน พวกเราทุกคนคือครอบครัวที่แบคฮยอนยังเหลืออยู่” พูดพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขารู้ว่าการปฏิบัติจริงมันคงไม่ง่ายอย่างที่พูดออกไปหรอก บางอย่างก็ยังต้องการเวลา แต่ตราบใดที่คนที่ตายไปแล้วไม่มีวันรับรู้...คนที่ต้องต่อสู้คือคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก
“โอเซฮุน ถือว่าเป็นโชคดีของนายนะที่แบคฮยอนจำอะไรไม่ได้ เรื่องที่มันผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วไป ถึงตอนนี้เริ่มใหม่ก็ยังไม่สาย...” ชายวัยกลางคนคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ ให้กับคนที่กำลังทำหน้าหนักใจเป็นพิเศษ
สำหรับเขาแล้วเซฮุนเป็นเด็กประหลาดตรงที่มีหลากหลายบุคลิกรวมอยู่ในตัวเอง เซฮุนยังมีความไขว้เขวและต้องการหลักเอาไว้พึ่งพิง ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่คือการแขวนหัวตัวเองเอาไว้ที่คอของหวงจื่อเทาเพราะคิดว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้หากได้มันเป็นหลักยึด อี้ฟานไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้เลยแม้แต่น้อยเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซฮุนที่ไม่ได้เหนียวแน่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องมาถอยห่างขึ้นไปอีกเมื่อจงอินบั่นตัวเองออกจากวงการค้าประเวณีไปเป็นเด็กเดินยาหลังจากที่ซูจองตาย ลู่หานก็หมดความไว้ใจในตัวของเซฮุนเช่นกัน
ความทรงจำและความแค้นฝังแน่นอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของคิมจงอินอย่างยากที่จะถอดถอน เขาคิดว่ามันอาจจะมีอะไรมากกว่านั้น...เหตุผลแค่นั้นมันคงไม่อาจทำให้จงอินเกลียดเด็กคนนี้เข้าแขนงเส้นเลือดแบบนั้นได้ เหนือยิ่งไปกว่าความอยากรู้ เขาเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าว่าสักวันจงอินจะรู้จักคำหนึ่งที่มีความหมายยิ่งกว่าคำว่าเจ็บแค้น...
“พ่อให้อภัย”
หายใจทิ้งไปหลายนาทีหลังจากที่พบว่าตัวเองยืนง่อยอยู่หน้าห้องของแบคฮยอนมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว คราวนี้มีแต่เขาที่ฉายเดี่ยวแบบไร้ตัวช่วย น้องชายสุดสวาทขาดใจก็งอนตุ๊บป่องเป็นตุ๊ดถึกหนีออกจากบ้านจนป่านนี้ก็ยังไม่กลับ ส่วนพ่อที่ดูเป็นตัวช่วยหลัก ๆ ก็ชิ่งออกไปทำธุระที่คลินิกพร้อมกับบอกว่าจะกลับมาอีกทีตอนบ่าย ปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าจะไม่ขอความช่วยเหลือจากมินซอกเป็นอันขาด...เพราะฉะนั้นก็ตายเป็นตาย
ลู่หานเอื้อมมือจวนจะถึงลูกบิดประตูอยู่แล้วแต่คนที่อยู่ข้างในกลับเป็นฝ่ายเปิดให้เสียก่อน แบคฮยอนเอียงคอมองมาทางเขาเป็นเชิงถามว่า ‘มีธุระอะไร?’ เขาไม่ได้พยายามที่จะโต้ตอบออกมาเป็นคำพูดแต่กลับดันมือเข้าที่ประตูให้เปิดกว้างขึ้นกว่าเก่า
ห้องของแบคฮยอนเป็นห้องที่สะอาดที่สุดในบ้านหลังนี้ เสื้อผ้า หมวกและผ้าพันคอของชานยอลที่แขวนเอาไว้ตามผนัง หนังสือที่ชานยอลเคยอ่านรวมถึงของใช้ส่วนตัวล้วนอยู่ที่เดิมและไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปเลยแม้แต่กระเบียดนิ้วเดียว
“มึงอยู่ว่าง ๆ ก็น่าจะลงไปคุยกับคนอื่นข้างล่างบ้าง” ลู่หานพยายามเปิดเรื่องขึ้นมาอย่างสบาย ๆ พร้อมกับภาษามือโง่ ๆ ที่อีกฝ่ายคงพอเดาออกว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร
‘เปลี่ยวเหรอ?’
แบคฮยอนร่างมือขึ้นกลางอากาศพร้อมกับกระหยิ่มยิ้มออกมาบาง ๆ เด็กน้อยก้มเก็บกระดาษกับดินสอที่อยู่บนพื้นข้างเตียงขึ้นมาวางบนโต๊ะก่อนจะหันมามองลู่หาน ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีใครเข้ามายุ่งกับเขา มีก็แต่จงอินกับมินซอกที่พอสบโอกาสก็จะมาคุยด้วยบ่อย ๆ
“เหงาห่าไรล่ะ เกือบลืมไปละว่ามีมึงอยู่ในบ้านด้วย” ลู่หานแขวะเข้าให้พลางทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดห้าฟุตที่เป็นสิ่งเดียวที่พอจะรับแขกได้
‘มีอะไรให้ช่วยก็ว่ามาเลย’
ร่างบางปัดคราบดินสอออกจากฝ่ามือของตัวเองพลางอิงสะโพกเข้าที่ขอบโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ในมุมอับแสง เขาหุบยิ้มลงเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ตอบคำถามเขา ทว่าคำตอบนั่นกลับสะท้อนผ่านแววตาที่ดูจะเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่คับแน่นอยู่ในใจ
‘พี่ดูไม่ค่อยสบายใจนะ ลองพูดดี ๆ กับเขาหน่อยสิเดี๋ยวอะไรก็ดีขึ้น’
ถึงจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะให้คำแนะนำกับใครได้แต่แบคฮยอนก็เต็มใจช่วยเหลือ ร่างบางแกล้งทำหน้าอ้อล้อเมื่อบอกให้อีกฝ่ายไปตามง้อมินซอกแต่ก็โดนเมินไปตามระเบียบ
“ไม่ใช่เรื่องนั้น” ลู่หานพูดพลางไหวนิ้วชี้ไปมา
‘แล้ว...มีปัญหากับคนนั้นเหรอ? เขาเป็นใคร?’
