ตอนที่ 4 : อย่าได้แตะต้องคนที่ไม่ควรแตะต้อง2(รีไรท์)
หลังจากรับสั่งให้คนไปบอกสาวใช้ส่วนตัวของเด็กสาวที่รออยู่ที่กำแพงรอบนอกให้ไปแจ้งแก่ครอบครัวของนางแล้ว ไทเฮาก็เข้าไปภายในห้องที่มีร่างของเด็กสาวนอนมิได้สติอยู่
“ฮ่องเต้ไปเปลี่ยนฉลองพระองค์ก่อนเถิด ทางนี้แม่จะคอยดูแลนางเอง นางเองก็ต้องเปลี่ยนชุดเช่นกัน” ไทเฮาตรัสกับโอรสที่นั่งเฝ้าดูอาการของเด็กสาวมิห่าง ตั้งแต่พานางขึ้นมาจากสระบัว จนกระทั่งหมอหลวงมาดูอาการ ฮ่องเต้ยังคงอยู่ข้างๆ นางตลอด ฮ่องเต้ทอดสายตามองเด็กสาวอย่างห่วงใยต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเสด็จออกไป
หมิ่นฉ่ายกะพริบตาปริบๆ กวาดตามองไปรอบๆ อย่างงุนงง ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยรู้สึกแสบคอแสบจมูกขึ้นมา
“ฉ่ายเอ๋อร์! เจ็บตรงไหนหรือไม่” น้ำเสียงร้อนรนที่ถามตนอย่างห่วงใยทำให้หมิ่นฉ่ายหันไปมอง
เมื่อสติครบสมบูรณ์จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตนตกลงไปในสระบัว ใต้น้ำที่มืดสลัว นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่เหมือนยิ่งปัดป่ายก็ยิ่งจม ทั้งอาการอึดอัดจากการไร้อากาศหายใจ ตอนนั้นนางคิดว่าจะตายเสียแล้ว คิดถึงตรงนี้หมิ่นฉ่ายก็โผเข้ากอดไทเฮาและร้องไห้โฮออกมาอย่างเสียขวัญ
ไทเฮากอดนางเอาไว้พลางคอยลูบหลังเด็กสาวเบาๆ เพื่อปลอบประโลม นึกถึงตอนฮ่องเต้อุ้มนางที่ใบหน้าซีดขาวก็ให้สะท้านใจ หากนางเป็นอะไรไปพระนางคงมิอาจทำพระทัยได้ มิต้องพูดถึงโอรสของตนที่คงโศกเศร้ามิแพ้กัน แล้วยังครอบครัวนางอีก พระนางจะบอกชินหวางเฟยเช่นไรว่าน้องสาวของนางเข้าวังนำของขวัญมาให้พระนางจนต้องประสบเหตุ
“มิเป็นไรแล้วๆ เด็กน้อย จิบน้ำขิงร้อนๆ เสียหน่อย ร่างกายเจ้าจะได้อุ่นขึ้น”
ไทเฮาดันร่างของเด็กสาวที่ยังคงสะอึกสะอื้นเบาๆ ออก ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้นางแล้วจึงหันไปทางนางกำนัลให้ยกน้ำขิงและยาสมุนไพรที่หมอหลวงจัดไว้ให้เข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ที่เปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่แล้วประทับอยู่ด้านหลังและมองเด็กสาวอย่างห่วงใย พระนางจึงหลีกทางให้โอรสของตนเข้ามาจัดการต่อ เพื่อมิให้เด็กสาวต้องโดนว่าเสียๆ หายๆ เช่นไรทั้งคู่ก็อยู่ในสายพระเนตรของพระนาง ไทเฮาจึงมิได้ไปไหนไกล เพียงแยกไปนั่งยังตั่งที่อยู่ห่างออกไปแล้วเอ่ยไล่นางกำนัลออกไปจนหมด เหลือไว้เพียงแม่นมหวังและหม่ากูกูคอยปรนนิบัติเท่านั้น
หมิ่นฉ่ายที่นั่งพิงหมอนยังคงสะอึกสะอื้น คนถือถาดยามองนางอย่างรู้สึกสงสาร นางยังคงซีดเซียว ดวงตากลมโตที่เคยมีประกายสดใสเวลานี้แดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก
ฮ่องเต้ประทับลงบนขอบเตียง วางถาดลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ด้านข้างแล้วยกถ้วยยาให้นางดื่ม หมิ่นฉ่ายมิใช่คนกินยายาก นางดื่มยาที่คนตรงหน้าประคองป้อนให้อย่างมิอิดออด ชายหนุ่มลดถ้วยยาที่หมดแล้วมาวางบนถาด แล้วยกถ้วยน้ำขิงร้อนขึ้นมาเป่าคลายร้อนก่อนจะยกให้นางจิบ เมื่อนางจิบไปเล็กน้อยก็ดึงเข้ามาเป่าอีกรอบก่อนป้อนให้นาง
ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนน้ำขิงหมดถ้วย ตลอดการป้อนยาทั้งคู่มิได้เอ่ยสิ่งใด ต่างก็เข้าใจกันและกันว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำสิ่งใด ชายหนุ่มอยากป้อน เด็กสาวก็ยินยอมอย่างว่าง่าย
