คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : | MALE10 : PHOBIA |
| MALE10 : PHOBIA|
AUTHOR : NUTCRACKER
เท้าทั้งสองข้างลากสลับกันไปมาอย่างอิดโรย มีเพียงเสื้อโค้ทสีครีมที่ชานยอลให้ไว้ซึ่งตอนนี้เปรอะเปื้อนดินโคลนจนหมดสภาพ มันเป็นเพียงผ้าชิ้นเดียวที่ทำให้เขาพรางตัวจากคนภายนอกได้ทั้งๆที่กำลังสวมชุดนักโทษสีกากีอยู่
เด็กหนุ่มก้มลงมองเท้าทั้งสองข้างที่พองโตจากการเดินย่ำบนถนนลาดยางในตอนกลางวันและมีรอยแผลจากการแฝงตัวเข้าไปหลบในป่ารกใกล้ถนนจนต้องเหยียบเศษหินแหลมคมเข้าให้ การสวมรองเท้าผ้าใบไม่ได้ทำให้วิ่งหนีความตายได้เร็วขึ้น เพราะแบบนี้เขาจึงตัดสินใจถอดมันทิ้งแล้วโยนมันลงไปในหล่มดินกลางทาง
‘อย่ายืนตากลมแบบนั้นสิลูก เดี๋ยวหนูจะไม่สบายเอานะ’
เซฮุนกระชับเสื้อโค้ทให้ขยับเข้ามาแนบลำตัว เขาไม่เคยเชื่อคำที่แม่พูดเลยว่าการยืนโต้ลมนั้นจะทำให้ป่วยได้จนกระทั่งรู้สึกคัดจมูกเมื่อเช้านี้ คืนนี้ลมแรงจริงๆแถมยังทำให้รู้สึกหนาวเหน็บไปกว่าทุกวัน
‘ลูกชายของแม่ต้องไม่ยอมแพ้ให้กับความยากลำบากนะลูก’
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำสนิท เพราะตอนนี้ยังเดินวนไปวนมาอยู่ในเมืองทำให้มองไม่เห็นอะไรนอกจากฟ้าเปล่า เขาแบ่งธนบัตรในเงินปึกนั้นมาติดตัวไว้เพียงแค่สามสี่ใบและจำนวนที่เหลือก็ฝากเข้าบัญชีธนาคารของแม่ไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน ได้รู้ซึ้งว่าชีวิตมันไม่ใช่เรื่องตลกเอาตอนที่ทุกคนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ รายงานข่าวตามวิทยุและโทรทัศน์ทั่วทั้งเมืองต่างประกาศจับและแสดงภาพถ่ายในชุดนักโทษที่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
“แค่กๆ” เด็กหนุ่มอุดปากตัวเองด้วยกำปั้นแล้วกระแอมไอออกมาเบาๆ เพราะไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดไหลผ่านคอและยังใช้พลังงานจากการเดินเท้ามาตลอดทางคงไม่แปลกถ้าตอนนี้เขาจะรู้สึกกระหายกว่าคนทั่วไป
ร้านค้ารายทางเริ่มปิดตัวลงกันหมดแล้วเหลือก็แต่ร้านสะดวกซื้อที่ยังเปิดบริการทั้งคืน แต่ถึงอย่างนั้นการเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับสายตาพนักงานและกล้องวงจรปิดนับไม่ใช่ความคิดที่ดีสำหรับคนที่มีคดีท่วมหัวอย่างเขา เซฮุนทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าในหลืบแคบๆ เขาไม่ใช่คนแรกที่ค้นพบที่ซ่อนตัวอันเลอค่าหากแต่เป็นมนุษย์กล่องสองสามคนที่ตั้งรกรากกันอยู่ในนี้
ได้ยินเพียงเสียงคนเดินผ่านไปผ่านมาและรถยนต์ที่นานทีจะผ่านมาสักคัน ร่างเพรียวกลืนน้ำลายแต่ภายในคอกลับว่างเปล่า เขาทำแบบนี้อยู่หลายครั้งแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมีแต่ความแสบแห้งในลำคอของตนเอง ไหนใครว่ากันว่าคนเราอยู่ได้สามวันหากร่างกายขาดน้ำ นี่แค่วันเดียวก็รู้สึกเหมือนกำลังจะตายอยู่แล้ว
ครืด ครืด ครืด
มนุษย์กล่องคนหนึ่งเดินลากรองเท้าแตะเก่าๆมาตามทาง ผมยาวรุงรังและเนื้อตัวที่มอมแมมนั่นแสดงให้เห็นว่าคงเป็นคนที่ไม่เต็มเต็งสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็รู้สึกขอบคุณคนพวกนี้ที่มองผ่านเขาไปราวกับเป็นธาตุอากาศ
เด็กหนุ่มชะเง้อมองชายนิรนามที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปเมื่อครู่ ตอนนี้ก็หยุดอยู่ตรงหน้าถังขยะที่วางเรียงกันอยู่สามสี่ใบ เศษอาหารและเศษพลาสติกกระจัดกระจายออกมาด้วยน้ำมือของชายคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เจอของที่ต้องการ สุดท้ายแล้วร่างกายที่ไม่สูงเท่าไหร่ก็แทบจะมุดลงไปในนั้นจนเต็มตัว
โครม!
ถังขยะโค่นล้มลงมาจนสิ่งที่บรรจุไว้ด้านในไหลเคลื่อนออกมาในทิศทางเดียวกัน ชายคนนั้นเลือกสรรขยะเพียงสองสามชิ้นจากทั้งหมดก่อนจะเดินลากเท้ากลับมาทางเก่า เซฮุนมองโดยไม่ให้ละสายตา เงาตะคุ่มขยายใหญ่ขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ขึ้น กลิ่นตัวเหม็นอับราวกับขาดการชำระล้างร่างกายมาหลายปีเตะจมูกจนแทบอยากอาเจียน ในที่สุดชายนิรนามก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขา
เสียงของพลาสติกดังขึ้นในมือ เด็กหนุ่มปรายตามองก่อนจะเขยิบสะโพกออกห่างสักสองสามคืบ สิ่งที่อยู่ในมือของคนไร้ชื่อนั้นคือถุงขนมขบเคี้ยวที่ยังไม่เคยมีร่องรอยการแกะมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าคนพวกนี้ก็ตาดีอยู่เหมือนกัน หรืออาจเพราะเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนถึงไม่รู้ว่าในขยะนับร้อยชิ้นจะมีของดีๆปะปนอยู่บ้าง
“หิวล่ะสิ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะยกสูงขึ้น ชายร่างเล็กเอนหัวพิงกับกำแพงอาคารพาณิชย์ ร่างเพรียวเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างนึกสงสัย
“ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละไอ้หนุ่ม ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งต้องมานอนกับหมาข้างถนน” จบประโยคก็ยิ้มกว้าง ซี่ฟันที่ไร้การขัดถูบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองจัด เซฮุนขบกรามและเม้มปากแน่นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เขาไม่สามารถแสดงอาการรังเกียจออกมาได้
“แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องไปลักขโมยใครเขากิน” ขนมขบเคี้ยวถูกส่งเข้ามาในปาก หลังจากนั้นจึงได้ยินเสียงฟันขบชิ้นอาหารดังกรอบแกรบ ขนมอบกรอบไม่ใช่สิ่งที่เขาโปรดปรานนักแต่ในเวลานี้มันกำลังทำให้น้ำย่อยในท้องเคลื่อนที่ขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เอาไปกินซะ” ซองพลาสติกยื่นมาทางเขา ถึงจะหิวมากขนาดไหนแต่ลำคอที่แห้งผากคงไม่สามารถกลืนอาหารลงไปได้ในตอนนี้
“ผม...หิวน้ำ” เซฮุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แตะปลายนิ้วลงบนกระเดือกของตนเองเพราะรู้ว่าบริเวณนั้นเป็นจุดที่ไวต่อความปวดแสบภายในกระบอกลำคอมากที่สุด
“อ๋อ รอเดี๋ยวนะ” อีกฝ่ายวางถุงขนมไว้ข้างลำตัวก่อนจะเดินกลับไปที่ถังขยะ บรรดากองขยะที่ไหลเทลงมามีน้ำเปล่าอยู่หลายขวดที่ดื่มไปไม่ถึงครึ่ง บางขวดก็ยังมีน้ำอยู่เกือบเต็มบรรจุภัณฑ์ ชายนิรนามคุ้ยเข้าไปในกองขยะนั้นอยู่สักพักก่อนจะเจอกับเป้าหมาย
“รับไปสิไอ้หนุ่ม!” เสียงห้าวตะโกนกลับมาพร้อมกับโยนขวดน้ำเข้ามาในมือ อากาศที่เย็นเยียบแบบนี้คงไม่ทำให้อุณหภูมิของของเหลวด้านในเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่ หลังจากที่ดึงหลอดพลาสติกซึ่งเป็นของเจ้าของเดิมทิ้งไป นมกล้วยขวดเล็กก็ถูกโยนตามขึ้นมาบนตักเขา
“อืม...” เด็กหนุ่มครวญเสียงเมื่อน้ำอึกแรกไหลผ่านลำคอ มันพอจะทำให้หนักท้องขึ้นได้บ้างแต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของกระเพาะอาหารในตอนนี้ นมกล้วยที่ดูจะหมดอายุไปสองสามวันแล้วทำให้เขาชั่งใจ แต่อย่างไรก็ตาม...ยอมท้องเสียไปสักวันสองวันก็คงดีกว่าหมดแรงล้มพับไประหว่างการออกเดินทางให้ไอ้พวกตำรวจมันตามจับเอาได้
“หนีออกจากบ้านมาเหรอ” ชายนิรนามเอ่ยถามขณะที่ใช้มือหนึ่งลูบเคราที่ยาวรุงรัง เซฮุนส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ
“หนีคุกมา”
“เด็กสมัยนี้ชอบสร้างปัญหาให้กับตัวเองเหลือเกิน” เสียงหัวเราะห้าวดังปัดความเงียบ ขนมขบเคี้ยวยังถูกส่งเข้าปากไปไม่ขาดจังหวะ “แม่เอ็งคงภูมิใจน่าดูเลยว่ะ”
“...” คำพูดของชายไร้บ้านทำเอาเขาแทบสำลักของเหลวที่กำลังจะกลืนลงคอ เขาไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปเพราะคิดว่ามันก็จริงอย่างที่อีกคนเหน็บแนม
“วัยอย่างเอ็งคงไม่พ้นเรื่องผู้หญิง”
“เปล่า”
“อ้าวเหรอ เล่นยางั้นสิ?” ร่างเพรียวส่ายหน้าอีกครั้ง
“แม่ป่วย” นมกล้วยรสชาติฝาดเปรี้ยวไหลผ่านลิ้นและกลืนลงคอจนหมดในครั้งเดียว เด็กหนุ่มลูบท้องตัวเองเบาๆเพราะแน่ใจว่ากินในปริมาณนี้คงหนักท้องพอที่จะเดินทางต่อได้
“ถ้าเป็นลุงคงยอมตายดีกว่า ถ้าต้องให้ลูกชายไปทำงานผิดกฎหมายให้คนอื่นมาตามโขลกด่าแบบนี้”
“ลุงคงไม่เข้าใจผมหรอก” พูดจบก็ปาขวดพลาสติกเปล่าในมือให้กระเด็นไปทางถังขยะ เฉียดไปแค่เล็กน้อยมันก็เด้งลงมาตกอยู่ในบริเวณนั้น เซฮุนมองผลงานของตัวเองก่อนจะหันกลับไปมองมนุษย์กล่องอย่างรอคำตอบ
“วัยรุ่นก็แบบเนี้ย ชอบคิดว่าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ ถ้าเรื่องที่ทำมันดีนักแล้วคนที่ผ่านโลกมาก่อนเป็นสิบปีจะมานั่งบ่นให้เสียเวลาทำม้าย” อีกฝ่ายลากเสียงสูงใส่อารมณ์ เด็กหนุ่มเบะปากคว่ำก่อนจะพยักหน้าให้แบบขอไปที
“ลูกลุงก็แบบนี้...”