“ไม่ได้ตีกัน นั่นเพื่อนกูเอง” ประโยคง่าย ๆ ที่ใช้ในการสื่อสารอยู่บ่อยครั้งทำให้ลู่หานแทบไม่ต้องหยุดนึกท่าทางที่ใช้ประกอบคำพูดของตัวเอง
‘ดูไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่เลยนะ’
เด็กน้อยพ่นเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา เมื่อเห็นว่าอีกคนคงไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรอย่างที่คิดจึงเดินมาหย่อนสะโพกลงบนฟูกที่เริ่มจะหมดสภาพการใช้งาน มือบางยันลงบนเบาะก่อนจะเทน้ำหนักตัวทั้งหมดลงไปบนฝ่ามือที่ค้ำอยู่ แก้วตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกไปมาเล็กน้อยเมื่อลู่หานขยับตัวเข้ามาใกล้ตนมากขึ้น
‘มีอะไรกันแน่?’
นั่นคือสิ่งที่แบคฮยอนคิดอยู่ในใจและพยายามคาดคั้นอีกฝ่ายทางสายตา
“ชินหรือยังกับการอยู่คนเดียว?” เมื่อไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะยื้อเวลาให้นานขึ้น คนเป็นพี่จึงตัดสินใจเข้าเรื่องที่เป็นต้นเหตุให้เขาลากสังขารมาถึงที่นี่ แบคฮยอนสบตาอยู่ครู่เดียว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
‘...พี่ได้ข่าวชานยอลแล้วใช่ไหม?’
แบคฮยอนโต้ตอบกลับมาพร้อมกับประกายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง มือเรียวขยับไปมาบนอากาศอย่างสั่นเทา ลู่หานฝืนยิ้มให้ขณะที่พยักหน้าตอบ
“สักพักแล้ว” ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ตัวเองสามารถสื่อสารกับแบคฮยอนได้โดยที่ไม่ต้องมีเสียงโต้เถียงอยู่ในใจว่าภาษามือของเขามันช่างโง่เง่าและไร้ประโยชน์สิ้นดี การสื่อสารดำเนินต่อไปง่ายดายกว่าที่เขาคิด
‘จ...จริงหรอ? พี่รู้ข่าวคราวของเขาแล้วจริง ๆ ใช่ไหม? แล้ว...ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?’
แบคฮยอนร่างมือขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาเรียวเล็กหยั่งลึกลงไปในกระจกตาสีเข้มของลู่หานเพื่อค้นหาคำตอบ รูปหน้าขาวแต้มยิ้มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย น้ำตาที่เคยรินหลั่งอยู่ในหัวใจรื้นท่วมขอบตาเรียวอย่างเกินจะเก็บกลั้น
ในที่สุด... พระเจ้าก็หยิบยื่นจุดสิ้นสุดของกาลเวลาให้กับแบคฮยอนแล้ว
“แบคฮยอน”
ลู่หานพร่ำชื่อของคนตรงหน้าขึ้นมาด้วยเสียงที่ไร้น้ำหนัก ยิ่งเขามองเห็นแบคฮยอนตั้งความหวังกับความเป็นจริงเอาไว้มากเท่าไหร่หัวใจของเขาก็รู้เจ็บปวดราวกับมีหอกแหลมแทงเข้ามานับสิบนับร้อยเล่ม ลู่หานกลั้นใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี... ย้ำเตือนตัวเองอีกครั้งว่าแบคฮยอนควรจะรู้เรื่องนี้
‘ชีวิตคนเรามันสั้นนะลู่หาน’
เสียงของหมออี้ฟานที่ดังก้องอยู่ในหูย้ำเตือนให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำหลังจากนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับแบคฮยอนในขณะเดียวกัน ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะจมปลักอยู่กับการรอคอยที่ไร้จุดหมาย ไม่ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร...
‘ความจริงเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนด’
‘...พี่เจอเขาที่ไหน? แล้ว...เขาต้องใช้เวลามากขนาดไหนกว่าจะมาถึงที่นี่?’
แบคฮยอนปล่อยให้น้ำตาไหลเอื่อยลงมาจากขอบตาร้อนผ่าว มือบางสั่นไหวช้อนมือของลู่หานมากุมไว้ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงความหวังเดียวที่จะช่วยปลดปล่อยเขาให้หลุดพ้นจากขุมนรกแห่งการรอคอยนี้
“แบคฮยอน...”
