คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 1:อะไรก็ไม่สำคัญเท่าลี่เซียนได้เกิดมาแล้ว [2/3]
ณ ลานเล็กๆ ที่ใช้สำหรับฝึกวรยุทธ์ของสำนักเทียมเมฆา ปรากฏบุรุษผิวขาวสองคนที่มีรูปร่างทัดเทียมกัน กำลังประลองเพลงกระบี่กันอย่างดุเดือด มาตรว่าจะเป็นเพียงการฝึกปรือฝีมือ กระนั้นก็ไม่มีใครยอมใคร โดยมีชายชราเคราสีดอกเลาในอาภรณ์สีฟ้าแซมขาวนั่งมองภาพตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ
เคร้ง! เกิดเสียงดังยามเมื่อคมเหล็กของกระบี่ทั้งสองเล่มกระทบกันพร้อมกับมีประกายสีเงินแปลบปลาบขึ้นมา
บุรุษใบหน้ากลมที่ดูจะมุทะลุมากกว่านาม ‘หยินซุ่น’ กระหน่ำตวัดกระบี่ใส่อีกฝ่ายไม่ยั้งมือ ขณะที่เจ้าของใบหน้าเรียวยกกระบี่ขึ้นมาตั้งรับอย่างสุขุมด้วยตอนนี้ยังมิอาจหาช่องทางตอบโต้ความเร่งร้อนของอีกฝ่ายได้
กระทั่งมีจังหวะหนึ่งที่บุรุษใบหน้ากลมฟาดฟันกระบี่มาอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายอยู่ที่กลางลำตัวของบุรุษหน้าเรียว อีกฝ่ายเบี่ยงตัวออกไปทางซ้ายเล็กน้อยพอให้รอดพ้นจากคมก่อนจะสืบเท้าเข้าไปหาบุรุษหน้ากลมอย่างผิดวิสัย พลางขยับข้อมือตวัดปลายกระบี่สวนกลับไปใส่ข้อมือบุรุษหน้ากลมสุดแรง หากแต่ตั้งใจไว้ว่าถ้าผู้ที่กำลังประมืออยู่ ซึ่งเป็นทั้งซือตี้ (ศิษย์น้องที่เป็นผู้ชาย) และอี้ตี้ (น้องชายร่วมสาบานของตน) มิสามารถตั้งรับได้ก็จะยั้งมือไว้ไมตรี
เคร้ง!
เมื่อเห็นเช่นนั้น บุรุษหน้ากลมจึงรีบวกปลายกระบี่ที่เมื่อครู่เพิ่งโถมกำลังฟาดฟันออกไปสุดแรงกลับมาปัดป้องได้ทันท่วงที แม้จะทุลักทุเลก็ตามที ลมปราณที่เพิ่งส่งออกไปถูกกระชากกลับมาอย่างแรง ทำให้สูญเสียพละกำลังไปไม่น้อย ครานี้จึงต้องกลายมาเป็นฝ่ายตั้งรับกระบวนท่าจากอี้เกอ (พี่ชายร่วมสาบาน) คนที่สามหรือ ‘หยินเฉิงกง’ เจ้าของใบหน้าเรียวยาวแทน
นับตั้งแต่เริ่มประลองมาจนถึงยามนี้ ทั้งคู่ก็หักล้างกันมาเกือบร้อยกระบวนท่าแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มมีเหงื่อกาฬท่วมตัว ‘หยินอี้ชวน’ ผู้เป็นซือฝุและเป็นเจ้าสำนัก ทั้งยังเป็นอี้ฟู่ (บิดาบุญธรรม) ของหยินซุ่นกับหยินเฉิงกงจึงตัดสินใจปรบมือเป็นสัญญาณให้ยุติการซ้อม
แปะๆๆ
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เก่งมากทั้งสองคน” จากนั้นก็เอ่ยกับบุรุษหน้าเรียวว่า
“เฉิงกงวันนี้เจ้าทำได้ดีมาก ท่ากระบี่ไร้ตาที่คราวก่อนใช้ออกไปผิดพลาด คราวนี้เจ้าก็รู้จักวิถีของมันแล้ว”
“ศิษย์ขอบพระคุณซือฝุขอรับ” เจ้าของชื่อกล่าวพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประสานกันแล้วค้อมศีรษะให้ซือฝุ จากนั้นหยินอี้ชวนจึงหันมาพูดกับบุรุษหน้ากลม
