ตอนที่ 13 : ข้าดูแลนางเอง1(รีไรท์)
10
ข้าดูแลนางเอง
ฟางอี้มองตามร่างของจื่ออิงและฉือเฉินที่เดินพ้นทางเข้ากระโจมออกไป หญิงสาวคงหวังให้พี่น้องได้ปรับทุกข์ ซือเหยาเดินไปอยู่รอรับใช้ห่างๆ ที่มุมหนึ่งของกระโจมอย่างรู้มารยาท
“ฉ่ายเอ๋อร์” ฟางอี้เดินเข้าไปนั่งข้างเบาะนอนที่น้องสาวนอนอยู่ ก่อนจะเอ่ยเรียกน้องสาวเบาๆ
“พี่รอง” หมิ่นฉ่ายเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นว่าเป็นพี่ชายก็พยายามลุกขึ้นนั่งโดยมีฟางอี้ช่วยประคอง เด็กสาวเมื่อนั่งสบายแล้วก็โผเข้ากอดพี่ชาย
“เจ็บมากหรือไม่” ฟางอี้ลูบศีรษะของน้องสาวเบาๆ เขารู้ที่น้องสาวร้องไห้ไม่ใช่เพราะเจ็บที่ร่างกายเพียงเท่านั้น หากแต่เจ็บที่ใจที่ถูกคนผู้นั้นหมางเมิน
หมิ่นฉ่ายยิ่งสะอื้นหนักขึ้นเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของคนในครอบครัว ด้วยฤทธิ์ยาที่ดื่มไปก่อนหน้านั้นบรรเทาอาการเจ็บทางกายให้เบาบางลงแล้ว เหลือเพียงอาการเจ็บที่ใจเท่านั้นที่ทำให้นางร่ำไห้อยู่ตอนนี้ เด็กสาวที่ไม่รู้จะตอบพี่ชายเช่นไรจึงได้แต่สะอึกสะอื้นไม่ได้ตอบสิ่งใดออกไป
“น้องรัก เล่าให้พี่ฟังได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงไปนอนพักอยู่ในหลุมนั้นได้” ฟางอี้อยากให้น้องสาวลืมเรื่องร้ายเหล่านั้น จึงเอ่ยเย้าเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
หมิ่นฉ่ายที่โดนพี่ชายเย้าเช่นนั้นก็ผละตัวออกมาพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดว่านางไม่ได้ไปนอนพักเสียหน่อย อาการของนางทำให้ผู้เป็นพี่ชายยิ้มออกมาเล็กน้อย เรื่องราวถูกเล่าออกมาจากปากเล็กๆ แต่เมื่อมาถึงตอนที่ฮ่องเต้เข้ามาช่วย สีหน้าของเด็กสาวก็เริ่มย่ำแย่ลง
“ฉ่ายเอ๋อร์ หากสิ่งนั้นทำให้เจ้าเจ็บปวด ก็ลองถอยสักครึ่งก้าว ไม่สนใจก็ไม่เจ็บ ไม่มองก็ไม่เห็น แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ทำเพียงทักทายแล้วมุ่งความสนใจกับสิ่งที่เจ้าทำอยู่ก่อนหน้า เท่านี้น้องสาวของพี่ก็จะเจ็บน้อยลงแล้ว”
หมิ่นฉ่ายนิ่งไปเล็กน้อยที่ครั้งนี้พี่ชายพูดคล้ายรู้สิ่งใดมา ที่พี่รองพูดเช่นนี้มิใช่รู้ความรู้สึกของนางที่มีต่อฮ่องเต้แล้วหรอกหรือ
เด็กสาวมองหน้าพี่ชายอย่างค้นหา ผู้เป็นพี่ชายเอื้อมมือมาลูบศีรษะนาง แล้วส่งยิ้มอันอบอุ่นพร้อมสายตาที่มองมามีแต่ความปรารถนาดี
