ตอนที่ 17 : จำต้องห่างไกล2(รีไรท์)
“ไม่เห็นจะต้องตามมาส่ง” เมื่อขบวนเคลื่อนตัวไปสักพัก หมิ่นฉ่ายที่เปิดผ้าม่านมองออกไปยังคนที่นั่งอยู่บนหลังม้าบ่นออกมาเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง อากาศตอนนี้ร้อนมาก องครักษ์ทูลเชิญให้เข้าไปประทับในรถม้าก็ไม่ทรงยินยอม
“หากหมายถึงฮ่องเต้ คนรักต้องเดินทางไกล ทั้งยังน่าเอ็นดูเพียงนี้ จะทรงตามมาส่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” จื่ออิงพูดจบก็หันไปหัวเราะคิกคักกับซือเหยา
“คนรักอะไรกัน แล้วข้าไม่ได้กล่าวถึงฮ่องเต้ แต่เป็นพี่ชายของข้าต่างหาก” คนร้อนตัวกล่าวเฉไฉ สองแก้มแดงปลั่ง
“เช่นนั้นหรือ” จื่ออิงเอ่ยเย้าแล้วหันไปหัวเราะกับซือเหยาอีกครั้ง
เพราะในขบวนมีคนต้องเดินเท้าจึงต้องคอยแวะพักตลอดทาง แต่ก็ไม่ได้ลำบากมากนักเพราะทางการได้มาจัดการแผ้วถางทางเดินให้แล้ว จนเมื่อเข้ายามอิ่ว ทั้งคณะจึงได้เดินทางถึงที่หมาย เลยจากกำหนดการไปเล็กน้อย ไทเฮาที่ประทับอยู่ด้านหน้าเบิกพระเนตรด้วยตกพระทัยเมื่อเห็นว่าคนที่ควบม้านำขบวนมาเป็นโอรสของพระองค์
“ฝ่าบาท!” ไทเฮาอุทานออกมาเบาๆ
ฮ่องเต้ลงจากหลังม้าก่อนจะเดินเข้ามาทำความเคารพพระมารดาที่ยังมีสีพระพักตร์อึ้งๆ แต่ไทเฮายังไม่ทันถามไถ่ทุกข์สุข โอรสของพระองค์ก็เดินไปยังรถม้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ก่อนที่พระองค์จะตกตะลึงเมื่อฮ่องเต้อุ้มเด็กสาวลงจากรถม้า และตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นแขนข้างหนึ่งของเด็กสาวมีผ้าคล้องเอาไว้ ทั้งคณะกล่าวถวายพระพร ไทเฮารับสั่งให้หม่ากูกูพาทุกคนไปยังที่พักและจัดเก็บสัมภาระ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กสาวด้วยสีพระพักตร์เป็นห่วง เดินนำโอรสองค์โต จื่ออิง และแม่นมหลิงเข้าไปยังโถงรับรอง
“อ้อ...ฟังไม่จบแล้วเอาไปคิดมากเองอย่างนั้นรึ” หลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมด ไทเฮาก็อดสัพยอกโอรสไม่ได้
“เสด็จแม่...” ฮ่องเต้สีพระพักตร์เจื่อนลงเมื่อได้ยินพระมารดาประชดเข้าให้
“ช่างเถอะๆ ฉ่ายเอ๋อร์เดินทางมาเหนื่อยหรือไม่ อ้ายเจียไม่น่าใจอ่อนยอมให้เจ้าอยู่ต่อ เห็นหรือไม่ พอห่างสายตาข้า เจ้าเจ็บตัวจนได้” ไทเฮาเอ่ยตัดบทฮ่องเต้ ก่อนจะหันไปถามหมิ่นฉ่ายที่นั่งฟังเงียบๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนระคนห่วงใย
“ไม่เลยเพคะ ฮ่องเต้รับสั่งให้แวะพักมาตลอดทาง คิดถึงพระองค์มากเลยเพคะ” หมิ่นฉ่ายที่นั่งอยู่บนเบาะที่พื้นข้างเก้าอี้ของไทเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาใจ ยกมือที่ถูกพระองค์กุมไว้มาแนบที่แก้ม ไถหน้าไปมาอย่างออดอ้อนเมื่อเห็นว่าตนกำลังจะโดนดุ
