ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( EXO ) MALEFACTOR ! | LUMIN FEAT.KAIHUN

    ลำดับตอนที่ #10 : | MALE09 : AFTER NIGHT |

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 57


    | MALE09 : AFTER NIGHT|

    AUTHOR : NUTCRACKER

     

     

     

     

     

     

     

     

                อี้ฟานใช้หลังมืออังหน้าผากของคนที่ยังนอนจมเตียงมาตั้งแต่เมื่อค่ำแล้วหันไปหาตัวต้นเหตุที่ยืนอิงขอบประตู เขาถอนหายใจออกมาเสียงดังแล้วทอดมองลู่หานด้วยสายตาที่หน่ายระอา ชายหนุ่มหน้าเจื่อนลงไปเพราะรู้ตัวว่ากำลังโดนพ่อก่นด่าในใจแน่ๆจึงไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักประโยค ไม่ต้องรอให้อธิบายอะไร บาดแผลและรอยฟกช้ำบนตัวมินซอกรวมถึงร่องรอยฉีกขาดที่เขาคาดโทษเอาไว้ก็เป็นตัวบ่งชี้เหตุการณ์ของคืนที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี

     

                 คุณหมอลุกออกมาจากเตียงขนาดกลางแล้วเดินขึ้นมาตบบ่าลู่หานเบาๆ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความผิดหวังในตัวของเขาผ่านสายตาที่พ่อกำลังมองมา แหงล่ะ...ถึงจะอารมณ์ร้ายยังไงเขาก็ไม่เคยทำระยำกับใครอย่างไร้เหตุผลขนาดนี้มาก่อน ที่ผ่านมาอี้ฟานเองก็เชื่อมั่นในน้ำใจของเขาที่แสดงออกต่อคนใกล้ตัวมาเสมอ

     

     

                “มีไข้สูงมาก ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแถมยังนอนน้อยมาหลายวันแล้วด้วย”

                “งั้นคงไม่เป็นไรป่ะวะ”

                “แล้วโกรธบ้าอะไรถึงทำเขาแบบนั้น” อี้ฟานต่อว่าเสียงดังจนทำให้คนที่ถูกดุต้องเงียบไปครู่หนึ่ง

                “ก็มันกับจงอินอ่ะ มัน...” แง้มปากเถียงได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องกลืนคำพูดของตัวเองลงคอเพราะไม่รู้จะอธิบายถึงสาเหตุของมันได้อย่างไร อี้ฟานสบตานิ่งแล้วส่ายหน้าไปมาสองสามครั้งอย่างเอือมระอา

                “ไม่ว่าจะโกรธเรื่องอะไรก็ไม่มีสิทธิ์ใช้กำลังข่มเขาแบบนี้”

                “มันไม่ใช่ผู้หญิงนะพ่อ”

                “แล้วคิดว่าตัวเองสมควรทำเรื่องพวกนี้กับผู้ชายที่ไม่ยินยอมหรือเปล่า?”

                “...” ลู่หานขบกรามแน่นก่อนจะเลี่ยงสายตาออกมาในที่สุด รู้ดีแก่ใจไม่ว่าจะกับผู้หญิงหรือผู้ชายเขาก็ไม่ควรทำเรื่องต่ำๆแบบนี้ทั้งนั้น

                “ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ต้องยอมรับผลการกระทำของตัวเอง เข้าใจที่ฉันพูดไหม?”

                “รู้แล้ว”

                “ถ้าเขาตื่นแล้วก็ลองคุยกันดู ถ้าเข้าหน้ากันไม่ได้ฉันจะให้มินซอกมาอยู่ที่คลินิก”

                “ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นยังไง ยังจะให้มันกลับไปทำงานที่นั่นอีกเหรอ?”

                “แค่ให้ไปอาศัย ห้องชั้นบนยังว่าง ปัดกวาดสักหน่อยก็เข้าอยู่ได้แล้ว”

                “อืม”

                “คิดไว้หรือยังว่าจะรับผิดชอบเขายังไง”

                “พ่อ?” ไม่ใช่คนที่ไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้น แต่นี่ก็เป็นผู้ชายด้วยกันแล้วจะให้เขารับผิดชอบมันยังไง จะให้อยู่กินกันฉันท์ผัวเมียเหรอ? ตลกน่า

                “ว่าไง”

                “ไม่เอาด้วยหรอก” ลู่หานละสายตาออกมาจากอีกฝ่ายแล้วยืนกอดอกมองคนตัวเล็กที่ยังคงหลับใหลอยู่ในท่าเดิมอย่างไม่สบอารมณ์ อี้ฟานถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง

     

                ทุกอย่างถูกครอบงำด้วยความเงียบจนน่าตกใจ ลู่หานยืนทื่ออยู่ตรงนั้นราวห้านาทีก่อนจะตัดสินใจกัดฟันเดินเข้าไปหาคนป่วยที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เขาบีบสันจมูกตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วอีกคนจะมองหน้าเขาด้วยสายตาแบบไหน แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้วิตกร้อนรนจนต้องบันดาลความเดือดคลั่งได้ถึงขนาดนั้น

     

     

                และมินซอกเองก็คงไม่เข้าใจเช่นกัน...

     

     

                ร่างสูงนั่งยองตรงหน้าคนที่ยังหลับอยู่ มินซอกนอนเงียบมานานหลายชั่วโมงแบบนี้มันทำให้เขาหยุดความคิดที่ลอยเข้ามาในหัวไม่ได้ โดนไปดอกเดียวนั่นมันจะทำให้เป็นไข้สูงสักเท่าไหร่กันเชียว มั่นใจอย่างมากว่าอี้ฟานต้องแสดงกิริยาออกมาให้เขารู้สึกผิด ความจริงแล้วมันอาจจะไม่ได้เป็นอะไรเลยก็ได้

     

                ในเมื่อสงบคำถามที่พรั่งพรูในสมองของตนเองลงไม่ได้ มือหนาก็เอื้อมเข้าไปแตะลงบนพื้นฟูกใกล้ๆกับที่คนตัวเล็กนอนอยู่จึงจะเชื่อว่าสิ่งที่พ่อพูดออกมานั่นเป็นความจริง ไอร้อนจากร่างกายของมินซอกแผ่ออกมาบนผ้าปูเตียงจนทำให้เขารู้สึกได้ ลู่หานขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเคลื่อนหลังมือของตนเองเข้าไปใกล้กับใบหน้าขาว...แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อคนตัวเล็กลืมตาขึ้นมา

