คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : | MALE11 : FACE TO FACE |
| MALE11 : FACE TO FACE|
AUTHOR : NUTCRACKER
ไม่มีอะไรเลยนอกจากความกังวลปะปนอยู่ในความผิดหวังที่ต้องสูญเสียคนที่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันอย่างปาร์คชานยอลไปโดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว นั่งๆนอนๆอยู่ในห้องได้ไม่นานคิมจงอินก็รู้สึกว่ามันเปล่าประโยชน์ เขาไม่สามารถขับไล่ความคิดพวกนั้นออกไปจากหัวได้ ไหนจะเสียงของลู่หานกับมินซอกที่ดังมาจากห้องใกล้ๆนั่นยิ่งคอยจะทำให้รู้สึกจิตตกมากไปกว่าเดิม ทำไมพวกเราถึงเจอแต่ปัญหา...นั่นคือคำถามที่ดังอยู่ในใจของจงอินมาจนถึงเวลานี้
สะโพกสอบหย่อนลงบนโซฟาแข็ง ครั้นจะเปิดโทรทัศน์ขึ้นมาเผื่อมีรายการอะไรให้คลายความตึงเครียดได้บ้างก็พบว่ามันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย เด็กหนุ่มกดรีโมตให้โทรทัศน์ปิดลงอย่างเก่า มือทั้งสองข้างประสานกันบนหน้าขาอยู่ชั่วครู่ เขามองเห็นใบหน้าอมทุกข์ของตัวเองผ่านการสะท้อนของจอโทรทัศน์สีดำสนิท ต่อให้จะเคยตกระกำลำบากขนาดไหนชีวิตก็ไม่เคยดิ่งลงมาถึงจุดต่ำสุดขนาดนี้มาก่อน
ติ๊งต่อง!
โชคดีแค่ไหนที่เสียงนั่นดังมาจากหน้ารั้ว มิหนำซ้ำประตูบ้านยังถูกลงกลอนไว้ถึงสองชั้นทำให้คนที่อยู่ด้านนอกไม่อาจบุ่มบ่ามเข้ามาได้โดยพละการ มันถือเป็นเรื่องที่ดีที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับบุคคลปริศนาเข้าอย่างจัง แต่ที่แย่กว่านั้นคือไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใคร
ตำรวจกำลังไล่ล่าลู่หาน ในเมื่อจับตายชานยอลได้แล้วการที่จะแกะรอยจับเซฮุนตัวเป็นๆมันคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับตำรวจในท้องที่ที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแถวนั้นดี ถึงมันจะไม่รู้ว่าพวกเขาซุกหัวกันอยู่ที่ไหนแต่การให้ปากคำของเซฮุนก็อาจเป็นหลักฐานชั้นยอดในการติดตามตัวพี่ชายของเขา จะอย่างไรก็ตาม...คนที่น่ากลัวมากที่สุดในความคิดของเขากลับไม่ใช่มัจจุราชในเครื่องแบบราชการ หากแต่เป็นหวงจื่อเทาที่ต้องมาฆ่าปิดปากพวกเขาก่อนที่ตำรวจจะเจอตัวลู่หาน
“ขึ้นไปข้างบน” จงอินใช้ภาษามืออย่างง่ายในการสื่อสารกับแบคฮยอนที่เพิ่งโผล่หัวออกมาจากครัวหลังบ้าน
‘มีคนมาเหรอ?’ พรสวรรค์ของแบคฮยอนทำงานได้อย่างดีเยี่ยม หนุ่มผิวคล้ำพยักหน้าตอบกลับไปก่อนที่จะปัดมือไล่อีกครั้ง
“ไปข้างบนเร็วๆ” ร่างบางพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วเดินกึ่งวิ่งไปทางบันไดโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ
ครืด...
รั้วเหล็กเตี้ยถูกปีนข้ามมาอย่างถือวิสาสะ จงอินกลืนน้ำลายในคอดังอึก ไม่ว่าจะเป็นจื่อเทาหรือตำรวจ ปลายทางของพวกเขาทั้งหมดก็ต้องจบลงในนรกอยู่ดี ต่อให้ไม่ตายที่นี่ก็ต้องตายในคุก
“ไม่ใช่ตำรวจ” เสียงของลู่หานดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ จงอินเหลียวมองหลังก็พบว่าพี่ชายของเขากำลังเดินลงมาจากชั้นสอง “ไม่มีรถตำรวจแล้วก็ไม่มีใครวนเวียนอยู่แถวนี้ด้วย กูส่องทางหน้าต่างข้างบนแล้ว”
“มันมีปืนไหม” สองพี่น้องสบตากันนิ่ง ลู่หานรู้ดีว่าคนที่จงอินพูดถึงคือใคร ฉุกคิดอยู่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นเขาก็พยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ
“มันพกปืนสอง มีดอีกหนึ่ง”
“สนุกแน่งานนี้” จงอินเลียริมฝีปากก่อนจะหิ้วขวดเบียร์ที่วางเกลื่อนขึ้นมาเป็นอาวุธจำเป็น ลู่หานดึงมีดพับที่เหน็บอยู่หลังเอวออกมาแล้วเปิดปลายมีดเตรียมตัวรับสถานการณ์
ก๊อก ก๊อก
เสียงประตูที่ดังขึ้นราวกับเป็นตัวจุดระเบิดเวลาในหัว แท่นจับประตูที่ล็อคแน่นหมุนบิดไปมาจากทางด้านนอกอย่างเร่งรีบ ลู่หานขบกรามกรอดก่อนจะหันไปสบตากับจงอินอีกครั้ง
“กูจะเป็นคนเปิดประตู มึงจับปากขวดให้แน่นแล้วเหวี่ยงท้ายใส่หน้ามันแรงๆ เข้าใจที่กูพูดป่ะ” คนพี่พูดลอดไรฟันเชิงกระซิบ การทำให้มันสลบหรือเสียหลักไปก่อนคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วค่อยคิดจัดการมันทีหลัง
“จะทันเหรอวะ” เด็กหนุ่มร้อนรนไม่น้อยแต่ก็กำปากขวดเบียร์ในมือเอาไว้แน่น
“มันไม่โง่ยิงให้พ่อมึงตามมาจับหรอก” ลู่หานถอนหายใจพรู เสตามองอีกฝ่ายก็เห็นท่าว่าจงอินจะเชื่อคำพูดของเขาอย่างเคย “ยังไงมันก็ต้องใช้มีดอยู่แล้ว”
“แล้วจะคอยดู” สองพี่น้องสบตากันอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้นแล้วลู่หานก็เป็นฝ่ายจับลูกบิดประตูด้านในเอาไว้
คิมจงอินเม้มปากแน่น หัวใจของเขาเต้นผวาเมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หากคลาดไปเพียงพริบตาเดียวก็อาจจะไม่มีชีวิตรอดแล้วก็ได้ ใจจริงก็ไม่อยากจะดูถูกฝีมือสักเท่าไหร่หรอกนะแต่แน่นอนว่าคนที่ตายมันจะไม่ใช่แค่ตัวเขา ลู่หานที่อยู่ตรงนี้ แบคฮยอนที่หนีขึ้นไปหลบอยู่ข้างบนรวมไปถึงคิมมินซอกที่ตกเป็นเหยื่อผู้โชคร้ายในเกมชีวิตนี้ด้วยเช่นกัน
ปึง!
ด้านนอกกระแทกตัวเข้าใส่บานประตูอย่างแรง อย่างที่รู้กันดีว่าหวงจื่อเทาสามารถปลิดชีวิตคนอื่นได้อย่างเลือดเย็น ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าตอนนี้มันกำลังเดือดคลั่งขนาดไหนถึงได้รีบร้อนผิดนิสัย เป็นไปได้ไหมว่าเวลาอาจจะเหลือน้อยเต็มทีแล้ว...
แบคฮยอนเอนหลังพิงประตูเมื่อหลบขึ้นมาอยู่ข้างบนตามคำสั่งของจงอินเรียบร้อยแล้ว เขาหลับตาแน่นพลางเอาหัวถูบานประตูไปมาก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อพบว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังในห้องนี้
คิมมินซอกกำลังชะเง้อมองออกไปนอกบานหน้าต่าง กว่าค่อนตัวที่โผล่พ้นออกไปโดยไม่ทันระวังนั้นอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุถึงชีวิตได้ ห้องนอนของแบคฮยอนอยู่ด้านหน้าและมีหน้าต่างหันออกไปทางถนนหน้าบ้าน เดาได้ไม่อยากเลยว่าผู้ชายคนนั้นกำลังหาคำตอบว่าใครเป็นผู้มาเยือนในเช้าวันนี้
“นายไม่เห็นเขาใช่ไหม?” ภาษามือที่ลนลานของมินซอกยังง่ายต่อการคาดเดามากกว่าเวลานั่งคุยเป็นจริงเป็นจังกับพวกสมองทึบอย่างลู่หานและจงอินเป็นไหนๆ
‘ผมไม่เห็น’ แบคฮยอนตอบสั้นๆพลางส่ายหน้ากลับไป
“แล้วสองคนนั้น...?”
