ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยุทธภพไร้ใจ ตัวข้าไม่ไร้รัก

    ลำดับตอนที่ #3 : 1:อะไรก็ไม่สำคัญเท่าลี่เซียนได้เกิดมาแล้ว [1/3]

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ค. 65


    1

    อะไรก็ไม่สำคัญเท่าลี่เซียนได้เกิดมาแล้ว

    ธรรมดาเมื่อมีขาวย่อมมีดำ มีมืดย่อมมีสว่าง มีธรรมะย่อมมีอธรรม

    มียอดฝีมือย่อมมีไร้ฝีมือ มีผู้มีปัญญาย่อมมีคนเขลา

    ล้วนปะปนกันอยู่ในยุทธภพแห่งนี้ทั้งสิ้น...

    เทพมารคู่อาฆาต สมดุลยภาพของจักรวาล

    มีมากกว่าสองแต่ย่อมไม่เป็นหนึ่ง

    สดับฟังหูไว้หู มองด้วยตาแต่ไว้ตา แยกแยะคำขานถ้อยเจรจา

    แล้วทุกอย่างจะกระจ่างภายในบัดดล…

    และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น...

    เกิดขึ้น!? เกิดขึ้นแบบไหน!? อย่างไร!?

    นั่นสิ...

    อาจจะเคยเกิดขึ้น หรือกำลังเกิดขึ้น...

    หรือกำลังจะเกิดขึ้นนั้นสุดที่จะมีผู้ใดทราบได้…

    ถ้าจะตั้งคำถามว่ายุทธภพแห่งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร คำตอบที่จะได้รับนั้นมีมากมายหลากหลายเลยล่ะ...

    บ้างก็ว่า...เกิดจากการที่อวี่หวงต้าตี้ได้ทำไข่มุกสองเม็ดคือหยินและหยางหล่นลงมาจากสวรรค์ แล้วไข่มุกทั้งสองเกิดกระทบกันแตกกลางอากาศ เปลือกนอกของไข่มุกได้รวมกันกลายเป็นยุทธภพ แผ่นดิน และผืนฟ้า ส่วนพลังงานที่สะสมอยู่ในไข่มุกก็ได้ให้กำเนิดสิ่งต่างๆ ในยุทธภพ โดยพลังงานหยางได้ให้กำเนิดดวงอาทิตย์ แสงสว่าง ความร้อน ความแห้งแล้ง มนุษย์เพศชาย สัตว์เพศผู้ และพลังงานหยินได้ให้กำเนิดดวงจันทร์ ความมืด ความหนาวเย็น ความชื้น มนุษย์เพศหญิง สัตว์เพศเมีย...

    บ้างก็ว่า...แต่ก่อนนั้น ฟ้าแลดินรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันในไข่ใบหนึ่ง ภายในไร้ซึ่งการแบ่งสูงต่ำ ไร้ซึ่งการแบ่งทิศทาง มีแต่ความมืดมิดและขุ่นมัว

    กระทั่งมีวีรบุรุษผู้หนึ่ง รูปร่างเหมือนยักษ์ ศีรษะมีเขา คิ้ว และดวงตาใหญ่ มีเขี้ยวยื่นออกมาจากปาก มีขนทั้งตัว มือซ้ายถือสิ่ว มือขวาถือขวานใหญ่นามว่า ‘ผานกู่’ ซึ่งนอนหลับอยู่ในนี้มาเป็นเวลานานแสนนานได้ลืมตาตื่นขึ้น แล้วก็ได้พบกับความอึดอัดและรุ่มร้อน ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก...