ไทเฮาและคนสนิททั้งสองที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ มองภาพตรงหน้าอย่างประทับใจ ฝ่ายฮ่องเต้นั้นพวกตนทราบแล้วว่าพระองค์ชอบเด็กสาว ส่วนอีกฝ่ายแม้จะยังมิรู้ใจตน แต่นางคงมิรู้ว่าตลอดเวลานางมักคอยมองหาและไว้ใจพึ่งพาเพียงฮ่องเต้อยู่เสมอ หากเทียบอาจารย์ที่ว่าเชี่ยวชาญกับฮ่องเต้ที่พอมีฝีมือบ้างเล็กน้อย เด็กสาวก็จะเลือกเชื่อฟังฮ่องเต้
“ดีขึ้นหรือไม่”
“ขอบพระทัยเพคะ” หมิ่นฉ่ายพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยขอบคุณคนตรงหน้า นางหยุดสะอื้นแล้วแต่น้ำตาก็ยังไหลออกมาไม่หยุด
“อย่าเพคะ สกปรก” เด็กสาวดันศีรษะไปด้านหลังให้พ้นหัตถ์ของฮ่องเต้ที่เอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้ตน แต่ฮ่องเต้ก็มิได้หยุดการกระทำ พระองค์กลับใช้หัตถ์อีกข้างจับใบหน้านางไว้ แล้วไล้หัวแม่มือปาดน้ำตาออกให้นางอย่างมินึกรังเกียจ
เมื่อได้เช็ดน้ำตาให้นาง จึงได้สำรวจคนตรงหน้าชัดๆ ใบหน้าไร้สีเลือดของนางทำให้พระองค์ปวดพระทัยนัก แล้วยิ่งได้เห็นน้ำตาที่รินไหลมาจากดวงตากลมโตของเด็กสาวที่พระองค์เฝ้าทะนุถนอมด้วยแล้วก็ให้กริ้วนัก กระต่ายน้อยของพระองค์มิเหมาะกับน้ำตาเลยสักนิด
“หยุดร้องเถิด เจิ้นจะไปจัดการคนที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้” ฮ่องเต้ที่แววตาเต็มไปด้วยโทสะตรัสกับหมิ่นฉ่ายก่อนจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกเด็กสาวดึงชายแขนฉลองพระองค์ไว้เสียก่อน
“ช้าก่อนเพคะ เอ่อ...มิมีผู้ใดทำหม่อมฉันทั้งนั้น ฉ่ายเอ๋อร์มิได้ดูทางจึงพลาดตกลงไปเองเพคะ” เมื่อโดนสายตาคมที่คล้ายมองผู้คนได้ทะลุปรุโปร่ง ก็มิอาจข่มน้ำเสียงมิให้สั่นได้
“เช่นนั้นรึ เจ้าคงยังมิรู้ว่าเจิ้นเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและเป็นคนช่วยเจ้าขึ้นมาจากสระบัวนั่น ทูลความเท็จมีโทษหนักมิรู้หรือ” ฮ่องเต้แกล้งทำพระพักตร์จริงจัง หมิ่นฉ่ายเม้มปาก นางโกหกไม่เป็น อีกทั้งคนตรงหน้ายังอยู่ในเหตุการณ์ เช่นนั้นก็...
“เรื่องที่หม่อมฉันตกน้ำเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เช่นไรฉ่ายเอ๋อร์ก็ปลอดภัยแล้ว...”
“มิใช่เรื่องเล็กเลยฉ่ายเอ๋อร์ สตรีที่มีใจริษยาคิดร้ายต่อผู้บริสุทธิ์ นิสัยใจคอเช่นนี้หาคู่ควรรับใช้ฮ่องเต้ไม่ เจ้าอย่ากลัวไปเลย สตรีเหล่านั้นจะไม่สามารถมาคุกคามเจ้าได้อีก” ไทเฮาเอ่ยแทรกขึ้นมา ช่วงที่เด็กสาวยังไม่ฟื้น องครักษ์ที่ไปสืบความได้เข้ามารายงานเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว
“แต่พรุ่งนี้...” ที่นางพยายามเอ่ยทัดทานมิใช่ว่าเกรงกลัวหรือนึกขุ่นเคืองพระสนมเหล่านั้น แต่พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของไทเฮาที่นางเคารพรัก ดังนั้นเรื่องของนางจึงเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“โถ เด็กหนอเด็ก พิธีส่วนพิธี ลงโทษส่วนลงโทษ ดีเสียอีก วันสำคัญของอ้ายเจียได้กำจัดคนไม่ดีให้พ้นจากวังหลวงไปได้” ไทเฮาตรัสแทรกขึ้นมา
++++++++++
ห้องโถงส่วนหน้าของตำหนักคุนกงของไทเฮาแม้จะคลาคล่ำไปด้วยพระสนมหลายสิบคน ทว่ากลับเงียบงันคล้ายไม่มีคนอยู่ เมื่อขันทีประกาศว่าฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จมา ทั้งหมดก็รีบก้มหน้าลงยืนนิ่งแทบไม่ไหวติง และต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อเห็นว่ามีขุนนางกรมพิธีการและนางกำนัลฝ่ายกองพระราชพิธีติดตามมาอีกหลายคน
ไทเฮาที่ได้ตรัสไปก่อนหน้านี้ว่าจะให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินความเรื่องนี้ พระองค์จึงเสด็จไปประทับด้านข้างแทน
“เราจะไม่ถามหาสาเหตุด้วยทราบเรื่องและเห็นด้วยสองตาของเราเอง พวกเจ้าที่เหลือหากยังอยากนั่งอยู่ในตำแหน่งก็ขอให้อยู่อย่างสงบ อย่าได้แตะต้องคนที่ไม่ควรแตะต้อง หวังว่าพวกเจ้าจะจำใส่ใจ!”