‘เขาไล่ผมขึ้นมา’ มินซอกทิ้งตัวลงบนเตียงไม้ขนาดกลางแล้วประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด แบคฮยอนสังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป เขาไม่เคยเห็นมินซอกแสดงออกถึงความตึงเครียดมากมายขนาดนี้มาก่อน แววตาเรียบเฉยแต่อมทุกข์นั่นก็เป็นอีกอย่างที่เขาเห็นว่ามันแปลกไปในเวลาสองวันมานี้
“อีกไม่นานเราคงต้องไปจากที่นี่” ในที่สุดก็ต้องยื่นคำขาด เขาไม่รู้ความเคลื่อนไหวอะไรของโลกภายนอกเลยหลังจากที่ได้ยินเสียงโทรทัศน์ที่ลู่หานเปิดทิ้งไว้ลอยผ่านหูเมื่อคืนนี้ หายนะกำลังคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าเบาะแสจากข่าวนั้นจะจริงเท็จสักแค่ไหนแต่มันก็ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว
‘ผมจะอยู่ที่นี่ จะรอจนกว่าชานยอลจะกลับมา’
“เขาต้องตามหานายแน่ แต่ถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปเขาอาจจะกลับมาเจอนายในสภาพที่กลายเป็น...” ศพ ภาษามือของมินซอกหยุดลงแค่ตรงนั้น ทั้งสองคนสบตากันเพียงครู่หนึ่งหลังจากที่มินซอกตัดสินใจว่าจะไม่พูดอะไรต่อ
‘กลายเป็นอะไรเหรอ?’
“เปล่า” หนึ่งความสงสัยอันไร้เดียงสาของแบคฮยอนนับเป็นเครื่องมือกดดันชั้นยอดที่มอบให้แก่คิมมินซอกอีกครั้ง
‘ความเป็นจริงมันโหดร้ายมากเลยใช่ไหม ทำไมทุกคนถึงเอาแต่ปิดบังผม’
“ไม่ใช่หรอก...” นัยน์ตากลมใสช้อนมองสีหน้าตัดพ้อของคนที่เด็กกว่าพลางฝืนยิ้มออกมาบางๆ มินซอกเอื้อมแขนไปลูบหัวแบคฮยอนอย่างเบามือ “โลกต่างหากที่โหดร้ายกับเรา”
‘เป็นเพราะหูหนวกผมเลยฟังคำโกหกเหล่านั้นไม่ได้ แต่มินซอก...ผมเห็นมันผ่านแววตาของพวกเขา’
“ถ้างั้นก็ควรจะรู้เต็มอยู่เต็มอกแล้วสิว่าเขาทำแบบนั้นเพื่อปกป้องนาย”
‘ปกป้องทั้งๆที่ผมดูออกทุกครั้งน่ะเหรอ?’
“...”
‘อย่างเช่นวันนี้...มองจงอินปราดเดียวผมก็รู้แล้วว่าเขากลัวแค่ไหนที่จะต้องเผชิญกับคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างนอกนั่น’
“...”
‘สุดท้ายก็ต้องมาแกล้งกลบเกลื่อนว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด’
“มันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆก็ได้”
‘แล้วเมื่อกี้คุณกระวนกระวายทำไมถ้าคิดว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง’
“...”
‘พวกเขาทั้งหมดเคยทำเรื่องที่ขัดต่อกฏหมาย...ผมเดาถูกไหม?’
“...”
‘ชานยอลกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่ไม่ว่าจะมันจะเสี่ยงขนาดไหนผมก็เชื่อว่าเขายังหายใจอยู่’
“นายไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน” มินซอกพูดพึมพำขณะที่ยังไม่ละสายตาออกจากใบหน้าที่เอาจริงของเด็กหนุ่มตรงหน้า
‘ถึงแม้ว่าคุณจะพยายามปกปิดความจริงให้ผมรู้ขนาดไหน จำเอาไว้เถอะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย’
“...” แบคฮยอนพูดถูก ความลับไม่มีในโลก สุดท้ายวันหนึ่งความจริงทั้งหมดก็ต้องถูกเปิดเผยออกมาอยู่ดี
‘ทำไมต้องปิดหูปิดตาแล้วบังคับให้ผมวิ่งหนีทั้งที่ผมเองก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับมัน’
“เพราะโลกมันโหดร้ายกว่าที่นายคิด” คนตัวเล็กโต้ตอบเป็นภาษามือพลางสบมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายนิ่ง “...สิ่งที่นายหวังไว้มันอาจจะเป็นได้แค่ฉากจบในละครน้ำเน่า”
‘…’
“สุดท้ายเราก็จะต้องตกเป็นทาสของตราบาปที่ตัวเองก่อและตกเป็นเหยื่อให้กับความเห็นแก่ตัวของคนอื่น ไม่มีใครหน้าไหนหรอกที่จะไม่ดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่”
‘…’
“มนุษย์ทุกคนมีความชั่วร้ายในตัวเองกันทั้งนั้น”
แบคฮยอนหมอบลงไปนั่งคู้ตัวเพียงลำพัง เขาเห็นอีกฝ่ายหันหลังเดินกลับไปแล้วชะโงกหน้าออกไปทางบานหน้าต่างซ้ำเป็นครั้งที่สอง เขาเข้าใจแง่มุมของมินซอกที่พยายามจะสื่ออกมาได้อย่างดีแต่กลับฉุกคิดว่าพระเจ้าจะประทานความโหดร้ายให้แก่เราได้สักแค่ไหนกันเชียว
หากว่าทุกคนบนโลกคิดอย่างที่มินซอกพูด หากการที่คิดว่าชานยอลจะเดินกลับมาที่นี่อย่างปลอดภัยมันเป็นได้แค่ฉากในละครน้ำเน่า...แบคฮยอนก็ยอมจะเป็นคนเดียวบนโลกที่ทนรอดูฉากจบที่สวยงามแบบนั้นต่อให้ใครจะตราหน้าว่าโง่งมงายอย่างไร
เพราะการรอ...เป็นเพียงหนทางเดียวที่ช่วยต่อลมหายใจของเด็กผู้ชายคนนี้
เป็นช่วงเวลาที่น่ากดดันเมื่อความเงียบโรยตัวลงมาได้สักระยะ นัยน์ตาดุดันยังจ้องเขม็งไปยังผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ตรงหน้าและไม่มีทีท่าว่ามันจะสิ้นสุดลงง่ายๆ ไม่กี่นาทีที่แล้วจงอินเหวี่ยงขวดเบียร์ในมือกระทบกรอบประตูบ้านจนแตกละเอียด มือหนาถือขวดปากฉลามนั่นจ่อตรงคอหอยของอีกฝ่ายอย่างไม่มีความลังเลใดๆ
ลู่หานถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางแหงนหน้ามองขึ้นไปบนเพดานอย่างใช้ความคิด คนที่อยู่ข้างนอกนั่นสงบท่าทีและไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมาเลยสักชิ้น มันไม่ใช่หวงจื่อเทาอย่างที่เขาและจงอินหวาดระแวง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้แตกต่างกันตรงไหนในเมื่อมันกำลังจะเป็นตัวเร่งหายนะให้คืบคลานเข้ามาใกล้ได้ไวกว่าเดิม
