คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : จีบ...?
[ซิม]
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ผมมองดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกพลางคิดว่าแป๊บเดียวเราอยู่ปีสามแล้วเหรอเนี่ย ใครว่าระยะเวลาในการเรียนปริญญาตรีนาน ผมนี่เถียงขาดใจเลยว่าไม่จริงดูอย่างผมสิแป๊บๆปีหน้าก็ต้องออกฝึกงานแล้ว
เฮ้อ จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะฝึกที่ไหน
"วันนี้หนิงจะไปกินข้าวด้วยนะ" ชายแดน รูมเมทจากเชียงฮายเดินเข้ามาหลังจากที่วางสายแฟนสาวของมันไป
"ต้องไปรับปะ?"
"ไปดิ ไลน์มาขู่กูตั้งแต่เช้า" มันบ่นแต่นัยย์ตามีประกายความรักอยู่ในนั้น
"ถ้างั้นเดี๋ยวกูไปรอที่โรงอาหาร ป่านนี้ไอ้แฝดบ่นใหญ่แล้ว"
ไม่อยากไปขัดคู่ข้าวใหม่ปลามัน ไปด้วยทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นธาตุอากาศทู๊กที ความรักสีชมพูนี่มันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งรถจนผมจะเอียน
"เออๆ งั้นฝากสั่งข้าวของกูกับหนิงด้วยนะ"
"จะกินอะไรก็ไลน์มาบอกแล้วกัน"
"อืมๆ งั้นกูไปแล้วนะ"
มันออกไปได้สักพักผมก็หยิบกระเป๋าสะพายเตรียมจะไปมหา'ลัยบ้าง แต่ใครจะรู้ว่าในตอนที่กำลังเดินมาถึงชั้นล่างจะป๊ะเข้ากับเด็กปีหนึ่งที่อดีตเคยเป็นลูกค้าคนแรกและเพียงคนเดียว
"มีเรียนเช้าเหรอครับ"
เด็กปีหนึ่งหน้าหล่อแถมตัวยังสูงกว่าผมมากฉีกยิ้มหน้าแป้นแล้นเดินเข้ามาใกล้ในระยะประชิดทำเอาผมผงะแทบหงายหลัง
"อืม มึงล่ะ"
มันหุบยิ้มฉับ "ผมไม่ชินกับคำหยาบคายของพี่เลย"
"อยู่นานไปเดี๋ยวก็ชิน"
วิดวะมีแต่พวกห่ามๆกันทั้งนั้น มาเรียนสายนี้บอกเลยว่าไม่เกินสองอาทิตย์หรอกดีไม่ดีจะยิ่งกว่าผมอีก
"แล้ว..พี่ไปเรียนยังไงอะ"
"โน่น" ผมบุ้ยปากไปทางจักรยานคันเก่งที่ไม่ได้ใช้งานมาน่าจะสามสี่เดือน
"ไปกับผมมั้ยถึงไวกว่าไม่ต้องเปลืองแรงปั่นด้วย"
"เอาสิ" ความสะดวกสบายมากองตรงหน้าใครจะบ้าปฏิเสธ
ผมเดินตามเด็กตัวสูงไปที่รถ ขณะเดียวกันก็ใช้สายตามองมันอย่างสำรวจเงียบๆ
ผมของเจ้าตัวยาวขึ้นจากตอนที่เจอกันครั้งนั้นแถมยังถูกเซ็ทเป็นทรงมองแล้วดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ทว่าพอไล่สายตาลงตำ่ก็ต้องเผลอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจหน่อยๆกับชุดนักศึกษาของมัน ตอนแรกผมคิดว่าลูกคนมีเงินบวกกับใบหน้าที่ดูดีอย่างมันน่าจะรักความเป็นระเบียบเนี้ยบจัดตั้งแต่หัวจรดเท้าซะอีก
ที่ไหนได้
เปิดเรียนวันแรกมึงเล่นเอาเสื้อนักศึกษาออกนอกกางเกงเลยเหรอวะเจ้าสัว
ขืนถ้าทำแบบนี้ในมหา'ลัยตั้งแต่วันแรกมีหวังโดนเขม่นจากรุ่นพี่แน่ๆ
"นี่ เอาเสื้อใส่เข้าไปในกางเกงดีๆ นี่มันเพิ่งเปิดเรียน" ผมบอกด้วยความหวังดีเมื่อเราสองคนเดินมาถึงรถ
มันก้มลงมองตัวเองก่อนจะเอาชายเสื้อนักศึกษาเก็บเข้าไปในกางเกงอย่างว่าง่าย
"เรียบร้อยนะครับพี่ปีสาม" แต่มากวนตีนเอาตอนนี้นี่แหละ
"อืม"
"อะ หมวกกันน็อคถึงจะไม่ไกลแต่ใส่กันไว้จะดีกว่า"
เจ้าสัวหยิบเอาหมวกกันน็อคที่วางไว้บนเบาะรถยื่นให้ผม ผมชะงักนิดหน่อยแต่ต่อมาก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อสายตาสบเข้ากับยานพาหนะของมัน
อย่างแจ่ม!