“ส่วนอาซุ่น พละกำลังและท่วงท่าของเจ้าดีแล้วล่ะ แต่ที่เราอยากให้ปรับปรุงคือความใจร้อน...อย่าคิดแต่จะรีบเอาชนะ รอดูท่าทีของอีกฝ่ายด้วย”
“ขอรับ ศิษย์น้อมรับคำชี้แนะของซือฝุ” เขาเอ่ยพร้อมกับทำท่าเดียวกันกับบุรุษหน้าเรียว ก่อนจะหันมาคารวะหยินเฉิงกง
“ขอบคุณซานเกอ (พี่สาม) เช่นกันขอรับที่ช่วยชี้แนะ”
สักพักก็ปรากฏร่างเด็กหญิงตัวน้อยเจ้าของใบหน้ากลมน่ารักสมวัยถือถาดน้ำชาและขนมเดินเข้ามาหาทุกคน
“เหยเหย่ (ท่านปู่) ซานซู (อาสาม) เสี่ยวซู (อาเล็ก) พักกินขนมจิบน้ำชาสักครู่เถิดเจ้าค่ะ”
“โอ้...อาขอบคุณเจ้ามากเพ่ยเพ่ย” เสี่ยวซูหรือหยินซุ่นพูดพลางรินน้ำชาจากป้านใส่จอกส่งให้ ผู้เป็นซือฝุหรืออีกฐานะหนึ่งคืออี้ฟู่ของตน และซานเกอก่อนจะรินให้ตนเอง
ซึ่งความจริงแล้ว การใช้คำว่าเสี่ยวมาเรียกเป็นลำดับของผู้ที่อาวุโสกว่าเป็นการมิสมควร ตามธรรมเนียมหลานสาวผู้นี้ต้องเรียกหยินซุ่นว่าซื่อซู (อาสี่) แต่หากเรียกเช่นนั้น ก็จะไปพ้องกับคำว่าสื่อที่แปลว่าตาย
ไหนๆ เขาก็เป็นน้องชายคนสุดท้องของซื่อเหิ่นจี๋เสียง (สี่ยอดมงคล) ที่แม้ชื่อซื่อเหิ่นจี๋เสียงนี้จะมีคำว่าซื่อที่พ้องเสียงกับสื่อเหมือนกัน แต่หากตายก็เป็นการตายที่มงคลมากซึ่งเป็นวลีที่ดูขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทั้งสี่คนรวมถึงอี้ฟู่ก็ภูมิใจกับคำพ้องนี้ กระนั้นพอมาอยู่หน้าตำแหน่งของหยินซุ่น ไม่ว่าจะเป็นซื่อตี้หรือซื่อซู เจ้าตัวล้วนไม่ชอบใจทั้งสิ้น!
เช่นนั้น ทุกคนจึงมองข้ามกฎเกณฑ์ดังกล่าวและเปลี่ยนคำเรียกขานหยินซุ่นจากซื่อเป็นเสี่ยว
“เจ้าค่ะ” เจ้าของชื่อตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ดวงตาสีดำที่ทอประกายรับกับเครื่องประดับรูปดอกไม้ที่สะท้อนแสงแวววับซึ่งติดอยู่บนผมรับกับอาภรณ์ยาวสีเหลืองส้มยิ่งเพิ่มความสดใสให้นางมากขึ้น
“เจ้าไม่สนใจฝึกวรยุทธ์บ้างหรือ?” หยินซุ่นถามดรุณีน้อยด้วยความสงสัย เพราะทุกครั้งที่หยินเพ่ยเพ่ยเอาของว่างมาให้ นางจะมองพวกเขาด้วยแววตาที่ทอประกายออกมาทุกครั้ง
“ข้าพเจ้าเป็นเด็กผู้หญิง จะฝึกวรยุทธ์ได้อย่างไรกันเจ้าคะ?” นางตอบพลางก้มหน้างุด เพราะเห็นศิษย์ในสำนักนี้ล้วนมีแต่ผู้ชาย อีกทั้งมารดาของนางก็มิเห็นฝึกฝนวรยุทธ์เช่นบิดาเลย
“เจ้าฝึกวรยุทธ์ที่สำนักเทียมเมฆาไม่ได้หรือบิดาของเจ้าอาจจะพอถ่ายทอดให้เจ้าได้บางส่วน แต่...หากเจ้าสนใจอยากฝึกอย่างเต็มที่ล่ะก็…เราสามารถพาเจ้าไปฝากตัวกับสำนักสตรีเหล็กได้” หยินอี้ชวนเสนอความคิดขึ้นมา แต่ ‘หยินเพ่ยเพ่ย’ ก็รีบส่ายหน้าทันที