“กลับไป” เสียงเดิมกระซิบสั่งมันอีกครั้ง น้ำเสียงจริงจังที่ลอดผ่านไรฟันนั่นไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นง่ายๆจากเด็กผู้ชายติดเล่นอย่างคิมจงอิน
“ชานยอลบอกให้มาที่นี่” ทั้งคู่ยังได้รับคำตอบเดิมเป็นครั้งที่ร้อย ไอ้เด็กหน้าซื่อนั่นนอกจากจะดื้อด้านไม่ยอมฟังแล้วยังสามารถยกข้ออ้างอีกร้อยแปดพันเก้าที่สุดท้ายจะจบตรงเหตุผลเดียวว่า ‘ไม่มีที่ไป’
“ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเอาชื่อคนตายมาอ้าง กลับไป ถ้าเดินเข้ามาอีกก้าวเดียวรับรองว่ามึงได้ตายสมใจแน่” ขวดปากฉลามยื่นออกไปมากกว่าเก่าซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าจงอินไม่ได้ทำได้แค่ขู่ “...รวมถึงแม่มึงด้วย”
“ชานยอลบอกกูว่าเรามีตรงนี้เป็นที่พึ่ง”
“แต่บ้านของกูไม่ใช่ที่พึ่งสำหรับคนอย่างมึง” โอเซฮุนยืนเม้มปาก เขากลืนน้ำลายฝืดขมลงคออีกครั้ง แค่คิดว่าการเจรจากับคนแบบนี้มันไม่มีวันจบลงง่ายๆก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมาแทบบ้า
“ขอเข้าไปก่อนได้ไหม แค่นอนสักคืนกับข้าวสักมื้อก็ได้”
“เหอะ...ของแบบนั้นสำหรับคนทรยศแบบมึงน่ะเหรอ? ไม่คิดว่ามันจะมากไปดิ?” แววตาของร่างหนาไม่มีความสั่นไหว แม้มันจะมาเหยียบที่นี่ด้วยสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายแบบนี้แต่ก็ไม่มีเลยสักวูบเดียวที่จะรู้สึกสมเพชเวทนามันอย่างที่ควรจะเป็น
“มากับใคร” น้ำเสียงนิ่งเย็นของลู่หานดังตัดบท เซฮุนมองไปรอบๆแล้วยักไหล่ให้เป็นคำตอบ
“มึงยังจะสนใจอีกเหรอว่ามันจะมากับใคร แค่ตัวมันคนเดียวก็เรียกความฉิบหายมาได้แบบไม่รู้จบแล้ว”
“ให้มันเข้ามา” เป็นคราวของคนพี่ที่ยื่นคำขาดหลังจากใช้เวลาตัดสินใจมามากเกินควร จงอินหันมองต้นเสียง เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่ลู่หานเลือกคำตอบให้กับมันแบบนี้
“ถ้ามึงเลือกจะอยู่ร่วมกับมันก็ตัดพี่ขาดน้องกับกูเลย” ความรู้สึกที่หนักอึ้งย้อนกลับเข้ามาในหัวสมอง ใช่จะลืมว่ามันสองคนเกลียดขี้หน้ากันขนาดไหนแต่ถ้าหากว่าสุดท้ายเซฮุนถูกจับได้ขึ้นมาทุกคนที่นี่ก็ไม่มีส้นตีนอะไรเหลือเลยเหมือนกัน “ถ้ามีมันก็ไม่มีกู มึงเลือกเอาแล้วกัน”
“แล้วมึงจะปล่อยให้มันไปฟ้องพ่อมึงเหรอว่าพวกเราสุมหัวกันอยู่ที่ไหน” ลู่หานพูดออกมาอย่างหัวเสีย “มึงช่วยหัดแยกแยะอารมณ์กับเหตุผลให้ได้บ้างเหอะ คนอื่นเขาจะตายเพราะความงี่เง่าเอาแต่ใจของมึงนั่นแหละ”
“โอ้โห...พูดมาได้ หัดแยกแยะอารมณ์กับเหตุผล” จงอินแค่นหัวเราะออกมาแล้วเสตามองพี่ชายของเขาที่กำลังทำสีหน้าไม่ดีสักเท่าไหร่ “ทีตัวเองยังทำไม่ได้แล้วมึงจะเอาอะไรมาสอนกู”
“เหี้ยดำ นี่มันใช่เวลาที่มึงจะมายืนเถียงกูป่ะสัด หัดดูสถานการณ์บ้าง”
“ถ้ามีมันก็ไม่มีกู ชัดพอป่ะ?” เด็กหนุ่มขึ้นเสียงกลับมาอย่างก้าวร้าว ลู่หานถอนหายใจอย่างเต็มระอาก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับเซฮุนหนึ่งครั้ง
“เข้ามา”
“อีกก้าวเดียวคอหอยมึงทะลุแน่” มือหนาดันปากฉลามเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากกว่าเดิม รอยหยักแหลมคมของมันบาดริ้วเข้าไปในผิวเนื้อขาวจนเลือดซิบทำให้เซฮุนต้องยอมถอยออกไปหนึ่งก้าว
“เหี้ยดำ กูจะพูดกับมึงเป็นครั้งสุดท้ายนะว่า”
“นี่มึงเชื่อใจมันมากกว่ากูอีกเหรอ?” แววตาดุกร้าวตวัดมองลู่หานทันควัน มันเป็นเหมือนกับทุกครั้งที่ความคิดของทั้งคู่ไม่ลงรอยกันอย่างที่ควรจะเป็น ต่างกันเพียงแค่ครั้งนี้ใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของลู่หานไม่อาจทำให้จงอินยอมสงบปากสงบคำลงได้อย่างที่แล้วมา
“แล้วความเชื่อใจที่มึงพูดถึงนั่นมันมีประโยชน์ส้นตีนอะไรบ้าง? คิดแค่ว่ามาถึงตอนนี้แล้วตัวเองจะอยู่หรือจะตายดีกว่าไหม”
“กูจะไม่มีวันยอมให้มึงเอามันเข้ามาในบ้าน”
“ให้มันเข้ามา” ลู่หานยื่นคำขาดครั้งสุดท้ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มึง?”
“ตุกติกนิดเดียวกูเชือดมึงแน่ จำใส่กะโหลกหนาๆของมึงเอาไว้” ลู่หานหันไปพูดกับเซฮุนที่ยื่นอยู่ด้านนอก ร่างเพรียวพยักหน้าให้พลางยกยิ้มออกมาอย่างใจชื้น
“ไอ้เวร” จงอินรู้สึกหัวเสียอย่างมากที่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมจำนนให้กับการตัดสินใจของลู่หานโดยสิ้นการปฏิเสธ ขวดปากฉลามถูกเหวี่ยงหลุดจากมือแล้วแตกยับคาพื้นซีเมนต์หลังรั้ว เซฮุนไม่ได้มองไปตามเสียงนั่นเพราะเหนื่อยล้าเต็มที่แล้ว
“จำให้ขึ้นใจเลยนะถ้าหลังจากนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับพี่กู เพื่อนกู หรือแม้กระทั่งหลานกู...” น้ำเสียงทุ้มกระซิบแว่วแต่ก็ชัดเจนพอที่จะให้ผู้มาเยือนประมวลผลได้ในทันที “กูจะไม่ทำแค่มึง จำคำกูเอาไว้ให้ดี”
ลู่หานเหลียวตามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจพรูออกมาอย่างแสนระอา ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะขัดศรัทธาไอ้เหี้ยดำสักเท่าไหร่หรอกนะแต่ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้วถ้าไม่รับเซฮุนเอาไว้ก็เท่ากับหาเหามาใส่หัว แต่คิดอีกแง่สิ่งที่ทำอยู่มันก็ไม่ได้ต่างกับการที่ยอมให้เหากระโดดเกาะหัวตรงไหน คิดแล้วกลุ้มใจ ถ้าเอาตีนก่ายหน้าผากได้ก็คงทำไปแล้ว!
