ตอนที่ 11 : คนที่คาดไม่ถึง1(รีไรท์)
9
คนที่คาดไม่ถึง
หมิ่นฉ่ายยืนมองเข้าไปในเขตรักษาคนป่วย ต่างคนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เด็กสาวรู้สึกตื้นตันนัก คนป่วยลดจำนวนลงแต่ก็ถือว่ายังมากอยู่ สถานการณ์ไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่เข้าขั้นวิกฤติ โรคระบาดไม่ลุกลามอยู่ในขั้นควบคุมได้ นางโล่งใจนักที่สถานที่แห่งนี้มีคุณชายฉือเฉิน หากวันนั้นไม่ได้วาจาเด็ดขาดของชายหนุ่มบอกให้ใช้วิธีของชินหวางเฟย ไม่ได้ความสามารถในการปรุงยา คนเหล่านี้ก็ไม่อาจรู้ว่าจะมีชะตาชีวิตเช่นไร
“ฉ่ายเอ๋อร์ เราไปพักกันดีหรือไม่ เลยเวลามื้อเที่ยงมาพอสมควรแล้ว” จื่ออิงเดินเข้ามาถามหมิ่นฉ่ายที่ยืนมองคนป่วยอยู่ ดีที่มีซือเหยา สาวใช้คนนี้มักแบ่งสำรับจัดไว้ให้พวกนางอย่างดีทุกวัน
“ตายจริง พี่จื่ออิงก็ยังมิได้กินหรือเจ้าคะ” หมิ่นฉ่ายถามกลับอย่างรู้สึกผิด นางไม่เห็นพี่จื่ออิงที่เขตรักษา นึกว่าไปพักกินมื้อเที่ยงเสียอีก เหตุใดจึงมาทนหิวรอนางเช่นนี้กัน
“ข้าไปช่วยแยกสมุนไพร ตั้งแต่รู้ว่าที่แห่งนี้มีหมอเปิดรักษาโรค ชาวบ้านก็แห่กันมามากมาย ไหนจะคนป่วยโรคระบาดตรงส่วนนี้ ไหนจะคนป่วยสารพัดโรคอีก สมุนไพรที่จะเอาปรุงยาตอนนี้แทบจะไม่พอ” จื่ออิงที่ยืนรอเด็กสาวล้างหน้าล้างมือ บ่นออกมาเบาๆ ให้พอได้ยิน
“คุณชายฉือเฉินแทบจะไม่ได้พัก ต้องแบ่งเวลาจากการดูแลคนป่วยโรคระบาดไปคอยรักษาชาวบ้านเหล่านั้น ดีที่หัวหน้าหมอหลวงได้จัดหมอหลวงบางส่วนไปช่วยแบ่งเบานะเจ้าคะ เห็นทีคุณชายคงยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเช่นกัน บ่าวเห็นคนติดตามของคุณชายเพิ่งมายกสำรับไป เพราะเลยเวลามื้อเที่ยงมานาน คนในโรงครัวนึกว่าหมอหลวงคนอื่นๆ กินกันหมดแล้วเลยเก็บกวาดจนหมด กับข้าวที่ทำให้ชาวบ้านที่คนติดตามของคุณชายมายกไปก็เหลือเพียงก้นหม้อ คุณห...”