“แบบไหน? แบบผมเหรอ?”
“พอลุงบ่นมันก็ไม่พอใจ วันๆมันก็จะเอาแต่เล่นเกม เที่ยวผู้หญิง เงินทองก็ไม่ได้มีไว้รองรับมันเหมือนพวกลูกคนรวย”
“...”
“ด่าเข้าหน่อยมันก็ทุบตีลุง หาว่าลุงไม่ดีเหมือนพ่อคนอื่น” น้ำเสียงหนักขาดช่วงไปชั่วครู่แล้วถูกแทนที่เสียงสูดน้ำมูก คนไร้บ้านกินขนมขบเคี้ยวในมือทั้งน้ำตา
“แล้วลุงไม่ทำงานเหรอ?”
“ทำเท่าไหร่มันก็เอาไปหมด แถมยังไปก่อหนี้สินให้คนอื่นมารุมซ้อม” ชายร่างเล็กกล่าวตัดพ้อด้วยความน้อยใจก่อนจะเริ่มเอ็ดเสียงตวาดดังลั่น “ไอ้ลูกไม่รักดี!” ใบหน้าที่สกปรกมอมแมมถูกชะล้างด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาทับรอยเก่า เซฮุนเขยิบเข้าไปหาฝ่ายสักคืบแล้วแตะมือลงบนบ่าของชายชราสองสามครั้งอย่างปลอบโยน
“เอาน่าลุง อยู่แบบนี้ลุงก็สบายใจดีแล้วนี่” ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น เวลาที่แม่ร้องไห้เขาก็ได้แต่นั่งเงียบๆแล้วกอดแม่เอาไว้จนกว่าจะสงบลง
“ลุงเก็บเงินไว้ให้มันทุกวันเลยนะ” มือคล้ำล้วงเข้าไปใต้เสื้อก่อนจะควักเศษผ้าขนาดใหญ่ออกมาแผ่ออกตรงกลางมือ
“ลุงไปได้มาจากที่ไหน?”
“บางทีก็ไปมุดเอาตามท่อเวลาเห็นคนที่เดินผ่านทำตกลงไป บางคนเขาเวทนาก็โยนมาให้”
“แล้วไม่อายสายตาที่เขามองมาเหรอ?”
“ทำอาชีพเลี้ยงตัวแล้วมันไม่รุ่ง จะให้ลุงทำยังไงล่ะไอ้หนุ่มเอ้ย”
“...”
“แล้วเอ็งล่ะ? ไปทำงานทำอาชีพแบบนั้น ไม่อายแทนคนเป็นพ่อเป็นแม่บ้างเหรอ?”
มือหนายังคงลูบศีรษะทุยของเด็กน้อยที่ผล็อยหลับคาตักมาตั้งแต่การ์ตูนเรื่องโปรดยังฉายไม่ทันจบตอน แบคฮยอนกลับเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องตั้งแต่ช่วงหัวค่ำส่วนจงอินก็ยึดห้องนอนของเขาไปตามระเบียบเพราะโดนมินซอกครองเตียงมาตั้งแต่ช่วงบ่าย ลู่หานถอนหายใจซ้ำออกมาอีกครั้ง...ไม่ใช่เพียงแค่เข้าหน้ากันไม่ติด อีกฝ่ายไม่ยอมโผล่หัวมาให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำถึงแม้ว่าจะอยู่บ้านหลังเดียวกันก็ตาม
“...ติดตามสถานการณ์คดีลอบค้าประเวณีที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ ล่าสุดผู้ต้องขังทั้งสองคนประกอบด้วยนายปาร์คชานยอลอายุ...”
เขานิ่งไปชั่วครู่แล้วรับฟังรายงานข่าวนั้นอย่างตั้งใจ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่กำลังได้ยินอยู่นั้นจะจัดว่าเป็นข่าวประเภทไหน เรื่องน่ายินดีที่สองคนนั้นแหกคุกนรกออกมาได้จมดิ่งลงไปในทิศทางตรงกันข้ามเมื่อผู้สื่อข่าวแถลงอีกข้อเท็จจริงอันแสนโหดร้าย
ตำรวจจับตายแล้วหนึ่งศพ
“...เย็นวันนี้เจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูลความคืบหน้าหลังสืบหาตัวนายลู่หาน ผู้ต้องหาชาวจีนในคดีดังกล่าวมากว่าสองสัปดาห์เต็มในขณะที่นายหวงจื่อเทายังคงลอย...”
พรึ่บ!