     

                ถึงจะไม่ใช่คนที่ชอบใส่ใจกับรายละเอียดของคนใกล้ตัวสักเท่าไหร่นักแต่ก็สัมผัสได้ว่าแววตาที่มินซอกทอดมองมาที่เขามันต่างจากเดิม ลู่หานไม่เคยรู้ ไม่สิ...ไม่เคยสนใจเลยว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายมองเขาด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ถึงอย่างไรมันก็คงไม่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าแบบนี้แน่

     

                “เห็นพ่อบอกว่าเป็นไข้” ร่างสูงดึงมือของตัวเองกลับมาแล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ ตอนนี้คนตัวเล็กไม่ได้หลบตาเขาอย่างที่ผ่านมา

                “ผมได้ยินแล้ว”

                “มึงไม่ได้หลับ?” มินซอกไม่ตอบอะไรนอกจากสบตานิ่ง หากเป็นแบบนั้นก็คงได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับอี้ฟานทั้งหมดรวมไปถึงการบอกปัดความรับผิดชอบต่างๆนานานั่นด้วย “ก็ดี”

                “ดีจนคาดไม่ถึงเลยล่ะ” พอพูดจบก็ค่อยๆพลิกตัวนอนหันหลังให้อีกฝ่าย ร่างเล็กนิ่วหน้าเพราะความเจ็บร้าวที่สุมร้อนอยู่ปลายสะโพก ลู่หานเอื้อมมือเข้าไปอีกครั้งแต่ก็หยุดลงเสียก่อน ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่มองผ่าน

                “หิวป่ะ?” พูดออกไปแล้วก็เพิ่งจะมารู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่โง่ที่สุดในชีวิต แต่พอคิดว่าควรจะอธิบายอะไรออกมาสักหน่อยหรือพูดขอโทษโง่ๆสักคำมันก็ไม่ใช่หน้าที่อยู่ดี จริงอยู่ที่มินซอกเป็นแค่คนที่บังเอิญเจอกันเท่านั้น ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปรับความเข้าใจกันกับเรื่องแค่นี้

                “หากินเองได้”

                “จะนอนต่อป่ะ?”

                “รู้แล้วมานั่งจ้องอยู่ทำไม”

                “นี่ มินซอก”

                “อย่ามาเรียก”

                ลู่หานขบกรามพลางกำหมัดแน่น ถึงจะรู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดแต่ก็ใช่ว่าการประชดประชันแบบนี้มันจะทำให้เขาสำนึกในความผิดของตัวเองขึ้นมา นอกจากว่ามันจะทำให้หงุดหงิดชวนตีแล้วยังหนักไปทางน่ารำคาญเสียมากกว่า มินซอกไม่เคยแข็งข้อกับเขา

                “โกรธสินะ” เก็บกลั้นความโกรธเอาไว้ไม่นานก็เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ทัน “คนอย่างคุณมันก็มีอยู่แค่นี้แหละ” ร่างเล็กหัวเราะออกมาในลำคอเบาๆเสมือนกับการเย้ยหยัน “โกรธ โมโห ยัดเยียดความคิดของตัวเองให้ในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้เป็น”

                “จะมากไปละ”

                “โลกนี้ยังมีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่คุณทำกับผมด้วยเหรอ” คำพูดนั้นทำให้ลู่หานนิ่งชะงัก

    เคยได้ยินมาว่าการข่มขืนก็ไม่ต่างอะไรจากการเหยียบศักดิ์ศรี หากดูจากที่ผ่านมาที่มินซอกไม่เคยคิดเอาเปรียบ ไม่เคยแบมือขออะไรจากคนรอบข้างนอกจากความปลอดภัยก็คงพอจะเดาได้ว่าศักดิ์ศรีนับเป็นอีกเรื่องใหญ่ๆในชีวิตของมินซอกเลยเช่นกัน

                “เถียงสิ เอาชนะผมแบบที่คุณชอบทำ” ร่างเล็กพูดต่อ หากเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่พูดออกมาทั้งน้ำตามันอาจจะทำให้ลู่หานรู้ว่ามินซอกกำลังผิดหวัง...แต่กับวันนี้มันกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว

                “กูไม่ได้ชอบเอาชนะ”

                “แล้วที่ผ่านมาทั้งหมดมันเรียกว่าอะไร”

                “พอเหอะ อย่ามาชวนกูทะเลาะตอนนี้”

                “คำว่าทะเลาะมันเอาไว้ใช้กับคนสำคัญ”

                “...”

                “...แบบที่คุณทำอยู่ เขาเรียกว่าเอาชนะ” ลู่หานขบกรามอีกครั้งแล้วผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากำลังหัวเสียอย่างมากที่โดนอีกฝ่ายตอกกลับมาทุกคำ แต่จะทำอย่างไรได้...ยังไงคนที่ผิดก็คือเขาอยู่แล้วนี่?

                “อยากฟังคำพูดแบบไหน” คำถามของเขาทำให้อีกฝ่ายเงียบลงเป็นเวลาสั้นๆ มองจากมุมนี้เขาเห็นคนที่นอนอยู่ได้แค่เพียงเสี้ยวหน้า แววตาของมินซอกไม่ได้เรียบเฉยแค่ตอนมองมาที่เขาเท่านั้น...

                “พูดอะไรก็ได้ให้ตัวเองไม่ผิด” ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้ามากักในอกแล้วกดสายตามองคาดมาที่คนข้างหลัง “งานถนัดคุณเลยไม่ใช่เหรอ”

                “มึงนี่มัน...” นัยน์ตาสีเหล็กหลีกมองไปทางอื่นอยู่ครู่เดียวก่อนจะหันกลับมาฉายมองคนป่วยที่กำลังตีสีหน้าเรียบเย็นอีกครั้ง เป็นที่รู้กันดีว่าลู่หานมีขีดความอดทนต่ำแค่ไหน ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ลากคนปากดีขึ้นมาอัดจนทรุดลงไปอีกครั้ง

                “อยากจะพูดอะไรก็ตามใจคุณเลย”

    “งั้นกูคงไม่มีอะไรต้องคุยกับมึง”