“ซือเหยา!” จื่ออิงปราม สาวใช้ผู้นี้ชักจะพูดมากไปแล้ว ดูก็รู้ว่านางกำลังสนับสนุนคุณหนูของนางให้สานสัมพันธ์กับคุณชายฉือเฉิน หากไม่ขัดขึ้นคงจะบอกให้ผู้เป็นนายเชิญคุณชายผู้นั้นมากินด้วยกันเป็นแน่ แล้วมีหรือคนที่เจ้าตัวให้ความสนิทและชื่นชมนับถือจะไม่คล้อยตาม
“จริงรึ เช่นนั้นเจ้าไปเชิญคุณชายมากินด้วยกันเถิด สำรับที่เจ้านำมานั้นมากมาย แต่ละครั้งก็กินกันแทบไม่หมด... มีคนมาช่วยกินเพิ่มอีกสามคนคงไม่เป็นไรนะเจ้าคะพี่จื่ออิง” หมิ่นฉ่ายที่ได้ฟังความจากสาวใช้ก็นึกเป็นห่วงฉือเฉิน แล้วหันไปเอ่ยกับจื่ออิงที่ยืนอยู่ข้างๆ
จื่ออิงหันหน้าไปอีกด้านพลางถอนหายใจออกมาแรงๆ เป็นดังที่คิดไว้ไม่มีผิด ส่วนซือเหยานั้นพอรับคำเสร็จก็รีบวิ่งออกไปทันที
++++++++++
“ข้าว่าจะถามเจ้าตั้งแต่ไทเฮาเสด็จไปยังวัดเมื่อคืนวานแล้ว ว่าเหตุใดจึงยังอยู่ที่แห่งนี้ต่อ มิใช่ว่าเจ้าปรารถนาจะขึ้นไปสวดมนต์ไหว้พระหรอกหรือ” ขณะที่จัดสำรับรอจื่ออิงก็เอ่ยถามหมิ่นฉ่ายขึ้นมา
“พี่จื่ออิง ตั้งแต่เด็กข้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี สุขสบายโดยมิต้องออกไปทำงานเช่นพี่น้องคนอื่นเลย ชินหวางเฟยหาหนทางทำการค้าเอามาจุนเจือครอบครัว พี่รองเข้าศึกษาในสำนักศึกษาทั้งร่ำเรียนวิชายุทธ์หลายแขนงจนสำเร็จออกมามีตำแหน่งเป็นถึงราชองครักษ์พิเศษ ท่านพ่อไม่ค่อยได้อยู่จวนเพราะต้องเดินทางไปดูกิจการร้านค้าที่ต่างเมืองบ่อยๆ น้องชายข้ารั่วถง แม้จะเป็นเพียงผู้เยาว์ก็ออกติดตามท่านพ่อไปเรียนรู้การค้า” หมิ่นฉ่ายเว้นระยะแล้วถอนหายใจออกมา
“ส่วนตัวข้านั้นกลับอยู่อย่างสุขสบาย ข้าอยากเรียนศาสตร์ใดพี่ใหญ่จะสรรหามาให้ สิ่งใดที่ขึ้นชื่อว่าดี สิ่งนั้นจะโดนท่านแม่กว้านซื้อมามอบให้ข้า ทุกคนไม่ยอมให้ข้าได้ช่วยเหลืองานสิ่งใด ข้าเข้าใจว่าทุกคนเป็นห่วง แต่ข้าไม่ได้อยากสุขสบายแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นในเมื่อข้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้ จึงพยายามตั้งใจศึกษาศาสตร์ต่างๆ คอยดูแลท่านพ่อท่านแม่ อย่างน้อยตัวข้าก็ยังมีประโยชน์”
“ที่ตามเสด็จมา ข้าตั้งใจเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ แต่เมื่อเจอเหตุการณ์โรคระบาด ตอนที่หมอหลวงท่านหนึ่งเรียกข้าให้ช่วยป้อนยา คนป่วยคนหนึ่งจับปลายแขนเสื้อข้าให้ช่วยพยุงไปเข้าห้องถ่ายหนัก ได้ช่วยทำอะไรหลายๆ สิ่งที่นี่ ทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองก็มีประโยชน์ และข้าสามารถทำสิ่งอื่นนอกจากร่ำเรียนศาสตร์ต่างๆ ได้เจ้าค่ะ” หมิ่นฉ่ายดวงตาเป็นประกายยามนึกถึงตอนคนป่วยคอยเรียกหาเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ฉ่ายเอ๋อร์” จื่ออิงดึงเด็กสาวเข้ามากอด หมิ่นฉ่ายดันตัวออกเบาๆ แล้วส่ายหน้าว่านางไม่ได้คิดมากแล้ว