ตกอยู่ในความเงียบเพียงชั่วระยะสั้น ๆ ก่อนที่ความอ่อนล้าขับกล่อมให้เด็กหนุ่มตัวสูงเผลอหลับไปบนโซฟาหนังเก่า ๆ นั่นอย่างง่ายดาย ลมอุ่นผ่อนออกมาจากโครงจมูกโด่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอซึ่งหมายความว่าเจ้าตัวกำลังดิ่งลึกลงสู่ห้วงแห่งการหลับใหล จงอินถอนใจฟึดฟัดเพราะเสียงกรนเบา ๆ นั่นมันน่ารำคาญเสียยิ่งกว่าอะไรดี มันหลับลึกชนิดที่ว่าปารีโมตทีวีใส่หัวจนรีโมตแตกแม่งก็ไม่ยังไม่ยอมตื่น นี่หมั่นไส้ชนิดที่ว่าอยากจะเอาตีนกระทืบหน้าก็ยังนึกเสียดายรอยแตกบนหนังตีนอยู่เหมือนกัน
ลู่หานคว้าซองบุหรี่ที่วางอยู่บนตู้ทีวี ยักคิ้วให้จงอินเป็นทำนองว่ารู้กันแล้วพากันออกไปสงบจิตสงบใจตรงหลังบ้าน จงอินมองลู่หานที่ยืนอิงกำแพง ยังไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาแต่แค่มองดูทีท่าก็รู้แล้วว่าพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาเดียวกัน นั่นก็คือปัญหาของการเป็นอยู่หลังจากนี้
มินซอกไม่ได้ไปออกไปทำงานที่ไหนมาสองวันเต็มแต่ก็ยังพอมีเงินเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากนี้เซฮุนมีธนบัตรติดตัวมาแค่ไม่กี่ใบ พอนับรวมกันแล้วมันก็คงจะพอยาไส้พวกเขาได้อีกแค่ช่วงเดียว จริงอยู่ที่เขาสามารถขอให้อี้ฟานเป็นที่พึ่งชั่วคราวได้แต่นั่นกลับเป็นทางเลือกสุดท้ายของจงอินและลู่หาน ลำพังค่าพยาบาลและการเลี้ยงดูเด็กในคลินิกแต่ละเดือนก็ต้องออกเงินไปไม่น้อย เมื่อหักลบกันแล้วเดาไม่ออกเลยว่าหมออี้ฟานจะมีเหลือเก็บสักเท่าไหร่กันเชียว
“กูยังพอมีเงินเก็บอีกก้อน” คำพูดของจงอินชี้ให้เห็นถึงทางสว่าง แววตาของลู่หานส่องประกายถึงความหวังว่าเขาจะยังใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปได้อีกช่วงใหญ่ๆแต่สุดท้ายมันก็ดับลงเมื่อฉุกคิดถึงภาระอีกอย่างที่ยังไม่จัดการให้เรียบร้อยดี
“ค่าเทอมแอนดี้” คนพี่พูดออกมาด้วยสีหน้าหนักใจ ร่างสูงโยนบุหรี่ลงไปในอ่างล้างจานให้ไฟมอดก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆอีกครั้ง “นี่ก็เปิดเทอมละ อีกไม่เกินสองอาทิตย์คงต้องจ่าย”
“ลาออกไหม”
“พูดออกมานี่คิดยัง?” ถ้าไม่ติดว่าสีหน้าของจงอินก็ดูจริงจังไม่แพ้กันเขาคงจะประเคนหน้าตีนแข็ง ๆ กระแทกปากมันโดยไม่ต้องยั้งคิดไปแล้ว
“เรื่องเรียนจะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ รอพ่อมันตายแล้วค่อยเรียนยังได้เลย”
“ไปคลินิกทันตกรรมไหม ไปให้เขาเอาเหล็กมาล้อมกรงหมาในปากให้มึงได้”
“ตอนเด็กๆพ่อเคยบอกว่าก่อนจะดัดฟันให้ไปดัดสันดานก่อน”
“เหอะ” ลู่หานหัวเราะขึ้นจมูกเมื่อเห็นว่าจงอินกำลังพูดถึงเรื่องเก่า ๆ เขาจำตัวเองในตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นได้ดี เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นถ้าไม่ใช่แย่งผู้หญิงกันก็คงเป็นความขัดแย้งระหว่างสถาบันที่เขามักจะเป็นหัวโจกพาตีอยู่เสมอ แตกต่างกับปัญหาที่ต้องเผชิญในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
“หน้าอย่างมึงคงไม่ให้ลูกลาออกจากโรงเรียนไฮโซส้นตีนนั่นง่ายๆสินะ”
“ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันก็ได้”
“เอาจริงดิ?” จงอินถามกลับไปในทันทีเพราะเหมือนว่าเรื่องย้ายที่อยู่จะไม่เคยมีอยู่ในหัวของลู่หานเลยด้วยซ้ำ
“แต่กูจะอยู่ที่นี่ ถ้าจะไปก็เอาแบคฮยอนกับเซฮุนไปด้วย” พูดจบก็เอนตัวพิงกำแพง ร่างสูงถอนหายใจออกมาอีกครั้งพลางเหลือบมองฟ้าวันนี้ที่ดูแสนจะมืดหม่นสำหรับเขาเหลือเกิน “ส่วนมินซอก...ถ้ามันจะอยู่ที่นี่กูจะดูมันเอง”
“มันคงอยากอยู่กับมึงตายห่า” จงอินพูดติดตลกแต่ฟังแล้วไม่ขำเลยสักนิด ผ่านมาสองวันแล้ว ระหว่างเขากับมินซอกมันควรจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้างแต่เปล่าเลย เมื่อเช้าก็เพิ่งปะทะคารมกันไปใหม่ๆ สุดท้ายก็คงจะเข้าหน้ากันไม่ติดอย่างที่อี้ฟานทำนายไว้
“ไม่รู้ว่ะ อยากจะอยู่หรืออยากจะไปก็ให้มันเลือกเอา”
“ตอนนี้มันคงอยากไปให้พ้นจนเต็มแก่” ลู่หานเทสายตามองคู่สนทนาแบบขวาง ๆ ใจจริงก็เห็นด้วยที่มันต้องเป็นแบบนั้นแต่พอจงอินพูดแล้วกลับรู้สึกว่าฟังไม่เข้าหูเอาดื้อ ๆ
“โอ๊ะโอ...” จงอินยักไหล่พลางผิวปากกลบเกลื่อนเมื่อเห็นว่าพี่ชายของเขากำลังจะของขึ้นของจริงเสียแล้ว “ไปอาบน้ำนอนดีกว่ากู รู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้ชักจะเดือด ๆ”
“นี่ไม่เดือดธรรมดานะ สำหรับมึงมันต้องมีคำว่าร้อนต่อท้ายอยู่ด้วย” เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะออกมาก่อนจะเอี้ยวหลังหลบฝ่าตีนที่พุ่งเข้าใส่ตัวอย่างรวดเร็ว
“ทำแบบนี้เดี๋ยวไม่รักเลยนะ” จงอินพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแล้วเบ้ปากเป็นรูปตีน ลู่หานมองด้วยหางตาแล้วลูบแขนตัวเองเนือง ๆ เห็นมันทำหน้าทำตาแบบนั้นแล้วรู้สึกขนลุกขนพองเสียยิ่งกว่าตอนเจอผีซูจองเมื่อสี่ห้าปีก่อนเป็นไหน ๆ
“ถุย! แบ๊วตายห่าล่ะเหี้ยดำ”
“จะเอายังไงกับลูกมึง เงินนี่จะเอาหรือไม่เอา?”
“ขอคิดดูก่อน”
“สามนาทีพอไหม”
“สามนาทีพ่อง”
“งั้นกูตัดสินใจให้” ลู่หานเลิกคิ้วมองอีกคนที่เพิ่งกลับเข้าสู่โหมดซีเรียส จงอินดูไม่มีความลังเลอะไรเลยที่จะเสียเงินเก็บให้เป็นค่าเทอมของหลาน อาจเป็นเพราะสมัยที่มันยังตัวเท่าลูกหมา นอกจากพ่อแล้วก็เหลือแต่เขาเท่านั้นที่มันพอจะพึ่งพาอาศัยได้ “เอาไปจ่ายให้เรียบร้อย ส่วนหลังจากนี้จะเป็นยังไงค่อยว่ากัน เอาเรื่องเรียนของมันไว้ก่อน”
“นี่กูไม่มีที่ไปถึงขั้นต้องพึ่งพาคนอย่างมึงเลยเหรอวะ”
“มึงไม่ต้องมาเกรงใจกูหรอก” ร่างหนาพูดพลางตบบ่าพี่ชายของตนเองฉาดหนึ่งใหญ่ ๆ “เพราะถ้าเทียบเงินก้อนนี้กับสิ่งที่มึงให้กูมาตลอดนะเว่ย กูขอบอกเลยว่า...”
“ว่า?”
“กูคิดดอกเบี้ยมึงอ่วมแน่ หาโรงพยาบาลรักษาอาการดากฉีกไว้ได้เลยพี่ชาย”
“อ๋อเหรอ นี่ถ้าไม่เกรงใจจะด่าว่าเหี้ยเลยนะ”
“นี่มึงสะกดคำว่าเกรงใจเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ มันเป็นเรื่องที่ทำให้กูรู้สึกอเมซิ่งทิงนองนอย”
“นี่เห็นกูเป็นเพื่อนเล่นมึงป่ะ” ลู่หานค้อนมองน้องชายของตัวเองอีกคราที่ใบหน้ามันดูเริงร่าไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ เขาไม่ได้คิดซัดปากมันให้หายหมาเพราะรู้สึกว่าชกไปก็เสียดายมือเปล่า สันดานกวนส้นตีนแบบนี้ต่อให้โดนยำอีกพันตีนก็คงไม่จำ
“จะเล่นไม่เล่นก็โดนมึงเล่น พอกูไม่อยากจะเล่นมึงก็เสือกมาเล่นจนกูต้องเล่น แล้วพอกูเล่นมึงก็ขู่จะเล่น กูก็งงเหมือนกันว่าสรุปมึงจะเล่นหรือไม่เล่นกูจะได้ไม่โดนเล่น”
“ไปเล่นบนหัวพ่อง” คราวนี้ปากไม่ทำงานเปล่า คนพี่ฉาดกบาลคู่สนทนาเข้าไปหนึ่งทีดังแปะจนเจ้าตัวต้องยืนเกาหัวแล้วร้องโอดโอยไม่เป็นภาษา
“โอย...ฝ่ามือหรือฝ่าตีน”
“อันนี้อ่ะมือ แต่ถ้ามึงยังไม่รีบไปรับรองเลยนะว่ามึงจะโดนติ...”