ลู่หานเพรียกหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง คนหูหนวกอย่างแบคฮยอนคงไม่มีวันรับรู้ว่าเสียงของเขากำลังสั่นเครือ ดวงตาสีเข้มหลุบต่ำพลางทอดฝ่ามือหนาวางทับหลังมือของอีกคนเบา ๆ
มันยากกว่าที่ลู่หานคิดไว้หากแต่ทำได้เพียงกลั้นใจ...
“ชานยอลตายแล้วนะ”
แบคฮยอนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
มือบางสั่นเทาไร้เรี่ยวแรง แก้วตาสีน้ำตาลอ่อนสั่นระริก
ของเหลวที่รื้นอยู่บนขอบตาเอ่อล้นออกมารินรดพวงแก้มซีดขาว
ความเจ็บปวดกรีดลึกลงไปในห้วงหัวใจที่เคยบอบช้ำอยู่แล้วให้ยิ่งเป็นแผลเหวอะหวะ
แบบนี้เองหรือที่เรียกว่าความรัก... นี่หรือสิ่งที่พระเจ้าหยิบยื่นให้แก่เขา
พร่ำสอนให้เข้าใจว่ามันเป็นเช่นไรและสุดท้ายก็หยิบยื่นความตายมาเป็นตัวพลัดพราก
นี่หรือคือการตอบแทนของคนที่จงรักภักดีในความรักเสมอมา...
นี่หรือการตอบแทนของคนที่รอคอย...
นี่หรือคือคำอวยพรของพระบิดา...
นี่หรือ...จุดสิ้นสุดแห่งกาลเวลา
“ไม่เป็นไรแบคฮยอน ไม่เป็นไร”
ลู่หานทำได้เพียงสวมกอดอีกฝ่ายเต็มแรง จากที่เคยแน่นิ่งอยู่ภายใต้แผ่นอกกลับมีความเคลื่อนไหวขึ้นมาเป็นระยะ แผ่นหลังบางสั่นไหวเคล้ากับเสียงสะอื้นดังแผ่ว ลู่หานลูบศีรษะกลมดิกนั่นพร้อมกับพร่ำปลอบ
“กูยังอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นไร”
“ฮึก...” เด็กน้อยกำหมัดแน่นก่อนที่ลู่หานจะรู้สึกถึงแรงทุบตีเบา ๆ บนต้นแขน ร่างบางหอบสะอื้นจนตัวโยนพลางพร่ำเสียงครวญอย่างอาลัย “ฮือ...”
แบคฮยอนไม่รู้ว่าเสียงสะอื้นของตนเองดังแค่ไหนจนกระทั่งภายในลำคอแสบร้อน กอดของลู่หานช่างหนาวเย็นเสียจนทั้งร่างสั่นสะท้าน ไม่อบอุ่นเหมือนตอนตกอยู่ภายในอ้อมแขนของชานยอลแม้สักนิดเดียว
เหตุใดพระองค์ถึงใจร้ายกับหัวใจดวงเล็ก ๆ ของแบคฮยอนมากเพียงนี้...
เหตุใดพระองค์จึงทอดทิ้งให้เขาต้องต่อสู้กับความโหดร้ายของโลกใบนี้เพียงลำพัง
มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“ยังมีกูทั้งคน...มึงต้องไม่เป็นไร”
เท่าที่จำความได้... ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะเป็นคนสวมกอดเวลาแบคฮยอนร้องไห้ กลับกันที่เป็นแบคฮยอนเสียเองที่คอยเข้ามากอดปลอบใจเขาบ่อยครั้งในวันที่โลกบีบบังคับให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสีย
เพราะลู่หานเองก็เคยสูญเสียทั้งเมียและลูกในท้องไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เขาจึงเข้าใจดีว่าความทุกข์ทรมานแบบนั้นมันอาจจะมากมายจนเกินรับไหว
แต่ ‘ความจริง’ เป็นเพียงข้อยกเว้นเดียวที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่บนโลกนี้ได้อย่างกล้าหาญ... หัวใจของเขาเพียรหวังว่าแบคฮยอนจะอดทนและรอคอยวันที่พระบิดาจะคืนความแข็งแกร่งให้อีกครั้งหลังจากที่ทำความรู้จักกับความสูญเสียได้อย่างจัดเจนแล้ว
“เข้มแข็งไว้แบคฮยอน”
ร่มเงาจากกิ่งไม้ใหญ่ทำงานเป็นที่พึ่งให้แก่คิมจงอินที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ริมลำธารเล็ก ๆ มาสักระยะแล้ว ด้านหลังเป็นตึกร้างขนาดใหญ่ที่เจ้าของโครงการยุติการก่อสร้างไปเมื่อหลายปีก่อนหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มันกลายเป็นแหล่งมั่วสุม กลายเป็นจุดนัดพบของเขากับลูกค้าหลายต่อหลายคน
นับไม่ถ้วนว่ากี่ครั้งกี่หนกันแล้วที่เขาเกรงกลัวที่นี่ซึ่งเป็นที่ที่เขาคุ้นเคยดีกว่าใคร หลายครั้งที่หวาดระแวงว่าตำรวจจะเป็นฝ่ายล่อซื้อจนทำให้ขากลับต้องแวะคลินิกให้พ่อปลอบใจอยู่พร้อมทั้งกำชับว่าอย่าเล่าให้ลู่หานฟังเพราะไม่อยากโดนล้อ
คิมจงอินต่อสู้กับความหวาดกลัวว่าหลายรูปแบบจนเรียกได้ว่าเป็นคนเจนโลก แต่ช่างแปลกนัก...เขากลับไม่สามารถต่อสู้กับความคับแค้นแน่นใจในสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้เลย เขาไม่อาจปล่อยวาง ไม่อาจให้อภัย...ไม่อาจรับมือกับมันได้แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีเหตุผลที่ดีพอ