ถึงผมจะไม่มีความรู้เรื่องรถสักเท่าไหร่แต่ด้วยเคยเห็นพวกไอ้แฝดมันขี่ไปคณะบ่อยๆเลยจำได้ว่ารุ่นนี้ราคาเกือบล้านเลยทีเดียว
เกิดเป็นลูกคนรวยนี่มันดีจริงๆอะแหละ
"ยืนงงอะไรอะพี่ ใส่ดิจะได้รีบไปหรือว่ารอให้ผมใส่ให้"
ผมสะดุ้งเล็กน้อย "กูใส่เองได้"
เจ้าของรถบิ๊กไบค์ราคาแพงไม่ได้ว่าอะไรต่อ มันยักไหล่แล้วหันไปใส่หมวกกันน็อคให้ตัวเองบ้าง
ว่าแต่..คนบ้านอะไรพกหมวกกันน็อคสองอันวะ?
แต่ก็ช่างเถอะไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย
หลายนาทีต่อมาเราสองคนก็มาถึงจุดหมายปลายทางนั่นคือ โรงอาหารคณะ อันที่จริงมันน่าจะถึงเร็วกว่านี้ถ้าไม่ติดที่คนขับ ขับช้าอย่างกับเต่า
ยิ่งจังหวะที่รถจะเหยียบลูกระนาดเนี่ยทำเอาผมแทบจะกระโดดลงจกรถใหญ่ๆของมันแล้วเดินเองซะให้รู้แล้วรู้รอด คือคุณมึงจะขับนิ่มไปไหนนนน
"เย็นนี้พี่เข้ากิจกรรมปะ" มันเอ่ยถามเมื่อรับเอาหมวกกันน็อคจากผมไป
"เข้ามั้งไม่แน่ใจ"
"เอ้า ทำไมต้องมีไม่แน่ใจด้วยอะ"
"จะถามทำไมเนี่ย" ผมย่นคิ้วมองมัน
ผมไม่ใช่เด็กกิจกรรมหรือตัวเด่นดังอะไรในคณะออกจะเป็นลูกกระจ๊อกปลายแถวที่รอคำบัญชาจากเฮดของงานซะมากกว่า เพราะงั้นผมจะไปหรือไม่ไปก็มีค่าเท่าเดิม
"เปล่า งั้นผมไปเรียนนะ"
พูดจบมันก็บิดรถผ่านหน้าผมไปเลย ผมเกาหัวแกรกๆอย่างไม่เข้าใจ"อะไรของมันวะ" แล้วเดินเข้าไปสมทบกับเพื่อนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"เชี่ยซิม ทางนี้" โจอี้แฝดพี่กวักมือเรียกผม
ผมเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับมัน"มานานยัง"
"สักพักว่ะ" มันตอบ "กินไรไปสั่งดิเดี๋ยวสาย"
ผมเดินไปสั่งข้าวเมนูเดิมนั่นแหละ พอแม่ค้าทำเสร็จก็เดินถือกลับมานั่งที่โต๊ะ เห็นชายแดนนั่งจ้วงข้าวข้างๆเจไดแฝดผู้น้อง ผมจึงต้องเปลี่ยนมานั่งข้างโจอี้มัน
"อ้าว หนิงล่ะ" ไหนพวกมึงบอกจะไปรับกันแล้วเมียหายไปไหน
"หนิงบอกว่ามีธุระกูเลยวนรถกลับมา แล้วมึงมากับใครเมื่อกี้กูแวะไปเอาชีทเรียนเห็นจักรยานมึงจอดอยู่เลย"
ผมนึกไปถึงหน้าไอ้เด็กเจ้าสัวนั่น "น้องในหออะแหละมันชวนมาด้วย"