“นั่นใคร” ยังพูดไม่ทันขาดคำเสียงของบุคคลที่สามก็เข้ามาแทรกกลางวงสนทนา ลู่หานช้อนตามองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะชักมือกลับมาทำทีท่าหมางเมินใส่อีกฝ่ายอย่างจงใจ
“นั่นลู่หาน แล้วนี่ก็จงอินไง” ร่างหนาพูดพลางชี้ไปที่ลู่หานก่อนปลายนิ้วจะวนกลับหาตัว มินซอกยิ้มหน่าย ๆ ให้กับเด็กหนุ่มที่เล่นไม่รู้เวลาแล้วตัดสินใจถามซ้ำอีกครั้ง
“อันนั้นพี่รู้แล้ว พี่หมายถึงคนที่นอนอยู่ตรงโซฟาน่ะใครเหรอ?”
“พี่อย่างงั้นพี่อย่างงี้ ถุย” ลู่หานพึมพำออกมาอย่างตั้งใจให้ทุกคนได้ยิน มินซอกหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ในท่าทางล้อเลียนแบบนั้น
“ถ้าไม่คิดจะพูดอะไรที่มันสร้างสรรค์ก็เงียบปากเถอะ”
“ถ้าอยากจะมีสาระมากมึงก็คุยกันไปสองคนเลยแล้วกัน” ลู่หานโพล่งออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวก่อนจะเดินเฉียดไหล่ของมินซอกออกไปจนคนตัวเล็กต้องเซไปอีกทาง จงอินยักไหล่ให้อย่างช่วยไม่ได้แล้วหันไปมองร่างเพรียวที่นอนเหยียดอยู่บนโซฟา
“ก็พวกนั้นนั่นแหละ พี่ไม่คุ้นหน้ามันเลยเหรอ?”
“ก็เพราะคุ้นน่ะสิก็เลยมาถาม” มินซอกพูดเสียงเบา เขาเบนสายตากลับไปมองคนเดิมอีกครั้งแล้วค่อยหันกลับมาพูดกับจงอินต่อ “แล้วชานยอลล่ะ...ชานยอลมาด้วยหรือเปล่า?”
“ไม่ว่ะพี่” จงอินสูดลมหายใจมาจนสุดปอดหลังจากตอบคำถาม เขามองตามินซอกอยู่ครู่เดียวก็รู้ว่าอีกคนยังต้องการที่จะรู้อะไรมากกว่าคำตอบทื่อๆแบบนั้น
“แล้ว...” ร่างเล็กไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามตรง ๆ ความจริงแล้วเขายังเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกต่างหากว่าควรถามแบบไหน ไม่เห็นชานยอลกลับมาด้วยแบบนี้ร้อยทั้งร้อยคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“โดนจับตายไปแล้ว” ไม่ต้องรอให้ถามต่อ เด็กหนุ่มพูดมันออกไปโดยอัตโนมัติ “มันแหกคุกกันมาตั้งแต่คืนก่อน ข่าวเพิ่งออกเมื่อเช้าว่าจับตายไปแล้วหนึ่ง อีกหนึ่งดันหนีไปได้”
“...”
“ก็มานอนรกที่รกทางอยู่นี่แล้วไง ตำรวจจะแห่กันมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ถ้าตำรวจเจอตัวมันขึ้นมาผมบอกได้คำเดียวเลยว่าเราซวยแน่”
“ถ้างั้นเราก็ควรย้ายไปที่อื่นกันไหม?” มินซอกยื่นข้อเสนอที่จงอินเองก็คิดแบบเดียวกัน
“ผมไม่มีปัญหาหรอกพี่แต่ไอ้ต่างด้าวนั่นมันยังห่วงลูกมันอยู่เลย”
“ไม่ยอมย้ายไปไหนอีกสินะ”
“ถูกเผง”
“ในโลกนี้คงไม่มีใครเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งได้ดีไปกว่าพ่อแม่ของตัวเองหรอก บางทีลู่หานอาจจะมีทางออกที่ดีกว่านี้”
“ยังจะมีทางอื่นอีกเหรอวะ” จงอินเลิกคิ้วอย่างใช้ความคิด มินซอกมองตาเด็กหนุ่มอยู่ครู่เดียวก่อนจะหันกลับไปมองสมาชิกใหม่ที่กำลังนอนเหยียดตัวบนโซฟา ขาที่ยาวเกินไปอาจทำให้เซฮุนนอนได้อย่างไม่สบายตัวเท่าที่ควร
“เด็กคนนี้มีครอบครัวหรือเปล่า?” คำถามใหม่ที่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้ในฉับพลันผุดขึ้นในหัว จงอินเบ้ปากก่อนจะไหวไหล่ให้อย่างไม่ยี่หระ
“ก็เห็นว่ามีแค่แม่นอนเจ็บอยู่โรงพยาบาล ตายห่าหรือยังก็ไม่รู้ ทำไมเหรอพี่?”
“พี่ว่าพี่คิดอะไรบางอย่างออกแล้วล่ะ แต่ก็ไม่รู้จะเวิร์คหรือเปล่านะ...”
“ไหนลองพูดมา”
แสงแดดร้อนจัดไม่ค่อยทำให้ร่างบางรู้สึกระคายผิวสักเท่าไหร่เพราะกิจวัตรประจำวันที่เขาทำจนเคยชิน แบคฮยอนรินน้ำออกจากฝักบัวรดน้ำใส่แปลงดอกไม้เล็ก ๆ ที่เขาปลูกเอาไว้ข้างบ้าน ถึงใครจะว่ามันไร้ประโยชน์แต่มันก็ดีกว่าการนั่งกินนอนกินไปวัน ๆ โดยที่ไม่ลุกไปทำอะไรเลย
ก่อนหน้านี้เขาเคยเหนื่อยกับการทำงานบ้านทุกวันทั้ง ๆ มันไม่ใช่งานถนัดของผู้ชายเลยสักนิด แต่ก็คงมีแค่เขาเท่านั้นที่ทำได้ดีกว่าพวกผลิตขยะอย่างลู่หานกับจงอิน บางครั้งชานยอลกับแอนดี้ก็อาสาช่วยบ้างแต่ก็ทำเองยังไงก็ถูกใจกว่า หลังจากที่มินซอกมาอยู่ร่วมบ้าน งานบ้านงานเรือนก็ถูกแบ่งเบาไปกว่าครึ่ง หน้าที่หลัก ๆ ของแบคฮยอนในตอนนี้ก็มีแค่ทำกับข้าว รสมือของเขามันไม่ได้อร่อยเลยสักนิดแต่ก็คงดีกว่าให้ลู่หานกับจงอินระเบิดครัวกันเองเป็นไหน ๆ มันไม่ใช่แค่กินไม่ได้แต่หากจะเรียกให้ถูกก็คงต้องใช้คำว่ากลืนไม่ลงเลยดีกว่า
“นี่” ปลายนิ้วมือของใครบางคนแตะลงบนหัวไหล่ กลิ่นแป้งเด็กอ่อน ๆ นั่นทำให้เขารู้ตั้งแต่คราแรกว่าใครคือผู้มาเยือนของบ่ายวันนี้ “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?”
‘ไม่มีหรอก’ แบคฮยอนส่ายหน้าพลางใช้ภาษามืออย่างง่ายในการโต้ตอบ ‘คุณโอเคแล้วใช่ไหม?’
“ก็...ไม่เห็นจะมีอะไรที่ไม่โอเคนี่” มินซอกยิ้มพร้อมกับที่แบคฮยอนเลิกคิ้วมองเขาที่เมื่อครู่นี้ปฏิเสธออกมาหน้าตาเฉย
‘เดี๋ยวนี้คุณดูแปลก ๆ’
“ฉันเหรอ? อาจจะเพราะผอมลงก็ได้” คนตัวเล็กพูดพลางมองสรีระของตนเองที่ผ่ายผอมลงไปพอตัว แบคฮยอนส่ายหน้าไปมาเมื่อพบว่าการสื่อสารของเขาผิดพลาด
‘ผมหมายถึงนิสัยของคุณ คุณดูแปลกไป’
“หมายถึงนิสัยของฉันใช่ไหม?” เด็กหนุ่มพยักหน้า “มันเปลี่ยนไปยังไงเหรอ?”