“เฮ้อ”
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเสียงดัง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาเขวี้ยงกรวดหินลงน้ำ หากทำแบบนี้ต่อไปอีกสักชั่วโมงมีหวังว่าลำธารลึกจะต้องถูกถมจนตื้นแน่
ตอนที่จงอินยังเป็นวัยรุ่น เขาไม่มีเพื่อนที่จริงใจกับเขา มีแต่เพื่อนที่รู้จักกันในร้านเหล้า ผู้หญิงที่บังเอิญเจอกันระหว่างทาง พอพ้นข้ามคืนผ่านไปชีวิตของเขาก็ต้องรีเซ็ตใหม่ราวกับเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กลับมาเป็นหัวขโมยฉกกระเป๋าให้พอได้สตางค์ค่าข้าวเลี้ยงตัวเองไปวัน ๆ
อี้ฟานเป็นคนแรกที่เขาเรียกว่าพ่อ ต่อให้เขาจะไม่เคยเรียกลู่หานว่าพี่แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็ยังเคารพลู่หานราวกับเป็นพี่แท้ ๆ คนหนึ่งเสมอ คนปากร้ายใจร้อนแบบนั้นแหละคือมิตรภาพแรกในชีวิตเขา
วันที่ลำบากที่สุด วันที่สบายที่สุด วันที่สุขใจ วันที่ทุกข์ใจ เขาระลึกถึงมันเสมอและไม่เคยลืมว่าในแต่ละวันที่ตกยากเราผ่านกันมาแบบไหน เขาจึงยอมให้ใครหน้าไหนมาทำลายชีวิตของคนที่เขารักไม่ได้ และนั่นคือเหตุผลหนึ่ง...สาเหตุที่ยังผูกใจเจ็บกับเซฮุนมาจนถึงทุกวันนี้
จงอินสะบัดหัวไล่ความคิดพวกนี้ออกไป เขาปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับเรื่องนี้มานานเกินไปแล้ว เด็กหนุ่มก้มลงมองรอยแผลที่เขาเหยียบตะปูบนฝ่าเท้าของตัวเอง มันสมานกันดีในระดับหนึ่ง ถ้าไม่อยากกลับไปทำตัวเป็นปัญหาก็แค่หลบไปต่อชิงช้าให้หลานให้เสร็จ
หยับ!
จงอินหูกระดิกพอได้ยินเสียงเหยียบใบไม้แห้งของใครบางคนดังขึ้น เขาหันกลับไปมองอาคารร้างข้างหลังอย่างใคร่รู้ สถานที่รกร้างแบบนี้ที่เคยมีประวัติอาชญากรรมมานับครั้งไม่ถ้วนไม่น่าจะมีใครกล้าเดินเข้ามาหากไม่คุ้นเคยอย่างเขา สายตาของจงอินสอดส่องไปรอบตัว ไม่มีอะไรผิดปกติไปเว้นแต่ความรู้สึกราวกับว่ามีใครจ้องมองเขาอยู่
“เห้ย ใครวะ?”
เสียงทุ้มตะโกนถามเสียงดังจนได้ยินเสียงของตัวเองสะท้อนกลับมาสองสามครั้ง เขายันตัวเองให้ยืนขึ้นอย่างระมัดระวัง
เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว โชคก็เข้ามาอยู่ในกำมือ อุปกรณ์ที่เหลือจากการก่อสร้างวางกองพะเนินเทินทึก จงอินเลือกท่อเหล็กขนาดพอดีมือมาถือไว้พลางส่ายหัวมองไปรอบ ๆ อย่างเชื่องช้า
หางตาขวาจับเงาตะคุ่มที่วิ่งปราดไปได้แค่เสี้ยววินาทีสั้น ๆ ร่างหนาหันมองทันทีแต่ก็ไม่พบใคร ลมบริสุทธิ์ถูกสูดเข้าไปจนเต็มปอด หากมันเป็นพวกไม่ประสงค์ดีล่ะก็...ถ้าไม่รีบจัดการรับรองว่ามันต้องตามเขาไปถึงบ้านแน่
“ใครอยู่ตรงนั้นวะ ออกมา!”
คิ้วเข้มขมวดแน่นพลางค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าไปในบริเวณอาคารร้าง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะความประหม่า จงอินไม่ปฏิเสธว่าเขากลัวไม่น้อยเลยกับอะไรก็ตามที่กำลังเผชิญหน้าอยู่หากแต่ความกล้าเป็นทางเลือกเดียวที่เขามี
“อย่าคิดว่าจะรอดไปได้เลยมึง”
แสงแดดยามสายส่องผ่านอาคารสีขาวคร่ำคร่า มันร่างเงาของเสาทุกต้นลงบนพื้นคอนกรีตที่ผุพังไปบางส่วน
มีต้นหนึ่งที่แปลกออกไป
จงอินยึดมือทั้งสองข้างจับท่อเหล็กแน่นแล้วเล็งไปยังเป้าหมาย ฝีเท้าโจรย่องเบากำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้กับเสาต้นนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เงาของใครบางคนโงนเงนออกมานอกกรอบเสามากขึ้นเล็กน้อย มันถืออะไรสักอย่างเอาไว้ในมือ
เด็กหนุ่มไม่รีรอให้เสียเวลามากไปกว่านั้น แท่งเหล็กเย็นถูกง้างขึ้นมาเหนือศีรษะเมื่อเขาพร้อมเผชิญหน้ากับ ‘มัน’ อย่างเต็มที่แล้ว เม็ดเหงื่อไหลลงมาจากจอนผมพร้อมกับจังหวะที่หัวใจเต้นถี่ขึ้น เขาไม่มีเวลาเหลือให้กับ ‘ความกลัว’ อีกต่อไปแล้ว
“เอาวะ”
จงอินก้าวขาเข้าหาใครบางคนที่อยู่หลังเสาต้นนั้นอย่างรวดเร็ว
เกร๊ง!