                “ได้แบบนั้นก็ดี” เสียงตบหมอนปุๆดังขึ้นในท้ายประโยค ใบหน้าของมินซอกกำลังเปื้อนยิ้มไร้อารมณ์ ลู่หานยังคงนั่งมองอีกคนอยู่ชั่วระยะ เมื่อเห็นว่าการสนทนาที่เต็มไปด้วยคำพูดจิกกัดและประชดประชันแบบนี้มันไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นก็ไม่ต้องมาคุยกันอีกเลยคงจะดีกว่า

     

     

     

     

     

     

     

            “แล้วหลังจากนี้มึงอยากจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป”

     

     

     

     

     

     

     

                ร่างเล็กหลับตาอยู่เนิ่นนาน เสียงถอนหายใจฮืดฮาดดังขึ้นจวบจนได้ยินเสียงประตูไม้บานใหญ่ที่เพิ่งปิดลง เขาทิ้งศีรษะหนักอึ้งของตนเองลงบนหมอนใบใหญ่ที่สอดแขนรองไว้ใต้สุด ดวงตากลมเบิกโพลงเต็มรูปตา สารพันความคิดไหลแล่นเข้ามาในหัวอย่างเกินจะหยุดยั้ง แม้ว่าคำขอโทษมันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาแต่อย่างน้อยเขาก็อยากจะฟังคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นจากปากของลู่หานบ้างสักนิดก็ยังดี

     

                มินซอกหลับตานิ่งก่อนจะบีบหัวตาของตัวเองแรงๆ หลังจากที่คืนแรกผ่านไปเขาก็ตกอยู่ในห้วงของการหลับใหลที่ยาวนานที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ แม้แต่ในความฝันภาพของลู่หานที่กำลังทรมานเขายังคงฉายชัดอยู่ในทุกห้วงวินาที

     

    เจ็บปวดราวกับร่างจะฉีกออกเป็นสอง แต่ที่มากไปกว่านั้นคือหัวใจที่กำลังร้าวแตกออกมาเป็นเศษผง มินซอกยังคงรู้สึกเจ็บแค้นรุนแรงมาจนถึงวินาทีนี้

     

     

    แต่แล้วยังไงต่อล่ะ...?

    นอกจากปัดความรับผิดชอบทุกอย่างแล้วยังมีหน้ามาบอกเขาว่าอยากจะไปอยู่ที่ไหนก็ไปอย่างนั้นเหรอ?

    ลู่หานยังเห็นเขาเป็นคน...

    หรือเห็นเงาหัวของเขาซ้อนทับอยู่บนตัวอะไร  

     

     

    พอคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกราวกับว่าโลกกำลังจะหยุดหมุน ความแสบชาก่อขึ้นในก้อนเนื้อที่อยู่ภายใต้แผ่นอกซ้าย มันกำลังบีบรัดรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แบบนี้เองใช่ไหมที่ใครๆเขาเรียกกันว่าความเจ็บปวด... แล้วความรู้สึกแบบนี้มันมีขีดสุดบ้างไหม? มันจะเจ็บได้มากกว่านี้อีกหรือเปล่า? แล้วมันจะคงอยู่แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่...

     

     

     

    ร้องไห้ไม่เก่งหรอก...แต่ก็ยังเจ็บเป็นนะ

    ถ้าหากว่าจะมีคนที่ไม่ต้องการเขามากมายขนาดนี้...

    โลกจะสร้างเขาขึ้นมาเพื่ออะไร?

     

     

     

     

    “พ่อครับ...”

     

     

                มินซอกปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม รู้สึกราวกับมีก้อนแข็งจุกอยู่ในลำคอ เขาไม่อาจเพรียกหาบุคคลอันเป็นที่รักของตัวเองต่อไปและระบายความในใจได้อย่างที่ผ่านมา

     

    ถ้าพ่อยังอยู่ตรงนี้...พ่อจะกอดเขาเอาไว้ไหม?

    ถ้าพ่อยังอยู่ตรงนี้...พ่อจะยอมให้ลู่หานรังแกเขาหรือเปล่า?

    ถ้าพ่อยังอยู่ตรงนี้...พ่อจะเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวดให้เขา...

    ถ้าพ่อยังอยู่ตรงนี้...พ่อจะเป็นคนเดียวในโลกที่มองเห็นค่าของเขาใช่ไหม?

     

     

     

    แต่พ่อไม่ได้อยู่ตรงนี้...

    คิมมินซอกไม่มีใครอีกแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ควันบุหรี่สีเทาเคลื่อนออกมาจากหน้าต่างบานใหญ่ก่อนจะลอยฟุ้งไปตามสายลมอ่อนๆที่นานครั้งจะพัดผ่านมา ลู่หานโขกหัวตัวเองเข้าหากรอบหน้าต่างอีกครั้งแล้วกลับมาทิ้งสะโพกลงบนขอบหน้าต่างซึ่งเป็นที่ประจำของเจ้าของห้อง ใกล้ในระยะสายตา...เขามองเห็นแบคฮยอนนั่งขดอยู่ในมุมหนึ่งของห้องพร้อมกับดินสอและสมุดโน้ตในมือ ร่างบางลอบมองเขาอยู่เป็นระยะแต่อุปสรรคด้านการสนทนาทำให้ทั้งคู่ไม่คิดจะเปิดประเด็นคุยกันโดยตรง

     

    สถานการณ์ในตอนนี้ก็คงมีแต่เพียงแบคฮยอนกับแอนดี้เท่านั้นที่ไม่ได้มองเขาอย่างเต็มไปด้วยความผิดหวังเหมือนสายตาของคนอื่น ถึงแม้จงอินจะทำตัวปกติราวกับมองมันเป็นเรื่องขำๆอย่างที่ผ่านมาแต่ก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะพูดให้เขาฉุกคิดถึงผลที่ตามมาจากสิ่งที่ทำลงไป

     

    ไม่ใช่คนที่ไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นแต่บางทีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องเริ่มอธิบายออกมาด้วยคำพูดแบบไหน พอนึกถึงประโยคสุดท้ายที่กล่าวทิ้งไว้ก่อนจะเดินออกมาจากมินซอกยิ่งทำให้เขาอยากจะตบปากตัวเองแรงๆเป็นรอบที่สาม นอกจากจะทำให้ไม่มีอะไรดีขึ้นแล้วหนำซ้ำยังแย่ลงไปกว่าเดิมอีก...แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ ต้องโทษไอ้หน้าจืดนั่นดิว่ามายั่วโมโหเขาก่อนทำไม?