    ผานกู่จึงใช้ขวานที่ติดตัวมาจามใส่เปลือกไข่ เกิดเป็นเสียงกึกก้องไปทั่ว เปลือกไข่แตกออกทันที สิ่งของข้างในที่เป็นของเบาก็ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นกลายเป็นผืนฟ้า สิ่งที่หนักก็ค่อยๆ จมลงและกลายเป็นแผ่นดินส่วนตัวเขาได้ยืนค้ำแผ่นดินกับผืนฟ้าไว้ไม่ให้กลับมารวมกัน หลังจากนั้น ผานกู่เหน็ดเหนื่อยมาก จึงล้มลงขาดใจตาย อวัยวะต่างๆ ของท่าน ได้กลายเป็นสิ่งต่างๆ บนยุทธภพ รวมทั้งมนุษย์

    บ้างก็ว่า...แต่เดิมนั้นยุทธภพนี้เป็นแค่แผ่นดินกว้างใหญ่ที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางจักรวาล มีทุกอย่าง ทั้งลำธารสีสวย บรรยากาศที่งดงาม ป่าไม้แสนอุดมสมบูรณ์ ทว่าไร้ซึ่งสัตว์และมนุษย์ ทำให้ดูเงียบเหงา จนเมื่อ ’เทพธิดาหนี่วา’ จากสรวงสวรรค์ ซึ่งเป็นนักท่องจักรวาลได้มาพบกับยุทธภพแห่งนี้เข้า เทพธิดาคิดว่าที่นี่เป็นที่ที่น่าอยู่ยิ่ง จะขาดก็แต่สีสันของชีวิต จึงได้ใช้ดินเหนียวขึ้นมาปั้นเป็นสัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้า พอเริ่มชินมือแล้วก็ได้ปั้นเป็นมนุษย์ชายและหญิง จากนั้นก็เสกให้ทุกอย่างมีชีวิต แล้วเทพธิดาก็จากไปที่อื่น

    และบ้างก็ว่า...ยุทธภพนี้เดิมเป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำผิดกฎสวรรค์จึงถูกเนรเทศลงมา สูญสิ้นซึ่งพลังอำนาจวิเศษที่เคยมี กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ผู้ต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยสองมือและสติปัญญาที่มีเพื่อให้สามารถมีชีวิตรอดอยู่ในธรรมชาติได้

    คำตอบเหล่านี้ล้วนเป็นตำนานที่เล่าขานกันต่อๆ มาผ่านตำราคนละเล่มทั้งสิ้น ความเชื่อคนละแบบ แนวคิดคนละทาง และบางเรื่องซือฝุ (อาจารย์) ของนางก็เป็นคนเล่าให้ฟัง

    เอาเถอะ...จะผานกู่หรือหนี่หวาก็ช่างเถิด!

    อย่างไร...สำหรับ ‘ม่อหลันลี่เซียน’ แล้ว...

    ดรุณีน้อยก็หาได้สนใจไม่ว่าตำนานไหนเป็นของจริง

    จะสนใจไปไย...

    เพราะทุกอย่างก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว

    อีกประการ...

    ยุทธภพจะเกิดมาอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่านางได้เกิดมาอยู่ในยุทธภพแล้ว ควรเอาเวลามาพัฒนาตนเองมากกว่าจะไปสืบสาวราวเรื่องของอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนใช่หรือไม่เล่า…

    จุดเริ่มต้นของนางนั้นเริ่มมาจาก…

    “ข้าพเจ้าอยากฝึกวรยุทธ์เจ้าค่ะ....”

    ณ ลานกว้างของโรงฝึกที่มีหลังคาไม้สีน้ำตาลปกคลุม ดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มวัยห้าขวบ ผมสีดำขลับทั้งสองข้างถูกมัดรวบเป็นซาลาเปาด้วยผ้าแพรสีฟ้าอ่อนกล่าวกับอี้หมู่ (มารดาบุญธรรม) ของตนด้วยแววตาเป็นประกาย หลังจากเห็นเด็กผู้หญิงหลายคนกำลังฝึกวรยุทธ์กันอย่างขันแข็ง 

    บ้างก็ใช้กระบี่ไม้ประลองฝีมือกัน บ้างก็ใช้มือเปล่า บ้างก็ขยับกายยืดเหยียดเพื่อเตรียมความพร้อม ช่างดูน่าสนใจเหลือเกิน ตัวนางถูกอี้หมู่ที่มีศักดิ์เป็นเจ้าสำนักนำมาเลี้ยงตั้งแต่อายุขวบเศษ กระทั่งตอนนี้ผ่านมาห้าปีแล้ว เฝ้าสังเกตพวกเขามานานมาก ในที่สุดจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอออกไป

    “เจ้าแน่ใจหรือ!?” เจ้าสำนักแมงป่องฟ้า 'เต๋อเนี่ยนเจิน' ถามดรุณีน้อยตรงหน้าด้วยความสงสัย ความจริงก็ตั้งใจว่าจะถ่ายทอดวิชาวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่คิดว่าจะรอให้ม่อหลันลี่เซียนโตและรู้ความกว่านี้ก่อน คาดมิถึงว่าบุตรสาวบุญธรรมของนางจะร้องขอเอง

    “แน่ใจเจ้าค่ะมารดา” ม่อหลันลี่เซียนตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ แม้ตนเองกับสตรีข้างกายจะไม่ได้มีสัมพันธ์ทางสายเลือดเกี่ยวข้องกัน แต่นางก็เต็มใจที่จะเรียกขานอีกฝ่ายดุจมารดาผู้ให้กำเนิด เพราะตั้งแต่จำความได้ก็มีแค่อี้หมู่ที่คอยเลี้ยงดูนางมาตลอด 

    เมื่อเห็นท่าทางของเด็กหญิงวัยห้าขวบจึงกล่าวว่า

    “เราขอบอกไว้ก่อน การฝึกวรยุทธ์นั้นมิใช่เรื่องเล่นๆ ทั้งการฝึกก็หาได้ง่ายดายไม่ เราเกรงว่าฝึกไปได้ไม่เท่าไร ตัวเจ้าในตอนนี้ก็จะทิ้งขว้าง…มิสู้รอให้เจ้าอายุมากกว่านี้แล้วค่อยตัดสินใจดีหรือไม่?”

    “แม้ข้าพเจ้าจะอายุเพียงห้าขวบ แต่ก็ไม่คิดทิ้งขว้างกลางคันแน่นอนเจ้าค่ะ! ข้าพเจ้าให้สัญญาว่าถ้าข้าพเจ้าได้เป็นศิษย์สำนักท่านแล้ว จะฝึกต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จ หากมิสำเร็จก็ไม่มีทางล้มเลิก” น้ำเสียงที่หนักแน่นและแน่วแน่ของอีกฝ่ายทำให้เต๋อเนี่ยนเจินนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด ก่อนเอ่ยว่า

    “ถ้าอย่างนั้นเจ้าตามเรามา” แล้วนางก็เดินนำมาที่เรือนไม้เล็กๆ หลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับโรงฝึก

    แอ๊ด~~

    ประตูไม้บานใหญ่สีน้ำตาลเข้มที่ดูเปี่ยมไปด้วยมนตร์ขลังค่อยๆ ถูกเลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสภาพข้างในที่ดูเรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน ซึ่งมีป้ายวิญญาณของเจ้าสำนักคนเก่าตั้งเรียงรายอยู่บนฐานหินอย่างเป็นระเบียบ

    โดยป้ายที่เด่นที่สุดคือป้ายวิญญาณสองแผ่นที่สลักนามของ ‘ซือฉี’ และ ‘ซูเซียว’ อันเป็นนามของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก

    “ม่อหลันลี่เซียน...” เจ้าสำนักแมงป่องฟ้าคนปัจจุบันเรียกชื่อบุตรสาวบุญธรรมของตนเบาๆ

    “เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินดรุณีน้อยรับคำ เต๋อเนี่ยนเจินจึงจุดธูปหอมแล้วนำธูปส่วนหนึ่งไปโค้งคำนับป้ายวิญญาณ อีกส่วนก็ยื่นให้ม่อหลันลี่เซียน ก่อนจะให้อีกฝ่ายคุกเข่าลง

    “เจ้าอยากเป็นศิษย์สำนักแมงป่องฟ้าใช่หรือไม่!?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “ใช่เจ้าค่ะ ข้าพเจ้าแซ่ม่อหลัน นามลี่เซียนอยากเป็นศิษย์ของสำนักแมงป่องฟ้า” ม่อหลันลี่เซียนตอบด้วยแววตามุ่งมั่น

    “เช่นนั้น ตัวเราเต๋อเนี่ยนเจิน เจ้าสำนักแมงป่องฟ้ารุ่นที่สี่ขอประกาศรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ของสำนักเรา” หลังจากเต๋อเนี่ยนเจินพูดจบม่อหลันลี่เซียนก็คำนับให้ป้ายวิญญาณตรงหน้าทันที โดยไม่ต้องรอให้มารดาบุญธรรมที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นซือฝุของตนบอก