“ฮาๆๆ อ้ายเจียคิดถึงท่าทางออดอ้อนของเจ้านัก” ไทเฮาสรวลออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อถูกเด็กสาวคนโปรดเอ่ยออดอ้อนเอาใจ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรพระมารดาที่พูดคุยหยอกเย้ากับหมิ่นฉ่ายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน กระต่ายน้อยของพระองค์สดใสอยู่เสมอ ใครอยู่ใกล้ย่อมรู้สึกสบายใจ
“จริงสิ ฝ่าบาทจะพักที่นี่หรือไม่เพคะ” แม่นมหลิงที่นึกขึ้นได้รีบทูลถาม เพราะไม่รู้มาก่อนว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาด้วยจึงไม่ได้จัดเตรียมที่พักไว้ให้
“เพียงคืนนี้ ที่เมืองหลวงเกิดปัญหา ต้องรีบกลับไปสะสาง”
“อะไรกัน! โรคระบาดควบคุมได้แล้วไม่ใช่หรือ” ไทเฮาตรัสถามด้วยรู้สึกไม่สบายพระทัยเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของโอรสองค์โต
“เฮ้อ ลูกช่างไร้ความสามารถ ปัญหาภัยแล้งครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเมืองซีเหลียงที่มีอาชีพผลิตฝ้ายทอผ้าเป็นส่วนใหญ่ ทั้งยังเกิดโรคระบาดทำให้เกิดวิกฤติสาหัส ไร่ฝ้ายที่ปลูกไปแล้วก็ได้รับความเสียหายจนสิ้น เก็บเกี่ยวไม่ได้ก็เกิดหนี้สิน จะปลูกใหม่ก็ไม่มีน้ำ ทั้งยังต้องรอเวลา ชาวบ้านเมืองซีเหลียงทั้งที่อพยพเข้าเมืองหลวงและยังอยู่ที่เดิมเริ่มรวมตัวกัน องครักษ์ลับฝ่ายการข่าวมารายงานว่าการรวมตัวครั้งนี้ดูมีลับลมคมใน มักจะสนทนากันจนดึกดื่น มีการส่งคนไปเดินวนเวียนอยู่หน้าจวนขุนนาง คาดว่าจะเป็นการดูลาดเลาไว้ก่อน” ฮ่องเต้นิ่งไปอึดใจ ก่อนจะตัดสินพระทัยตรัสออกมาด้วยสีพระพักตร์ไม่สู้ดี
หมิ่นฉ่ายที่นิ่งฟังในใจครุ่นคิดถึงเมื่อวาน ท่าทางแปลกๆ ของฮ่องเต้กับพี่ชายของนาง คงจะเป็นเพราะองครักษ์ลับมารายงานเรื่องสำคัญนี่เอง
“ฝ่าบาทคิดว่าชาวบ้านกลุ่มนี้จะทำการออกปล้นหรือ” ไทเฮาตรัสถามด้วยสีหน้ากังวล เมื่อฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ก็ยกพระหัตถ์ขึ้นทาบอก
สนทนากันครู่ใหญ่ไทเฮาก็บอกให้ทั้งหมดไปพัก เหลือไว้เพียงจื่ออิงที่พระองค์เรียกตัวไว้ ด้วยโอรสเลือกเล่าเฉพาะเรื่องที่เข้าใจผิดกันเท่านั้น ไม่ได้เล่าถึงตอนที่ทั้งคู่แสดงท่าทีต่อกัน พระองค์ต้องการรับรู้เรื่องราวจากคนที่ใกล้ชิดอย่างละเอียด
++++++++++
ปลายยามซวี[2] หลังจากไทเฮาปฏิบัติกรรมฐานเสร็จก็ออกมาสนทนากับโอรสที่กำลังพูดคุยอยู่กับราชองครักษ์พิเศษด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียดเล็กน้อย รับสั่งให้หมิ่นฉ่ายที่ติดตามมาด้วยอยู่เป็นเพื่อนสนทนากับฮ่องเต้ก่อนแล้วค่อยเข้าไปพัก ฮ่องเต้ลอบส่งยิ้มให้พระมารดาที่ทรงรู้พระทัย