จอโทรทัศน์ดับมืดทันทีที่เจ้าตัวกดปิดมันจากรีโมตที่วางอยู่ใกล้มือ ลู่หานถอนหายใจออกมายาวๆหนึ่งครั้งก่อนจะเสยผมตึง ครึ่งเดือนเข้าไปแล้วต่อให้จะมีคดีวิ่งราวทรัพย์ ยาเสพติดหรือแม้กระทั้งคดีข่มขืนที่จัดเป็นอาชญากรรมขั้นรุนแรงเข้ามาแหวกกระแสแต่ดูเหมือนว่าบ้านเมืองจะไม่ยอมรามือจากคดีค้าผู้หญิงที่มีชื่อของเขาพ่วงอยู่ได้ง่ายๆ เป็นเพราะถูกกระตุ้นจากสื่อทุกแขนงแบบนี้จึงทำให้ชื่อของเขาและเพื่อนกลุ่มเดียวกันต้องมาถูกกล่าวถึงด้วยเสียงประณามผ่านกระแสสังคม
แต่ก็คงไม่สำคัญเกินไปกว่าการที่ตำรวจพวกนั้นรับรู้ความเคลื่อนไหวของเขามากขึ้นกว่าเดิม
“แอนดี้” ลู่หานเอ่ยเรียกลูกชายของตนเองอย่างแผ่วเบาพลางแตะปลายนิ้วมือเข้าที่พวงแก้มยู่ เจ้าตัวแสบขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะตวัดวงแขนเข้ากอดเอวเขาแน่นแล้วดำดิ่งลงไปในห้วงของการหลับใหลเช่นทุกวัน
“แอนดี้ครับ ปะป๊าจะขึ้นไปนอนแล้วนะ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูลูกน้อยเบาๆ ไม่มีน้ำเสียงเล็กพูดเจื้อยแจ้วตอบรับกลับมาอย่างที่ควรจะเป็น ได้ยินแต่เพียงจังหวะลมหายใจที่ผลัดเข้าออกกันเป็นท่วงทำนองที่สม่ำเสมอ
“ใจคอจะให้นอนบนโซฟาทั้งคืนเลยเหรอ ปะป๊าเมื่อยนะ” ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง เป็นไปตามคาดว่าลูกชายของเขาคงไม่ตื่นขึ้นมาเพราะเห็นใจพ่อแน่ๆ เจ้าตัวจึงแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ
“ถ้าให้ไปนอนกับไอ้เหี้ยดำละก็...ตื่นมาต้องตีกันตายไปข้างแน่” เขาพูดคนเดียวอย่างใช้ความคิด
แอนดี้กับจงอินเป็นคู่ปรับกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แหงล่ะว่าตอนหลับกันทั้งคู่คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าตื่นมาแล้วยังไงร้อยทั้งร้อยด้วยสันดานขี้กวนตีนของน้องชายต่างสายเลือดนั่นต้องคอยหาเรื่องแหย่หลานอยู่แล้ว จ้างให้ไปนอนกับแบคฮยอนก็ไม่เอาด้วยหรอก ขี้เกียจนอนฟังเสียงสะอื้นทั้งคืนให้รำคาญหู ไปนอนห้องเหี้ยดำที่มีมินซอกครองพื้นที่อยู่ยิ่งไม่เข้าท่าเข้าไปใหญ่ เข้าไปตอนนี้มีหวังโดนทำตึงใส่แล้วคงฟิวส์ขาดชวนมันทะเลาะบ้านแตกแน่ๆ
ในเมื่อหมดทางเลือกแล้วโซฟาแข็งๆนี่ก็คงเป็นที่พึ่งสุดท้าย สู้ทนเมื่อยเอาหน่อยให้ลูกหลับสบายก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเขา ในเมื่อพรุ่งนี้มีเวลาว่างทั้งวันจะนอนยกตีนขึ้นมาก่ายหน้าผากก็ยังได้
ลู่หานวางหมอนอิงลงบนที่วางแขนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเหยียดขาพาดกับเบาะวางแขนอีกฝั่ง เขาดึงคนตัวเล็กขึ้นมานอนราบบนหน้าอกก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น มีแค่ผ้าเน่าของแอนดี้เพียงผืนเดียวที่พอจะใช้เป็นผ้าห่มได้ โดยรวมแล้วมันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่หากไม่ติดว่านอนตรงนี้ทำให้รู้สึกว่าไม่คุ้นที่คุ้นทางต่อให้จะเป็นบ้านของตัวเองก็เหอะ
“ปะป๊า...” เสียงเล็กพูดอู้อี้ขึ้นมาแต่ดวงตายังปิดสนิท เขาจุ๊ปากแล้วตบก้นเบาๆเพื่อกล่อมให้เด็กน้อยหลับสบาย
“ปะป๊าอยู่นี่แล้ว หลับซะ” แอนดี้กำคอเสื้อของเขาแน่น ถูหน้าไปมาอย่างออดอ้อนแล้วถึงยอมสงบท่าทีลงไปในที่สุด ร่างสูงระบายยิ้มออกมาบางๆพลางทอดมองใบหน้าของลูกรักอย่างเต็มไปด้วยความเอ็นดู
ราวกับโชคชะตาเล่นตลก สายลมแห่งกาลเวลาพัดพาให้คนที่รักจากเขาไปทีละคน มันเริ่มตั้งแต่วันแรกที่สูญเสียผู้มอบชีวิตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่อย่างน้อยก็ยังนึกขอบคุณพระเจ้าที่คุ้มครองหลักยึดเหนี่ยวสุดท้ายของเขาเอาไว้ตรงนี้ หากวันใดวันหนึ่งเขาจะต้องสูญเสียแอนดี้ไปอีก...การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากตายทั้งเป็น
หัวสมองไม่เคยว่างเปล่า ไม่มีเลยแม้แต่วินาทีเดียวที่เรื่องของเด็กคนนี้จะถูกลบออกไปจากความคิด ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ลูกชายของเขาก็จะฉายชัดเข้ามาในหัวอยู่เสมอ ต่อให้จะเคยมีความรักมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยรับรู้เลยว่าความจริงแล้วความรักคืออะไร เป็นแบบนี้มาจนกระทั่งวันที่ได้เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเป็นครั้งแรก... คนเดียวในชีวิตที่เขายอมดิ้นรนทำทุกอย่างให้โดยไม่มีข้อแม้ ใครจะบอกว่าการส่งลูกเรียนโรงเรียนเอกชนที่ค่าเทอมแพงหูดับเป็นการใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุแต่ลู่หานก็ไม่ฟังใคร หากปล่อยให้ลูกของตัวเองอยู่ในสังคมต่ำๆก็คงต้องวนเวียนมาเจอกับคนประเภทเดียวกันกับแบบที่เขาเจออยู่ดี แม้จะไม่ใช่คนที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่างแต่การมอบชีวิตดีๆให้ลูกทั้งคน ต่อให้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ยอมทั้งนั้น
แต่คงไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไปแล้ว...
ขอบตาร้อนผ่าว ของเหลวร้อนรื้นขังอยู่เต็มกรอบ ลู่หานเม้มปากแน่นก่อนจะหลับตาลงช้าๆเพื่อปล่อยให้น้ำตาไหลล้างความทุกข์ทรมานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เขากักเสียงสะอื้นท้วงอยู่ในหัวใจของตัวเองแล้วปล่อยให้ความเจ็บปวดกัดกินเข้ามาทีละน้อย บอกกับตัวเองอีกครั้งว่าถึงอย่างไรเขาก็จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ ยากเย็นแค่ไหนเขาก็ต้องผ่านมันไปให้ได้
ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ที่จะถูกทำให้พลัดพราก อาจจะเป็นเดือนหน้า สัปดาห์หน้า อีกไม่กี่วันข้างหน้าหรือวันพรุ่งนี้ ไม่แน่ก็อาจจะเป็นคืนนี้...เขาแทบไม่อยากจะข่มตาหลับเพราะกลัวว่ามันจะเป็นวินาทีสุดท้ายที่ได้มองหน้าลูกชายอันเป็นที่รักก่อนจะต้องจากกันไปตลอดกาล
ถ้าเขาตายไปสักคนแล้วแอนดี้จะอยู่อย่างไร?
“แอนดี้” เสียงทุ้มสั่นเครือ เขาสูดจมูกฟืดแล้วโน้มหน้าลงจูบกระหม่อมของลูกชายตัวน้อยอย่างแผ่วเบา “ถ้าไม่มีปะป๊า...ต้องอยู่ให้ได้นะรู้ไหม?”
ใครจะเชื่อว่าผู้ชายอย่างลู่หานจะมีมุมนี้อยู่ในตัว ภายใต้กรอบกายหยาบกระด้างมักจะซ่อนแก้วอารมณ์อันเปราะบางเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะใครหน้าไหนก็คงไม่อาจหลุดพ้นจากความอ่อนแอของตนเอง
เป็นค่ำคืนที่ยาวนานและทรมานเจียนขาดใจ ความมืดมิดจุดให้เกิดแสงไฟสว่างขึ้นตรงตราบาปที่เขากระทำไปกว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมา ศัตรูของความเงียบที่เผชิญอยู่ตอนนี้คือได้ยินเสียงของความหวาดกลัวดังรื้นขึ้นมาเต็มสองหู สายลมหวีดหวิวเป็นท่วงทำนองเดียวกันกับเขาที่กำลังร่ำร้องขอความเมตตาจากพระเจ้าอยู่ในใจ ทุกเรื่องเลวร้ายเรียงต่อกันเป็นภาพสะท้อนของความทรงจำที่ถูกจุอยู่เต็มหัวสมอง...เขาเลือกเดินทางผิดอย่างไม่น่าให้อภัย
ไม่ยอมให้อะไรตกถึงท้องมาตลอดทั้งวันเพราะไม่อยากออกไปประจันหน้ากับผู้ชายคนเดียวที่เหยียบขยี้ความเป็นคนของเขาอย่างไร้มนุษยธรรม ของเหลวจากความเจ็บปวดไม่กลั่นออกมาสักหยดเพราะรู้ว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรก็ในเมื่อตอนนั้นอ้อนวอนร้องขอสักเท่าไหร่ลู่หานก็ไม่คิดเหยียดหางตามาสนใจเสียงสะอื้นเขาเลยแม้แต่น้อย ต่อให้จวบจนมาถึงโอกาสสุดท้ายที่เขาคิดจะให้อภัย อีกฝ่ายก็ยังคงห้ำหั่นน้ำใจของเขาเสียจนมันขาดสะบั้นและกลับกลายมาเป็นความรู้สึกคับแค้นที่เขาแสนจะเกลียดชังมันเหลือเกิน