"เหรอ" ชายแดนว่าแค่นั้นแล้วก็กลับไปตั้งใจกินข้าวต่อ
"พูดถึงรุ่นน้อง เย็นนี้พวกมึงสองคนเข้ากิจกรรมปะ" สองคนที่โจอี้มันว่าคือผมและชายแดน
"กูเข้านะอยากเห็นน้องปีหนึ่ง" ไอ้ชายแดนยิ้มกริ่ม
"เบาได้เบานะเพื่อนเดี๋ยวเมียมึงรู้" เจไดพูดขึ้นบ้าง
"ถ้าไม่มีใครพูดก็ไม่มีทางรู้ เว้ยยย"
"มึงนี่แม่ง น่าจับมัดกับไอ้เจ"
"เกี่ยวไรกับกูอะโจ" เจไดมันโวยวายพี่ชายที่จู่ๆก็โดนลากเข้าไปเอี่ยว
"เกี่ยวเต็มๆ มีเมียอยู่แล้วยังเที่ยวไปอ้อยคนอื่น แล้วใครที่เป็นคนออกตัวให้ กูไง! เมียมันแม่งงี่เง่าด้วยไงกูนี่โคตรรำคาญ"
"แล้วมึงไม่คิดมีเมียเหมือนน้องมึงบ้างเหรอโจ" ผมแกล้งถามมันบ้าง
"ไม่ว่ะ กูชอบสันโดษ" มันตอบหน้าเหม็นเบื่อก่อนจะเอาคืนผมด้วยคำถามเดียวกัน "แล้วมึงอะไม่มีเหมือนกันนี่"
"ผู้หญิงที่ไหนจะมาชอบกู เวลาก็ไม่มีให้ สายเปย์เหรอก็ไม่ใช่"ผมพูดตามความจริง
พูดขึ้นมาแล้วมันก็เจ็บจิ๊ดที่ใจปากบอกว่ารักผมแต่แม่งก็ไปกับคนอื่น พอถามเข้าหน่อยก็โวยวายโทษผมฝ่ายเดียวว่าไม่มีเวลาให้ ยิ่งเจอคำที่ว่าตั้งแต่คบกันมาผมไม่เคยซื้ออะไรให้เธอเลยยิ่งทำให้ผมสะอึกจนไปไม่เป็น
คนที่ว่าก็เพื่อนเมียไอ้ชายแดนนั่นแหละแถมอยู่ห้องเดียวกันอีก เพราะเหตุผลนี้ผมถึงไม่คิดจะไปเหยียบที่นั่น
"แล้วถ้ามีผู้ชายมาจีบล่ะมึงจะเอามั้ยวะ" ไอ้เจไดแม่งก็ถามอะไรไร้สาระ ใครมันจะมาชอบกูไม่ได้หน้าใสปากแดงเหมือนแตงโมหนุ่มน้อยคณะเกษตรฯสักหน่อย
"แบบ สมมุติก็ได้อะ"
สมมุติเหรอ "ถ้าเป็นผู้ชายกูขอแบบหล่อๆ รวยๆ สายเปย์แบบป๋าขาเลยอะ"
"ดูสิแม่งตามันจะเป็นรูปเงินอยู่แล้ว" เจไดมันหลุดขำพร้อมกับชี้นิ้วมาทางผม
ทว่าต่อมามันแสงร้งถอนหายใจเลื่อนมือตบบ่าผมปุๆ"แต่ว่าเสียใจด้วยนะซิมเพื่อนรักสิ่งที่มึงจินตนาการไปคงได้แค่ฝันว่ะ"
ผมแกล้งทำหน้าเสียดายซึ่งพวกมันสามตัวรู้ดี "ว้า เสียดายจังพวกมึงไม่มีสงมีเสี่ยให้กูบ้างอะ น้องซิมคนนี้อยากมีคนเลี้ยง " ผมกระพริบตาปริบๆ
การกระทำของผมทำเพื่อนส่ายหัวอย่างเอือมระอาโจอี้ผู้ที่รับไม่ได้ถึงที่สุดถึงกับชวนไปเรียน "เวิ่นเว้อสัด ไปเรียนได้แล้ว"
(ต่อค้าบบบบบบบ) ??”???”???”???”?
