ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องวัยรุ่นอย่างเราๆ

    ลำดับตอนที่ #3 : เข้าใจโรคเอดส์

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 50


    เข้าใจโรคเอดส์
    HIV/AIDS

    คือภาวะที่ร่างกายติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เชื้อไวรัสนี้มีชื่อว่า HIV เจ้าเชื้อไวรัสตัวนี้จะเข้าไปทำลาย "ภูมิคุ้มกัน" ของร่างกาย เมื่อร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ผู้ที่ติดเชื้อก็จะป่วยจากโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายดายมาก เนื่องจากไม่มีระบบในการป้องกัน หรือมีระบบป้องกันต่ำ โรคติดเชื้อที่มักพบเห็นได้ในผู้ที่มีไวรัสHIVหรือเป็นโรคเอดส์ได้แก่ วัณโรค เชื้อราในสมอง ติดเชื้อในกระแสโลหิตรุนแรง ปอดบวม ท้องร่วงเรื้อรัง ดังนั้น เราก็พอจะสรุปได้ว่า เจ้าตัวไวรัสHIVนั้น ไม่ได้เป็นตัวการของการเกิดโรคติดชื้อโดยตรง แต่มันจะเป็นตัวทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย คล้ายเป็นผู้ทำลายกำแพงเมืองนั่นเอง เมื่อกำแพงเมืองถูกทำลายแล้ว ไม่ว่าข้าศึกมาจากทิศไหน เป็นใคร ก็สามารถโจมตีเมืองได้โดยไม่มีอะไรขัดขวาง เข้าใจกันหรือยัง ?
    คนที่ได้รับเชื้อ HIV หรือเป็นโรคเอดส์นี้ ร่างกายจะไม่แสดงอาการในทันทีนะ อาการต่าง ๆ จะเริ่มแสดงออกมาหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 5-10 ปี หลังจากนั้นก็จะเริ่มป่วยอย่างเรื้อรัง คือ รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายนั่นเอง เช่นเป็นวัณโรคเรื้อรัง หรือ ปอดบวมเรื้อรัง ประมาณนี้แหละ ถ้าผู้ติดเชื้อดูแลตัวเองเป็นอย่างดีคือพยายามรักษาร่างกายให้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ได้รับยาอย่างสม่ำเสมอและโชคดีไม่เป็นโรคแทรกซ้อนรุนแรงก็มักจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เฉลี่ย 2-5 ปี

      

    การตรวจพบเชื้อไวรัสHIV
    การตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีจะไม่สามารถพบได้จนกว่าร่างกายจะเริ่มสร้างสารแอนตี้บอดี้ต่อเชื้อเอดส์คือสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อพยายามต่อสู้กับเชื้อดังกล่าว) ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6 เดือนจึงจะตรวจเจอในเลือด ไม่ใช่ว่าเธอไปมีเซ็กซ์โดยไม่ได้ป้องกันเมื่อวานนี้ วันนี้เธอไปตรวจเลือดแล้วผลออกมาเป็นเนกาทีฟ คือตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวีแล้วเธอจะสบายใจได้ว่าไม่ติดเชื้อนะ หกเดือนไปแล้วโน่น ถึงจะรู้ นี่แหละคือความน่ากลัวอย่างหนึ่งของมัน เพราะระหว่างหกเดือนที่ว่านี้ คนที่มีเชื้อไวรัสHIVโดยไม่รู้ตัวจะไปมีเซ็กซ์โดยไม่ได้ป้องกัน และแพร่เชื้อกับใครต่อใครอีกกี่คนก็ไม่รู้ นี่แหละ การป้องกันตัวเองถึงได้สำคัญนัก

     

    การติดต่อของไวรัสHIV ติดต่อได้ 3 ทาง คือ
    1. ทางเลือด คือ ทางบาดแผล เข็มฉีดยา เยื่อบุช่องปาก หรือ เยื่อบุตา การติดต่อแบบนี้มักเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ใช้ยาเสพย์ติดด้วยเข็มฉีดยา การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันนั้นอันตรายสุด ๆ เดี๋ยวนี้เวลาฉีดวัคซีนต่าง ๆ หมอเค้าก็ใช้เข็มฉีดยาแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งทั้งนั้น เช่นเดียวกับอุปกรณ์ทางทันตกรรม ทุกอย่างต้องฆ่าเชื้อแล้วฆ่าเชื้ออีกเพื่อความปลอดภัยทั้งสิ้น อ้อ แล้วเพื่อน ๆ ที่ชอบสักหรือเจาะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็เหมือนกัน ต้องแน่ใจนะว่าคนทำเค้าดูแลอุปกรณ์ของเขาอย่างได้มาตรฐาน ไม่มีเลือดคนอื่นมาเข้าสู่ร่างกายของเราทางบาดแผลจากการสักหรือเจาะ
    2. จากแม่ สู่ลูกในครรภ์ กรณีนี้เด็กไม่ได้ติดเชื้อทุกราย ปริมาณการติดเชื้อจะอยู่ที่ 25-30% เท่านั้น และถ้ามีการใช้ยาเพื่อป้องกันด้วย การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกจะลดลงไปอีกเหลือแค่ 8-10%เท่านั้น
    3. ทางเพศสัมพันธ์ เชื้อไวรัสHIVสามารถซึมผ่านเยื่อบุท่อปัสสาวะ ช่องคลอด และเยื่อบุทวารหนัก ได้โดยไม่ต้องมีรอยถลอกหรือบาดแผล การมีเซ็กซ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องเป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อทั้งไวรัสHIVและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ อีกหลายโรคด้วย