“มิเอาเจ้าค่ะ ถ้าต้องห่างจากบิดามารดา ไกลจากซูซุ (ท่านอา) เหยเหย่ ข้าพเจ้าก็ไม่ไปหรอก”
“อายุเก้าขวบจึงคิดแค่เช่นนี้ เอาเถอะ…เดี๋ยวสามปีให้หลังเราจะถามเจ้าอีกครั้ง” หยินอี้ชวนกล่าวพร้อมกับยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะเด็กหญิงตรงหน้าเบาๆ
“คารวะซือฝุทั้งสามขอรับ” พลันก็มีเด็กหนุ่มผิวขาวรูปร่างสันทัดคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับย่อตัวทำความเคารพทั้งสาม
“อี้ปินเกอเกอ (พี่ชาย)!” หยินเพ่ยเพ่ยเรียกชื่อของผู้มาใหม่พลางจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยแววตาสีน้ำตาลเข้มปราดเปรียวซึ่งหันมาทางนางแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี
“อ้าวเพ่ยเพ่ย! เรียนวิชาการฝีมือเสร็จแล้วหรือ?” คู่สนทนาเอ่ยทักดรุณีน้อยเพียงหนึ่งเดียวที่เอ่ยรับคำด้วยท่าทีเอียงอาย
“เจ้าค่ะ”
“วันนี้ฝึกเสร็จแล้วหรือ!?” หยินเฉิงกงถาม ถึงจะอยู่ร่วมสำนักเดียวกัน แต่ยามฝึกหยินอี้ชวนก็จะจัดกลุ่มให้ฝึกกันตามระดับฝีมือ หรือผู้ใดที่หัวไวก็จะให้เก็บตัวฝึกฝนคนเดียวจนชำนาญแล้วมาช่วยชี้แนะศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ เมื่อเห็น ‘จางอี้ปิน’ พยักหน้า หยินซุ่นก็เอ่ยว่า
“เช่นนั้นแสดงให้พวกเราดูหน่อยสิ”
“ขอรับ” หลังจากรับคำ จางอี้ปินก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เกร็งลำตัวเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดขึ้นฟ้าโดยใช้กำลังภายในส่งให้ร่างลอยสูงขึ้น ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาลอยล่องดั่งเมฆา อันเป็นวิชาตัวเบาประจำสำนัก ก่อนจะชักกระบี่ออกมาร่ายรำกรีดกรายเป็นเพลงกระบี่ทะลุเมฆา ซึ่งเป็นลีลาเพลงกระบี่ที่แต่ละท่วงท่าคล้ายจะดูเฉื่อยชาบางเบา
ทว่าแท้จริงแล้วมิเฉื่อยชาบางเบา ออกแรงสะบัดกระบี่เพียงเล็กน้อยกลับสามารถสร้างความเสียหายรุนแรง มีทั้งหมดแปดกระบวนท่า และผู้ที่จะฝึกได้ต้องรู้จักควบคุมลมปราณในร่างกายของตนให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ มิเช่นนั้นแรงที่ส่งไปจะไร้ผล โดยมีหยินอี้ชวน หยินเฉิงกง หยินซุ่น หยินเพ่ยเพ่ย และศิษย์คนอื่นที่บังเอิญผ่านมาเห็นยืนมองอย่างชื่นชม
“แฮกๆ” เสียงจางอี้ปินหอบด้วยความเหนื่อยเมื่อเท้าแตะถึงพื้นหลังจากเสร็จสิ้นท่าทะลุเมฆา อันเป็นท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่ก่อนที่ทุกคนจะปรบมือให้เสียงดัง
“เก่ง...เก่งมาก!! นับวันเจ้าชักจะเก่งขึ้นทุกวัน” หยินอี้ชวนพูดพลางยิ้มอย่างยินดี