มินซอกยังคงจดจำสัมผัสอันน่ารังเกียจที่ตนเองถูกยัดเยียดให้ได้มาจนถึงตอนนี้ กัดฟันชำระล้างร่างกายอยู่หลายครั้งรวมถึงตอนนี้แต่กลิ่นคาวราคีก็ยังอบอวลชวนให้รู้สึกคลื่นเหียน รอยต่างๆนอกเหนือจากการโดนทุบตีถูกข่วนทับจนขึ้นรอยเล็บเพราะไม่อาจทนเห็นร่างกายของตนเองมีตำหนิอันน่าขยะแขยงอีกต่อไปได้
ร่างเล็กพิงเข้าหาผนังปูน ไถลตัวลงมานั่งอยู่บนพื้นกระเบื้องเย็นแล้วปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลผ่านหัว เขากอดแขนตัวเองเอาไว้แน่นพลางหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน อุณหภูมิร่างกายที่ร้อนจัดดูเหมือนว่าจะยังไม่ลดลงเลยแม้แต่องศาเดียว...บาดแผลฉีกขาดนั่นก็ด้วย
แผ่นมือบางถูไปทั่วใบหน้าแล้วจบลงด้วยการทึ้งผมตัวเองแรงๆ มินซอกเม้มปากแน่นพลางถอนหายใจหลายครั้งติดต่อกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกลียดชังคนที่ย่ำยีเขาหรือเพราะขยาดตัวเองกันแน่จึงทำให้ต้องดิ่งลงสู่ความรู้สึกแบบนี้
คนตัวเล็กลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวเข้าไปในถังน้ำขนาดใหญ่ที่จุน้ำสะอาดล้นจนปริ่มขอบ ร่างกายที่ผอมบางเป็นทุนอยู่แล้วไม่ทำให้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เขาจะลงไปขดตัวอยู่ในนั้นได้อย่างง่ายดาย น้ำที่ล้นออกมาถูกแทนที่ด้วยน้ำหนักตัวของคนที่นั่งอยู่ในนั้น มินซอกอมลมเข้าไปในแก้มก่อนจะมุดหัวลงไปจมดิ่งอยู่ใต้น้ำ
ความเงียบโรยตัวอย่างใจหวัง หัวสมองที่จมปลักอยู่กับความเจ็บช้ำกลับมีเลขจำนวนนับผุดเข้ามาแทนที่ ถึงใครจะมองว่าบ้าบอยังไงแต่ในเวลานี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการนับเลขอยู่ในใจว่าเขาปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในน้ำมาเป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว ฟองอากาศปล่อยออกมาจากจมูกทีละน้อย ลืมตาขึ้นก็พบเจอแต่ความมืดมิด...มันคงจะดีหากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้กลับกลายมาเป็นเรื่องจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องมองเห็นและไม่ต้องได้ยินเสียงใคร ติดอยู่ภายในพื้นที่แคบๆของตัวเองที่จะไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาทำร้ายได้อีก
แสงแดดโรยตัวลงมายังพื้นดิน ลำแสงสีทองอ่อนๆลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จงอินขยับตัวไปมาอยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายก็ต้องลุกออกจากฟูกเพราะไม่เคยชินที่จะต้องนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนของคนอื่น
กิจวัตรยามเช้าเสร็จภายในไม่ถึงห้านาที เขาขยี้ผมที่เปียกชุ่มของตัวเองแล้วเดินกลับมาที่ห้องเดิมเพื่อยื่นหน้าออกไปรับลมทางบ้านหน้าต่าง ทันเห็นเด็กผีแอนดี้เดินขึ้นรถไปพร้อมกับหมออี้ฟานก่อนที่เครื่องยนต์จะขับเคลื่อนออกไปอย่างเชื่องช้า
วันที่สองแล้วที่จงอินไม่เห็นมินซอกเดินส่งหลานไปโรงเรียนอย่างที่ควรจะเป็น กลับกันที่วันนี้เป็นลู่หานทั้งที่ปกติแล้วพี่ชายของเขาก็ไม่เคยตื่นขึ้นมากินข้าวเช้ากับลูกทันสักมื้อ เขายิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับผู้ครองแท่นคุณพ่อดีเด่นแต่รอยยิ้มนั้นกลับคลายลงในทันทีเมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างมากของลู่หานเดินคอตกกลับมา
จงอินล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นควันสีเทาหม่นก็ถูกพ่นออกไปนอกหน้าต่าง สถานการณ์ที่บ้านตอนนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก จากตอนแรกที่มีแต่แบคฮยอนที่น่าเป็นห่วงและลู่หานที่กำลังตกอยู่ในเป้าสายตาของตำรวจ วันนี้กลับมีมินซอกที่แปลกออกไปเพิ่มขึ้นมาอีกคน
เขาเป็นคนที่เข้าใจความอารมณ์ร้ายและนิสัยวู่วามของลู่หานมากกว่าคนอื่น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนนั้นนับว่าน่าแปลกใจอยู่พอตัวเพราะลู่หานไม่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อนต่อให้มันจะสันดานเลวขนาดไหน แต่ด้วยความที่เป็นลู่หานทำให้จงอินเข้าใจว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องทำกันขนาดนี้แม้ว่าจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องอยู่ดี
การเข้าข้างคนอื่นนอกจากลู่หานเป็นสิ่งสุดท้ายที่จงอินจะทำ แต่ในเมื่อไม่ได้อยู่ในกรอบของความถูกต้องมันก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้พี่ชายต่างสายเลือดจัดการอะไรบ้างไม่ใช่แค่เพียงหายใจทิ้งไปวันๆ จะอย่างไรมินซอกก็เป็นเพียงแค่คนที่เพิ่งเคยเจอ ยิ่งถ้าลองได้เกลียดลู่หานเข้าไส้ด้วยแล้วหากรอดจากสายตาของพวกเราออกไปเมื่อไหร่ก็ย่อมมีโอกาสไปเป็นเบาะแสชั้นดีให้แก่ตำรวจได้เมื่อนั้น แน่นอนว่าความซวยที่ว่านั่นคงไม่เกิดขึ้นกับลู่หานแค่เพียงคนเดียว แต่รวมไปถึงเขาและพ่อ...และแม้กระทั่งเด็กไม่รู้เดียงสาอย่างแอนดี้ที่ต้องได้รับผลกรรมอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เมื่อคืนได้ฟังข่าวป่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง จงอินหันกลับไปเล็กน้อยก็พบกว่าเจ้าของใบหน้าเหนื่อยอ่อนนั่นกำลังถอดเสื้อยืดแล้วโยนเข้าตะกร้าอย่างไม่แยแส
“ไม่นะ” พอพูดจบเด็กหนุ่มก็พ่นควันออกมาทางจมูกและปาก ใบหน้าตึงเครียดของลู่หานทำให้เขาต้องกลอกตามองตามทุกการเคลื่อนไหว ในที่สุดก็ตัดสินใจถามต่อเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา “ว่าไงวะ?”
“ตำรวจได้เบาะแสแล้ว” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่ง สีหน้าของลู่หานลดลงอย่างสังเกตเห็นได้ จงอินเสยผมตึงก่อนจะหันมาอัดบุหรี่ในมือเข้ามาสุดปอด
“คราวที่แล้วข่าวมันก็พูดแบบนี้” เด็กหนุ่มถอนหายใจเอื่อย “แล้วสุดท้ายเป็นไง? พวกแม่งก็คิดว่ามึงหนีไปจีนไม่ใช่เหรอ?”
“มันบอกว่าอยู่แถบโซล” บุหรี่ที่อยู่ในมือก็หล่นลงไปทางบานหน้าต่างทันทีที่สิ้นประโยคใบหน้าคมขาวแหงนมองเขาเล็กน้อยราวกับต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง
เพราะไม่ใช่เทพเจ้าจึงไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่แต่ตอนนี้แววตาของลู่หานเต็มไปด้วยความกังวล เขาเสยผมตึงแล้วเม้มปากแน่น ถ้ารู้ความเคลื่อนไหวกันขนาดนี้คงจะหลบอยู่ได้แค่ไม่กี่วันแล้วเจอแจ็คพ็อตแน่
“แล้วสองคนนั้นอ่ะ?”
“จับตายไปแล้วหนึ่ง”
“...”
“มันแหกคุก”
“ใคร”
“เซฮุน” จงอินผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยังดีที่เป็นไอ้เหี้ยนั่น...ถ้าเป็นชานยอลขึ้นมาบ้านนี้คงจะตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของดราม่าแหง
“งั้นอีกไม่กี่วันชานยอลก็คง...”
“เซฮุนรอด”
สีหน้าของจงอินเปลี่ยนไปในทันที นัยน์ตาชื้นแฉะของลู่หานกลอกตาขึ้นมองเพดานพร้อมกับขาข้างหนึ่งที่กระดิกไม่หยุด จงอินกำมือแน่นเพื่อตอกย้ำว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝัน ลู่หานหลุบตาลงมองมาที่เขาอีกครั้ง...