“อย่าคิดสิ่งใดให้ยุ่งยาก รู้ไว้เพียงว่าพี่และคนในครอบครัวจะคอยโอบอุ้มเจ้าไว้เสมอ” เขารู้เรื่องราวทั้งหมดจากท่านแม่แล้วว่าน้องสาวของเขามีใจให้ฮ่องเต้ ทั้งฮองเฮายังได้หมายมั่นที่จะให้นางเป็นสะใภ้ เขาไม่ค่อยเห็นด้วยนักเพราะฮ่องเต้ต้องมีสตรีข้างกายมากมาย แต่ในเมื่อน้องสาวรักชายผู้นั้น เขาก็คงต้องยินยอมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“เจ้าค่ะ”
“อีกอย่าง... อย่าได้นึกน้อยใจไปเลย งานนอกบ้านย่อมเป็นความรับผิดชอบของบุรุษ ที่พี่ใหญ่ซึ่งเป็นสตรีสามารถทำได้เพราะนางรู้ความแล้ว ทั้งนางยังเป็นหัวหน้าครอบครัวในตอนนั้น พี่ใหญ่สมรสออกไป พี่ต้องจากบ้านไปศึกษาร่ำเรียนวิชายุทธ์เสียหลายปี ถงเอ๋อร์ก็เข้าเรียนที่สำนักศึกษา มิใช่เจ้าหรือที่ต้องทำหน้าที่ดูแลท่านพ่อท่านแม่แทนพวกเราพี่น้อง หน้าที่เจ้าย่อมสำคัญที่สุด” ฟางอี้หยุดพูดแล้วดึงน้องสาวเข้ามากอดอย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดต่อ
“เจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัว ยิ่งท่านแม่หวงแหนเจ้ามากกว่าใครๆ เจ้าหายตัวไป พี่เป็นห่วงจนทำสิ่งใดไม่ถูก ตอนนั้นหากเจ้าเป็นอะไรไป พี่จะไปบอกต่อท่านแม่ว่าเช่นไร ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ถงเอ๋อร์อีกเล่า เพราะเจ้ามีผลต่อความรู้สึกของพวกเราทุกคน แล้วจะไม่ให้ห่วงไม่ให้ทะนุถนอมเจ้ามากเกินไปได้หรือ เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่น้องรัก” ฟางอี้ที่อยากให้น้องสาวเลิกน้อยใจจึงสามารถพูดได้ยาวกว่าทุกครั้ง
“พี่รองรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ” หมิ่นฉ่ายขยับกายออกจากอ้อมกอด จ้องหน้าพี่ชายด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย เรื่องก่อนหน้าที่พี่ชายรู้ความรู้สึกที่นางมีต่อฮ่องเต้นั้นว่าน่าข้องใจแล้ว แต่คำพูดนี้นางบอกให้พี่จื่ออิงฟังเท่านั้น พี่ชายจะรู้ได้เช่นไร เป็นไปไม่ได้ที่พี่จื่ออิงจะเล่าให้ฟัง พี่รองเพิ่งมาถึงวันนี้ มาถึงก็ออกค้นหานางและอยู่ใกล้นางมาตลอดจนถึงตอนนี้
“อย่าได้สงสัยเลย พี่ไม่มีคำตอบให้เจ้า ดึกมากแล้ว พักผ่อนเสียเถิด” ฟางอี้จัดท่าให้น้องสาวได้นอนได้สบาย แล้วหันไปสั่งความกับซือเหยาว่าให้ดูแลน้องสาวของเขาให้ดี ก่อนจะเดินออกไป ไม่เปิดโอกาสให้น้องสาวได้ถามสิ่งใดอีก เรื่องอะไรจะบอกความจริงให้น้องสาวรู้ ฮ่องเต้ต้องได้รับบทเรียนเสียบ้าง
ฟางอี้ที่เดินออกมานอกกระโจมหยุดครุ่นคิดบางสิ่งเล็กน้อย แล้วยิ้มออกมาสีหน้าแสดงถึงความชอบใจ เขาไม่สนใจถึงสาเหตุที่ฮ่องเต้ทรงกระทำเช่นนั้นอีกแล้ว ในเมื่อไม่อาจสั่งสอนพระองค์ตรงๆ ได้ด้วยเกรงอาญา ก็ต้องใช้วิธีนี้ พระองค์ทรงทำให้น้องสาวของเขาต้องโศกเศร้าเสียใจด้วยการหมางเมิน หากน้องสาวของเขาจะทำบ้างจะเป็นไรไปเล่า