“เจิ้นขอคุยกับฉ่ายเอ๋อร์ตามลำพัง... ท่านจะอยู่ฟังเจิ้นพูดคุยกับกระต่ายน้อยด้วยหรือ”
ฟางอี้ที่ไม่ยอมขยับตัวในตอนแรกสะบัดตัวออกไปทันทีเมื่อโดนสหายช่างแกล้งเรียกน้องสาวของเขาด้วยสรรพนามน่าขนลุก จื่ออิงพยักหน้าให้ซือเหยาและนางกำนัลคนอื่นๆ ถอยออกไป ไกลพอจากการได้ยิน แต่ก็พอมองเห็นคนทั้งสอง เพราะตอนนี้ค่ำมืดแล้วชายหญิงอยู่กันลำพังไม่สมควร
“พออยู่บนศีรษะเจ้า ปิ่นไม้ธรรมดาดูมีค่างดงามยิ่งนัก” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเด็กสาวด้วยสีพระพักตร์พอพระทัยที่เห็นนางใช้ชเครื่องประดับที่พระองค์มอบให้ เพราะนางต้องถือศีล จึงใช้เครื่องประดับน้อยชิ้น มีเพียงปิ่นไม้อันนี้ และสร้อยทองเส้นเล็กๆ ที่ชินหวางเฟยซื้อให้ตั้งแต่แปดขวบเท่านั้น
“ของที่ผู้ให้ให้ด้วยความจริงใจ สิ่งนั้นย่อมมีค่าเพคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้นมา ฮ่องเต้ยิ้มรับคำพูดของนาง ก่อนจะเดินนำนางเข้าไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่
“พรุ่งนี้เจิ้นต้องกลับวังหลวงแล้ว” ตรัสจบก็หันมาทอดพระเนตรดวงตากลมโตกระจ่างใสอย่างห่วงหา แสงสว่างเพียงเล็กน้อยจากคบไฟทำให้เด็กสาวตรงหน้าดูมีเสน่ห์น่าค้นหา หมิ่นฉ่ายพยักหน้า เรื่องนี้มีใครบ้างไม่รู้
“เจ้าจะคิดถึงเจิ้นใช่หรือไม่” ฮ่องเต้เอื้อมพระหัตถ์มากุมมือเด็กสาวมาวางบนตัก สายพระเนตรหวานเชื่อมจ้องเข้าไปในดวงตาของนาง
“...” หมิ่นฉ่ายไม่ตอบ หลุบตาลงต่ำด้วยเขินอายกับสายตาที่สื่อความหมายมากมายนั้น ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ
“เจิ้นก็จะคิดถึงเจ้า ไม่สิ… เจิ้นไม่เคยไม่คิดถึงเจ้า”
หมิ่นฉ่ายที่ได้ยินน้ำเสียงจริงจังอันแสนอ่อนโยนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาคนตรงหน้าอย่างซาบซึ้ง
ฮ่องเต้ปล่อยหัตถ์ที่กุมมือนางแล้วสอดเข้าไปในอกเสื้อ ถุงผ้าลวดลายธรรมดาถูกยื่นมาตรงหน้าหมิ่นฉ่าย เด็กสาวจ้องมองอย่างสงสัย ก่อนจะเอื้อมมือไปรับและเปิดออกดูของข้างในเมื่อฮ่องเต้พยักพระพักตร์ให้นางลองเปิดดู
“กำไลกับต่างหูหินสีชมพู” หมิ่นฉ่ายพูดออกมาเบาๆ คล้ายพูดกับตนเอง ก่อนจะเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างซาบซึ้งและตื้นตันใจ เมื่อคืนวานนั้นเพราะเป็นสิ่งที่สนใจ และรู้ว่าห่อผ้าเป็นเครื่องประดับที่นางเคยหยิบขึ้นมาดูทั้งหมด ก็มองหาเครื่องประดับสองชิ้นนี้อยู่นานแต่ก็ไม่เจอ
“เจิ้นเห็นเจ้าหยิบๆ วางๆ อยู่นาน คิดว่าเจ้าน่าจะชอบมันมาก” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ลูบศีรษะของนาง