     

     

     

     

    กึง! กึง!

                ปลายดินสอขนาดเหมาะมือเคาะลงบนพื้นเป็นสัญญาณเรียกจากแบคฮยอน ลู่หานอัดควันเข้าไปในปอดอีกครั้งก่อนจะเหลือบตามองไปตามเสียง เด็กนั่นวางสมุดกับปากกาลงบนพื้นก่อนจะขยับมือขึ้นในอากาศ

     

     

                มีเรื่องหนักใจใช่ไหม?

                จริงอยู่ที่ว่าลู่หานใช้ภาษามือได้ยอดแย่แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจในประโยคง่ายๆที่อีกฝ่ายสื่อออกมา ชายหนุ่มพยักหน้าครั้งเดียวเป็นคำตอบ

                เรื่องซาลาเปา(มินซอก)ใช่ไหม?

                แบคฮยอนยังเรียกมินซอกด้วยฉายาที่เขาเป็นคนสอน ลู่หานระบายยิ้มออกมาบางๆก่อนจะส่ายหน้าให้... ไม่ใช่มินซอกสักหน่อย เขากำลังหนักใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ต่างหาก

                “ทำไมถึงคิดงั้น?”

                เพราะไม่น่าจะมีเรื่องไหนแล้ว

                “ไม่ใช่ซาลาเปา”

                พี่โกหก

                “ไม่ได้โกหก” ลู่หานเถียงกลับไปด้วยภาษามืออย่างง่ายที่แบคฮยอนพอจะเข้าใจ วันนี้คงจะเป็นวันแรกที่แบคฮยอนกับลู่หานไม่มีทีท่าว่าจะตีกันระหว่างสนทนา

                ความจริงมันฟ้องอยู่ในตาของพี่

                แบคฮยอนสื่อสารออกมาพลางยิ้มจืดๆ ลู่หานไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดว่าเด็กคนนี้พยายามจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายหลุบตาลง ควันขมอัดเข้ามาในลำคออีกครั้งแล้วกดข่มไว้ในปอดก่อนจะพ่นออกมาทางจมูกและปากอย่างเหนื่อยหน่าย แบคฮยอนจับอารมณ์ของคนอื่นได้เสมอและลู่หานเองก็ไม่พร้อมที่จะยอมรับความจริงที่แบคฮยอนมองเห็นในตอนนี้

     

                กึง! กึง!

     

                รู้ข่าวคราวของชานยอลบ้างไหม?

                เข้าเรื่องอื่นได้เพียงไม่นานแบคฮยอนก็วนกลับมาที่คำถามเดิมๆ ลู่หานลากเสียงถอนหายใจยาวแล้วดีดก้นบุหรี่ให้หล่นลงไปข้างล่าง มือหนาค้ำลงบนขอบหน้าต่างแล้วมองตรงไปยังเจ้าของคำถาม

                “ไม่มีใครรู้”

                พี่คงรำคาญที่ผมถามอะไรซ้ำซาก

                “อืม” ลู่หานพยักหน้าก่อนจะโต้ตอบกลับไปด้วยภาษามือ “รู้แล้วก็เลิกถามสักที”

                ผมไม่ได้ยินเสียงใครมาเป็นปีแล้ว

                “แล้วยังไง?”

                โลกของผมเงียบสงัดนับตั้งแต่วันที่ไม่มีเขา...

                แววตาของเด็กคนนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและทุกข์ทรมาน ลู่หานขมวดคิ้วแน่นเพราะกำลังไม่เข้าใจกับประโยคแปลกๆที่แบคฮยอนถ่ายทอดออกมา แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะแสดงสิ่งที่ปรากฏอยู่ในความรู้สึกของตนเองให้คนอื่นรับรู้

                ผมกำลังจะเป็นคนตาบอด

                “...”

                โลกของผมมืดสนิท...เพราะโดนพวกพี่ปิดบัง

                “กูไม่เข้าใจที่มึงสื่อหรอกนะ” ลู่หานพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

                ได้โปรด...เลิกปิดตาผมสักที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                สายลมเย็นเยียบพัดโชยเข้ามาจนทำให้นายตำรวจต้องกระชับเสื้อโค้ทตัวยาว ร่างขาวพยักหน้าให้กับคนขับรถหนึ่งครั้งก่อนที่รถสีบลอนด์ประจำตำแหน่งจะเคลื่อนตัวออกจากฟุตบาศก์ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำทำให้คนที่เดินสวนไปสวนมาต้องเหลียวมอง จุนมยอนก้มหน้าเดินไปตามทางโดยที่ไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย

     

                เบื้องหน้าเป็นสุสานขนาดย่อมที่ทรุดโทรมไปตามสภาพดินฟ้าอากาศในแต่ละปี เขากล่าวทักทายจิตอาสาที่ดูแลสถานที่แห่งนี้อย่างเคยแล้วควักเงินสดจำนวนไม่มากไม่น้อยให้เป็นสินน้ำใจ เดินเข้ามาไม่ลึกสักเท่าไหร่ก็จำต้องหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าหลุมฝังศพที่สภาพยังใหม่กว่าใครเพื่อน จุนมยอนย่อตัวลงวางช่อดอกกุหลาบสีขาวลงบนแท่นหินอ่อน มือกร้านปัดฝุ่นที่กลบปิดตัวอักษรแล้วเป่าคราบดำออกไปจากมือของตนเอง

     

     

                ‘Jung Soo Jung’

     

     

                ตัวอักษรสีทองประกายสว่างเมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามบ่าย เขาถอดหมวกออกเพื่อเคารพคนตายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆที่กำลังเคลื่อนเข้ามาปิดทับมวลแสงร้อนจ้าจากเบื้องบน

     

     

                “ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดีเลยนะ...พี่หวังว่าเธอจะรักษาสุขภาพ”

     

     

                จุนมยอนฝืนยิ้มออกมา แววตาที่เต็มไปด้วยความโศกอาลัยเจียดมองแท่นหินขนาดใหญ่ซึ่งคอยอำพรางร่างไร้วิญญาณที่ฝังลึกลงใต้พื้นดิน สายลมหนาวเย็นพัดเข้ามากระทบใบหน้า กลิ่นหอมจากช่อดอกไม้ไม่อาจเย้ายวนใจเขาได้เท่ากับกลิ่นหอมของหญิงสาวที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ

     

     