++++++++++
เช้าวันใหม่หลังจากให้ซือเหยาช่วยจัดการเรื่องส่วนตัวแล้ว หมิ่นฉ่ายก็ออกมาจากกระโจมเดินไปยังเขตรักษาคนป่วย แม้ตอนนี้นางจะช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ แต่ขอมายืนดูเฉยๆ ก็ยังดี
“พี่หมิ่นฉ่ายๆ ไปเล่นกับพวกข้าเถอะเจ้าค่ะ/ขอรับ” แรงกระตุกชายแขนเสื้อพร้อมทั้งเสียงเล็กๆ หลายเสียงเอ่ยเรียกทำให้เด็กสาวหันไปมอง
เหล่าบุตรของผู้ป่วยรวมถึงชาวบ้านในบริเวณนี้เกือบสิบคน ยืนยิ้มแป้นแล้นส่งเสียงออดอ้อนจนหมิ่นฉ่ายยิ้มตาม เมื่อมองไปด้านหลังก็เห็นฉือเฉินยืนรวมอยู่กับกลุ่มเด็กๆ ด้วย ชายหนุ่มพยักหน้าคล้ายเอ่ยเชิญชวน
เมล็ดลี่จือ[1] ขนาดเล็กคัดตามรูปทรงที่ต้องการหลายเมล็ดถูกตัดออกส่วนหนึ่ง แล้วนำไม้ขนาดพอดีมือที่เหลาเสี้ยนออกแล้วเพราะต้องใช้มือปั่นเสียบตรงกลาง ฉือเฉินใช้ถ่านขีดบนผิวเมล็ดเกาลัดเพื่อทำสัญลักษณ์ แล้วจัดการแบ่งกลุ่มเป็นสองกลุ่ม ฝ่ายฉือเฉินกับฝ่ายหมิ่นฉ่าย ถาดกว้างสองถาดที่ยืมมาจากโรงครัวถูกวางไว้บนโต๊ะอยู่หน้าผู้เล่นแต่ละฝั่ง
“เพราะข้าเห็นว่าเจ้ายังเจ็บอยู่เลยจะต่อให้ ฝั่งข้ามีห้าคน ฝั่งเจ้ามีหกคน เอาละหมุนพร้อมกัน ฝ่ายไหนลูกข่างหยุดหมุนก่อนอีกฝ่ายถือว่าแพ้ บทลงโทษจะให้ฝ่ายที่ชนะเป็นผู้กำหนด และหัวหน้าแต่ละฝั่งจะต้องรับผิดชอบเพียงผู้เดียว” หมิ่นฉ่ายหัวเราะออกมาเมื่อฉือเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจริง คล้ายกับการแข่งขันนี้เป็นการแข่งขันที่เป็นทางการเสียอย่างนั้น
“อย่าหัวเราะไปเด็กน้อย แพ้ขึ้นมาเจ้าจะขำไม่ออก” ฉือเฉินที่ยืนอยู่หลังโต๊ะอีกฝั่งหรี่ตาแล้วเอ่ยเย้าเด็กสาว
“ข้าไม่เคยเล่น ทั้งยังบาดเจ็บ ใช้แขนไม่ถนัด ดังนั้นข้าขอส่งตัวแทนได้หรือไม่เจ้าคะ” หมิ่นฉ่ายชี้ไปทางซือเหยากับจื่ออิงที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ทั้งสองกลับส่ายหน้าว่าพวกนางก็เล่นไม่เป็น เด็กสาวยิ้มแหยก่อนจะเหลือบไปเห็นทหารองครักษ์ที่กำลังจะกลับไปพักเข้าพอดี จึงได้ชวนมาเป็นฝ่ายของตน
“ย่อมได้ แต่ตอนลงโทษเจ้าต้องเป็นคนโดนลงโทษ”
หมิ่นฉ่ายจ้องหน้าคนท้าทายอย่างนึกหมั่นไส้ที่มั่นใจเหลือเกินว่าฝ่ายของตนจะชนะ
“ตกลงเจ้าค่ะ ตู๋ตู่เจ้าออกมากับข้าก่อนเถิด รอบต่อไปเจ้าค่อยเข้าไปเล่นนะ” เพื่อความยุติธรรมหมิ่นฉ่ายจึงจับมือเด็กหญิงวัยห้าขวบออกมา