“ข้ายังอยากช่วยเหลือคนอื่น เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นที่ข้าสามารถทำได้ ภายหน้าถ้านึกถึงเรื่องในตอนนี้ ข้าจะได้พูดกับผู้อื่นได้บ้างว่าข้าไม่ได้อ่อนแอ ไม่ได้บอบบางจนทำสิ่งใดไม่ได้เจ้าค่ะ” หมิ่นฉ่ายพูดด้วยนำเสียงร่าเริง สีหน้ามีรอยยิ้มประดับอย่างน่าเอ็นดู ตอนนี้นางมีความสุขมาก สุขจนบรรเทาความคิดถึงคนผู้นั้นลงได้บ้าง
เมื่อเห็นไกลๆ ว่าคุณชายฉือเฉินและคนติดตาม รวมถึงสาวใช้เดินตรงมาที่กระโจมแห่งนี้ ทั้งสองก็รีบจัดแจงสำรับอาหารอย่างเร่งรีบ หลังจากที่ได้พูดคุยกันเรื่องของเด็กสาวทั้งคู่ต่างก็หยุดมือไปด้วย
ฉืนเฉินเดินเข้ามาที่โต๊ะ ใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลาบัดนี้เริ่มมีไรหนวดขึ้นให้เห็น ใบหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นก็ยังส่งยิ้มอ่อนโยนไปทางเด็กสาวที่จ้องมองเขาอยู่
“ท่านได้พักผ่อนบ้างหรือไม่เจ้าคะ... ท่านทั้งสองนั่งกินด้วยกันเถอะ ข้ากับพี่จื่ออิงไม่ถือเจ้าค่ะ” หมิ่นฉ่ายเอ่ยถามฉือเฉินอย่างเป็นห่วง แต่เมื่อเหลือบไปเห็นชายหนุ่มอีกสองคนไม่ยอมนั่งลงเสียทีจึงเอ่ยขึ้น
“ท่านต้องพักผ่อนนะเจ้าคะ หากท่านเจ็บป่วยไปแล้ว คนป่วยที่มารอรักษาจะทำเช่นใดเจ้าคะ สีหน้าท่านไม่ดีเอาเสียเลย” หมิ่นฉ่ายบอกกับคนที่ไม่ดูแลตนเองด้วยน้ำเสียงติดจะตำหนิ แต่ด้วยเสียงเล็กๆ หวานๆ กลับทำให้คนฟังคิดว่ามันน่าเอ็นดูเสียอย่างนั้น
“คนป่วยรอรักษามากมาย ทั้งคนป่วยโรคระบาดยังต้องคอยดูแลตลอดเวลา หมอหลวงคนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกับข้า ข้ายังไหว เจ้าอย่าได้กังวลเลย” ฉือเฉินบอกกับเด็กสาวที่คอยเลื่อนอาหารมาให้
“ข้าไม่ได้กังวล ข้าเป็นห่วง” หมิ่นฉ่ายบอกความรู้สึกของนางไปตรงๆ พี่ฉือเฉินดูแลแต่คนป่วยไม่รู้จักดูแลตนเอง ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนสำคัญ หากชายหนุ่มเป็นอะไรไป ที่แห่งนี้คงวุ่นวายน่าดู
บนโต๊ะอาหารก็เงียบสงัด ทุกคนต่างถือตะเกียบค้างตั้งแต่เด็กสาวพูดประโยคก่อนหน้าจบ แต่เป็นฉือเฉินที่เรียกสติได้ก่อน
“เช่นนั้นหรือ ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วง วันนี้เห็นทีต้องพักเสียที” ฉือเฉินเอ่ยกับหมิ่นฉ่ายด้วยน้ำเสียงละมุน แล้วคล้ายพูดกับตนเองในท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงเบิกบาน จ้องมองไปทางเด็กสาวที่พูดว่าเป็นห่วงตนอย่างสื่อความหมาย แม้จะรู้ว่าคำพูดที่ออกมาจากใจและเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูดนั้น นางไม่ได้คิดสิ่งใดลึกซึ้ง หมิ่นฉ่ายที่สนใจเพียงอาหารตรงหน้า จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นความนัยที่ชายหนุ่มสื่อไม่
จื่ออิงที่หายตื่นตระหนกกับคำพูดของหมิ่นฉ่ายมองเหตุการณ์ระหว่างฉือเฉินและหมิ่นฉ่ายนิ่งๆ ดูท่าชายหนุ่มคงตกบ่วงรักความใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กสาวไปทั้งตัวเสียแล้ว
“เช่นนั้นท่านช่วยจดรายการสมุนไพรไว้เสียก่อน เดี๋ยวพวกข้าทั้งสองจะพาคนไปช่วยกันเก็บเอง” คนติดตามของฉือเฉินที่อยากให้นายของตนได้พักเอ่ยขึ้นมา
“ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ!”