“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันชอบมาก ชอบมากๆ เพคะ” หมิ่นฉ่ายส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า จนคนที่ได้รับรอยยิ้มนั้นรู้สึกคันยุบยิบในใจ ทั้งยังเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งจนเผลอยกมือขึ้นลูบแก้มนางเบาๆ
“เดือนหน้าเจ้าจะครบสิบสี่ เจิ้นไม่อาจหาเครื่องประดับมีค่าได้ทัน มาเถิดเจิ้นจะสวมให้” ฮ่องเต้หยิบกำไลขึ้นมาสวมให้เด็กสาว ส่วนต่างหูให้นางเก็บไว้ในถุงผ้าก่อน สวมตอนนี้ดูจะไม่เหมาะ
“ฝ่าบาทช่างดีกับหม่อมฉันเหลือเกิน หม่อมฉันละอายยิ่งนักด้วยไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนเลยเพคะ” หมิ่นฉ่ายเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้สึกไม่ดี
“เช่นนั้น...พูดกับเจิ้นไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ เรียกเจิ้นว่าพี่เจี้ยนเหว่ย แทนตัวเองว่าน้อง เป็นการตอบแทนได้หรือไม่” ฮ่องเต้เว้นช่วงอย่างครุ่นคิด ก่อนจะนึกถึงสิ่งที่ติดค้างในพระทัยมาตั้งแต่ได้ยินนางเรียกบุรุษอื่นครั้งแรก หมิ่นฉ่ายปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอม เช่นใดก็ไม่อาจเรียกได้
“เข้าใจแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสเบาๆ เจือความน้อยพระทัย สีพระพักตร์เศร้าสลดทำให้หมิ่นฉ่ายกระวนกระวายนั่งไม่ติด เมื่อฮ่องเต้ทำท่าจะลุกขึ้น เด็กสาวรีบคว้าชายฉลองพระองค์ไว้
“พะ...พี่...ก็ได้ๆ พี่เจี้ยนเหว่ย!”เมื่อเห็นว่านางไม่ยอมพูด ฮ่องเต้ก็ยกพระหัตถ์ไปยังมือของนางที่จับปลายแขนเสื้อของพระองค์เพื่อจะปลดมือของเด็กสาวออก ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อนางยอมเอ่ยเรียกพระองค์ตามที่ต้องการ แม้จะพูดด้วยถูกบังคับ แต่ก็ถือว่านางเรียกพระองค์อย่างสนิทสนมแล้ว
ฮ่องเต้ปลดมือเด็กสาวที่ยังไม่ปล่อยจากฉลองพระองค์มากุมไว้อย่างนุ่มนวล ก่อนจะประคองนางให้ยืนขึ้น แม้ตอนนี้จะมีเพียงแสงสลัวๆ แต่ก็พอเดาได้ว่าใบหน้าของนางต้องแดงก่ำเป็นแน่
“เรียกอีกครั้งให้พี่ชื่นใจได้หรือไม่” ฮ่องเต้เชยปลายคางเด็กสาวให้ขึ้นมาสบตากัน น้ำเสียงอ้อนวอน สายพระเนตรขอร้องทำให้เด็กสาวใจอ่อนระทวย
“พี่เจี้ยนเหว่ย” แม้นางจะพูดออกมาเบาๆ แต่เพราะทั่วบริเวณเงียบสงัดจึงทำให้ได้ยินชัดเจน ฮ่องเต้คว้านางเข้ามากอดด้วยรู้สึกปลื้มพระทัย
“ฝ่าบาท... พวกเขายังอยู่แถวนี้นะเพคะ” หมิ่นฉ่ายเอ่ยเตือน เพราะทุกคนเพียงถอยออกไปในระยะที่มองเห็นได้อยู่
“พี่ต้องห่างเจ้านานเหลือเกิน ไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันระหว่างนี้ ทั้งไม่มีสิ่งของแทนใจไว้ดูยามคิดถึง ขอกอดเจ้าให้เต็มที่หน่อยเถิด”