                “งานยุ่งมากเวลาไม่มีเวลาแวะเข้ามาเยี่ยมเหมือนเมื่อก่อน...หวังว่าคงไม่โกรธกันหรอกนะ”

     

     

                ร่างขาวนิ่งงันไปสักพักพลางหวนนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เขามักจะมีเวลาว่างพอที่จะแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมหลุมศพของซูจองบ่อยๆ ตั้งแต่มีคดีของลู่หานและพรรคพวกเข้ามาก็ตารางเวลาทั้งหมดของเขาก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย

     

                การสร้างข้อมูลเท็จเพื่อช่วยซ่อนตัวลู่หานให้พ้นจากสายตาของตำรวจคนอื่นนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นคงไม่ต่างอะไรจากการก่ออาชญากรรมในคราบของเจ้าหน้าที่ ไม่มีอาชญากรรมครั้งไหนสมบูรณ์แบบ...ทุกเรื่องราวที่เป็นเท็จมักมีรอยรั่ว

     

     

                “ทุกคนสบายดี...ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

     

     

                เขาทำได้เพียงยืดเวลาออกไปให้นานขึ้นแล้วมันก็ได้ผลดีที่เดียว... ในหน่วยงานของเขากำลังสืบหาตัวนักโทษแหกคุกสองคนนั่นจนลืมเรื่องของลู่หานไปโดยสนิท

     

     

                “ลู่หานจะปลอดภัย ลูกชายของเธอก็ด้วย”

     

     

     

                แต่มันจะเป็นแบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่?

     

     

     

     

                มวลเมฆสีขาวบอกลาดวงอาทิตย์ แสงแดดร้อนแรงสาดลงมายังพื้นดินอีกครั้งทำให้นายตำรวจหนุ่มต้องเดินออกมาจากหลุมศพ จุนมยอนทิ้งสายตามองไปยังช่อดอกไม้บนแผ่นหินนั่นแล้วจึงพบว่าก่อนหน้านี้มีดอกไม้หลายดอกจากที่อื่นวางเรียงรายกันเต็มไปหมด ลู่หานกับแอนดี้ยังคงแวะเวียนมาที่นี่อย่างสม่ำเสมอ

     

                ขาเรียวทอดไปตามฟุตบาศก์ที่ร้างคน ร่างขาวถอดเสื้อโค้ทขึ้นมาพาดไหล่หลังจากที่เดินเท้าเข้ามาในซอยเปลี่ยวนานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว สายลมยังหอบพัดความเย็นเข้ามาไม่หยุดหย่อนแต่ไอร้อนจากดวงตะวันก็นับเป็นตัวช่วยบรรเทาให้กับคนที่ไวต่อความหนาวอย่างเขาได้เป็นอย่างดี ตรงนี้มีสวนหย่อมเล็กๆติดอยู่กับทะเลสาบ เสียงหัวเราะของเด็กหลายคนพร้อมใจกันดังขึ้นมาท่ามความเงียบที่เคยได้ยินแต่เพียงเสียงลมพัด สไลเดอร์เก่าๆนั่นก็คงจะเป็นของเล่นที่โปรดปรานของเด็กในทุกสมัยจริงๆ...ตอนที่เขายังเด็กเขาก็ชอบเครื่องเล่นพวกนี้เช่นกัน

     

     

                “ไปเล่นตรงนั้นกันเถอะ”

     

     

                เสียงเด็กคนหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อนดังขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่ข้างทะเลสาบ เด็กคนอื่นอีกสามสี่คนปัดดินที่เลอะหัวเข่าแล้ววิ่งตามเจ้าหัวโจกนี่ไปอย่างไม่นึกลังเล จุนมยอนยิ้มออกมาบางๆแล้วกอดอกมองเด็กพวกนั้นอยู่ห่างๆ แล้วจู่ๆภาพในความทรงจำก็ย้อนตีเข้ามาในหัวอย่างไม่อาจปิดบัง...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                “นี่ ไปเล่นตรงนั้นกันไหม”

                เด็กน้อยตัวขาวเดินละออกมาจากกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน สายตาของเขาจับจ้องไปยังเด็กอีกคนที่ตัวเล็กกว่า ใบหน้าเรียบนิ่งมองเขาอย่างแสนระอาแล้วส่ายหัวไปมาอย่างเคย

                “นายอยากไปก็ไปสิ”

                คำตอบที่ไม่เป็นมิตรทำให้เขาต้องหุบยิ้มลงชั่วขณะ ทว่าสำเนียงการพูดที่ฟังแปลกหูยังทำให้ต้องหัวเราะออกมาทุกครั้ง เด็กนั่นกอดอกแล้วนอนเอนตัวลงบนสไลเดอร์ราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าถิ่น

                “ไปด้วยกันไหม” เขาถามซ้ำอีกครั้ง

                “ก็บอกว่าไม่ไปไง”

    น้ำเสียงแข็งทื่อพูดออกมาด้วยความหัวเสีย ดวงตาตีบเล็กหรี่มองเขาแล้วหลับตาลงอีกครั้งอย่างปัดรำคาญ พวกเด็กผู้หญิงมักจะเรียกหมอนี่ว่า ไอ้หัวรุนแรงเพราะใบหน้าบอกบุญไม่รับกับท่าทางฉุนเฉียวใจร้อนนั่นมักจะเป็นชนวนให้มีเรื่องชกต่อยกับเด็กในชั้นเดียวกันอยู่หลายครั้งแม้จะยังเด็กมากอยู่ก็ตาม

    “ก็ได้ เหงาก็ตามมานะ”

    เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้ววิ่งกลับเข้าไปรวมกับกลุ่มเด็กที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ทุกคนกำลังมุงอะไรบางอย่าง สายตาทุกคู่จับจ้องรวมกันเป็นจุดเดียว ด้วยความที่ส่วนสูงของจุนมยอนก้าวไม่ทันเด็กคนอื่นทำให้ต้องเขย่งเท้ามองอยู่หลายครั้งแต่เพื่อนบ้านคนหนึ่งก็ยอมแสดงน้ำใจออกมาโดยการที่แหวกทางให้คนตัวเล็กอย่างเขาแทรกเข้าไปอยู่ข้างหน้าได้สำเร็จ

    “ทำอะไรกันเหรอ”

    คำถามของเขายังไม่ได้คำตอบ ดูเหมือนทุกคนยังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เด็กชายตัวอ้วนกลมกำลังเขี่ยขยะที่ลอยอยู่บนหนองน้ำเข้ามาที่ฝั่ง กิ่งไม้ยาวๆนั่นเกือบจะหลุดมืออยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายเจ้านั่นก็ทำสำเร็จ

    “เย้!