    “นี่คือกฎของสำนัก ยามว่างเจ้าเอาไปศึกษาให้เข้าใจ แต่เราว่าเจ้าไม่น่ามีปัญหาอะไร” เนี่ยนเจินพูดพลางหยิบคู่มือที่หุ้มด้วยหนังกวางสีน้ำตาลออกมาจากอกเสื้อส่งให้ม่อหลันลี่เซียน ร่างบางรับไปแล้วเอ่ยว่า

    “ทราบเจ้าค่ะ” จากนั้นเต๋อเนี่ยนเจินก็พูดต่อ

    “ส่วนวันพรุ่งนี้ เราจะมอบย่าม ป้ายสำนักและกระบี่ประจำตัวให้เจ้า”

    “เจ้าค่ะ ศิษย์ขอบพระคุณซือฝุ” ดรุณีน้อยกล่าวด้วยความตื้นตันใจ

    “ตอนนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์ของสำนักเเมงป่องฟ้าแล้ว เอาล่ะ...ตามเรามา”

    แล้วเต๋อเนี่ยนเจินก็เดินนำม่อหลันลี่เซียนกลับมาที่เดิม พลางเอ่ยเรียกศิษย์คนหนึ่ง 

    “ซูฮุ่ยจู!! มาหาเราหน่อย” หลังจากเต๋อเนี่ยนเจินพูดจบ ก็มีเด็กผู้หญิงที่ตัวสูงที่สุดในอาภรณ์เรียบง่ายสีชมพูอ่อน ซึ่งตอนแรกกำลังจัดท่าทางให้เด็กหญิงอีกคนเดินเข้ามาหานาง

    “ศิษย์คารวะซือฝุเจ้าค่ะ” เจ้าของชื่อเอ่ยพลางย่อตัวคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม

    “นี่คือศิษย์ใหม่ของสำนักเรา ม่อหลันลี่เซียน” เต๋อเนี่ยนเจินแนะนำม่อหลันลี่เซียนต่อซูฮุ่ยจู จากนั้นก็หันมาพูดกับดรุณีน้อยว่า

    “นี่คือซูฮุ่ยจู ศิษย์ที่อาวุโสที่สุดของสำนักเรา เจ้าต้องให้ความเคารพนางมากๆ”

    “เจ้าค่ะ” ลี่เซียนตอบพลางยิ้มให้ซือฝุและซูฮุ่ยจู ก่อนจะย่อตัวทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างรู้หน้าที่

    “ซูซือเจี่ย (ศิษย์พี่ที่เป็นผู้หญิง) ลี่เซียนซือเม่ย (ศิษย์น้องที่เป็นผู้หญิง) ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะเจ้าคะ”

    “ซือเจี่ยก็ขอฝากตัวเช่นกัน” ซูฮุ่ยจู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “เดี๋ยวให้เจ้าช่วยพาศิษย์ใหม่ผู้นี้ไปทำรู้จักกับคนอื่นๆ ได้หรือไม่? ลี่เซียนวันนี้เจ้าก็เดินดูรอบๆ สำนักไปก่อนละกัน”

    “ได้เจ้าค่ะซือฝุ” ซูฮุ่ยจูตอบพร้อมกับยิ้มบางๆ ส่วนม่อหลันลี่เซียนก็รับคำอย่างว่าง่าย

    “เจ้าค่ะ” 

    “ลำบากเจ้าแล้ว” เต๋อเนี่ยนเจินเอ่ยกับซูฮุ่ยจูก่อนจะเดินแยกไป

    “ศิษย์เต็มใจเจ้าค่ะ” นางกล่าว แล้วเข้ามาจูงมือม่อหลันลี่เซียน พร้อมกับพาเดินไปตามทาง สักพักก็ถามขึ้นว่า

    “ดูเจ้าตัวเล็กๆ อายุเท่าไรหรือ?”