[เจ้าสัว]
"เมื่อเช้ามึงมากับใคร"
ผมกรอกตาอย่างเซ็งๆเมื่อไอ้เป๊บที่ถ่อไปเรียนคณะอื่นดักรออยู่ใต้ตึกทันทีที่ผมปรากฎตัวไอ้เหี้ยนี่ก็รีบปรี่เข้ามา ข้างหลังมันยังมีมาร์ตินและไอ้แฟ้มยืนมองผมอยู่
เหี้ยไรวะเนี่ยย
"พูดเรื่องอะไร" ผมย่นหัวคิ้วถาม
"เชี่ยแฟ้มมันบอกว่ามึงไปส่งใครก็ไม่รู้อยู่โรงอาหาร"
ผมหันขวับไปมองตัวการได้ยินมันร้องอูยขึ้นมาเบาๆ "มึงเห็นตอนไหนสัดแฟ้ม"
"มะ เมื่อเช้า กูกำลังเดินผ่านพอดี"
"กูว่าพวกมึงหาที่นั่งคุยกันเถอะว่ะ เกะกะคนอื่นเขา"
แผนที่มันเสนอขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนักศึกษาปีอื่นทยอยลงมา พวกไอ้เป๊บก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะบังคับผมทางสายให้เดินตามพวกมันไป
"ยังไง มึงมีอะไรปิดบังพวกกูไอ้เสือ" ไอ้เป๊บเริ่มถามก่อนใครเมื่อเรานั่งกันตรงม้านั่งหน้าตึกเรียน
"ปิดบังเหี้ยไรไม่มีอะไรทั้งนั้น"
"มึงไม่ชอบให้คนที่ไม่สนิทซ้อนท้าย จะโกหกอะไรก็ให้มันเนียนหน่อยเถอะสัว" แฟ้มออกความคิดเห็น
พวกมึงจะรู้ดีเกินไปแล้วไอ้เพื่อนเวร!
“คนนี้ใช่ปะ” มาร์ติณชายหนุ่มที่เงียบสงบกว่าใครเพื่อนอย่างมันจู่ๆก็โพล่งขึ้นเล่นเอาไอ้พวกที่เหลือจ้องมายังผมโดยพร้อมเพรียง
ผมพ่นลมหายใจอย่างยอมแพ้ก่อนจะพยักหน้า “เออ”
เพราะการติดต่อเขาไม่ได้มันทำให้ผมอึดอัดจนอยากระบายกับใครสักคน ตอนแรกก็กะจะคุยกับไอ้เป๊บแค่คนเดียวแต่ผมคงลืมไปว่ากลุ่มเราต้องไม่มีความลับต่อกันดังนั้นเรื่องที่ผมตกหลุมรักผู้ชายที่สูงเพียงหัวนมผมนั้นจึงรู้กันโดยถ้วนทั่ว
“ไอ้เหี้ยจริงดิ ชื่อไรวะ เรียนคณะอะไร” ไอ้เป๊บรัวคำถาม
“ชื่อซิม เป็นรุ่นพี่ปีสาม เรียนวิดวะ”
“เดี๋ยวนะ” ไอ้ยุแทรก “ใช่พี่ที่เป็นกรรมการหอในชายมั้ย”
“เออ”
คำตอบของผมทำให้ชินยุตบเข่าฉาด “กูว่าแล้ววว! ทำไมเจ้าสัวมันเกิดอยากอยู่หอในขึ้นมา ที่แท้ก็เจอคนๆนั้นนี่เองแล้วแม่งก็ไม่บอกกูสักคำ นี่ถ้าไอ้แฟ้มไม่บังเอิญเห็นเขาซ้อนท้ายรถมึงกูก็คงโง่เป็นควายต่อไปสิท่า” มันบ่นยาวจนผมเริ่มชักจะรำคาญ
ความจริงผมไม่ได้จะปิดบังใครนะ พวกมันไม่รู้หรอกว่าวินาทีที่ผมเจอหน้าพี่เขาครั้งแรกใจผมลิงโลดจนอยากจะให้รางวัลหอพักในชายของมหา’ลัยด้วยการทุบแล้วสร้างใหม่เอาให้อยู่สบายกว่าเดิม
“หน้าตาเป็นไงวะยุ น่ารักปะวะ” เชี่ยแฟ้มถาม สีหน้าของมันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากรู้มากขนาดไหน