     แอบฟังสองวัยรุ่นเพื่อนซี้คุยกัน.......
    งงหนึ่ง จูบกัน ติดเอดส์หรือเปล่า ?
    งงสอง เออ นั่นสิ เป็นคำถามที่ดี
    งงหนึ่ง ว่าไงล่ะ
    งงสอง แหม มันก็พูดยาก แลกน้ำลายไม่ติดเอดส์ แต่แลกเลือดติด
    งงหนึ่ง งั้นก็แปลว่า จูบกันก็ไม่ติดเอดส์น่ะสิ
    งงสอง จูบกันขนาดไหนล่ะ รุนแรงปานใด วานบอก
    งงหนึ่ง เกี่ยวอะไรด้วยเหรอ
    งงสอง ก็ถ้าแรงมากก็เป็นแผล เลือดออก หรือถ้าปากเป็นแผลอยู่แล้วมีเลือดออก ก็ไม่แน่
    งงหนึ่ง อ้าว
    งงสอง เออสิ
    งงหนึ่ง ว้า..... แล้วออรัลเซ็กซ์ล่ะ
    งงสอง เสี่ยงเหมือนกัน เพราะในน้ำกามมีความเข้มข้นของไวรัสHIVสูงกว่าในน้ำลายมาก ถ้าเกิดการ กลืนลงไปล่ะก็ โอกาสติดเชื้อเป็นไปได้สูงเพราะเยื่อบุช่องปากและลำคอนั้นบางมาก ไม่ต้องมีแผลก็สามารถติดเชื้อได้
    งงสอง ว้า.....ทำไมมันยากจัง
    งงหนึ่ง ก็ต้องป้องกันตัวเองล่ะนะ ทางที่ดีก็ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลาที่มีเซ็กซ์ แล้วการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ แบบไม่คิดหน้าคิดหลังน่ะ เลิกทำซักที คิดซะว่า เรามีเซ็กซ์กับคน ๆ หนึ่ง เราไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเค้าเพียงคนเดียวนะ มันแทบจะเรียกได้ว่าเรามีความสัมพันธ์กับคนทุกคนที่เขาเคยมีเซ็กซ์ด้วย ต่อ ๆ กันไปเหมือนใยแมงมุม คราวหน้าก็คิดดี ๆ คนเรามันไม่ได้โชคดีไปได้ตลอดหรอก
      