    “เฮ!!!

    เด็กทุกคนร้องออกมาด้วยความดีใจรวมถึงเขาด้วย จุนมยอนเหลียวหลังกลับไปมองคนที่นอนอยู่บนสไลเดอร์ หมอนั่นยังคงนิ่งเงียบและไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ตรงนี้ทุกคนกำลังสนุกกันนะ...ทำไมถึงยังนอนเฉยอยู่อีก?

    “นี่ดาซม เธอได้ขอยืมคัตเตอร์มาจากห้องศิลปะหรือเปล่า?”

    เด็กอ้วนนั่นเอ่ยถามเด็กผู้หญิงมัดจุกที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด ใบหน้าน่ารักพยักหน้าหงึกก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋าห้อยคอที่ขนาดใหญ่เกินตัว ควานหาอยู่ไม่นานมีดคัตเตอร์สีม่วงอันใหญ่ก็เข้ามาอยู่ในอุ้งมือเล็กๆในที่สุด

    “ดีล่ะ”

    เจ้าของคำถามยิ้มออกมาอย่างพอใจ แก้วน้ำพลาสติกเปียกโชกเพราะเพิ่งโดนเขี่ยเข้าฝั่งได้ไม่นานถูกเจ้านั่นหยิบขึ้นมาราวกับลืมไปว่าครั้งหนึ่งมันถูกเคยเรียกว่าขยะมาก่อน จุนมยอนแหงนมองไปรอบตัวก็พบว่าทุกคนกำลังมองไปที่หนองน้ำตาไม่กระพริบ ต่อจากนี้ต้องมีอะไรน่าสนใจแน่ๆเลย!

    “แม่ฉันบอกว่าในนี้มีปลาตัวเล็กๆด้วยนะ แต่เรากินไม่ได้หรอก” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้นท่ามกลางเพื่อนทุกคน เจ้าเด็กอ้วนหันมายักคิ้วให้หนึ่งครั้งแล้วยิ้มมุมปาก

    “ใช่แล้ว แม่ฉันบอกว่ามันเป็นพวกไร้ประโยชน์ด้วยล่ะ”

    จุนมยอนยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูดกันเท่าไหร่แต่ที่แน่ๆเขากำลังสนใจเรื่องปลาตัวเล็กๆที่ทุกคนพูดถึง วันนี้ในคาบวิทยาศาสตร์คุณครูก็แนะนำพันธุ์ปลามาเหมือนกัน...จะใช่แบบเดียวกับที่เขาเคยเรียนมาหรือเปล่านะ?

     

    หากแต่ความคิดนานาประการที่แล่นเขามาในหัวไม่หยุดเลยทำให้ลืมความเงียบสงบรอบข้างไปโดยสนิทใจ มือป้อมๆที่จับแก้วน้ำพลาสติกนั่นควานลงไปในน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งก็จมลึกไปถึงข้อมือแต่ก็ได้มาแค่น้ำเปล่าๆทำให้ต้องเททิ้งไปหลายครั้ง

     

    “จับได้แล้ว!

    “เย้!!!

    เจ้าของผลงานทำตาโตพร้อมกับเสียงร้องด้วยความดีใจของเขาและเพื่อนๆดังพร้อมกัน เจ้าปลาน้อยที่ตัวไม่เล็กจนเกินไปว่ายวนเนิ่นนานอยู่ในแก้วพลาสติกใสเพราะไม่เจอทางออก เด็กทุกคนดูท่าจะดีใจกับสิ่งมีชีวิตแปลกใหม่ที่ต่างคนก็ต่างไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

    “หางมันสีสวยจังเลยเนอะ”

    ดาซมพูดขึ้นมาอย่างประทับใจ หางกับครีบของปลาตัวน้อยมีสีส้มสลับกับสีน้ำเงินและลำตัวของมันก็สีดำสนิท

    “นี่ดาซม ส่งคัตเตอร์ให้ฉันหน่อยสิ”

    ทุกคนเงียบลงอีกครั้งเพราะสงสัยว่าเจ้าหัวโจกนี่คิดจะทำอะไรเป็นลำดับต่อไป จุนมยอนอยู่ไม่สุขเพราะความตื่นเต้น หันหลังกลับไปอีกครั้งก็เห็นว่าหมอนั่นกำลังนั่งเอาเศษไม้เขี่ยดินอยู่ ตรงนั้นก็คงจะมีอะไรน่าสนใจเหมือนกัน...แต่ไม่เอาดีกว่า ตอนนี้เขาอยากดูปลามากกว่าเป็นไหนๆ

     

     

     

    พรวด!

     

     

    เด็กอ้วนคว่ำแก้วลงบนหินก้อนใหญ่ น้ำสีขุ่นไหลลงมาตามแรงโน้มถ่วงเว้นแต่เพียงปลาน้อยผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย จุนมยอนขมวดคิ้วแน่นเพราะความงุนงงในขณะที่เด็กคนอื่นยืนมองด้วยความสนใจ

     

     

    ฉับ!

     

     

    หางสีสวยของมันถูกมีดคัตเตอร์สับจนกระเด็นออกมาแต่เจ้าปลาตัวนั้นก็ยังคงไม่สิ้นฤทธิ์ มันดิ้นช้าลงท่ามกลางความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนรอบข้าง จุนมยอนรู้สึกร้อนชื้นไปทั้งตัว อยู่ดีๆเหงื่อก็ไหลลงมาจากจอนผมและใต้จมูก เขารู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นภาพนี้

     

     

    แควก!

     

     

    เด็กอ้วนใจดำกดปลายคัตเตอร์แหลมกรีดลำตัวของมันตั้งแต่ใต้หัวลงมาจนสุดหาง ปากของมันอ้าพะงาบ ดวงตาที่ไม่อาจหลับลงได้เหมือนอย่างมนุษย์กำลังเบิกค้างอย่างน่าอนาถ สังเกตเห็นได้ชัดว่ามันยังคงมีลมหายใจจากครีบที่ยังขยับอยู่เนืองๆ จุนมยอนกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วปิดปากแน่น

     

     

    “นี่พวกนายดูสิ ปลาตัวนี้มีไข่ด้วย! ฮ่าฮ่าฮ่า!