ท่อเหล็กในมือร่วงลงสู่พื้น เด็กหนุ่มหลับตาลงอย่างยอมจำนน ก่อนจะปล่อยให้ ‘มัน’ วิ่งหนีไป
“ไอ้เวร หมาคาบกระดูกตัวเดียวทำกูเยี่ยวแทบเล็ด”
จงอินสบถเสียงแข็งหลังพลางมองไล่หลังสุนัขพันธุ์ดีวิ่งออกไปจากบริเวณ เขาชะโงกหน้ามองออกไปอีกเล็กน้อยก็เห็นยายแก่คนหนึ่งกอดหอมมันอย่างภูมิใจที่ทำภารกิจคาบกระดูกของเล่นนั่นได้สำเร็จ
ร่างหนายกหลังมือซับเหงื่อบริเวณไรผมก่อนจะหยีตามองขึ้นไปบนฟ้า เขาออกมาข้างนอกนานจนได้เวลาที่ควรจะกลับบ้านได้แล้ว ร่างหนาถอนหายใจยืด
เขาเดินออกจากสถานที่นั้นอย่างใจเย็นโดยที่ไม่รู้เลยว่า...
ในอาคารหลังนั้น...มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่
น้ำเต็มกะละมัง เซฮุนกำลังย่ำเท้าไปบนผ้าห่มและหมอนที่ลู่หานรื้อมาให้จากห้องเก็บของ งานบ้านงานเรือนเป็นสิ่งที่เจ้าตัวไม่ถนัดเลยแต่ก็ต้องทำเมื่อไม่มีใครคอยทำให้เหมือนแต่ก่อนแล้ว ถึงบาดแผลจากฝ่าเท้ายังทำให้ร่างโปร่งรู้สึกแสบอยู่ไม่น้อยและการทำแผลบ่อย ๆ ก็ช่วยชีวิตเขาไว้ได้มากเลยทีเดียว
รอยแผลขีดข่วนกระจายไปทั้งลำตัวและทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าประปรายเป็นหลักฐานว่าโอเซฮุนต้องต่อสู้กับโลกภายนอกมาอย่างเอาความตายเป็นเดิมพันไม่แพ้กับคนอื่น
แต่เขาคือคนที่รอดมา
ไม่มีประโยชน์ที่จะคอยกลัดกลุ้มกับสิ่งที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น เซฮุนขบกรามก่อนจะคว่ำกะละมังลง แสงแดดแก่ ๆ แบบนี้คงทำให้เขาใช้เครื่องนอนได้ทันเวลา ผ้าห่มขนาดกลางถูกสะบัดอย่างแรงจนละอองน้ำฟุ้งไปทั่ว ราวลวดที่ว่างเปล่าเอื้อให้เขาได้ใช้งานอย่างเต็มที่
“ดูแบคฮยอนด้วย”
ไม่แน่ใจว่าเป็นประโยคคำสั่งหรือขอร้องกันแน่เมื่อมันมาจากลู่หาน เซฮุนพยักหน้าตกลงก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินหายเข้าไปในบ้าน
เมื่อเช้าหลังจากที่คุยเรื่องแบคฮยอนจบแล้ว อี้ฟานกับลู่หานปรึกษากันเรื่องเงินที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ ไม่มีใครอยากอยู่เฉยในเมื่อทุกชีวิตต้องเลี้ยงปากท้อง อี้ฟานจึงแนะนำให้หารายได้ด้วยการเก็บขยะรีไซเคิลขายรวมไปถึงพับถุงกระดาษส่งแม่ค้าโดยอาสาเป็นคนไปส่งสิ่งของเหล่านั้นที่ตลาดเอง มันอาจจะเป็นงานที่น่าอายและรายได้ไม่ดีเท่าที่ควรแต่ลู่หานก็จำใจตอบตกลง อย่างน้อยมันก็สุจริตกว่าที่เคยทำมา
ภายในบ้านเงียบเชียบและเยียบเย็น ไม่ใช่เพราะสภาพอากาศแต่กลับเป็นความหนาวเหน็บภายในก้นบึ้งของหัวใจแบคฮยอนที่กำลังหลับใหลหลังจากที่ร้องไห้จนหมดสติ ลู่หานอุ้มลงมานอนข้างล่างก่อนที่มันจะตัดสินใจทำอะไรบ้า ๆ ลงไปหากไม่มีใครคอยดูแลอยู่
“กูว่ากลางคืนลำบากแน่ มันไม่ค่อยยอมให้ใครเข้าไปนอนในห้องมัน” ลู่หานพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นเซฮุนเดินเข้ามาในบ้าน มือหนาเปิดตู้เย็นพร้อมกับหยิบน้ำเย็นจัดในขวดแก้วออกมาถือไว้
“ตอนดึกผมจะงัดเข้าไป” เซฮุนตอบอย่างไม่ยี่หระพลางปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณนั้นอย่างไม่ค่อยเป็นงาน
“อย่าให้เรื่องวันนั้นถึงหูลูกกูเด็ดขาด แอนดี้ไม่เคยรู้ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ยังไง”
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ วันนั้นของลู่หานของวันที่ซูจองตาย วันที่เซฮุนตกเป็นจำเลยในเหตุการณ์นั้นอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง เด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะสบตากับลู่หาน
“ผมไม่พูดถึงหรอกนอกจากจะมีคนรื้อ” โตพอแล้วที่จะรู้ว่าเรื่องไหนสามารถพูดออกมาได้หรือเรื่องไหนควรปล่อยเอาไว้แบบนั้น ถ้าจงอินไม่ขุดมันขึ้นมาพูดสักอย่างเขาเองก็คงไม่ปริปากออกมาเช่นกัน
“ถ้ามึงไม่ก่อเรื่องอะไรอีกก็คงไม่มีใครรื้อ” ลู่หานโต้กลับแฝงความไม่เอาจริงเอาจังกับประเด็นที่กำลังพูดถึง ถึงจะยอมรับเซฮุนได้ก็ไม่ได้หมายความว่าสนิทใจด้วยเหมือนแต่ก่อน
“เรื่องนั้นผมไม่ได้ตั้งใจนะ...”