‘เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย’ มินซอกเลิกคิ้วพร้อมทั้งปฏิเสธแบคฮยอนอยู่ในใจเพราะแน่ใจว่าตัวเองไม่เคยมีนิสัยแบบนั้น ‘ชอบทำหน้าอมทุกข์อยู่บ่อย ๆ ด้วย’
“บางครั้งฉันก็แค่ไม่ยิ้ม”
‘แต่ปกติคุณยิ้มตลอดเลยนะ’ แบคฮยอนว่าก่อนที่จะส่งฝักบัวรดน้ำต่อไปให้มินซอก เขายกนิ้วขึ้นชี้แก้มแล้วฉีกยิ้มออกมาแบบที่อีกฝ่ายเคยทำอยู่เสมอ ‘คุณยิ้มตาปิดแบบนี้ทุกวันเลย’
“จริงด้วยสิ อืม...คงเพราะช่วงนี้อากาศเปลี่ยนเลยไม่ค่อยสบาย”
‘เพราะลู่หานทำให้คุณไม่สบายต่างหาก’
“...”
‘คืนก่อนคุณเข้าห้องน้ำนานเป็นชั่วโมงเลยนะ บางครั้งคุณก็ร้องไห้คนเดียว หลาย ๆ ครั้งคุณก็รู้สึกเป็นทุกข์แล้วบางครั้งคุณก็คิดถึงคนที่บ้าน’
“ฉัน...นึกถึง...?”
‘คนที่บ้าน ผมหมายถึงครอบครัวของคุณ’
“เปล่าหรอก ส่วนมากฉันจะคิดถึงพ่อ” มินซอกระบายยิ้มออกมาบาง ๆ แล้วก้มหน้ามองแปลงดอกไม้ที่กำลังแตกกิ่ง เขาวักน้ำออกจากฝักบัวแล้วดีดใส่ใบไม้สีเขียวที่เริ่มจะแห้งเหี่ยวเพราะอุณหภูมิที่ต่ำลง “...แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันคิดถึงคนที่บ้าน?”
‘ชานยอลชอบทำหน้าแบบนั้นตอนกลับบ้านหลังจากที่หายไปหลาย ๆ วัน’
“ตอนนี้เขาก็อาจจะทำหน้าแบบนี้อยู่ก็ได้นะ” มินซอกถอนหายใจยาวเหยียดแล้วคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อคลายกังวล เขาเทน้ำออกจากฝักบัวจนหมดแล้วแขวนเอาไว้กับรั้วบ้าน “แล้ว...ทำไมถึงคิดว่าเป็นเพราะลู่หาน?”
‘คุณแปลกไปทุกทีที่เจอเขาหรือเวลาพูดคุยกับเขา’ แบคฮยอนว่าพลางปัดดินออกจากเสื้อ ใบหน้าของมินซอกในตอนนี้ทำทีจะปฏิเสธแต่แววตาคู่นั้นกลับไม่เคยโกหก สิ่งที่แบคฮยอนสัมผัสได้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงเสมอ ‘แล้วผมก็รู้เรื่องคืนนั้นของคุณสองคนด้วย’
“ฉันเสียใจจริง ๆ ถ้าหลังจากวันนั้นฉันทำกิริยาไม่ดีกับนาย แต่บางครั้งฉัน...” มินซอกกลืนเสียงของตนเองลงไปในลำคอ บางครั้งความรู้สึกที่โถมแน่นอยู่ในใจก็ไม่อาจบรรยายถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้
‘ผมรู้ว่าคุณต้องการคำปลอบโยนหรืออาจจะเป็นคำขอโทษจากปากของเขาก็ได้ แต่คุณก็น่าจะรู้ดีพอกับผมว่าลู่หานเป็นคนยังไง บางทีเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้นก็ได้’
“ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้อะไรเลย” มินซอกสูดลมหายใจเข้ามาในอกแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเปล่า
เรื่องคืนนั้นมันยังก้องอยู่ในความทรงจำของเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเอามันออกไปด้วยวิธีไหน ถูกอย่างที่แบคฮยอนว่า...เขาต้องการเพียงคำปลอบโยนหรือคำขอโทษก็ได้ หรือแม้แต่คำแก้ตัวโง่ ๆ ที่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มันเกิดขึ้น ลู่หานไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเขาไปตลอดชีวิตในเมื่อยังไงก็เป็นผู้ชายด้วยกัน แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ได้เอาไปแค่ตัวเขา ลู่หานข่มขืนจิตใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้ชายคนนั้นไม่มีวันรู้แน่ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเป็นอย่างไร เฉกเช่นเดียวกับที่เขาไม่มีวันรู้เลยว่าผู้ชายอย่างลู่หานสามารถทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้อย่างไร
หากเมื่อเช้าแบคฮยอนไม่ได้เดินเข้ามาในห้องแล้วตบหน้าเขาแรง ๆ เพื่อเรียกให้สติกลับคืน หัวสมองของเขาก็คงจะยังถูกเรื่องคืนนั้นหลอกหลอนไปอย่างไม่รู้จบและต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวพร้อมกับความทรมานราวกับตายทั้งเป็น
แค่ถูกขืนใจครั้งเดียวมันจะอะไรกันนักกันหนา...
ลองมาเป็นเขาดูสักครั้งไหมล่ะเผื่อจะได้เข้าใจ
“มันเจ็บจริง ๆ วินาทีนั้นมันเจ็บจนฉันไม่รู้ว่าตอนนี้จะสามารถอธิบายออกมาได้ยังไง”
‘ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ...’ แบคฮยอนวางมือลงบนบ่าของคนที่แก่กว่า มินซอกช้อนตามองเด็กหนุ่มตรงหน้า แววตาของแบคฮยอนเต็มไปด้วยความห่วงใยและแน่นอนว่ามันช่างมีความหมายกับเขาเหลือเกินในช่วงเวลาแบบนี้ ‘…แต่สิ่งหนึ่งที่คุณควรจะจำเอาไว้’
“...”
‘คืนนั้นร่างกายคุณเป็นของเขาแต่หัวใจก็ยังเป็นของคุณ มันคงไม่แปลกหากว่าในวันนี้คุณจะรู้สึกเหมือนโดนดึงย้อนกลับเข้าไปในช่วงเวลานั้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำให้คุณรู้สึกเกลียดเขาเข้าไส้ คุณพร้อมที่จะเดินออกไปจากชีวิตของเขาเหมือนกับที่คุณจะรู้สึกยินดีหากว่าเขาจะเดินออกไปจากชีวิตของคุณ’
“...”
‘แต่ถ้าหากว่าคุณไม่มีความคิดแบบนั้น...ยิ่งคุณรู้สึกแย่มากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งต้องการเขา คุณหวั่นใจว่าเขาจะมองคุณเป็นแค่คนธรรมดาที่กำลังเรียกร้องอะไรที่น่ารำคาญ มองว่าคุณเป็นแค่ตุ๊กตาราคาถูกที่ไม่มีคุณค่าอะไรกับชีวิตของเขา’
“...”
‘วันนี้ร่างกายของคุณอาจจะไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว...แต่เป็นหัวใจของคุณต่างหาก’
“...”
‘เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?’
“คิดว่าไม่นะ...” มินซอกส่ายหน้าให้ แบคฮยอนคว่ำปากแล้วเสตามองอีกคนหน่าย ๆ
‘อยากจะบ้าตาย ผมเพิ่งรู้ว่าคุยกับคุณนี่มันเสียเวลาไม่ต่างจากตอนที่คุยกับลู่หานตรงไหนเลย’
“ช้า ๆ หน่อยสิ ฉันไม่ได้เก่งภาษาใบ้ขนาดนั้นนะ”
‘พอเลย’ เด็กน้อยมองขวางแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ‘ผมไม่มีครั้งที่สองให้คุณอีกต่อไปแล้ว’
“โธ่...”