จากวงเล็กๆ ที่เด็กๆ เล่นกัน ก็กลายเป็นวงกว้างขึ้น เพราะสีหน้าจริงจังของหัวหน้าแต่ละฝ่ายที่กำลังสอนคนเล่นในฝั่งตนให้ฝึกปั่นลูกข่าง โดยที่ฝั่งของหมิ่นฉ่ายก็ได้ท่านอาองครักษ์ทำหน้าที่สอนแทนนางที่ไม่เคยรู้จักการละเล่นนี้ ทำให้บรรยากาศคล้ายกับการแข่งขันของจริงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เพราะพื้นที่ที่กำลังจะเกิดการแข่งขันอยู่ใกล้ทางเดินผ่านไปยังกระโจมต่างๆ ระหว่างที่ทั้งหมดกำลังจดจ่อกับการฝึกฝนหมุนลูกข่าง ฮ่องเต้และราชองครักษ์พิเศษที่เห็นกลุ่มคนมากมายก็เดินเข้าไปทางคนกลุ่มนั้นอย่างสนใจ ทุกคนเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดต่างก็หลีกทางให้ ก่อนจะทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียง
หมิ่นฉ่ายที่ยืนหันหลังให้เมื่อได้ยินคำถวายความเคารพก็ชะงักค้าง แล้วนึกถึงคำพี่ชาย หากเลี่ยงไม่ได้ก็ให้ทักทายแล้วมุ่งความสนใจไปกับสิ่งที่ทำตรงหน้า เด็กสาวหมุนตัวกลับยอบตัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม เมื่อได้ยินคำว่า “ตามสบาย” ก็หันกลับไปสนใจกลุ่มของนางทันที ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองไปทางบุรุษสูงศักดิ์ แต่เป็นธรรมดาของชาวบ้านที่เมื่อฮ่องเต้ผู้ที่ตนเคารพประทับอยู่ใกล้ๆ จึงไม่กล้าแม้จะขยับเขยื้อนตัวรวมถึงเด็กๆ ด้วย
ฮ่องเต้นิ่งค้างตัวชาไปทั้งร่าง แม้ว่าพระองค์จะเฉยชาหรือแสดงท่าทีหมางเมินกับนางสักเพียงใด แต่นางก็ยังคอยมอง คอยให้ความสนใจต่อพระองค์เสมอ ไม่ใช่มองเมินไม่สนใจเช่นตอนนี้
“พวกเจ้าตามสบายเถิด เราเพียงผ่านมาเท่านั้น” ฮ่องเต้ละสายพระเนตรที่ฉายแววเจ็บปวดวูบหนึ่งจากเด็กสาวที่กำลังยืนหันหลังให้ แล้วตรัสกับผู้คนที่ยังยืนก้มหหน้าไม่กระดิกตัวให้ทำตัวตามสบาย ก่อนจะเดินออกไปยังเขตรักษาคนป่วยอีกฟากหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
เสียงโห่ร้องให้กำลังใจฝั่งที่ตนชื่นชอบดังมาเป็นระยะ การแข่งขันมีสามรอบ ฝั่งฉือเฉินและหมิ่นฉ่ายผลัดกันแพ้ชนะคนละครั้ง ซือเหยายกผ้าเช็ดหน้าซับไปที่ใบหน้าของเจ้านายตนที่เม็ดเหงื่อผุดออกมาที่กำลังยืนลุ้นการแข่งรอบสุดท้ายอย่างใจจดใจจ่อ เมล็ดเกาลัดที่ถูกปั่นพร้อมกันทยอยหยุดนิ่งจนเหลือเมล็ดสุดท้าย
“น้องหมิ่นฉ่าย ข้าเสียใจด้วย ฮาๆๆ” ฉือเฉินส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“ท่านจะลงโทษอย่างไรเจ้าคะ” หมิ่นฉ่ายที่หน้าเริ่มหงอยเดินออกมาตรงหน้าชายหนุ่ม ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างมองทั้งคู่ด้วยสีหน้าลุ้นไปด้วย
ป๊อก!