คำพูดนั้นทำเอาลมหายใจของคนฟังติดขัด ลู่หานกัดฟันทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องที่ไวต่ออารมณ์ของเขา ใบหน้าหล่อเหลามองตรงไปข้างหน้าแต่ไม่จับจุดใด ถึงจะบอกใครต่อใครว่าเขาสามารถให้อภัยเซฮุนได้แต่ความสูญเสียที่น่าเจ็บปวดนั่นมันก็ไม่ได้ถูกลบล้างตามไปด้วย
“...ถ้าผมรู้ว่ามาก่อนว่าซูจองคิดสั้น วันนั้นต่อให้ผมจะตีกับมันจนเลือดตกยางออก ผมก็คงไม่แม้แต่จะก้าวขาออกมา”
“...”
“ผมจะช่วยพี่จนถึงที่สุด”
ลู่หานถอนหายใจทิ้งก่อนจะหันมามองอีกคนอย่างไร้อารมณ์ ต่อให้คำสารภาพของเซฮุนจะเป็นจริงก็คงไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต “ผ่านมาแล้ว มึงจะพูดอะไรก็ได้”
“แต่พี่...”
“ใครจะไปรู้ ต่อให้ซูจองจะไม่ฆ่าตัวตายวันนั้น อีกวันมึงอาจจะเอายานรกพวกนั้นมากรอกปากเมียกูด้วยมือของมึงเองก็ได้” ชายหนุ่มพูดพลางแสยะยิ้มออกมา หน่วยตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าร้อนผ่าวราวกับมีไฟสุม “...เหมือนกับวันที่จื่อเทาฆ่าปิดปากแบคฮยอน มึงก็เป็นคนผลักมันออกไปที่ถนนให้รถพุ่งมาชน เพราะอะไรวะ?”
“...”
“เพราะมึงกลัวมันไม่ตายไง ทั้ง ๆ ที่มึงก็รู้ว่ามันเป็นอะไรกับเพื่อนเรา”
ลู่หานกล่าวเสียงเย็น เซฮุนเม้มปากแน่นเมื่อเห็นว่าความจริงแล้วคนตรงหน้าไม่เคยลบลืมแต่ละเรื่องที่เคยเกิดขึ้นได้เลย ร่างโปร่งไม่อาจสบตากับคู่สนทนาของตนได้ ต่อให้แววตาของลู่หานจะว่างเปล่าแต่ก็ไม่มีใครรับประกันว่าความคิดที่อยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งแบบนั้นเป็นอย่างไร
“ในเมื่อเอาตัวรอดข้างนอกไม่ได้ก็แค่แสดงความจริงใจของมึงออกมา” คนพี่กล่าวพลางกลืนน้ำสะอาดลงคอแล้วมองเด็กหนุ่มร่างโปร่งด้วยหางตา “มันอาจจะช่วยให้มึงสามารถเอาตัวรอดได้เวลาอยู่ที่นี่”
“ความจริงใจเหรอวะ...” เซฮุนพึมพำออกมาหลังจากที่ลู่หานทิ้งข้อความชวนคิดแล้วมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างคล่องตัว
ลับสายตาคนอื่นแล้ว
คิมมินซอกยืนกอดแขนตัวเองอยู่หน้าชั้นวางขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในมุมห้องนอนของลู่หาน ถุงกระดาษอันกะทัดรัดเพิ่งถูกวางลงบนฟูกได้ไม่นานเมื่อเจ้าของกำลังแหงนหน้ามองกรอบรูปขนาดกลางที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุด เพิ่งสังเกตเห็นเหมือนกันว่ามีรอยนิ้วมือและคราบน้ำหยดเกาะอยู่บนแผ่นกระจกเป็นด่างดวง
คนตัวเล็กไม่กล้าเอื้อมหยิบมันมาดูเหมือนคราวที่แล้วเพราะลู่หานเคยแสดงออกให้เห็นแล้วว่ามันเป็นของรักของหวงเขาเหลือเกิน รูปถ่ายของลู่หานกับหญิงสาวท้องแก่คนนั้น เขาสงสัยเหลือเกินว่าเมื่อก่อนลู่หานกับซูจองจะมีความสุขกันขนาดไหน วันนั้นมันจะเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของลู่หานเลยหรือเปล่าถึงได้เก็บภาพถ่ายนี้ไว้
หรือมันอาจจะเป็นรูปแรกและรูปเดียวที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ลู่หาน ซูจอง...และหนูน้อยแอนดี้ที่กำลังเติบโตในท้องของมารดา
เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อห้าปีที่แล้วในขณะที่ครอบครัวนี้กำลังสำลักความสุขอยู่นั้น
เขากำลังทำอะไรอยู่นะ?