เปลือกตาสีอ่อนเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าเมื่อความเจ็บแสบก่อขึ้นตรงจุดต่ำสุดของลำตัว ขณะที่ท้องฟ้ายังไม่สว่างดีแต่เขากลับได้กลิ่นอาหารลอยฉุนมาจากข้างหลัง เสียงแรกที่ได้ยินเป็นเสียงนกกระจิบที่ประสานกันเป็นทำนอง ร่างกายที่ถูกเติมเต็มด้วยพลังงานทำให้เขาตระหนักได้ว่าตนเองนอนหลับเต็มอิ่มอยู่ที่เดิมมาทั้งคืน ความอ่อนเพลียถูกขจัดออกไปเหลือเพียงแต่ความเมื่อยล้าแขนขาตามประสาคนที่นอนหลับเป็นตาย
เซฮุนมองเห็นอะไรได้ไม่ถนัดนัก จากที่คิดว่าควรจะตื่นนอนได้แล้วแต่ดวงตาเจ้ากรรมกลับหนักอึ้งและพร้อมจะปิดลงอีกครั้งในตอนนี้ ใครบางคนเดินผ่านหน้าเขาไปแล้วกลับมาพร้อมกับวางกล่องยาลงบนโต๊ะ เด็กหนุ่มไม่ได้หวาดระแวงรอบข้างอย่างที่ควรจะเป็น บ้านของลู่หานเป็นที่พักพิงที่สัมผัสได้ว่ามันปลอดภัยสำหรับคนที่สังคมตราหน้าว่าเป็นอาชญากรอย่างเขา
“อื้อ!” เด็กหนุ่มเกร็งตัวขึ้นในทันทีเมื่ออะไรมีความชื้นจากก้านสำลีแตะโดนแผลที่ฝ่าเท้า
มันเป็นแผลฉกรรจ์มาตั้งแต่ตอนที่แหกคุกออกมา เขาเคยได้ยินเรื่องที่คนสมานแผลด้วยความร้อนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเดินเท้าเปล่าบนถนนคอนกรีตร้อนจัดภายในเมืองไม่ได้ช่วยให้แผลของเขาดีขึ้น หนำซ้ำยังยิ่งทำให้มันพุพองและแสบร้อนมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า เซฮุนอดทนกับมันจนลืมไปแล้วว่าเจ็บขนาดไหนหากไม่มีใครมาป้ายยาทับรอยเก่าแบบนี้
“อืม...” เด็กหนุ่มถอนหายใจพรูก่อนจะกัดฟันแน่น คนที่นั่งอยู่ตรงปลายเท้าหยุดการทำแผลลงชั่วขณะ เขาภาวนาอยู่ในใจว่ามันจะเรียบร้อยดี
“เป็นเหี้ยไร ทำแผลแค่นี้เสือกร้องอย่างกับโดนเอา” คำพูดไม่เข้าหูดังขึ้นจนเซฮุนต้องขมวดคิ้วอย่างเบื่อหน่าย มันเป็นเรื่องแย่จริง ๆ ที่มีใครสักคนเข้ามาทำลายความสุขทั้งวันของเขาด้วยการทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีแต่เช้า
“อย่ามายุ่ง” เซฮุนพูดออกไปอย่างปัดรำคาญแล้วเบือนหน้าหนี
“ไปช่วยมินซอกทำกับข้าวไป” ขอบคุณจริง ๆ ที่จงอินเมินเขาและไม่ได้ยืนเถียงหน้าด้าน ๆ เหมือนเมื่อก่อน “ไปในครัวไง เข้าใจไหมวะเนี่ย...เออน่า เดี๋ยวทำเอง”
“มึงพูดบ้าอะไรอยู่คนเดียววะ หลอนป่ะเนี่ย” เซฮุนสบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะยกหมอนแฟบ ๆ ขึ้นมาปิดหู
“คุยกับใครก็ไม่เกี่ยวกับมึงแล้วกันไอ้หน้าติ๋ม”
“ปัญหาของมึงแล้วล่ะงั้น”
“ปากหมาแบบนี้เดี๋ยวกูเอาทิงเจอร์กรอกปากให้กระอักเลือดแม่ง”
“ดูหนังมากไปป่ะ ทิงเจอร์บ้านอาแปะมึงดิน้ำสีฟ้า” เด็กหนุ่มลืมตาพูดพลางเพยิดหน้าไปยังขวดแอลกอฮอล์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เขาต้องลุกไปคาราวะในความควายอันลิมิตของคิมจงอินแน่ ๆ ถ้าไม่ติดว่ากำลังแสบตีนอยู่
“พ่อกูไม่ได้เป็นอาแปะ”
“หูย...แล้วใครเขาด่าพ่อมึ๊ง”
“ไอ้ชาติหมา” เซฮุนแอบหัวเราะให้กับคำด่าปัญญาอ่อนที่มีแต่สมองอนุบาลเท่านั้นที่คิดได้ ตอนนี้เงาดำ ๆ นั่นกำลังยืนเท้าสะเอวมองมาที่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ขำมากป่ะ พ่อเปิดคณะตลกเหรอ”
“คณะเดียวกับพ่อมึงเลย”
“ไอ้เหี้ยนี่...แล้วไหนเมื่อกี้มึงบอกไม่ด่าพ่อกูไง”
“ลมพัดเย็นไข่” เซฮุนพูดพลางไหวไหล่ให้อย่างกวนอารมณ์ สีหน้าของจงอินจากที่เขียวอยู่แล้วตอนนี้กำลังเขียวหนักเข้าไปอีก นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เซฮุนรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชนะ
“กวนตีนนัก กูจะเอาทิงเจอร์ราดหน้ามึงเดี๋ยวนี้แหละ”
“น่ากลัวที่สุด”
ซ่า!
“โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! หน้าพ่อมึงอยู่ตรงนี้เหรอ!?” เซฮุนร้องลั่น เขาไม่สามารถควบคุมอาการเท้าสั่นของตัวเองได้หลังจากที่ไอ้หน้าเขียวมันราดแอลกอฮอล์เกือบทั้งขวดลงที่เท้า ใบหน้าขาวนิ่วจากความแสบแต่ดูเหมือนว่าไอ้ตัวการมันจะสะใจอยู่ไม่น้อย
“สมน้ำหน้า มึงหุบปากเลยนะไอ้สัดอย่ามาร้องให้ได้ยิน” จงอินชี้หน้าสั่งก่อนจะย่อตัวลงอยู่ในระดับปลายเท้าของเด็กหนุ่ม สาบานว่าเขาไม่ได้อยากจะมานั่งทำแผลมุ้งมิ้งให้ไอ้เหี้ยนี่เลยสักนิดแต่เป็นเพราะหมั่นขี้หน้ามันเหลือเกินจึงขออาสาเป็นคนละเลงแผลมันให้ยับจนเดินไม่ได้ไปอีกสามวันเจ็ดวัน!
“มึงหยุดเลยนะก่อนที่ตีนกูจะอยู่ไม่สุข” โอเซฮุนดูจะรู้ทันเขาไปซะทุกเรื่อง จงอินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วจัดการเทเบตาดีนลงบนก้านสำลี
แผลที่เท้าของเซฮุนน่าจะลึกอยู่เหมือนกันถ้าดูจากเศษแก้วหลายอันที่แบคฮยอนดึงออกมาตั้งแต่เมื่อคืน เขาสงสัยจริง ๆ ว่ามันเดินจากเรือนจำกลับมาถึงบ้านได้ยังไง มันควรจะทะลุขึ้นมาบนหลังเท้าได้แล้วด้วยซ้ำ
เลือดชั่ว ๆ ที่ไหลไม่รู้จักหยุดหย่อนทำเอามินซอกและแบคฮยอนต้องคอยผลัดกันเช็ดล้างเป็นชั่วโมงแต่แม่งก็ยังนอนไม่รู้จักตื่น ขนาดไอ้เด็กนรกแอนดี้ขึ้นกระโดดเล่นเป็นจิงโจ้แล้วเผลอเหยียบหน้ามันตั้งหลายครั้งก็ยังคงหลับเป็นตาย นี่คิมจงอินไม่อยากจะบอกเลยนะว่านอนภาวนามาทั้งคืน ขอให้แม่งหลับไปแบบไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย เขาจะเป็นอาสาสมัครขุดหลุมฝังศพเอาไว้หลังบ้านแล้วเอาวัชพืชนานาพันธุ์ไปไหว้ทุกเช้าเย็น
“ทำอะไรของมึงเนี่ย ถ้าไม่เป็นก็หยุดเหอะ” เด็กหนุ่มบ่นออกมาเมื่อภาพที่เห็นตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากเด็กอนุบาลที่ใฝ่ฝันจะเป็นหมอ คู่กัดของเขากำลังทำท่าทีเงอะงะงุ่นง่านตามต้นฉบับคนโง่ที่อวดฉลาด
“กูบอกให้เงียบไง ทำไมมึงน่ารำคาญจังเลยวะ เดี๋ยวเอาก้านสำลีแทงคอแม่งให้ตายห่าเลยดีป่ะ”
“เว่อร์อีกละ บอกแล้วไงว่าให้เลิกดูการ์ตูน”
“การ์ตูนแม่มึงดิฆ่ากันด้วยก้านสำลี”
“ดูท่ามึงก็ไม่น่าจะโง่นะ แต่ไหง...โอ๊ยยยยยยย!”
โครม!