“จริงด้วย!” หมิ่นฉ่ายผลักคนตรงหน้าออกเบาๆ ก่อนจะใช้มือข้างเดียวพยายามปลดตะขอสร้อยที่คอออกอย่างทุลักทุเล ฮ่องเต้รีบอาสาช่วยเมื่อเห็นเช่นนั้น
“สร้อยเส้นนี้น้องใส่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ฝากพี่เจี้ยนเหว่ยไว้ก่อนแล้วน้องจะหาสิ่งทดแทนไปแลกคืนเพคะ” เสียงหวานเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มน่าเอ็นดู
“กระต่ายน้อย” ฮ่องเต้คว้าเด็กสาวเข้ามากอดแน่นๆ แบพระหัตถ์ที่กำสร้อยเอาไว้จ้องมองอย่างปลื้มปริ่ม ก่อนจะกำมันเอาไว้ ทั้งคู่กอดกันอยู่เช่นนั้นพักใหญ่จึงผละออกจากกัน
ฮ่องเต้เดินมาส่งหมิ่นฉ่ายตรงทางเข้า ด้วยไม่อาจล่วงเข้าไปในเขตของสตรีได้
“พรุ่งนี้เจ้าตื่นพี่คงออกเดินทางไปแล้ว ลากันตรงนี้ รักษาตัวด้วย” ฮ่องเต้เอ่ยกับเด็กสาว สรรพนามแทนพระองค์ที่ฮ่องเต้ตรัสกับหมิ่นฉ่ายทำให้ทั้งหมดแตกตื่น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเก้อเขินแล้วก้มหน้าลง
“พี่เจี้ยนเหว่ยก็เช่นกัน เดินทางปลอดภัยนะเพคะ” หมิ่นฉ่ายที่ยังเขินอายกับสรรพนามสนิทสนมยังคงพูดไปด้วยใบหน้าเห่อร้อนไปด้วย
“พี่รองก็เช่นกัน รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ” หมิ่นฉ่ายหันไปพูดกับพี่ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ ฟางอี้พยักหน้ารับ
หมิ่นฉ่ายหันกลับหลังเดินเข้าไปในที่พัก ฮ่องเต้มองตามแผ่นหลังจนเด็กสาวเดินเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังยืนทอดพระเนตรอยู่เช่นนั้น หากไม่ต้องกลับไปสะสางปัญหา พระองค์คงหาข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ต่อ กว่าจะเข้าใจและแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยได้ เพียงไม่นานก็ต้องจากกันแล้ว ช่างน่าหดหู่นัก
“น้องสาวของกระหม่อม ไม่หนีหายไปที่ใดหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ฟางอี้เอ่ยด้วยสีหน้าระอา
น้ำเสียงประชดของสหายทำให้ฮ่องเต้ออกจากความคิด หันมาหรี่พระเนตรมองคนที่ยืนตีสีหน้าระอาอยู่ด้านหลัง ก่อนจะตัดพระทัยเดินกลับไปยังที่พัก
_______________________________________
[2] เกือบ 21.00 น.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ดูไม่อายเลย กอด ได้กอดนะ
ชดเชยว่าจะไม่เจอกัน
น้อง14 อย่างน้อยอีก1ปีปักปิ่น
แต่จะเกิดเหตุในเมืองหลวงมั้ย
คนตกยากจากธรรมชาติ
หวังว่าจะจับได้ และ ปราบได้โดยง่าย
ไม่มีผิดพลาดแบบที่เกิดกับญาติของซานซานมั้ย
จะมีอะไรมาทำให้เป็นอุปสรรคในชีวิตอีก
แค่ที่รอในตำหนักฝนก็มากอยู่
รออ่านครอบครัวชินอ๋องจะลงมามั้ย
คิดถึงว่ามีลูกน่ารักๆขนาดไหนนะ