“ก็..ธรรดานะเตี้ยกว่ากูนิดหน่อย ไม่ได้น่ารักมากแล้วก็ไม่ได้แย่ เอาตรงๆเลยนะกูก็พูดไม่ถูกเหมือนกันว่ะ”
มันพูดไปสายตาก็เหลือบมองผมเป็นระยะ คงกลัวผมโกรธที่พูดไปแบบนั้น ทว่าความจริงเปล่าเลยมันไอ้ยุมันพูดถูก เขาเป็นคนธรรมดาในสายตาของคนอื่นแต่แม่งโคตรพิเศษสำหรับผม
“อ้าว” พวกที่เหลือร้องพร้อมกัน
“ไอ้ยุแม่งทำให้กูอยากเห็นหน้าพี่คนนั้นว่ะ ตอนเย็นบุกหอในวิดวะเลยมั้ย”
“ใจเย็นแฟ้ม” มาร์ติณปราม
“กูใจเย็นไม่ไหวแล้วมาร์ติณต่อมเผือกกูมันสั่นยิกๆเลยเนี่ย”
“เออ กูก็เหมือนกันน” แม้แต่ไอ้เป๊บยังเห็นด้วยคึกคักเลยนะไอ้ควาย
“กินตีนกูมั้ยไอ้เหี้ยมันจะได้เลิกสั่น” ผมว่าออกไป
“รุนแรงนะไอ้เสือ แหมม วันที่มึงอกหักใครกินเหล้าเป็นเพื่อนมึงไอ้เนรคุณ!”
“ไม่ใช่มึงแล้วกันสัดแฟ้ม”
เพราะวันนั้นแม่งหนีไปง้อเมีย
ไอ้แฟ้มอ้าปากตั้งท่าจะเถียง ทว่าชินยุก็สะกิดผมยกใหญ่บุ้ยปากให้ดูอะไรสักอย่างทำให้การสนทนาของพวกผมหยุดลงแล้วหันไปให้ความสนใจกับเรื่องใหม่
สุดที่รักผมนี่เอง
“นี่ๆ คนนี้ๆที่ไอ้สัวมันชอบ”
ผมไม่ได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบที่น่ารำคาญของชินยุเลยสักนิด สายตาของผมนั้นพุ่งเป้าไปที่หนึ่งในกลุ่มของพี่ปีสามแห่งคณะวิศวกรรมฯ
เขากำลังพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีเด็กปีหนึ่งอย่างผมแอบมองอยู่
“ตาหวานเยิ้มเลยนะไอ้สัด” ไอ้สัดแฟ้มพูดล้อเลียน
เขาเดินผ่านไปแล้วทำให้ผมเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้ทุกคนมองมายังผมเป็นจุดเดียว
“กูตลกมึงจริงๆเจ้าสัวเกิดมาเพิ่งเคยเห็นมึงคลั่งคนอื่นก็ตอนนี้แหละ เป็นบุญตากูจริงๆ” ไอ้เป๊บพูดยิ้มๆซึ่งคนที่เหลือก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
ผมยักไหล่ไม่ได้แก้ต่างให้กับสิ่งที่ไอ้ที่ไอ้เป๊บมันพูด ก็ในเมื่อเหตุการณ์ที่ผ่านไปเมื่อกี๊มันเด่นชัดขนาดนี้ผมจะเถียงทำไมล่ะครับ
“แล้วมึงจะเอาไงต่อวะสัว” มาร์ติณถามขึ้น
ผมไม่ได้คิดจะปิดบังเพื่อนอยู่แล้วจึงตอบความจริง “กูจะบอกเขาตรงๆว่าชอบแล้วก็จะจีบ”
“เดี๋ยว มึงไม่เคยจีบใครนะครับไอ้เหี้ย” ชินยุถึงกับร้องออกมา
“ก็นี่ไงคนแรก”
“มึงไม่กลัวเขาตกใจรึไงพูดตรงขนาดนั้น พี่เขาเป็นผู้ชายนะ ถึงคนที่จะมาจีบหล่อรวยเป็นกูก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันนะเว้ย”