เป็นเพราะจงอินตั้งใจจะเอาสำลีขูดแผลของเขาแบบไม่ออมแรงจนรู้สึกแสบตีนแทบขาดจึงต้องร้องลั่นบ้านอีกครั้ง แต่โชคร้ายกลับเป็นของอีกฝ่าย...เซฮุนไม่สามารถควบคุมอาการตีนกระตุกของตัวเองได้เลย เขาไม่ตั้งใจจะยันหน้ามันจนกระเด็นออกไปขนาดนั้น แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่! จะโทษเขาก็ไม่ถูก คิมจงอินทำตัวเองล้วน ๆ
“เห้ย เป็นไรเปล่า?” คนเจ็บยันตัวขึ้นนั่งแล้วชะโงกหน้ามองร่างหนาที่เพิ่งจะหยัดตัวขึ้นมา จงอินลูบหน้าผากตัวเองแรง ๆ พลางสลัดหัวไปมา พอเอามือออกก็เห็นว่ามันมีรอยตีนของเซฮุนประทับอยู่กลางหน้าผากจริง ๆ
“หึ...” เซฮุนหัวเราะในลำคอก่อนจะรีบปิดปาก จงอินกำลังมองค้อนเขาตาเขียวแต่คงเป็นเพราะกำลังนับดาวอยู่จึงไม่ได้ก่นด่าเขาออกมาทันควันอย่างที่ควรจะเป็น
“เป็นไง? Get High เลยป่ะ?” ไม่วายจะเอ่ยแซวซ้ำอีกครั้ง คราวนี้จงอินได้สติแล้ว มันกำลังทำท่าเหมือนวัวกระทิงที่ปล่อยควันออกทางหู
โอเซฮุนไม่อาจหุบยิ้มลงได้เลย...
“มึงจงใจใช่ไหม?” ไม่แปลกที่จงอินจะรู้สึกเสียหน้าเป็นพิเศษ ตั้งใจจะเล่นเขาแต่สุดท้ายกลับโดนเขาเล่นเอาเสียเอง ยิ่งเห็นเซฮุนกำลังหัวเราะเยาะเขายิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกเลย
“จงใจอะไร ก็มึงทำแรงอ่ะ เจ็บ”
“ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้า มึงจงใจถีบหน้ากูใช่ไหม?” ตอนนี้ไม่ว่าเซฮุนจะทำอะไรก็ผิดในสายตาของเขาไปหมด ทั้งเดือดทั้งอาย เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้จริง ๆ
“ก็ทำกูเจ็บทำไมอ่ะ? แล้วนี่กูต้องขอโทษมึงป่ะ?”
“หุบปากเลยไอ้สัด!” ร่างหนาเอื้อมมือหยิบขวดแอลกอฮอล์ก่อนจะยกขึ้นเหนือแบบพร้อมเขวี้ยง เซฮุนหดคอลงพลางยกแขนทั้งสองข้างขึ้นป้องกันตัว ความโกรธของเขาจะไม่สามารถดับลงได้เลยถ้าหากว่าตอนนี้ไม่ได้สร้างแลนด์มาร์คเอาไว้บนหัวกบาลของมัน
“จงอิน โวยวายอะไรแต่เช้า?”
กราบตีนครับพ่อ มึงจะมาทำเหี้ยอะไรตอนนี้!?
“ก็มันถีบหน้ากูอ่ะ...” ใบหน้าของจงอินเจื่อนลงทันทีหลังจากที่หมออี้ฟานเดินเข้ามาในบ้าน นั่นจัดว่าเป็นโจ๊กชั้นเยี่ยมที่คงทำให้เซฮุนอารมณ์ดีไปอีกสามวันเจ็ดวัน
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนมาใหม่ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำหน้ายังไงในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจะทำให้คนที่นี่เกลียดเขามากขนาดไหน แต่รอยยิ้มของหมออี้ฟานเป็นคำตอบที่ดีให้กับคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา เซฮุนจึงยิ้มกลับไปตามประสา
เสียงของคิมจงอินที่กำลังต่อล้อต่อเถียงกับอี้ฟานดังขึ้นมาหลายนาที จะว่าเสือกก็ได้ที่เขากำลังตั้งใจฟังไม่ขาดประโยค ไอ้ร่างถ่านนั่นชอบทำตัวเถื่อน ๆ เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงแต่เวลาอยู่กับอี้ฟานดันกลายเป็นคนละคน เขาอมยิ้มอย่างสะใจทุกครั้งที่มันโดนดุโทษฐานที่แฝงเจตนาร้ายกับเขา
เซฮุนหันกลับมาให้ความสนใจกับแผลที่เท้าของตนเอง เขาหยิบก้านสำลีที่หล่นตกพื้นขึ้นมาป้ายลงบนแผลของตัวเองเบา ๆ จงอินไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับเขามากมายอย่างที่วาดภาพในหัวเอาไว้ แต่นี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ที่ผ่านมาเขารู้ดีว่าความเกลียดชังที่จงอินมีต่อเขามันมากมายมหาศาลและตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน... ผิดกันตรงที่เขาพยายามมองว่ามันเป็นเรื่องตลกในขณะที่คู่ปรับของเขามองว่ามันเป็นเรื่องจริงจังเสมอ หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรเขาเองก็ไม่ได้คาดหวัง วันดีคืนดีไอ้ดำนั่นอาจจะหยิบมีดมาฟันคอเขาก็ได้ใครจะไปรู้
“...”
ความคิดในหัวสะดุดกึกเมื่อมือของใครบางคนยื่นเข้ามา เขาจำใครบางคนที่เริ่มทำแผลให้เขาได้จากเสื้อที่ใส่ รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่าย แววตาที่ใสซื่อคู่นั้นกำลังทอดมองมาและแย่งก้านสำลีในมือของเขาไป เซฮุนมองตาค้างอยู่ชั่ววินาที
“แบคฮยอน...”
คนที่เขาตั้งใจผลักให้โดนรถชนให้บ่ายวันนั้น...
- To Be Continue –
กราบขอขมาอภัยให้กับความผิดของอีหนวดที่ร้างการอัพฟิคไปหลายเดือนด้วยนะคะ T_T อยากเรียนให้ทุกท่านทราบว่าหนวดจะยังเขียนฟิคลู่หมินทุกเรื่องที่เปิดขึ้นมารวมไปถึงพล็อตใหม่ ๆ ที่อยู่ในหัวอีกหลายเรื่องเลย (แต่ยังไม่เขียนนะคะ ขอให้รอดสักเรื่องก่อนแหะ ๆ) ยังยืนยันว่าจะอัพฟิคต่อไปค่ะ หนวดต้องขอโทษรีดเดอร์ทุกคนจริง ๆ นะคะที่ปล่อยให้รอกันนานขนาดนี้ หนวดเปิดหน้าฟิคขึ้นมาทุกวันเลยนะอยากจะเขียนต่อให้จบแต่สมองมันไม่เห็นด้วยเลย
หนวดเองก็ใช้เวลาทำใจอยู่นานกับเรื่องของลู่หาน เป็นเพราะรักพี่ลู่มากสภาพจิตใจมันเลยไม่ฟื้นขึ้นมาง่าย ๆ จริง ๆ ค่ะ ยังไงก็ต้องขอโทษจริง ๆ นะคะที่ปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองเป็นปัญหาแต่หลังจากวันนี้ไปหนวดพร้อมแล้วค่ะ! เสพย์โมเม้นต์ลู่หมินย้อนหลังกี่ครั้งก็ยังฟินเนอะ เป็นกำลังใจให้กับชิปเปอร์ลู่หมินทุกคนด้วยนะคะ อย่าเลิกชิปคู่นี้เด็ดขาดเลยนะ >:(
สำหรับแชปเตอร์นี้ไคฮุนที่ทุกคนรอคอยก็หากันจนเจอแล้วนะคะ *โปรยขนนกขึ้นฟ้า* ส่วนลู่หานกับมินซอกก็ยังคงมึน ๆ ตึง ๆ กันอยู่แต่ต่อไปจะเป็นยังไงนะ... ไคฮุนจะลงรอยกันได้ไหม? เรื่องคืนนั้นของลู่หมินหลังจากนี้ไปมันจะดีขึ้นหรือแย่ลง? ตำรวจจะตามตัวลู่หานเจอหรือเปล่า? และที่น่าระแวงที่สุดคือหวงจื่อเทาผู้โหดสัดนั่นเอง อุวะฮะฮ่า! ถ้าอยากรู้ก็ช่วยติดตาม #ฟิคมฟต ต่อไปด้วยนะคะ ขออภัยจริง ๆ ที่อัพช้าค่ะ หนวดผิดไปแล้วค่ะทุกคน T_T ให้อภัยหนวดนะคะ
สุดท้ายนี้หนวดอยากจะขอขอบคุณแฟนฟิคทุกคนที่ยังไม่ลืมฟิคเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกแฮชแท็กรวมไปถึงนักอ่านเงาทุกคนที่ติดตามฟิคเรื่องนี้อยู่ หนวดอยากขอให้ทุกคนติดตามต่อไปนะคะ หนวดจะพยายามกลั่นกรองเนื้อหาและภาษาให้ดีขึ้นกว่านี้นะคะ <3
ตอนนี้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว หลาย ๆ คนอาจจะไม่สบายยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยนะคะ เปิดเทอมแล้วตั้งใจเรียนกันด้วยนะรู้เปล่า? หนวดยังรักแฟนฟิคทุกคนเหมือนเดิมนะคะ <3
#ฟิคมฟต
ความคิดเห็น