แน่นอนว่าเซฮุนทรยศ
“ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
เด็กหนุ่มกระซิบลอดไรฟัน ดวงตาสีเข้มแดงก่ำอย่างเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ลู่หานไม่มีคำตอบอะไรที่ดีไปกว่าคำว่าไม่รู้ หมัดลุ่นๆชกลงบนผนังจนเต็มแรงจนรอยเลือดจากข้อนิ้วเปื้อนติดปูน จงอินหอบหายใจอย่างหนักแล้วปล่อยให้ความอาฆาตครอบงำจิตใจ
ถึงจะไม่ชอบหน้าเซฮุนขนาดไหนก็ไม่เคยผูกใจเจ็บกับใครอย่างไร้เหตุผล ทุกครั้งที่ได้ยินใครเรียกชื่อโอเซฮุนเข้ามาในหูก็รู้สึกราวกับถูกเข็มเป็นพันเล่มทิ่มแทงเข้ามาที่กลางอก ความรู้สึกมากมายโถมล้นจนไม่อาจหลีกหนีต่อความผิดบาปที่ตนเองก็มีส่วนร่วมกระทำให้เกิดความสูญเสีย
แต่มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นเลยหากไม่มีคนที่ชื่อโอเซฮุนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้
มันเริ่มต้นขึ้นในวันที่เสียงกรีดร้องของซูจองแว่วดังเข้ามาในหู
เขากำลังจะเสร็จสิ้นกิจวัตรยามเช้าด้วยการอัดนิโคตินเข้าปอด กว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่เขาทอดมอง ‘คนนอก’ เข้ามาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้านของตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย แม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่ท่าทางหยิ่งยโสของอีกฝ่ายก็ทำให้ต้องรู้สึกอยากจะรกสายตาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จะตัดรำคาญโดยการตะเพิดไล่ด้วยคำพูดหมาๆให้มันกลับบ้านกลับช่องของตัวเองไปเหมือนทุกครั้งแต่ก็เซอุนก็ยังยกข้ออ้างว่า ‘ลู่หานสั่งให้มา’
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าธุระส้นตีนนี่มันจะสำคัญอะไรนักหนาถึงทำให้กลับบ้านมาจัดการด้วยตัวเองเองไม่ได้ ร่างหนายืนพิงขอบประตูแล้วพ่นควันออกไปด้านนอกอีกครั้ง เล่นสั่งมันมาแบบนี้แล้วเขาจะไปมีสิทธิ์พูดอะไรได้แต่ถึงอย่างไรการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่ในสายตาของเขาเสมอ
“เสร็จยัง? เสร็จแล้วก็กลับๆไปสักทีดิวะ” จงอินพูดเสียงเรียบ คนที่ไม่ชอบหน้ากันเป็นทุนอยู่แล้วจะมีอะไรให้พูดคุยกันมากมาย โดยเฉพาะกับที่อีกคนเป็นโอเซฮุนด้วยแล้วยิ่งหมดเรื่องจะเจรจาเข้าไปใหญ่
“ยุ่ง” อีกฝ่ายตอบกลับมาทั้งที่ยังก้มๆเงยๆอยู่กับรีโมตและโทรทัศน์ที่ลู่หานเพิ่งซื้อเข้ามาใหม่ มีหลายครั้งที่ลุกขึ้นไปปรับสายไฟด้านหลังแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรดีขึ้นมา
“ทำไม่เป็นก็กองไว้ตรงนั้นแหละ กลับไปได้ละ”
“...” เงียบ มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เป็นคำตอบ เซฮุนไม่ลดความพยายามกับสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้า หนำซ้ำยังทำหูทวนลมกับคำพูดของเขา
“กูบอกให้กลับไปได้แล้ว หูหนวกหรือไงวะ” โพล่งออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะปาก้นบุหรี่ในมือทิ้งไป ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆของอีกฝ่ายพรอดไล่หลังมาก็ยิ่งทำให้หงุดหงิดจนอยากจะเข้าไปชกหน้าแม่งซะให้สิ้นเรื่อง
“กลับไปแล้วจะรอให้พ่อมึงมาทำให้เหรอ?” ไอ้ตุ๊ดหัวโปกพูดขึ้นมาเสียงเรียบ เวลาอยู่กับคนอื่นก็เห็นมันพูดจาเรียบร้อยดีแต่พออยู่กับเขาทีไรมันก็ชอบทำท่าทางยโสโอหังแบบนี้เสมอ แต่ถามว่าใครแคร์ไหม? ก็ไม่ อย่าหวังว่าชาตินี้จะได้ยืนร่วมแผ่นดินเดียวกันได้เลย
“กองไว้ตรงนั้นอ่ะ กูมีปัญญาทำแล้วกัน”
“มึงจูนสัญญาณทีวีเป็นด้วยดิ?”
“จูนหน้ามึงมาที่ส้นตีนกูก่อนป่ะสัด เสียบปลั๊กก็ดูได้ละ เรื่องมากทำเหี้ยไร”
“ควายเอ๊ย” เซฮุนสบถออกมาแล้วเงยหน้าหัวเราะเยาะ “ทีวีบ้านพ่อมึงป่ะที่เสียบปลั๊กแล้วดูได้อ่ะ โง่แล้วอย่ามาอวดฉลาดหน่อยเลย”
จุดนี้ยอมรับว่าหน้าชาระดับสิบ เป็นเด็กส่งเอกสารมาก่อนนะไอ้สัดไม่ใช่ช่างไฟฟ้าถึงจะได้สาระแนรู้ไปหมดทุกเรื่องเหมือนมึง จงอินดันลิ้นเข้าที่กระพุ้งแก้มแล้วขมวดคิ้วมองร่างเพรียวที่ก้มหน้าก้มตาจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่นานเท่าไหร่เสียงรายการโทรทัศน์ยามเช้าก็ดังขึ้นมาพร้อมกับฉายภาพพ่อครัวสองคนยืนสอนทำอาหารอยู่หน้าเตาก่อนที่จอแสดงผลจะดับลงไป
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” ร่างเพรียวปัดมือของตัวเองไปมาแล้วลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวมองดูผลงานของตัวเอง “หน้าอย่างมึงอ่ะทำได้ป่ะ?” เย้ยหยันไม่พอยังมีหน้ามายักคิ้วใส่อีกสองครั้ง จงอินสูดลมหายใจเข้ามาในอก เย็นไว้เย็นไว้...จะอัดหน้ามันให้เละตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังนึกเสียดายมือเปล่าๆ
“ทำไม่ได้แล้วเสือกไรกับกูอ่ะ?”
“อ่อนว่ะ” เซฮุนยักไหล่ให้ทีนึงก่อนจะโรยตัวลงบนโซฟาตัวยาว ไม่ปฏิเสธเลยว่ากูภาวนาให้โซฟาแม่งหักโค่นลงไปในพริบตาแล้วขอให้มึงตายห่าอย่างน่าสยดสยอง
“นี่บ้านใคร? มารยาทอ่ะมีไหม? ถ้าไม่มีก็กลับไปให้แม่มึงต้มหนังสือสมบัติผู้ดีมาให้แดกได้ละ”
“นี่กูเหลืออะไรต้องทำอีกเหรอ?” ใบหน้าขาวเอียงคอมองพลางกลอกตาอย่างครุ่นคิด “อยากจะปั้นวันปั้นควายอยู่หรอกนะแต่บังเอิญว่าแม่งเสือกยืนสองขาอยู่นี่ตัวนึง”
“เพ้อไร นี่มึงพูดภาษาคนอยู่ป่ะ?”
“ก็ภาษาคนอ่ะดิ จะให้กูพูดภาษาควายเหมือนมึงป่ะล่ะ?”
“โอ้โหนี่มึง...”
“โดนหลอกด่าไปทีนึงถึงกับอึ้งไปเลยครับ” เซฮุนกระดิกตีนผิวปากอย่างสบายใจ ไม่มีอะไรทำให้รู้สึกปลอดโปร่งได้เท่ากับการกวนส้นตีนคนที่เกลียดขี้หน้าตัวเองอีกแล้ว ยิ่งเห็นว่าจงอินร้อนรนเท่าไหร่ก็ทำให้ยิ่งรู้สึกสะใจมากเท่านั้น
“ถ้ามึงยังไม่กลับไปล่ะก็นะ...” ยังไม่ทันขาดคำ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินตรงมาทางเขา
“ไม่มีแบงค์ย่อยอ่ะ มีให้แลกเป็นค่ารถป่ะ?”
“ไม่มี”
“อื้อหือ...กลิ่นตัวมึงนี่สุดทน” ร่างเพรียวแกล้งเอามือปิดจมูกแล้วทำหน้าเหม็นเขียวสุดฤทธิ์ พอเห็นว่าจงอินตั้งท่าจะง้างหมัดมาพุ่งใส่หน้าก็เลยยกมือขึ้นมาปัดคอเสื้อให้สองสามที “ใจเย็นนะพี่ ไม่ได้อยากจะดูถูกสบู่ก้อนตลาดนัดของพี่หรอกนะแต่ที่พูดไปอ่ะ...”
“...”