     

     

    เด็กทุกคนลากเสียงยาวว่า โห... เว้นแต่เพียงเขาเท่านั้น ท้องของมันถูกแหวกออกมาเป็นแผ่นทำให้เห็นวงกลมสีครีมมากมายที่เกาะรวมกันเป็นกลุ่ม ครูบอกว่าไข่ปลาก็คือปลาที่ยังเด็ก... ถ้าแม่ของมันตายไปแล้วแล้วใครจะเลี้ยงพวกมันให้โตขึ้นมาเป็นปลาสวยงามแบบนี้ได้อีกล่ะ?

     

     

    ฉับ! ฉับฉับ!

     

     

    มีดคัตเตอร์กระแทกลงบนหินอย่างบ้าคลั่ง อวัยวะแต่ละชิ้นของมันแยกออกจากกันจนเละเทะไปหมด ไข่ที่เกาะรวมกันเป็นกลุ่มถูกสับออกจากกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย จุนมยอนกำหมัดแน่นแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาด้วยความโกรธ

     

    “นี่! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!” สิ้นคำพูดนั้นเสียงของคมมีดก็เงียบลง ดวงตาทุกคู่ผันมองมาที่เขาจนรวมเป็นจุดเดียว เด็กอ้วนที่นั่งอยู่กับพื้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาแล้วยิ้มมุมปาก

                “นายกล้าสั่งเราเหรอไอ้เตี้ย” จุนมยอนไม่ตอบอะไร คนใจดำทิ้งคัตเตอร์ลงบนพื้นแล้วยันตัวลุกขึ้นมา ร่างกายของเด็กนั่นสูงใหญ่กว่าเขามาก ยิ่งมันเดินใกล้เข้ามาเท่าไหร่เงาสีดำก็คืบคลานเข้ามาเคลือบตัวเขามากขึ้นเท่านั้น

                “ว้าย! ไอ้เตี้ยร้องไห้! ว้ายว้าย!!!” นาทีนี้จุนมยอนทำได้แค่เถียงในใจ...ที่ร้องไห้อยู่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเพราะกลัวเจ้าอ้วนนี่เลย

                “ไอ้เตี้ยร้องไห้!!! ไอ้เตี้ยร้องไห้!!!” เด็กทุกคนพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ทั้งโกรธทั้งอายและเสียใจกับภาพที่ได้เห็นทำให้เด็กน้อยยิ่งสะอื้นหนัก หันกลับไปมองคนที่อยู่ตรงสไลเดอร์อีกครั้งก็พบว่าหมอนั่นกำลังเก็บหินในสนามใส่กระเป๋ากางเกงไว้และไม่สนใจเขาเลยสักนิด

                “ไอ้เตี้ยขี้แย! แม่ก็ไม่รัก!” การก่นด่านั้นเริ่มรุนแรงมากขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของเด็กคนที่เหลือ จุนมยอนเบะปากแล้วปาดน้ำตาออกแต่เหมือนว่ามันจะยังไหลไม่ออกมาไม่หยุด

     

     

     

              “ไอ้เตี้ยพ่อตาย!!! ไอ้เตี้ยขี้แย แม่ไม่รักพ่อก็ตายด้วย!!!

     

     

     

     

     

                เด็กตัวขาวยืนกำหมัดอยู่อย่างนั้น สายตาเขามองตรงไปยังคนที่กำลังล้อปมด้อยของเขาอย่างสนุกปาก แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นของเด็กไร้เดียงสาเป็นเชื้อไฟให้เพื่อนร่างยักษ์จอมเกเรนึกฉุน คอเสื้อยืดถูกดึงขึ้นมาด้วยแรงมหาศาลจนทำให้เขาต้องยืนเขย่ง หลังจากนั้นเพียงอึดใจเดียวร่างของเด็กน้อยก็ถูกผลักให้ลมลงบนสนามหญ้า

     

     

                !!!” เขาไม่ร้องออกมาสักแอะ แม่เคยบอกว่าเกิดเป็นลูกผู้ชายต้องอดทน ทว่าน้ำตาที่ยังไหลอยู่นั่นกลับไม่เรียกความสงสารได้จากเด็กใจเหี้ยมตรงหน้าได้เลยสักนิด

                “ร้องไห้ทำไมเหรอ ร้องให้พ่อมาช่วยเหรอคิมจุนมยอน” เท้าหนักๆเหยียบลงบนกลางหน้าอก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนตัวใหญ่กำลังทิ้งน้ำหนักลงมาบนตัวเขาไม่น้อยจนทำให้ตอนนี้เขารู้สึกจุกอก

     

     

     

     

              ปั่ก!

     

     

     

                “โอ๊ย!!!!

                หินก้อนใหญ่ถูกปามาจากข้างหลังเต็มเหวี่ยง เจ้าอ้วนแผดร้องออกมาเสียงดังก่อนจะเซไปข้างหลัง พอได้เป็นอิสระเขาก็ตะเกียกตะกายลุกยืนขึ้นมาอย่างยากลำบาก เงยหน้ามองอีกครั้งก็พบว่ามีของเหลวสีแดงข้นไหลย้อยลงมาจากศีรษะของคนใจมารที่ทำร้ายร่างกายเขาอยู่เมื่อครู่นี้

                “อย่ามาว่าจุนมยอนนะ”

                สำเนียงเกาหลีที่เพี้ยนออกไปทำให้เขาแทบไม่ต้องเดาเลยว่าต้นเสียงมันอยู่ตรงไหน หินก้อนใหญ่อีกเป็นสิบก้อนเหวี่ยงปาเข้าไปยังจุดหมายเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก จากที่เคยมีเลือดไหลออกมาจากหัวตอนนี้ที่ดวงตาและริมฝีปากก็เริ่มปูดบวมขึ้นมาด้วย

                “ฮือ...”