    “ห้าขวบเจ้าค่ะ”

    “อ้อ...อายุน้อยจัง เราอายุสิบหกขวบ” แล้วซูฮุ่ยจูก็ถามต่อด้วยความสงสัย

    “ทำไมซือฝุถึงจับเจ้ามาเข้าสำนักล่ะ?” ความจริงนางเคยเห็นม่อหลันลี่เซียนตอนยังเป็นเพียงเด็กที่เพิ่งเดินได้มาแล้วคราหนึ่ง และตอนอีกฝ่ายอายุได้สามขวบก็เห็นซือฝุพามานั่งเล่นขณะที่ตนเองมาสอนพวกนางฝึกวรยุทธ์ แต่ก็มิได้จดจำใส่ใจนัก เพียงแต่คาดมิถึงว่าวันนี้อีกฝ่ายจะกลายมาเป็นซือเม่ยของตน

    “ซือฝุมิได้จับข้าพเจ้ามาเข้าสำนักเจ้าค่ะ เป็นตัวข้าพเจ้าเองที่ขอซือฝุว่าอยากฝึกวรยุทธ์” ม่อหลันลี่เซียนกล่าวพลางยิ้มบางๆ

    “อ้อ...เช่นนั้นเจ้าควรจะรู้ไว้ว่าการฝึกวรยุทธ์ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ ที่ใครจะทำก็ได้ อย่าทำให้ซือฝุผิดหวังล่ะ” ซูฮุ่ยจูพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิมแต่แฝงความดูแคลนอยู่หน่อยนึง จากนั้นก็เข้ามากระซิบที่ข้างหูม่อหลันลี่เซียน

    “ถ้าเจ้าทำให้ผิดหวังล่ะก็...เราจะให้ซือฝุขับเจ้าออกจากสำนักเสีย!”

    “ข้าพเจ้าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง ขอบคุณซูซือเจี่ยที่ชี้แนะ” ม่อหลันลี่เซียนยังคงตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทำให้ซูฮุ่ยจูรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ที่ดรุณีน้อยไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวตนเลยแม้แต่น้อย

    “นี่พวกเจ้ามานี่หน่อย!!!” ซูฮุ่ยจูเรียกคนอื่นๆ ที่กำลังฝึกวิชาอยู่ให้มาหานาง ตรงท้ายประโยคได้กระแทกเสียงใส่เพื่อระบายความโมโหที่เกิดขึ้นในใจ 

    “คารวะซูซือเจี่ยเจ้าค่ะ” ทุกคนพูดพลางย่อตัวทำความเคารพผู้ที่อาวุโสที่สุดในสำนักอย่างนอบน้อม

    “นี่คือศิษย์ใหม่ของสำนักเรา...ม่อหลันลี่เซียน อายุห้าขวบ” ซูฮุ่ยจูยังคงเอ่ยเสียงห้วนอย่างไม่สบอารมณ์

    เมื่อทุกคนรู้อายุของม่อหลันลี่เซียนต่างก็พากันฮือฮา ด้วยซือฝุไม่เคยรับศิษย์ที่อายุน้อยขนาดนี้เข้าสำนักมาก่อน แสดงว่าดรุณีน้อยคนนี้ต้องเก่งกาจมากแน่ๆ จากนั้นก็พากันกรูเข้ามาแนะนำตัวด้วยความตื่นเต้น ซึ่งก็มีหลายคนที่จำได้ว่าเคยเห็นม่อหลันลี่เซียนมาก่อน

    “ตัวข้าพเจ้าชื่อ ‘ชัวลี่มี่’ ” เจ้าของชื่อที่สูงน้อยกว่าซูฮุ่ยจูหน่อยหนึ่งในอาภรณ์สีม่วงอ่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงอย่างรู้สึกถูกชะตากับเด็กหญิงตรงหน้า

    “ตัวข้าพเจ้าชื่อผิงผิง” ดรุณีรูปร่างท้วมเตี้ยกล่าวพลางส่งยิ้มให้

    “ข้าพเจ้าคือกันซูหนี่ ส่วนนี่เหยาหนิงซี” กล่าวจบ ผู้ที่บอกว่าตัวเองชื่อกันซูหนี่ก็ลากเหยาหนิงซีไปยืนอยู่ข้างๆ ซูฮุ่ยจู ก่อนที่คนอื่นๆ อีกสิบคนจะทยอยเข้ามาทำความรู้จักกับม่อหลันลี่เซียนต่อ…