ฮ่องเต้หยางเจี้ยนเหว่ยกวาดสายพระเนตรอันเต็มไปด้วยโทสะจ้องไปยังสนมของพระองค์ทั้งยี่สิบ แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเนิบนาบช้าๆ แต่ชัดเจน ท้ายประโยคตรัสด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นคล้ายข่มขู่ นั่นทำให้สนมทั้งหลายต่างตัวสั่นอย่างระงับไม่อยู่ ฮ่องเต้จับจ้องไปทางกลุ่มสนมต้นเรื่องที่ยืนอยู่ตรงกลางครู่หนึ่งก่อนจะละสายพระเนตรไปทางราชเลขา ขุนนางผู้นั้นเมื่อเห็นฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาก็รีบยื่นถาดไปให้ขันทีประจำพระองค์
“มี่ซิวอี๋ เยวี่ยชงหรง และไฉเหรินทั้งสาม รับราชโองการ ด้วยพระสนมทั้งห้ามีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางที่มิควร มีเจตนาคุกคามทำให้พระญาติของชินหวางเฟยในชินอ๋องได้รับอันตรายเกือบถึงชีวิต เจิ้นที่เอ่อ...บังเอิญผ่านมาพอดีจึงทันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด” เว่ยกงกงเหลือบมองพระพักตร์ฮ่องเต้เล็กน้อยบังเอิญ? แล้วจึงอ่านประกาศต่อ “ล่วงเกินพระญาติมีโทษโบยห้าสิบไม้ ลดหรือปลดบรรดาศักดิ์ ล่วงเกินพระญาติจนได้รับอันตรายเกือบถึงชีวิตมีโทษโบยหนึ่งร้อยไม้ และส่งตัวไปเป็นทาสยังชายแดน แต่ด้วยครั้งนี้เป็นความผิดครั้งแรกและคุณหนูจางหมิ่นฉ่ายมิคิดเอาความ แต่ด้วยกฎเกณฑ์มิอาจไม่ปฏิบัติตาม ดังนั้นไฉเหรินทั้งสามตัดสินให้โบยห้าสิบไม้ ปลดออกจากการเป็นพระสนมเป็นนางกำนัลซักล้าง มี่ซิวอี๋และเยวี่ยชงหรงโบยห้าสิบไม้ ปลดไปเป็นนางกำนัลรับใช้ทั่วไป มีผลนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จบราชโองการ” สิ้นคำประกาศพระสนมทั้งห้าต่างทรุดลงที่พื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
ข่าวการปลดพระสนมเป็นที่โจษจันไปทั่ววังหลวง ขุนนางที่เป็นครอบครัวของอดีตพระสนมเหล่านั้นต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด แม้ราชโองการจะไม่ตัดสินโทษพวกตนโดยตรง แต่ผู้ใดก็ย่อมคาดเดาได้ว่าตระกูลของพวกตนคงมีแต่จะตกต่ำลง และนอกกำแพงวัง ชาวเมืองต่างเห็นด้วยกับราชโองการ คุณหนูจางหมิ่นฉ่ายเป็นถึงน้องสาวของชิน
หวางเฟยที่พวกตนสรรเสริญ เป็นต้นเหตุทำให้พระญาติเกือบถึงชีวิตโดนตัดสินเช่นนั้นก็สมควรแล้ว มิมีผู้ใดไม่รู้ว่าคุณหนูท่านนั้นเป็นคนโปรดของไทเฮา อดีตพระสนมพวกนั้นช่างโง่งมนัก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รออ่านต่อไป พระญาติ
น่าสงสารแต่เข้ามาแบบนี้ต้องเข้าใจเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ว่าต้องระวัง เข้ามาเป็นตัวแทนตระกูล ริษยาแบบหลบใน เจอเต็มๆ แบบนี้แก้ตัวไม่ได้แน่นอน ดีที่ตามมาทัน ไปหัดว่ายน้ำด้วยนะ รออ่านว่าชินหวางเฟยมีบุตรบุตรีกี่คนแล้ว