“กูเหม็นสาบคนจนว่ะ”
จัดว่าพีค
ที่กูบอกว่า ‘ไม่มี’ ไม่ได้หมายความว่าจนป่ะวะ แค่ไม่มีเงินให้ไอ้หน้าอย่างมึงมาไถไปฟรีๆก็เท่านั้นแหละ
“มึงรีบออกไปเลยนะก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นศพ” จงอินพูดลอดไรฟันด้วยความเดือดดาลและรู้สึกได้ว่ากำลังจะประสาทแดกภายในไม่กี่วินาที หากเป็นคนอื่นเขาคงจะหามุขกวนตีนตอกกลับไปได้ไม่ยาก แต่พอเป็นไอ้เหี้ยนี่ทีไรก็รู้สึกเหมือนว่าระดับความอดทนของตัวเองน้อยกว่าคนทั่วไปและพร้อมจะระเบิดกำลังใส่ได้ไม่ยั้ง
“ไม่ต้องผายมือเชิญนะครับ แล้วก็ไม่ต้องแสดงน้ำใจออกไปเปิดรั้วให้ด้วย...กลับไปนอนซะนะครับ หลับให้สบาย” ร่างหนากัดฟันแน่น เขาถอนหายใจออกมาแล้วสบตานิ่ง ถ้าทนฟังมันพูดอีกสักประโยคคงอดไม่รนทนไม่ไหวต้องได้แลกหมัดกับมันสักครั้งให้สมใจหวังแน่
“อย่าให้เห็นว่าหยิบอะไรในบ้านกูไปนะ”
คำพูดของจงอินนับเป็นจุดปิดของการสนทนา หลายครั้งที่เซฮุนเข้ามาในบ้านแล้วจะต้องหยิบอะไรติดไม้ติดมือกลับไปด้วยตามสันดานโจร ถ้าเป็นของที่ไม่มีค่าอะไรมากพอมันใช้จนเบื่อเมื่อไหร่แล้วก็เอากลับมาคืนบ้างก็มี แต่หากสิ่งที่มันหยิบไปเกิดเป็นเงินขึ้นมาก็อย่าหวังเลยว่าชาตินี้จะได้คืน อีกอย่างเขาก็คงไม่เสียเวลาไปยืนทวงให้เสียน้ำลาย เก็บไว้ถ่มใส่ขี้บุหรี่ยังรู้สึกว่ามีประโยชน์มากกว่าเสวนากับคนอย่างมัน
ความไม่ชอบขี้หน้ามันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เจอกันและคงไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวในโลกที่จะเกิดอาการแบบนี้ ลู่หานเตือนอยู่หลายครั้งว่ากับบางคนก็ต้องใช้เวลาศึกษาถึงจะรู้ว่านิสัยใจคอของใครเป็นอย่างไรแน่ ส่วนอี้ฟานก็ยืนยันความคิดแบบนั้น... แต่บางทีสองคนนั้นก็ไม่เข้าใจเขาเอาเสียเลย คนสองคนที่เหม็นขี้หน้ากันแล้วไม่มีปัญญามาจูนกันให้ติดได้ ต่อให้จะพยายามให้ตายจนควายออกลูกเป็นหมาก็ยังต้องเกลียดขี้หน้ากันอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ
เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความหงุดหงิด ไม่ได้นั่งทับที่ไอ้คนเมื่อกี้เพราะเกรงว่าเสนียดจะแยงตูด ถอนหายใจอยู่หลายครั้งเพราะนึกเสียดาย มีโอกาสอยู่หลายทีแบบนี้เขาน่าจะอัดกำปั้นยัดใส่ปากมันจนเยินไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ไม่งั้นคงไม่มานั่งหัวเสียคนเดียวอยู่แบบนี้แน่
เพล้ง!
หูกระดิกเพราะเสียงที่ดังมาจากข้างบน เขามองไปตรงทางขึ้นบันไดอยู่สักพักแต่ก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจ ยัยสาวแม่ลูกอ่อนนั่นคงจะนั่งทำงานฝีมือแล้วมือพลาดไปโดนอะไรหล่นลงมาแตกอีกตามเคย
ตุบ! เพล้ง!
ดังขึ้นมาซ้ำสองทำให้จงอินต้องลุกขึ้นยืนไม่ติดที่ ปกติถ้าทำอะไรแตกสักอย่างซูจองคงต้องรีบทำความสะอาดทันที ไวกว่าความคิด...เด็กหนุ่มรีบทะยานตัวออกจากตรงนั้นแล้ววิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“ซูจอง เป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาเคาะประตูอยู่สองสามครั้งแล้วถามซ้ำแบบเดิม ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมานอกจากเสียงสะอื้นอย่างหนักของหญิงสาวที่อยู่ด้านใน
“ซูจอง พี่ร้องไห้เหรอ?” มือหนาจับลูกบิดประตูแล้วหมุนซ้ายขวาแต่ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างสักเท่าไหร่
“เปิดประตูให้ผมหน่อย” เสียงสะอื้นค่อยๆเงียบลงไปจนสังเกตได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าซูจองอาจจะสงบอารมณ์ตัวเองได้แล้ว แต่ความจริงก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้คิดมากเลยด้วยซ้ำนี่...? ในเมื่อลู่หานที่เป็นสามีของเธอก็เอ็นดูทะนุถนอมมาเสมอ เว้นเสียแต่...
“ซูจอง!”
ปึง! ปึง! ปึง!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ พี่ทำบ้าอะไรอยู่ข้างในวะ?! เปิดประตูให้ผมเดี๋ยวนี้” พอนึกขึ้นได้ถึงกับยืนไม่ติดที่ จงอินทุบประตูพลางร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย เขาหอบหายใจอย่างหนักแต่ก็ไม่ละความพยายามของตัวเองลงเลยแม้แต่นิดเดียว
“ซูจอง! ซูจอง! เปิดประตูดิวะ!”
เมื่อเห็นว่าการยืนเรียกปากเปล่าแบบนี้คงไม่ได้ผล เขาจึงกระแทกสีข้างของตัวเองอัดใส่บานประตูอย่างแรง แต่ผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวไม่ได้ใหญ่หนักหนาจะมีความสามารถพังประตูไม้ขนาดใหญ่เข้าไปได้อย่างไร ความปวดร้าวแทรกเข้ามาถึงขั้วกระดูกแต่จงอินก็ยังทำแบบนั้นซ้ำอีกหลายครั้ง เขายืนหอบจนตัวโยนแล้วกลับมาทุบประตูบ้านนั้น ลองเอาหูแนบฟังก็พบว่าด้านในเริ่มมีเสียงสะอื่นแผ่วแว่วออกมา
“ซูจอง...ใจเย็นๆนะ ผมกำลังจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
ปึง!
ประตูเปิดออกได้สำเร็จทันทีที่เขาถีบเข้าไปสุดแรง เขาเสียหลักล้มลงบนพื้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะลืมตาขึ้นมองไปตรงหน้า ข้าวของที่เคยวางอยู่บนหัวเตียงกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง แก้วน้ำที่แตกละเอียดบาดเข้ามาที่มือและแขนของเขาจนเป็นแผลเหวอะหวะ
“จงอิน...”
น้ำเสียงแผ่วหวานเรียกชื่อของเขาอย่างไร้น้ำหนัก ลมหายใจแทบจะหยุดลงไปในทันทีที่หันกลับไปมองเจ้าของเสียง เขากลืนน้ำลายหนืดลงคอก่อนจะเม้มปากกลั้นน้ำตาเอาไว้
ใบหน้าของซูจองซีดขาวไร้เลือดฝาด ริมฝีปากแห้งผากอ้าพะงาบเพราะต้องการพูดอะไรออกมาสักอย่าง เขาส่ายหน้าไปมาเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตนเองคิดไว้ตั้งแต่แรกกลับกลายมาเป็นความจริงอยู่ตรงหน้า คราบเลือดที่แผ่เป็นวงขนาดใหญ่ไหลออกมาจากร่างกายท่อนล่างของซูจองไม่หยุดหย่อน
“พี่ ไม่เป็นไร...ทำใจดีๆไว้” เขาคว้ามือเย็นเฉียบของหญิงสาวเข้ามากุมเอาไว้หลวมๆ ซูจองพยักหน้ากลับมาช้าๆพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“รอนะ รออยู่นี่ ห้ามเป็นอะไรนะ” น้ำเสียงทุ้มพูดออกมาอย่างสั่นเครือ ร่างบางพยักหน้าให้อีกครั้งแต่เขากลับไม่รู้สึกเชื่อมั่นเลยสักนิด “นึกถึงแอนดี้กับลู่หานเข้าไว้ หายใจไว้นะพี่”
“ฝาก...ฝากบอกลู่หาน...”
“หยุด ไม่มีการสั่งเสียอะไรทั้งนั้น” เขาพูดตัดบทพร้อมกับปล่อยมือออกจากอีกฝ่ายในทันที ขายาวเร่งก้าวออกไปจนถึงหน้าประตูทั้งที่หัวสมองว่างเปล่าไปหมด
มีเพียงความเงียบครอบงำเคล้ากับคำพูดของซูจองที่ดังก้องอยู่ในหู ร่างหนาซอยเท้าลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็ว... จะทำอย่างไรดี? เขาจะช่วยซูจองได้อย่างไร? มีเพียงคำถามพวกนี้ดังเข้ามาแทรกกับจังหวะเท้าที่วิ่งต่อไปไม่หยุด
เด็กหนุ่มกดออดแล้วร้องตะโกนเรียกเพื่อนบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ ประวัติความเป็นอาชญากรของครอบครัวเขาทำให้ทุกคนต่างแสดงความมีน้ำใจด้วยการปิดประตูและหน้าต่างใส่ด้วยความยินดี จงอินกักลมสะอื้นเข้ามาในปอดพร้อมกับความรู้สึกราวกับหนทางข้างหน้ามืดบอด สุดท้ายเขาก็ต้องวิ่งกลับเข้ามาในบ้านหลังเก่าของตัวเองแล้วทรุดตัวลงตรงหน้าโซฟา
“อยู่ไหนวะ”
มือใหญ่ควานหาโทรศัพท์มือถือของตนเองที่เคยวางไว้ตรงที่ที่เซฮุนเคยนั่ง อี้ฟานเป็นที่พักพิงต่อไปที่เขาเลือกจะขอความช่วยเหลือ ถึงระยะทางจากคลีนิกจะไกลขนาดไหนแต่เชื่อว่าอี้ฟานสามารถเหยียบคันเร่งมาตามเสียงร้องทุกข์ของเขาได้ทันเวลาแน่
“ไอ้เหี้ย อยู่ไหนวะ”
เขาก้มลงสอดส่ายสายตาไปบนพื้นแต่ก็ไม่พบ แขนทั้งสองข้างพยายามเร่งมือควานหามันครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เหมือนว่าพระเจ้ายังไม่เห็นใจเขาเลยสักนิด จงอินปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไร้เสียงสะอื้น หัวใจเต้นอย่างแรงราวกับมีคนจุดระเบิดเวลาเอาไว้ในหัว
โทรศัพท์ถูกขโมยไปแน่
แต่ไม่ทันแล้ว!