                เด็กอ้วนล้มลงแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง กลุ่มเด็กเพื่อนบ้านมองไปทางด้านหลังของเขาสลับเจ้าหัวโจกที่กำลังแสดงความอ่อนแอออกมา หินก้อนสุดท้ายเหวี่ยงเข้าไปจนโดนข้างแก้ม ส่วนที่แหลมคมของมันปาดผิวหนังหนานั่นจนเกิดรอยแผลและมีเลือดไหลย้อยตามมา จุนมยอนหรี่ตามองอย่างเวทนาราวกับลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เจ้านั่นทำอะไรกับตัวเองเอาไว้

                “ไปได้แล้ว กลับบ้าน”

                คนที่อายุน้อยกว่ากระตุกชายเสื้อเขาจากข้างหลัง เขายืนมองเด็กคนอื่นที่นั่งลงปลอบใจเด็กอ้วนนั่นอยู่สักพัก พอหันกลับไปก็พบว่าน้องชายของตัวเองเดินออกไปไกลจนเกือบจะลับตา ถึงจะตัวเล็กกว่าเขามากแต่เด็กคนนี้ก็ยังมีหัวใจที่แข็งแกร่งกว่าเขาหลายเท่า... จุนมยอนยิ้มออกมาก่อนจะปาดหยาดน้ำที่เกาะอยู่บนแพขนตา ขาทั้งสองข้างเร่งทะยานออกไปจากสนามเด็กเล่นอย่างรวดเร็ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              “คุณลุงครับ ผมขอลูกบอลคืนหน่อยครับ”

     

     

     

                เสียงเด็กน้อยที่พูดยานคางทำให้นายตำรวจหนุ่มต้องกระพริบตาปริบให้ตื่นขึ้นมาจากห้วงความทรงจำ มองไปรอบๆก็เห็นว่าเด็กกลุ่มเดิมกำลังนั่งล้อมลงกันเล่นอะไรสักอย่างในเชิงสร้างสรรค์

     

     

                “คุณลุงครับ ผมขอลูกบอลหน่อยสิครับ”

                แรงกระตุกจากชายกางเกงแสล็คทำให้จุนมยอนต้องก้มหน้าลง เด็กชายตัวน้อยกำลังยืนมองขาตาแป๋วพลางชี้ไปที่ลูกบอลสีเหลืองขนาดเล็กซึ่งรู้ตัวอีกทีมันก็มาติดอยู่ตรงระหว่างแข้งของเขาอย่างพอดิบพอดี

                “คุณลุงครับ...”

     

     

     

                แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง...

     

     

     

                นายตำรวจหนุ่มย่อตัวลงให้ร่างกายอยู่ในระดับเดียวกับเด็กชายตัวน้อย นัยน์ตาสีเหล็กทอดมองไปยังรูปหน้าเล็กอันไร้เดียงสา พวงแก้มสีชมพูระเรื่อประกอบเข้ากับริมฝีปากสีสดนั่นช่างคล้ายคลึงกับคนที่อยู่ในความทรงจำของเขาราวกับถอดแบบกันออกมา...

     

     

                “ใช่อันนี้หรือเปล่าครับ?”

     

     

                อีกฝ่ายพยักหน้าลงหนึ่งครั้ง จุนมยอนระบายยิ้มออกมาบางๆพลางยื่นลูกบอลสีสดใสคืนให้แก่เจ้าของ เด็กชายตัวน้อยโค้งตัวลงอย่างสุภาพก่อนจะกล่าวขอบคุณเขาอย่างไม่นึกลังเล ขาเล็กทั้งสองข้างย่ำถี่แต่คงไม่รวดเร็วได้อย่างใจคิด นายตำรวจค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าพลางชะเง้อมองหลานชายที่เดินออกไปไกลจนแทบสุดสายตา

     

                เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาจากฟากนั้น เด็กชายตัวน้อยถูกอุ้มขึ้นมาจนตัวลอยอยู่กลางอากาศ แม้จะดีดดิ้นสักเท่าไหร่แต่อ้อมแขนของคนเป็นพ่อก็ยังรองรับเด็กคนนี้ได้ทุกทิศทาง เขาสาวเท้าเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวเพียงเพราะอยากจะมองเห็นทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นให้ชัดขึ้น

     

     

     

                ลู่หานไหวตัวทันและหันมามองเขาเพียงเสี้ยวตา...

     

     

     

                ใบหน้าคมขาวหุบยิ้มลงในทันทีก่อนจะก้มเก็บลูกบอลสีเหลืองบนพื้นในขณะที่อีกแขนยังโอบประคองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไว้แนบอก สายตาเรียบเย็นที่มองจากในระยะไกลไม่อาจลดทอนความหมายที่เจ้าตัวพยายามจะสื่อออกมาได้

     

     

     

              มันเป็นสิ่งที่จุนมยอนเข้าใจดี

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - To Be Continue –

     

     

               

                สวัสดีค่ะ ตัวดิฉันยินดีรับทุกข้อกล่าวหาค่ะรีดเดอร์ T_T

                ขอโทษที่หายไปนานนะคะแบบตันสุด ๆ หาอารมณ์มาเขียนยากจริง ๆ เลย 55555555555555555 พาร์ทนี้ลู่หมินไม่มีบทเลยโอ้ว...ขอให้พี่จุนจังหน่อยนะคะเดี๋ยวนางจะคิดว่าพวกเรายัดนางมาเป็นตัวประกอบ

     

                ขอบคุณมาก ๆ เลยที่ยังติดตาม #ฟิคมฟต ตอนนี้อาจจะน่าเบื่อไปสักหน่อยเพราะไม่ใช่เนื้อหาของพระนางที่ทุกคนรอคอยกันเนอะ แต่มันเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยากจะคายออกมาให้ทุกคนรู้ค่ะ เดี๋ยวพาร์ทต่อ ๆ ไปเราจะได้พบกับดราม่าพระนางแบบเต็มรสและจะร่วมกันเยินยอให้กับความง่าวของพี่หานมฟตค่ะ 5555555555555555555555 (สาบานว่าโลกนี้คงไม่มีไรเตอร์คนไหนสปอยล์ฟิคได้โหดสัดแบบอีหนวดอีกแล้ว!)

     

                ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ สกรีมแท็ก #ฟิคมฟต ขอบคุณทุกวิวที่เข้าชมและขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่านนะคะ แต่ขอความกรุณาเถอะค่ะมันอาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในฟิคเรื่องนี้ที่หนวดจะพูดแบบนี้...

     

     

              คอมเม้นท์กันเถอะ พลีสสสสสสสสสสสส!

     

               

                ช่วยกันคอมเม้นท์ขุดพยาธิขี้เกียจให้สลัดออกไปจนไขสันหลังของหนวดทีค่ะ T_T ขอบคุณมากๆเลยนะคะ รักนะคะรีดเดอร์ของชุ้น <3



     

    PORCELAIN  THEMEs
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×