    เอดส์ ยังไม่มียารักษา หยุดแล้วคิดนิดหนึ่ง
    รู้มั้ยว่าตอนนี้สถิติวัยรุ่นติดเชื้อเอชไอวีมีสูงขึ้นเรื่อย ๆ เรามีความรู้เรื่องโรคเอดส์เพิ่มขึ้นมากมายแต่ทำไมเราติดเชื้อกันมากขึ้น เป็นเพราะความเชื่อผิด ๆ หลาย ๆ อย่างหรือเปล่า เป็นเพราะความประมาทหรือเปล่า หรือเพียงเพราะว่าเราคิดกันว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา?
    ต่อไปนี้จะขอรวบรวมความเชื่อผิด ๆ ที่หลายคนเชื่อเกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์
    1.การมีเพศสัมพันธ์ครั้งเดียวคงไม่ติดเอดส์
    จะบ้าเรอะ ถ้ามีเซ็กซ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย(อย่างถูกต้อง)กับคนที่เป็นเอดส์คุณก็จะติดเอดส์ ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งครั้งหรือร้อยครั้ง เพราะมันก็คือการแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกายกัน อ้อ ความเชื่อนี้ก็จะโยงใยเข้าไปสู่ความเชื่อผิด ๆ ข้อต่อไปที่ว่า
    2.การหลั่งภายนอกป้องกันเอดส์ได้ ผิดถนัดอีกเหมือนกัน เพราะแม้ก่อนฝ่ายชายจะหลั่งก็ยังมีของเหลวหล่อลื่นต่าง ๆ ออกมาจากอวัยวะเพศอยู่ดี การเดินทางของเชื้อไวรัสสามารถเกิดขึ้นได้ก่อนฝ่ายชายจะถึงจุดสุดยอด
    3.การล้างทำความสะอาดหลังมีเพศสัมพันธ์ทันทีคงไม่ติดเอดส์ เช่นเดียวกับคนที่คิดว่าล้างทำความสะอาดหลังมีเพศสัมพันธ์ทันทีจะสามารถป้องกันไม่ให้ท้องได้นั่นแหละ ท้องกันมานักต่อนักแล้ว เพื่อน ๆ ที่รัก เอดส์ล้างไม่ออกนะ ต่อให้หัวฉีดพ่นน้ำของคุณแสนจะมีประสิทธิภาพทะลุทะลวงอย่างไรก็ตามเถอะ อย่าเชื่อใครที่บอกอย่างนี้เป็นอันขาด
    4.ความเชื่อที่ว่าเด็กนักเรียนไม่เป็นเอดส์ ทำไมเหรอ ชุดนักเรียนมันมีอานุภาพต่อต้านไวรัสเอชไอวีได้งั้นรึไง มนุษย์ทุกคนไม่ว่าหญิงชาย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เมื่อเริ่มมีเซ็กซ์โดยไม่ป้องกัยกับคนมากกว่าหนึ่งคนก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีกันทั้งนั้น เลิกฝันเฟื่องว่าชุดนักเรียนจะเป็นทางสว่างทางรอดซักทีเถอะ เด็กทารกยังติดเชื้อจากครรภ์แม่ได้เลย ใช้สมองคิดหน่อยน่า เช่นเดียวกับพวกที่คิดว่า....
    5.คนนี้เป็นเพื่อน เราไม่น่าจะติดเอดส์จากเค้า คนที่คิดเช่นนี้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีจนน่าตกใจ เราไม่ได้อยู่กับเพื่อนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาตลอดชีวิตของเขานะ ใครจะไปรู้ว่าเพื่อนที่ว่าของเราเนี่ยไปทำอะไรที่ไหนยังไงกับใครเมื่อไหร่มาบ้าง? สิ่งที่เราไม่รู้นั่นแหละ คือสิ่งที่จะนำความหายนะมาสู่เรา เพื่อนของเราเขาอาจจะไปมีเซ็กซ์โดยไม่ได้ป้องกันกับ "เพื่อน" ของเขา ซึ่งเราก็ไม่รู้จัก แล้วเพื่อนของเขาที่เราไม่รู้จักนี้ ก็อาจจะไปมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันกับเพื่อนของเขาอีกที ซึ่งเราไม่มีวันจะได้รู้จัก และเพื่อนคนนั้นก็อาจจะเคยไปมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันกับเพื่อนของเขาอีกที ที่เป็นเอดส์ตายไปแล้วก็ได้ เข้าใจหรือยัง?

    เพื่อน ๆ ที่รัก เราก็ได้รู้กันแล้วว่าเอดส์นั้นน่ากลัวและติดกันได้ง่ายกว่าที่คิด การมีเซ็กซ์อย่างประมาทกับคนมากมายนั้นมันหมดสมัยไปแล้ว ถุงยางอนามัยและไม่มั่วคือคำตอบที่ดีที่สุดของพวกเราในวันนี้ ถุงยางอนามัยน่ะ ไม่ใช่ของน่าอายหรือชั่วร้าย พกมันเอาไว้เถิด ไม่ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม ชีวิตของเรา เราต้องดูแลรักษาเอง อย่าไว้ใจใครเป็นอันขาด รู้น่า ว่ามันฟังดูโหด ๆ เราเชื่อว่า ไม่มีใครตั้งใจที่จะแพร่เชื้อเอดส์หรอก ต่างคนก็ต่างไม่รู้ด้วยกันทั้งนั้น อย่าคิดว่าจะมีใครดูแลเราได้ดีกว่าตัวเราเอง ความรักเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องสวยงาม แต่อย่าลืมที่จะรักตัวเองด้วย สมัยนี้ก่อนจะตกลงแต่งงานกัน คนมากมายนิยมที่จะไปตรวจเลือด ตรวจร่างกายกันก่อนเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย นั่นเค้าจะแต่งงานร่วมหอลงโรงด้วยกันแล้วนะ เค้ายังระวังเลย แล้วพวกเราล่ะ ยังเป็นเด็ก ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล ยังต้องพบเจอผู้คนมากมาย เราจะไม่ระวังกันไว้มาก ๆ เลยเหรอ?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×