ก็ถูกอย่างที่ไอ้ยุว่าแต่..แล้วไง
“การสารภาพของกูคือการประกาศทางอ้อมว่ากูจองคนนี้ อีกอย่างหล่อๆอย่างกูมีอะไรให้น่าตกใจวะออกจะน่าดีใจด้วยซำ้”
มีแฟนแบบผมมีบ้านให้บ้าน มีรถให้รถ ดูแลเอาใจใส่เก่ง รักเดียวใจเดียว ที่สำคัญไม่มีบ้านเล็กบ้านน้อยให้คุณต้องชำ้ใจ
“กูอยากจะเถียงนะแต่เผอิญกลุ่มเรามันหน้าตาดีว่ะกูเลยแม่งเถียงไม่ออก”
“มีใครรำคาญไอ้เหี้ยแฟ้มแบบกูบ้าง ฮึ แผนที่มึงนี่ก็ใบ้แดกเลยเนอะ”
แผนที่มันถึงกับงงที่จู่ๆก็โดนไอ้ยุพาลใส่ “เกี่ยวไรกับกู”
“อย่าเพิ่งเถียงกัน” ไอ้เป๊บรีบเบรกก่อนจะหันมาพูดกับผม “แล้วมึงจะบอกพี่เขาวันไหนวะสัว”
วันไหนน่ะเหรอ?
“...วันนี้แหละ”
พอดีรีบ
(ต่อจ้าาาา*********)
“วันนี้ขอบคุณน้องๆทุกคนมากๆที่ให้ความร่วมมือกับพวกพี่ พรุ่งนี้ก็มาเจอกันที่นี่เวลาเดิมโอเคนะคะ”
“โอเคค้าาาาา”
“ดีมาก โอเคกลับบ้านได้ค่าา”
หายไปไหนแล้ววะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลยเผลอกระพริบตาแป๊บเดียวหายซะแล้ว!
“มึงมองหาใครอยู่วะสัว”
“หาพี่ซิม เมื่อกี้กูยังเห็นยืนข้างๆพี่ต๊อบอยู่เลย” ผมตอบไอ้ยุสายตาก็กวาดมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นเขา
แม่งไวอย่างกับลิง แต่ถึงจะเป็นลิงก็คงเป็นลิงที่น่ารักโคตรๆ
“กูเห็นเดินออกไปแล้ว” มันตอบหน้าซื่อๆ
“เอ้าไอ้เหี้ยแล้วทำไมไม่บอกกู”
“ก็มึงไม่ถามนี่”
“เออ! กลับหอก่อนเลยนะกูไปล่ะ”
ผมรีบคว้ากระเป๋าที่พี่ชายสุดที่รักซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดแล้วสับเท้าออกนอกหอประชุมอย่างเร็วรี่
พ้นบานประตูผมเห็นแผ่นหลังเล็กนั่นกำลังเดินตีคู่ไปกับเพื่อนเท่านั้นล่ะใส่เกียร์หมาทันที
“พี่ซิมครับ!”
แม่ง ทันว่ะ
นัยย์ตาคู่นั้นหันมามองผมพร้อมทั้งขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าภาคบ่ายเขาไปทำอะไรมาผมเผ้าถึงได้ยุ่งเหยิงเหมือนผ่านสนามรบมาขนาดนั้น แต่แม่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าน่ารักโคตรๆ สาบานเลยว่าผมแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหว อยากแสดงความรู้สึกทั้งหมดของผมที่มีต่อเขาจะแย่
ได้แต่บอกตัวเองว่า เย็นไว้ พอสารภาพกับเขาเสร็จมึงได้รุกเต็มที่แน่ๆ แม่งง กระเป๋าเงินกูสั่นยิกๆเลยสัด
อยากเปย์เขาโว้ยยยย!!