“สมกับที่เราเห็นเจ้าตั้งใจฝึกฝนทุกวัน ขอให้รักษาความดีนี้ไว้” หยินเฉิงกงกล่าว ส่วนหยินซุ่นก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“มิได้ขอรับ ที่ข้าพเจ้ามาไกลขนาดนี้เพราะได้พวกท่านคอยชี้แนะส่งเสริม” จางอี้ปินพูดด้วยความถ่อมตน ยิ่งทำให้เหล่าซือฝุพากันเอ็นดู และทำให้หัวใจของดรุณีน้อยเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะจนต้องหาทางปลีกตัว
“เช่นนั้น...” หยินเพ่ยเพ่ยเอ่ยขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก
“ข้าพเจ้าเอาถาดน้ำชากับขนมไปเก็บก่อนนะเจ้าคะ” เมื่อเห็นทุกคนพยักหน้ารับ นางก็รีบถือถาดผลุนผลันออกไปทันที…
Writer:ตัวละครสำคัญโผล่มาอีกแล้ว >_<
ร่วมพูดคุยกันได้ที่ Han Yu หานยวี่ / Meng Li Mao Hu เมิ่งลี่มาวหู น้า
ผลงานเรื่องอื่นๆ ของนักเขียน
แนวรักคอมเมดี้:
+รู้จักกับ 'หานอิงมี่' คุณหนูจอมแก่นที่ต้องถูกจับต่งงานกับคนที่เกลียดขี้หน้าอย่างท่านแม่ทัพ 'เซี่ยเฟยหง' ---> [สามพี่น้องตระกูลหาน] แต่งกับเจ้าแล้วไง! ข้าก็ไม่ได้รักเจ้าเสียหน่อย!
+รู้จักกับพี่ชายคนโตตระกูลหาน ผู้ที่มีศักดิ์เป็นพนักงานที่ได้เงินเดือนเยอะที่สุดในวังหลวง 'หานหมิงเทียน' และ 'จีลู่ฟาง' ฮูหยินตัวแสบ ---> [สามพี่น้องตระกูลหาน] สมรสพระราชทานบันดาลรัก
+รู้จักกับพี่ชายคนกลาง ผู้ที่สุดแสนจะเสเพลยิ่งกว่าน้องเขย 'หานหมิงซาน' แต่กลับต้องมาเสียปณิธานที่ว่าจะไม่ยอมลงให้สตรีหน้าไหนให้แก่หัวหน้าโจรสาวอย่าง 'ซือซิง'
-----> [สามพี่น้องตระกูลหาน] หอบรักมาห่มใจแม่นางโจร
แนวรักดราม่า:
+ต้องการเสพความหน่วงจาก 'เซียวหลินหลิง' สตรีที่เคยหลงรักในตัวของ 'ซือหยวนซา' คุณชายคนสุดท้องของสกุลและทนทำดีกับเขามาตลอดจนทนไม่ไหวเลยยื่นหนังสือหย่า ----> [สามบุพเพสกุลซือ] ทางใครทางมัน! เราหย่ากันแล้ว!
+ชอบแนวเต๊าะๆ เครียดๆ หวานเยอะสุดในซีรีส์สามบุพเพสกุลซือ ต้องคุณชายรอง 'ซือหยินซู' กับรัชทายาทมาร 'วั่งหลิวเหว่ย' เลยค่ะ
[สามบุพเพสกุลซือ] 18+แผนลับลวงใจ เสื้อแพรล่องหน (ของรัชทายาทมาร)
+ต้องการอ่านแนวสงครามสู้รบปรบมือ นางเอกเก่ง พบกับ 'จิวอวี้' และคุณชายใหญ่ 'ซือหยางซี' ได้ที่
---> [สามบุพเพสกุลซือ] บุปผาไร้งามกับกระบี่ไร้ใจ
+ต้องการเสพความหน่วงระดับฮาร์ดคอร์ ขึ้นไปจุดสูงสุดแล้วปล่อยตัวตกลงมาดังตุบจากเกมส์กระดานแห่งความแค้น ของ 'ฉินซิ่นซื่อ' กับ 'ซู่ซู่'
----->หัวเราะทีหลังดังกว่า
ต้องการเสพความหน่วงแบบจบง่ายไม่ต้องอ่านยาว
----->ห้วงมายา ปักษา ภารมย์
ความคิดเห็น