ฉือเฉินดีดไปที่หน้าผากของอีกฝ่ายไม่แรงและก็ไม่เบาจนเกินไป
“โอ๊ย!” หมิ่นฉ่ายที่นั่งยองๆ อยู่รู้สึกเจ็บ ยกมือด้านที่ไม่เจ็บขึ้นแนบหน้าผากน้ำตาคลอ เมื่อความเจ็บทุเลาก็แหงนเงยมองหน้าคนที่กำลังหัวเราะชอบใจอย่างคาดโทษ
“นี่แน่ะๆๆ ท่านทำพี่หมิ่นฉ่ายของข้า นี่แน่ะๆ” ตู๋ตู่และเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกันใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบไปที่หน้าขาและหน้าท้องจนฉือเฉินต้องเดินหนี แล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งไปรอบๆ เมื่อกำปั้นเล็กๆ ของเด็กๆ ฝั่งหมิ่นฉ่ายพร้อมใจกันโจมตี
หมิ่นฉ่ายลุกขึ้นยืนยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ พลางส่งเสียงให้เด็กๆ อย่าหยุดตีผสมโรงไปด้วย ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พากันหัวเราะ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นสนุกสนาน
เหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ตลอด สีพระพักตร์เรียบเฉย แววพระเนตรสงบนิ่งเยือกเย็น หากแต่หัตถ์แกร่งที่ไขว้อยู่ด้านหลังกำแน่นจนขาวซีด ฟางอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลสังเกตเห็นอาการของพระองค์ได้อย่างชัดเจน ก็ยกยิ้มมุมปากด้านหนึ่งขึ้นเล็กน้อย
สองวันผ่านพ้น คนป่วยโรคระบาดเริ่มลดจำนวนลงไปมาก ฮ่องเต้ที่เสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ก็ยังไม่เสด็จกลับ มีรับสั่งว่าต้องการอยู่ให้เห็นกับตาว่าราษฎรของพระองค์ได้พ้นจากโรคระบาดนี้แล้ว เมืองซีเปียงที่ฮ่องเต้เพิ่งเดินทางจากมาได้รับการเยียวยาจากทางการแล้ว เมืองหนานเองก็ได้รับผลกระทบจากเมืองซีเปียงทั้งภัยแล้งและโรคระบาด พระองค์จึงได้สั่งการให้คลังเสบียงจากเมืองหลวงส่งมายังเมืองนี้ ยังความปลื้มปีติให้แก่ชาวบ้านเมืองหนานและเมืองซีเปียงเป็นอย่างมาก ที่พระองค์ทรงห่วงใยและยังเสด็จมาดูแลราษฎรด้วยพระองค์เอง
แต่ราชองครักษ์พิเศษและจื่ออิงรู้ดีว่ามิใช่เพราะเป็นห่วงราษฎรเพียงเท่านั้น เด็กสาวที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พระองค์สรรหาข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ต่อ ณ ที่แห่งนี้ และดูเหมือนตอนนี้สาเหตุนั้นกำลังทำให้ฮ่องเต้หยางเจี้ยนเหว่ยเสียอาการ
เพราะคนป่วยลดจำนวนลงมาก ทำให้ฉือเฉินและหมอหลวงคนอื่นๆ มีช่วงเวลาพักค่อนข้างมาก หมิ่นฉ่ายที่กำลังบาดเจ็บก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้ช่วยทำสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะเมื่อวันก่อนเสนอตัวช่วยผู้อื่นจนทำให้เจ้าตัวต้องเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อหัวไหล่ข้างที่มัดผ้าคล้องคอไว้จนเกิดการอักเสบ ร้องปวดทรมาน ร้อนถึงหมอหลวงและฉือเฉินต้องตรวจและวินิจฉัยอาการอีกรอบ เด็กสาวถูกตำหนิจนหน้าเจื่อนอย่างรู้สึกผิดที่ไม่ฟังที่คนอื่นเตือน ฝืนร่างกายจนเดือดร้อนท่านหมอ ทั้งไหล่ข้างที่บาดเจ็บยังต้องรักษาต่อไปอีกหลายวัน
“เอามานี่ ข้าแกะให้” ฉือเฉินที่นั่งพักบนแคร่ไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ชาวบ้านช่วยกันสร้าง เอื้อมมือไปคว้าห่อขนมที่เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกันพยายามใช้มือที่ใช้การได้เพียงข้างเดียวแกะห่อขนมอย่างทุลักทุเลมาช่วยแกะให้