คิมมินซอกคนขี้แพ้คงจะเป็นเสมียนบริษัทสักแห่งที่โดนเจ้านายจิกหัวใช้ราวกับเป็นเครื่องจักร อาจจะกำลังโดนพวกขี้เหล้าในที่ทำงานรีดไถเงินตอนเดินกลับบ้าน อาจจะกำลังดื่มฉลองให้กับจงแด เพื่อนสนิทของเขาที่กำลังจะเรียนจบ หรือ...อาจจะนอนคลุกดินร้องไห้อยู่ข้างหลุมศพของพ่อในวันที่ชีวิตเขามืดแปดด้านไม่ต่างจากหมาจนตรอก
ถ้าชีวิตของเขาสวยหรูราวกับเจ้าชายในนิยายปรัมปรา เขาคงมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องหาเช้ากินค่ำ ไม่ต้องคอยก้มหัวให้ใครแม้จะโดนถ่มน้ำลายใส่หน้า หรือแม้ในคืนวันนั้นเขาอาจจะไม่ตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายและอาจจะไม่ต้องมาอยู่แบบครึ่งเป็นครึ่งตายเมื่อต้องหนีมากับผู้ชายที่ชื่อลู่หาน
“พอกันที”
ร่างเล็กสบถกับตัวเองเบา ๆ พลางสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป กี่ครั้งแล้วที่หลายวันมานี้ที่เขาจมอยู่กับความคิดที่ดึงลู่หานมาข้องเกี่ยวด้วยเสมอ
เงยหน้ามองภาพถ่ายนั้นอีกครั้งแล้วต้องก้มหัวลงด้วยความเคารพและจำนนต่อความผิดในขณะเดียวกัน ทั้งเตียงที่เขาเอนกาย หมอนที่ใช้หนุนหัว กระทั่งผู้ชายที่หลับนอนกับเขาชั่วข้ามคืนแม้มันจะเป็นเพียงการขืนใจก็ล้วนแต่มีซูจองเป็นเจ้าของ เขาไม่เคยได้ไปทำความเคารพต่อหน้าหลุมศพของเธอเลยสักครั้ง บางทีวันนี้มันอาจจะเป็นครั้งแรกที่ลงมือทำมันถึงจะไม่เป็นกิจจะลักษณะนัก แต่ก็อาจจะเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิตของเขา
“ผมจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว บางทีอะไรมันอาจจะง่ายขึ้น แอนดี้เป็นเด็กที่น่ารักจริง ๆ ผมเชื่อว่าพลังความรักของแม่จะทำให้ชีวิตของเขาไม่ตกอยู่ในอันตราย”
ใบหน้าขาวเผยรอยยิ้มจาง ๆ รอบริมฝีปาก ปลายนิ้วหัวแม่มือเอื้อมแตะไปบนแผ่นกระจกเพื่อเช็ดคราบฝุ่นออกจากใบหน้าของคนในภาพ
“ผมหวังว่าจะได้ไปเยี่ยมคุณที่นั่นเมื่อมีโอกาส”
อี้ฟานเคยเล่าให้ฟังว่าระยะห่างจากบ้านไปสุสานไม่ได้ไกลกันนัก เมื่อก่อนทุกวันหยุดลู่หานกับแอนดี้จะเดินจูงมือกันไปทำความเคารพต่อหลุมศพของซูจอง หลังจากเกิดเรื่องครั้งนี้ขึ้นก็กลายเป็นคุณหมออี้ฟานที่ผลัดมือพาเด็กชายตัวน้อยไปที่นั่นแทน
ร่างเล็กโค้งตัวลงอย่างสุภาพเมื่อต้องกล่าวอำลา ถุงกระดาษที่วางทิ้งไว้ถูกหยิบคว้ากลับมาดังเดิม หางตาเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง มันจวนจะถึงเวลาเต็มทีแล้ว
“นั่นมึงจะไปไหน?”
เพราะไม่ทันได้รู้ตัวว่ามีใครยืนอยู่ข้างหลังจึงทำให้มินซอกตกใจไม่น้อย ดวงตาเรียวเล็กเหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังยืนพิงกรอบประตูแล้วมองมาที่เขาอย่างบีบคั้น
ครืน...