++++++++++
หมิ่นฉ่ายต้องออดอ้อนขอร้องอยู่นานกว่าจื่ออิงจะยอมอนุญาต แล้วยังฉือเฉินที่ไม่ยอมไปพักก็ขอไปด้วย กว่านางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาไปพักก็เสียเวลาอยู่นาน แค่ไปเก็บสมุนไพรที่ป่าด้านหลัง ทั้งยังมีนางกำนัลรับใช้พร้อมทั้งทหารองครักษ์ไปด้วยอีกหลายคน จะเกิดอันตรายได้เช่นไรกัน
จนเมื่อเข้ายามเซิน ทั้งหมดจึงได้พากันเข้าป่าเพื่อไปหาสมุนไพร คนติดตามของฉือเฉินคอยบอกคอยสอนวิธีการสังเกต เมื่อเจอสมุนไพรหนึ่งชนิดก็นำมันมาให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง ยิ่งเดินลึกยิ่งมีสมุนไพรให้เก็บไปปรุงยาหลากหลายชนิด และสมุนไพรหายากต้องเข้าไปในป่าลึกกว่านี้ คนติดตามของฉือเฉินจึงบอกให้หมิ่นฉ่ายและนางกำนัลรับใช้อีกสองคนเก็บอยู่บริเวณนี้ไม่ต้องติดตามเข้าไป เพราะในป่าลึกนั้นอันตราย ย่อมมีสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ที่ดุร้าย
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หมิ่นฉ่ายก็หันมองทั่วบริเวณ นางกำนัลรับใช้และซือเหยาต่างก้มหน้าก้มตาเก็บอย่างตั้งใจ เด็กสาวจึงเดินหาไปเรื่อยๆ เพราะตรงที่นางเก็บก่อนหน้าไม่มีสมุนไพรให้เก็บแล้ว หมิ่นฉ่ายเดินเก็บไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ตัวว่าได้เดินออกมาไกลห่างจากกลุ่ม
จนเมื่อเกือบมองไม่เห็นสิ่งใดแล้วหมิ่นฉ่ายจึงได้เงยหน้ามองไปทั่วบริเวณอีกครั้ง แล้วก็ต้องตื่นตระหนกเพราะบริเวณที่นางอยู่นั้นมองไม่เห็นร่างของผู้ใดเลย หันไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ใหญ่ เด็กสาวตัดสินใจเดินกลับไปยังทางที่คิดว่าใช่ทางที่เคยผ่านมา แต่ยิ่งเดินต้นไม้ยิ่งหนาทึบ ยิ่งเข้ายามอิ่ว[1] สายตาที่เคยมองเห็นทางเดินก็แทบจะมองไม่เห็นสิ่งใด
หมิ่นฉ่ายเริ่มร้อนรน น้ำตาคลอหน่วยตา นางหวาดกลัวจนร่างกายสั่นเทาอย่างหนัก ไม่กล้าส่งเสียงร้องเรียกผู้อื่นดังนักเพราะเคยได้ยินมาว่าหมาป่าชอบออกหากินตอนกลางคืน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เด็กสาวสะอื้นหนักเดินสะเปะสะปะไปทั่ว จนไปสะดุดเข้ากับกับดักที่ชาวบ้านขุดหลุมพรางเอาไว้
เด็กสาวหวีดร้องเสียงดัง แต่หลุมที่ลึกมากทำให้เสียงของนางคล้ายดังมาจากที่ไกลๆ เท่านั้น