คิดได้แค่นั้นเขาก็ต้องวิ่งข้ามขั้นบันไดขึ้นไปถึงชั้นบนอีกครั้ง หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวนอนจมกองเลือดที่ยังไหลออกมาจนทำให้ผิวกายซีดเซียวไปทั่วทั้งร่าง เขาช้อนตัวซูจองขึ้นมาแนบอก ลมหายใจแผ่วที่รินรดอยู่บนปกเสื้อยิ่งเป็นสัญญาณว่าเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแม้เพียงก้าวเดียว
“พี่...หายใจไว้นะ อย่าหลับนะพี่” จงอินเขย่าตัวหญิงสาวในอ้อมแขนของตัวเองแรงๆ ดวงตาคู่สวยค่อยๆหรี่ปิดลงช้าๆ ริมฝีปากซีดกร้านขยับเล็กน้อยหากแต่ไม่มีมวลเสียงใดๆเล็ดรอดออกมา
“อุแว้!”
เสียงร้องไห้ของแอนดี้ที่นอนอยู่ในเปลดังขึ้นจนทำให้เขาต้องเหลียวหลัง...
น้ำตาของซูจองไหลออกมาเป็นสายพร้อมกับที่จงอินได้ยินเสียงสะอื้นสุดท้ายในชีวิตของผู้หญิงคนนี้
เมื่อหันกลับมามองอีกครั้ง...
มือบางอันไร้เรี่ยวแรงก็หลุดออกจากชายเสื้อของเขาไปเสียแล้ว
เปลวเพลิงขนาดใหญ่ประกายขึ้นในคู่ตาอันแข็งกร้าว ร่างหนายังคงยืนกำหมัดแน่นถึงแม้จะได้ยินลู่หานพูดเป็นครั้งที่ร้อยว่าให้สงบอารมณ์ลงก่อน ความทรงจำในวันที่พวกเราสูญเสียซูจองซึ่งเป็นเหมือนหลักยึดเหนี่ยวของลู่หานยังคงไหลเวียนเข้ามาในหัว ถึงแม้ว่าใครจะบอกว่าความผิดทั้งหมดไม่ได้ตกอยู่ที่เซฮุนก็ตาม...
แล้วเรื่องของแบคฮยอนล่ะ?
ขอโทษทีที่ไม่ใช่คนลืมง่ายเหมือนชานยอลและไม่สามารถวางเฉยกับปัญหาที่ไม่ใช่ของตัวเองได้เหมือนลู่หานจึงไม่สามารถลืมได้เลยว่าเซฮุนก็เป็นตัวการที่ทำให้แบคฮยอนเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้
ชีวิตต้องเผชิญกับความยากลำบากอีกครั้งเมื่อบ้านเช่าหลังใหม่กลับกลายมาเป็นที่ซ่อนตัวของเหยื่ออาชญากร เขาตัดขาดกับเซฮุนตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่ามันเลือกฆ่าคนรักของเพื่อนให้ตายแค่เพียงเพราะเสนอหน้าเข้ามารู้แหล่งซ่องสุมที่พวกเราทั้งหมดปิดเป็นความลับมาโดยตลอด แบคฮยอนสูญเสียการได้ยินและความทรงจำเกือบทั้งหมดไปในวันนั้น
ความสัมพันธ์ที่ชานยอลและลู่หานมีต่อจื่อเทากับเซฮุนก็ตีห่างออกมาเรื่อยๆ จากที่พวกมันเคยเพื่อนรักร่วมสาบานกลับกลายเป็นเพียงคนร่วมงานที่พร้อมจะหักหลังกันได้ทุกเมื่อ เขาไม่ได้เห็นหน้าเซฮุนอีกนับตั้งแต่วันที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ และนอกจากอี้ฟานแล้วก็ไม่มีใครหน้าไหนรู้ที่ซุกหัวนอนของพวกเราอีกเลย
หลายปีผ่านมานี้เขาได้ยินเพียงแค่ชื่อและเรื่องราวของเซฮุนจากปากของลู่หานและชานยอลเท่านั้น ส่วนความเคืองแค้นที่ยังล้นแน่นอยู่ในอกไม่อาจลดทอนลงได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเกลียดใครเข้ากระดูกแค่เพราะไม่ชอบขี้หน้า...นอกเสียจากว่าเรื่องที่มันทำเอาไว้จะไม่สร้างปัญหาในใจเขามากมายขนาดนี้
ลู่หานเดินออกมาจากห้องเพราะรู้ว่าเรื่องที่บอกไปสร้างความตกใจให้กับจงอินอยู่พอสมควร เป็นครั้งแรกที่เห็นด้วยกับจงอินว่าเซฮุนเป็นคนผิด ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้สมองจะมีเหตุผลต่างๆนานามาหักล้างความผิดให้กับเซฮุนในเรื่องเก่าๆเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ต่อไป
ก็ในเมื่อหนีออกมาด้วยกันแล้วมันจะต้องมีเหตุผลอะไรที่ทำให้รอดออกมาได้แค่เพียงคนเดียว? เซฮุนเห็นแก่ตัวมากพอๆกับคนอื่นถึงแม้ว่าเวลาที่อยู่ด้วยกันแล้วมันจะไม่ค่อยกล้ามีปากเสียงกับใครมากนัก เด็กนั่นสามารถทำทุกอย่างได้ขอแค่ให้ตัวเองรอด...ไม่เคยแปลกใจหรอกว่าทำไมถึงได้สนิทกับหวงจื่อเทามากกว่าใครเพื่อน
ที่ชานยอลถูกจับตายเป็นอีกเรื่องที่ทำให้รู้สึกสะเทือนอารมณ์มากที่สุดในเช้าวันนี้ แต่ถึงอย่างนั้นคนที่มองเห็นแต่ปัญหาของตัวเองอย่างลู่หานก็ไม่อาจหยุดคิดได้เลยว่าหนทางข้างหน้าควรจะเดินต่อไปทางไหน...แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมหนีออกไปแล้วทิ้งแอนดี้เอาไว้ที่นี่แน่
ร่างสูงหมุนลูกบิดประตูที่ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ของห้องฝั่งตรงข้าม กวาดสายตามองไปรอบๆก็ยังไม่เห็นแม้เพียงเงาของคิมมินซอกอย่างที่ควรจะเป็น เขาทิ้งตัวลงบนปลายเตียงแข็งแล้วหยิบบุหรี่มาคาบไว้ที่ปาก อัดสารพิษเข้ามาในปอดพลางกลอกตาไปทั่วห้อง ของที่วางอยู่หน้าตู้กระจกก็ไม่พ้นยาแก้ไข้และยาแก้อักเสบที่อี้ฟานวางทิ้งไว้ให้มินซอก สังเกตดูแล้วมันยังเหลืออยู่เต็มแผง...ก็แหงอยู่แล้ว มันไม่โผล่หน้าลงมากินข้าวกับคนอื่นเลยสักมื้อนับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น
ปึง
เสียงประตูที่ปิดลงทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นในทันที มองเห็นเพียงแต่แผ่นหลังเล็กหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่างผ่านม่านควันจางๆ มินซอกโหมไอจนตาแดงก่อนจะกระวีกระวาดเปิดหน้าต่างออกให้อากาศถ่ายเทเข้ามาบ้าง
ร่างสูงดับบุหรี่ทั้งที่ยังสูบไปไม่ถึงครึ่ง ความเชื่องช้าของมินซอกทำให้เขานึกรำคาญใจ ท่าทางการเดินแปลกๆและใบหน้าขาวง้ำงอที่เกิดขึ้นในทุกการเคลื่อนไหวเป็นเหมือนสัญญาณบอกว่าเขาควรจะทำอะไรสักอย่างนอกจากนั่งเฉยๆอยู่แบบนี้
“เดี๋ยวกูทำเอง”
ปลายนิ้วชี้แตะลงบนหัวไหล่เบาๆแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำให้คนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งโหยง ลู่หานเอื้อมมือเปิดหน้าต่างทีละบานโดยที่ยังไม่ละสายตาออกไปจากคนตรงหน้า
สีหน้าเรียบนิ่งของมินซอกเบือนหนีเมื่อรู้ว่ากำลังถูกจ้องมาอย่างจับสังเกต ยังไม่ทันจะก้าวออกไปจากตรงนั้นแขนของเขาก็ถูกดึงทับรอยเก่า แรงกระชากเพียงบางเบายังมอบความปวดระบมให้แก่เขาได้เป็นอย่างดี คนตัวเล็กเม้มปากแน่นก่อนจะสะบัดแขนแรงๆ แล้วมันก็เป็นเหมือนทุกๆครั้งที่แรงของเขาคงไม่มากพอที่จะสู้เรี่ยวแรงของคนที่ตัวใหญ่กว่าอย่างลู่หานได้
“ปล่อย” มินซอกพูดเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน สัมผัสได้ว่าอีกคนยังคงมองเขาไม่วางตาแล้วเขาก็ไม่ได้จะอยากรู้หรอกว่ามันเป็นสายตาที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกแบบไหน เพราะแบบนั้นเขาถึงได้สะบัดมือซ้ำเป็นครั้งที่สอง “บอกให้ปล่อย”
“แล้วทำไมต้องหนี” ลู่หานถามย้อน ใบหน้าเล็กกดต่ำลงพร้อมกับที่พยายามแกะมือเขาออกจากข้อมือของตนเอง
“ก็คุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว” ร่างเล็กกัดฟันกรอดทันทีที่พูดจบประโยค ยิ่งพยายามขัดขืนสักเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าแรงที่ลู่หานบีบรัดยิ่งกดแรงขึ้นมากเท่านั้น
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกสันดานขี้ประชดแบบนี้สักทีวะ?” ถึงจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงปกติแต่สีหน้าก็แสดงออกถึงความไม่พอใจอยู่เนืองๆ มินซอกถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าความพยายามของตนเองไม่เป็นผลก่อนจะเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายนิ่ง
“แล้วจะปฏิเสธไหมล่ะว่าคุณไม่ได้พูดกับผมแบบนี้”
“พูดแล้วไง?”