เสียงรถยนต์ของคุณหมออี้ฟานแล่นเข้ามาจอดเทียบประตูบ้านอย่างตรงต่อเวลา เขาเป็นคนบอกกับคุณหมอเองว่าจะบอกลาลู่หานด้วยตัวเองและออกไปจากที่นี่เงียบ ๆ พอมีเซฮุนเพิ่มเข้ามาอยู่ด้วยอีกคนแล้วจึงเป็นโอกาสดีสำหรับเรื่องนี้
“ผมจะไปอยู่ที่อื่น” ตอบอย่างตรงไปตรงมาแต่ไม่ต้องการเจาะรายละเอียดอะไรให้มันลึกไปกว่านี้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าลู่หานจะตามเจอแต่การที่อีกฝ่ายไม่รู้มันอาจจะไม่ทำให้เขาต้องรอ
“มึงคิดจะบอกกูสักคำป่ะไอ้เรื่องแบบนี้อ่ะ” ลู่หานถามกลับด้วยเสียงโกรธขึ้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกระทำที่ผ่านมาของเขามันแย่พอที่จะทำให้อีกฝ่ายจากไปโดยไม่ต้องกล่าวลาสักคำเลยก็ได้
“ผมกำลังบอกคุณอยู่” มินซอกพูดเสียงเฉยก่อนจะเบนหน้าหนีเมื่อรู้ว่ากำลังถูกจ้องมองแบบไม่เป็นมิตรจากอีกคน “ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ได้สำคัญอะไร”
“มึงบอกว่าไม่สำคัญเหรอ?” ร่างสูงขึ้นเสียงด้วยความเคยตัว เขาเห็นคนตัวเล็กสะดุ้งตื่นเล็กน้อยก่อนจะคิดได้ว่าอารมณ์โกรธของเขาอาจเป็นต้นเหตุให้มินซอกขาดสติได้ เปลือกตาสีครีมปิดลงชั่วครู่เพื่อสงบอารมณ์แล้วเปิดขึ้นมาเพ่งมองคนตรงหน้าอีกครั้ง
“อืม รู้ตัวก็ดีแล้วนี่” จะด่าว่าปากไม่ตรงกับใจลู่หานก็คงไม่เถียง อยากจะประคองสถานการณ์ให้ดีขึ้นเหมือนกันแต่เอาเข้าจริงปากมันไวกว่าใจเสมอ
หรือบางที... การที่เขาเป็นแบบนี้มันก็อาจจะดีต่อมินซอกเองก็ได้
“ผมอยากให้คุณดูแลตัวเอง”
มันอาจจะเป็นคำอำลาที่ฟังดูดีที่สุดและไม่ทำให้ตัวเองรู้สึกบอบช้ำเกินไป มินซอกผิดหวังกับคำพูดของลู่หานไม่น้อยแต่ก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว
“เก็บความรู้สึกของมึงไปห่วงตัวเองให้มากเหอะ”
เพราะคงจะไม่มีใครจับมือพาวิ่งหนีความตายที่รอมึงอยู่ในโลกข้างนอกนั่นอีกแล้ว
“ไม่มีมึง ชีวิตกูมันก็ไม่ได้แย่ลง”
แต่ก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้นเหมือนกัน
“ไปให้ไกลแล้วอย่ากลับมาอีก”
อย่ากลับมามีชีวิตอยู่แบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
อย่ากลับมาแบกรับปัญหาและภาระที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ
ไปให้ไกลแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่... อย่ากลับมาหาคนที่ดีแต่ทำร้ายมึงอีก
“ผมเข้าใจแล้ว”
ถึงตัวอยากไปแต่ใจกลับยอมไม่ฟัง รอให้เขารั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
รสชาติของขมปร่าของความผิดหวัง คิมมินซอกเข้าใจมันอย่างจัดเจนแล้ว
มินซอกกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ลู่หานต้องยอมหลีกทางให้เมื่อเห็นว่าฝีเท้าของอีกฝ่ายหนักแน่นและไร้ความลังเล แววตาที่มินซอกมองมาไม่ได้มีเยื่อใยต่อเขาเหมือนอย่างวันแรกที่ได้พบกัน ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังในแบบที่เขาไม่อาจเห็นได้จากเหยื่อคนไหน
มินซอกไม่ได้เหลือบมองลู่หานในตอนที่ตนเดินผ่าน ก้อนเนื้อที่ถูกฝังเอาไว้ใต้แผ่นอกบีบรัดแน่นจนเขาอยากจะใช้ทั้งสองมือประคอง ความทรงจำที่ดีและร้าย...เขาจะก้าวผ่านมันไปให้เหมือนกับวินาทีนี้ที่เขากำลังก้าวผ่านผู้ชายอันตรายคนนั้น
ก ลั บ ไ ป ไ ม่ รู้ จั ก กั น
เป็นเพียงความฝันที่มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง...
ลู่หานเอื้อมมือเข้าไปหาคนตัวเล็ก เขาสงสัยว่าตัวเองยังมีโอกาสจับมืออีกฝ่ายได้เหมือนกับวันแรกอยู่ไหม แค่เพียงปลายนิ้วสัมผัสกันทุกอย่างก็เปลี่ยนผันไปเพียงชั่วข้ามคืน แค่ปลายนิ้วสัมผัสกันเหมือนวันนั้น... มินซอกจะกลับเข้ามาในชีวิตเขาเหมือนวันแรกไหม?
“อ้าว ใครจะไปไหนวะ?”
เสียงที่ได้ยินทำให้ลู่หานต้องชักมือกลับ จงอินที่เพิ่งกลับมาถึงมองอย่างสังเกตด้วยความมึนงง มินซอกไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มออกมาบาง ๆ ให้แทนคำตอบซึ่งจงอินเข้าใจดี
ไม่มีอีกแล้วโอกาสนั้นสำหรับลู่หาน...
ก ลั บ ไ ป ไ ม่ รู้ จั ก กั น
เสมือนกับว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน
ที่เขาอยากให้จะหลับฝันต่ออีกสักครั้ง...
- To Be Continue –
#ฟิคมฟต
#แบคแทคืนความสุขให้แก่แฟนด้อม ว้าววววววววววววววววววววว
ความคิดเห็น