    กระทั่งเมื่อทุกคนแนะนำตัวกันจนครบ ร่างบางก็ย่อตัวคำนับทุกคนอย่างนอบน้อมมุมปากประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ 

    “ลี่เซียนซือเม่ยขอคารวะซือเจี่ยทุกคนเจ้าค่ะ การกระทำของดรุณีน้อยทำให้หลายคนบังเกิดความเอ็นดูในตัวนาง…

     

     

    Rewrite รอบที่ 4 =24/7/2564


     

    Writer:ขอฝากแม่หนูน้อยลี่เซียนไว้ในอ้อมกอดของทุกคนด้วยนะคะ

    ร่วมพูดคุยกันได้ที่ Han Yu หานยวี่ / Meng Li Mao Hu เมิ่งลี่มาวหู น้า

    ผลงานเรื่องอื่นๆ ของนักเขียน

     

    แนวรักคอมเมดี้:

    +รู้จักกับ 'หานอิงมี่' คุณหนูจอมแก่นที่ต้องถูกจับต่งงานกับคนที่เกลียดขี้หน้าอย่างท่านแม่ทัพ 'เซี่ยเฟยหง' ---> [สามพี่น้องตระกูลหาน] แต่งกับเจ้าแล้วไง! ข้าก็ไม่ได้รักเจ้าเสียหน่อย!

    +รู้จักกับพี่ชายคนโตตระกูลหาน ผู้ที่มีศักดิ์เป็นพนักงานที่ได้เงินเดือนเยอะที่สุดในวังหลวง 'หานหมิงเทียน' และ 'จีลู่ฟาง' ฮูหยินตัวแสบ ---> [สามพี่น้องตระกูลหาน] สมรสพระราชทานบันดาลรัก

    +รู้จักกับพี่ชายคนกลาง ผู้ที่สุดแสนจะเสเพลยิ่งกว่าน้องเขย 'หานหมิงซาน' แต่กลับต้องมาเสียปณิธานที่ว่าจะไม่ยอมลงให้สตรีหน้าไหนให้แก่หัวหน้าโจรสาวอย่าง 'ซือซิง'

    -----> [สามพี่น้องตระกูลหาน] หอบรักมาห่มใจแม่นางโจร

    แนวรักดราม่า:

    +ต้องการเสพความหน่วงจาก 'เซียวหลินหลิง' สตรีที่เคยหลงรักในตัวของ 'ซือหยวนซา' คุณชายคนสุดท้องของสกุลและทนทำดีกับเขามาตลอดจนทนไม่ไหวเลยยื่นหนังสือหย่า ----> [สามบุพเพสกุลซือ] ทางใครทางมัน! เราหย่ากันแล้ว!

    +ชอบแนวเต๊าะๆ เครียดๆ หวานเยอะสุดในซีรีส์สามบุพเพสกุลซือ ต้องคุณชายรอง 'ซือหยินซู' กับรัชทายาทมาร 'วั่งหลิวเหว่ย' เลยค่ะ

    [สามบุพเพสกุลซือ] 18+แผนลับลวงใจ เสื้อแพรล่องหน (ของรัชทายาทมาร)

    +ต้องการอ่านแนวสงครามสู้รบปรบมือ นางเอกเก่ง พบกับ 'จิวอวี้' และคุณชายใหญ่ 'ซือหยางซี' ได้ที่

    ---> [สามบุพเพสกุลซือ] บุปผาไร้งามกับกระบี่ไร้ใจ

    +ต้องการเสพความหน่วงระดับฮาร์ดคอร์ ขึ้นไปจุดสูงสุดแล้วปล่อยตัวตกลงมาดังตุบจากเกมส์กระดานแห่งความแค้น ของ 'ฉินซิ่นซื่อ' กับ 'ซู่ซู่'

    ----->หัวเราะทีหลังดังกว่า

    ต้องการเสพความหน่วงแบบจบง่ายไม่ต้องอ่านยาว

    ----->ห้วงมายา ปักษา ภารมย์

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×