เมื่อลอกเปลือกขนมออกแล้วฉือเฉินก็ยื่นไปป้อนให้เด็กสาว หมิ่นฉ่ายผละออกเล็กน้อยแล้วทำท่าจะคว้ามากินเอง แต่ชายหนุ่มก็เร็วกว่าชักมือที่ถือขนมออกแล้วยื่นเข้าไปป้อนใหม่อีกครั้ง ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนหญิงสาวใจอ่อนเพราะนางชื่นชอบขนมหวานมาก กลัวยื้อแย่งไปมาจะไม่ได้กินไปเสีย เด็กสาวอ้าปากงับขนมชิ้นนั้นส่งเข้าปาก ฉือเฉินยิ้มกว้างอย่างชอบใจแล้วเอื้อมมือข้างนั้นไปลูบศีรษะของนาง
“พี่ฉือเฉิน! เมื่อกี้ท่านบอกว่ามือท่านเปื้อนไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วยังเอามือข้างนั้นมาลูบหัวข้าอีกหรือ” หมิ่นฉ่ายขึ้นเสียงใส่ชายหนุ่ม แต่น้ำเสียงหวานและใบหน้าจิ้มลิ้มที่ปั้นสีหน้าไม่พอใจนั้นช่างคล้ายกับแมวตัวน้อยๆ ที่กำลังแยกเขี้ยวขู่ผู้อื่น ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด
“อ้าว เช่นนั้นหรือ ข้าลืมไป” ฉือเฉินทำสีหน้าเหลอหลาไม่รู้เรื่อง ลอบขบขันที่ได้กลั่นแกล้งนางแล้วก้มกินขนมในมือต่อ ฟังเสียงนางบ่นอยู่ข้างๆ แล้วช่างมีความสุขนัก ผู้คนโดยรอบที่มองมาต่างก็ยิ้มออกมากับภาพที่ทั้งสองหยอกล้อกัน ช่างดูเหมาะสมและน่าเอ็นดูเหลือเกิน
ฮ่องเต้ที่เพิ่งกลับมาจากเยี่ยมราษฎรเป็นการลับพร้อมกับราชองครักษ์พิเศษมีสีพระพักตร์ไม่พอพระทัย พระขนง[2] ขมวดเป็นปม มองไปทางเด็กสาวที่กำลังนั่งคู่กับชายหนุ่มบนแคร่ แม้บริเวณนั้นจะไม่ได้มีแค่คนทั้งสอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปใกล้บริเวณที่ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งสายตาที่ทุกคนมองว่าทั้งคู่เหมาะสมกันนั้น ก็ทำให้พระองค์อดที่จะหงุดหงิดพระทัยไม่ได้
มัดผ้าปิดปากให้กัน กินอาหารร่วมกัน ตักอาหารให้กันนั่นอีก แล้วป้อนยาทำแผลมันใช่หน้าที่ของชายผู้นั้นหรือ สาวใช้นางก็มี หมอหลวงที่ทำการรักษาก็มี เหตุใดจึงต้องก้าวก่ายหน้าที่ผู้อื่น แล้ววันนี้ถึงกับมองตากันหวานซึ้งแล้วป้อนขนมให้กัน ลูบศีรษะอย่างอ่อนโยนนั่นอีก
“เจ้าไม่ใช่สาวใช้ของฉ่ายเอ๋อร์หรือ เหตุใดจึงไม่ไปดูแลคุณหนูของเจ้า มาทำอะไรที่ตรงนี้!” ฮ่องเต้เหลือบไปเห็นซือเหยาที่เดินถืออ่างน้ำผ่านมาพอดี ก็นึกขุ่นเคืองจึงได้ว่ากล่าวตำหนิไป ไม่ยอมไปดูแลเจ้านายของตน ปล่อยให้นางอยู่กับชายหนุ่มสองต่อสอง ทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนั้นใช้ได้ที่ไหนกัน ตรัสจบก็เดินจากไป ทิ้งให้ซือเหยาที่ไม่ทันตั้งตัวทำหน้างุนงงว่านางทำสิ่งใดผิด นางเพิ่งไปยกน้ำต้มมาเปลี่ยนตามคำสั่งของคุณหนูเท่านั้น
“หึๆๆ เจ้าไปทำหน้าที่ของเจ้าต่อเถอะ” ฟางอี้มองตามหลังฮ่องเต้ที่เดินฟึดฟัดจากไปแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าสะใจเล็กๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับซือเหยาที่ยังยืนทำหน้างุนงงอยู่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ธรรมชาติมาก เพราะน้องน้อยยังเล็ก
ไม่ได้ให้เลิกชอบ แต่ให้ถอยห่างออกมา
ใช้วิธีเดียวกัน
จะได้รู้สึกเวลาทำทีท่าไปสนิทกับเหล่าสนม
ดีดีงามมากๆ งานนี้พี่รองเด่นแบบลับๆ
ใหเดี ส่งข่าวให้ชินหวางเฟยมาร่วมด้วย
ต่อให้ชินหวางทราบก็ไม่กล้ากับภรรยายอดดวงใจ
หาแนวร่วมมาเยอะ ชอบเอาคืนเต้มากๆ
ให้รู้สึกบ้างว่าเวลาถูกตนที่ตนมีใจและทำเสมือนมีใจหมางเมิน
และให้ความสำคัญคนอื่นมากกว่าตนจะเป็นอย่างไร
แหมแต่งตั้งสนมไปหลายแล้วให้ฉ่ายเอ๋อทำทีตัดใจให้ลงแดงตายให้เข็ดหลาบเลยนะคะ