“ฮือๆๆ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ฮือๆๆ ข้ากลัว” หมิ่นฉ่ายร้องขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ยิ่งตอนที่ตกลงมา คาดว่าแขนจะไปกระแทกกับหินที่อยู่ที่พื้นหลุมเข้า ตอนนี้นางทั้งเจ็บทั้งหวาดกลัวผสมปนเปกันไปหมด
หมิ่นฉ่ายพยายามสงบสติอารมณ์แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน ยิ่งได้ยินเสียงนกกลางคืนร้องเซ็งแซ่ประสานเสียงกันดังไปทั่วผืนป่าก็ยิ่งหวั่นวิตก ความพยายามที่จะสงบสติสิ้นสุดลง เด็กสาวร้องไห้โฮ มือข้างที่ไม่เจ็บคอยจับแขนข้างที่เจ็บเอาไว้แล้วนั่งลงอย่างหมดแรง
++++++++++
กลุ่มคนที่เข้าป่าไปเก็บสมุนไพรกลับเข้ามายังที่พักด้วยสีหน้าร้อนใจ ซือเหยารีบวิ่งไปยังกระโจมของเจ้านาย เมื่อไม่เห็นก็รีบวิ่งไปหาจื่ออิงที่นั่งช่วยคนอื่นทำงานอยู่
“พี่-จื่อ-อิง-เห็นคุณหนูหรือไม่เจ้าคะ พวก-ข้า-ช่วยกันเก็บสมุนไพรกันอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที คุณหนูก็ไม่รู้หายไปที่ไหนเสียแล้ว พวกข้า-ช่วยกัน-ตาม-หาอยู่นาน แต่-ก็ไม่เจอ-เจ้า-ค่ะ” ซือเหยาที่น้ำตาไหลพรากสะอึกสะอื้นเล่าให้จื่ออิงฟัง
“อะไรกัน! พวกท่านไปกันตั้งหลายคน เหตุใดจึงปล่อยให้นางหายไปได้” จื่ออิงตกใจแทบสิ้นสติ เด็กสาวหายไปในป่าตอนนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
“ขออภัยขอรับ พวกผู้ชายทั้งหมดข้าขอให้เดินเข้าป่าลึกเพื่อไปเก็บสมุนไพรหายาก เกรงว่าจะเกิดอันตรายจึงให้พวกนางอยู่เก็บตรงบริเวณที่ต้นไม้ไม่หนาทึบขอรับ” คนติดตามของฉือฉินเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด
“พาข้าไปตรงที่เห็นนางเป็นครั้งสุดท้าย” ฉือเฉินที่นิ่งฟังเหตุการณ์อยู่เอ่ยขึ้นมา ด้วยร้อนใจเกรงว่านางจะเกิดอันตราย รีบถามคนติดตามแล้วทำท่าจะก้าวออกไป แต่ก็ต้องหยุดเท้า
“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงทุ้มกังวานเอ่ยแทรกขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด
++++++++++
[1] ยามอิ่ว คือเวลาตั้งแต่ 17.00 น. - 18.59 น.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หรือ เสียงชินอ๋องกับชินหวางเฟยตามมาช่วยน้า
รอ จ้ะ
ท่าทางมาแรง ห่วง แต่ไม่กังวล
น่ารักแบบนี้ไปอีกหลายตอนให้เต้นอนไม่หลับบ้าง ฉ่ายเอ๋อเสียน้ำตาหลายตุ่มแล้ว เอารืนเผื่อด้วย