“เหอะ เชื่อเขาเลย” ร่างเล็กหัวเราะขึ้นจมูกอย่างเอือมระอา “ปล่อยเถอะ คุณไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องแค่นี้หรอก”
“ร้องไห้เหรอ?”
“...”
“เมื่อคืนร้องไห้เหรอ?” ร่างสูงขมวดคิ้วมองใบหน้าขาวเมื่อเห็นว่าคู่ตาเรียวเล็กบวมตึงเหมือนกับคนที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาทั้งคืน ลู่หานจึงวางมืออีกข้างหนึ่งลงบนหัวไหล่ของอีกฝ่ายในคราต่อมา... ถึงลึกๆจะรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีเฉยเมยของอีกคนมากแค่ไหนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าเขามักจะพ่ายแพ้ให้แก่คนเจ้าน้ำตาอยู่เสมอ
“อย่า” มินซอกเอี้ยวหลบในทันทีที่โดนแตะต้อง แค่ได้ยินเสียงลมหายใจก็รู้สึกสะอิดสะเอียนจะแย่ นับประสาอะไรกับสัมผัสในระยะประชิดแบบนี้
“ขนาดนี้แล้วมึงยังจะมาหวงอะไรอยู่อีก” อารมณ์ฉุนเฉียวของลู่หานแสดงออกอย่างชัดเจนจนทำให้มินซอกสังเกตเห็นได้ หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะสงบปากสงบคำแล้วพยายามอธิบายอะไรสักอย่าง... แต่ตอนนี้อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปแล้ว บางทีการเลือกที่จะยอมก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป
“หวงกับรังเกียจมันไม่เหมือนกันหรอกนะ ถ้าไม่ลำบากเกินไปก็กรุณาแยกแยะให้ออกด้วย”
“อย่าทำให้กูหมดความอดทนกับมึงนะ” ลู่หานเค้นเสียงลอดไรฟัน ใบหน้าคมสวยนั่นดูไม่พอใจเขาอย่างมากที่กล้าพูดออกมาแบบนั้น แววตาดุกร้าวของร่างสูงทำให้มินซอกหายใจไม่ทั่วท้อง คนตรงหน้าบรรเลงฝีก้าวเข้ามาใกล้จนเขาต้องก้าวถอยหลัง
ลู่หานต้อนเขาแบบนี้อีกแล้ว...
“กับอีแค่เสียตัวให้กูครั้งเดียวมันจะอะไรกันนักกันหนา”
ลู่หานพูดออกมาอย่างไม่นึกละอายในสิ่งที่ตนเองก่อ คำพูดนั้นกรีดแทงเข้าที่กลางหัวใจของคนตัวเล็กจนเจ้าของร่างแทบจะสิ้นแรง มินซอกชะงักฝีเท้าของตัวเองลงในทันทีแล้วปล่อยให้อีกคนย่ำใกล้เข้ามาเรื่อยๆ... แค่เสียตัวครั้งเดียวอย่างนั้นเหรอ? ลองมาเป็นเขาดูบ้างไหมล่ะ?
“คุณเคยเข้าใจความรู้สึกใครบ้างนอกจากตัวคุณเอง”
“...”
“ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระเจ้าถึงลงโทษคนอย่างคุณ”
ผลั่ก!
อีกครั้งที่ร่างเล็กถูกผลักออกอย่างแรงเข้าไปกระทบกับผนังปูนจนต้องรู้สึกเจ็บร้าวจากแผ่นหลังลามไปถึงมวลสะโพก มินซอกไล้ฝ่ามือลงบนข้อแขนที่ปวดหนึบหลังจากที่แรงบีบถูกคลายออก คู่เท้าของอีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้จนร่างกายของเขาถูกเคลือบทับด้วยเงาของลู่หาน มือหนากดบีบลงที่ปลายคางแหลมอย่างแรงทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง
“ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าปากดีให้มากนัก”
ดวงตาคมแข็งกร้าวราวสัตว์ร้าย เพียงอีกฝ่ายสะบัดข้อมือหนึ่งครั้งใบหน้าของเขาก็เอนเข้าไปติดผนังได้อย่างง่ายดาย
ภาพคืนนั้นเริ่มวนซ้ำเข้ามาในความนึกคิด คนตัวเล็กห่อไหล่กอดตัวเองเอาไว้แน่นเมื่อความหวาดกลัวคืบคลานเข้ามาจนแทบคลั่ง เสียงของแผ่นเนื้อกระทบกันเมื่อคราที่ลู่หานโถมกายใส่ช่องทางที่ฉีกขาดของเขาหลอนดังเข้ามาในหู มินซอกหลับตาลงพลางกลืนเสียงสะอื้นให้สวนกลับเข้าไปในลำคอก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหู
ออกไป...ออกไปเดี๋ยวนี้ เขาจะไม่คิดถึงมัน
ชายหนุ่มยืนมองกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของร่างเล็กด้วยความสับสน แก้วตาที่เคยดุดันผลัดแววไปสู่ทิศทางตรงกันข้ามภายในชั่ววินาที มินซอกไถลร่างลงมาตามผนังกว้างแล้วล้มนั่งลงไม่เป็นท่า ร่างกายผอมบางหอบสั่นเพราะพยายามเก็บเสียงสะอื้นจนดีดตัวขึ้นมาเป็นระยะ แล้วก็เป็นไปตามคาด...เสียงร้องไห้ดังระงมในลำคอพร้อมกับที่หยาดน้ำตาร่วงเผาะลงมาเป็นสาย
ในขณะที่ความไม่เข้าใจกำลังครอบงำมวลความคิดอยู่นั้นลู่หานก็ย่อตัวลงอย่างไม่นึกลังเล ครั้นมือหนาเอื้อมเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก็ขดขาเข้าหาลำตัวแล้วกอดเข่าเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขากล้าคุกคามข่มเหงจนต้องทำให้มินซอกเจ็บตัวทั้งที่แต่เดิมเขาใช้เพียงคำพูดเหน็บแนมให้มันเจ็บใจเล่นไปอย่างนั้น
“มินซอก...”
สัมผัสได้เพียงแค่ปลายนิ้วคนตัวเล็กก็สะอื้นหนักขึ้นจนเขาต้องยอมชักมือกลับมา ทำอะไรไม่ถูกนอกจากนั่งมองทื่อๆแบบนี้ ไม่ต้องรอให้มองตาก็รู้ว่าหัวใจของมินซอกเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มันไม่ใช่อารมณ์โกรธแล้วเล่นตัวอย่างที่เขาคิดไว้... มินซอกไม่ใช่ผู้หญิง เขาควรจะเชื่อตั้งแต่แรกว่าทุกคำที่พูดออกมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
“...อย่าร้องไห้”
ยิ่งพูดอะไรออกไปก็เหมือนจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ นิ้วมือบางงอจิกเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนเป็นรอยเล็บ เนื้อตัวสั่นเกร็งพลางโหยไห้ออกมาอย่างหนัก เขาฟังไม่ถนัดนักว่าในเสียงสะอื้นนั้นมันมีคำพูดใดเจือปนอยู่บ้าง แต่ที่ชัดอยู่เต็มสองหูตอนนี้...
“ไม่...อย่า...อย่าทำแบบนี้กับผม”
‘อย่าทำแบบนี้กับผม’
‘ไม่ ลู่หาน...ไม่!’
‘ลู่หาน...พอที...อย่าทำแบบนี้กับผม’
‘พอเถอะลู่หาน...ผมเจ็บจะตายอยู่แล้ว’
แทบอยากจะทึ้งกบาลตัวเองแรงๆทันทีที่รู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ทำลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบมันทำลายชีวิตคนหนึ่งคนได้มากขนาดไหน
‘ทำกับผู้หญิงพวกนั้นมันก็แย่พอแล้ว แต่นี่เด็กนะคุณ ยังพูดไม่เป็นภาษาเลยด้วยซ้ำ’
‘ไม่ใช่เรื่องของมึง’
‘หน้าตัวเมีย’
“คิมมินซอก...”
คำขอโทษมันคงไม่ได้ยากลำบากอะไร ลู่หานยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันจะมีน้ำหนักมากพอที่จะลบล้างเรื่องที่ตัวเองกระทำได้มากน้อยแค่ไหน คำอธิบายใดๆมันคงไม่สำคัญเท่ากับคำพูดเดียวที่กลั่นออกมาจากความสำนึกในกมลสันดาน เขาต้องพูดออกไปและมันคงจะเป็นยารักษาเดียวที่ดีที่สุดในเวลานี้...
ติ๊งต่อง!
‘ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระเจ้าถึงลงโทษคนอย่างคุณ’
- To Be Continue –
เสียวสันหลังวาบ..................
แม่ขา พี่หานจะถูกจับหรือเปล่าคะแม่ T_T
#ฟิคมฟต
ความคิดเห็น