“อะไร”
“คือผมมีเรื่องจะคุยกับพี่น่ะครับ”
เขาทำหน้างงเข้าไปอีก “เรื่องอะไร”
เรื่องของเราสองคนไงครับ
แม่งโคตรอยากพูดคำนี้เหี้ยๆ แต่ติดที่มีเพื่อนเขาอยู่ด้วยนี่สิสุดท้ายเลยต้องกลืนคำนั้นลงไปอย่างช่วยไม่ได้
ผมไม่ได้ตอบเขาไปในทันที แต่ใช้สายตาเหล่มองไปที่คนข้างหลังเป็นการบอกทางอ้อมว่าผมต้องการคุยกับเขาแค่สองคน
และดูเหมือนพี่คนข้างหลังจะรู้ตัว
“กูรอในรถก็ได้ คุยเสร็จก็บอ-“
“เดี๋ยวให้พี่ซิมกลับกับผมก็ได้ครับ ยังไงก็อยู่หอในเหมือนกัน”
“เอางั้นเหรอวะ?” พี่เขาเลิกคิ้วถามพี่ซิม
เขามองผมกับเพื่อนสลับกันเหมือนลังเลแต่สุดท้ายก็ตกลง
เยส!
เกือบหุบยิ้มไม่ทันเมื่อจู่ๆเขาก็หันมาหลังจากที่รำ่ลากับเพื่อนเสร็จ
“ไหน มึงมีเรื่องอะไรก็ว่ามา”
หลายครั้งนะที่ผมแม่งอยากลงโทษปากน้อยๆนั่นให้หายหยาบคายสักที ไม่ค่อยสบอารมณ์ที่เขาใช้คำว่ามึงกูกับผม เปลี่ยนมาเรียก ตัวเอง เตง เธอ ที่รัก อะไรก็ได้ที่มันลื่นหู กว่านี้ก็คงจะดี
แต่ก็นั่นแหละ เราสองคนยังไม่ได้เป็นอะไรกันไงผมเลยแม่งทำอะไรไม่ได้
“ผมหิวข้าวอะครับ ขอกินข้าวก่อนได้ปะ”
“นี่ กูไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งรอมึงกินข้าวนะรีบๆพูดมา”
“นะครับพี่ซิม” ผมกระพริบตาปริบๆหวังให้เขาใจอ่อน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลมิหนำซำ้เขายังมองผมเหมือนตัวประหลาดไปอีก
อะไรวะ เธอไม่เคลิ้มหน่อยเหรอเธอ
“เอางี้ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวพี่ด้วย อยากกินอะไร ร้านไหนผมตามใจทุกอย่างเลย”
เห็นตาเขาเป็นประกายกระพริบตาอีกทีดันหายไปแล้ว ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อรู้ว่าคนข้างหน้าหลงกลผมเข้าแล้ว
เอาของฟรีมาล่อก็เข้าท่าดีเหมือนกัน
อ้อ..ดูท่าจะเป็นของกินด้วย
“แปลกๆนะ เจอครั้งแรกให้เงินสามหมื่น มาวันนี้จะเลี้ยงข้าว”
ถ้าพี่คบกับผมพี่จะได้บ้านครับ
“แล้วพี่ตกลงมั้ยล่ะครับ”
“ก็..เออ”
แค่เนี้ยยยย
ผมคิดว่าร้านที่เขาเลือกจะเป็นร้านอาหารตามสั่งใกล้มหา’ลัยหรือไม่ก็ก๋วยเตี๋ยวริมทางซะอีก ที่ไหนได้เลยมาร้านชาบูในห้าง
“กูอยากกินมาหลายวันแล้วแต่เพื่อนแม่งไม่พามา”
ผมได้แต่พยักหน้าแล้วเดินขนาบข้างเขาเข้าไปในร้าน หลุบตามองกลุ่มผมนุ่มนั่นแล้วแม่งอยากฟัดชะมัด แล้วคำพูดของไอ้ยุก็ผุดขึ้นมาในหัว
ก็..ธรรดานะ เตี้ยกว่าดูนิดหน่อยไม่ได้น่ารักมากแล้วก็ไม่ได้แย่ เอาตรงๆเลยนะกูก็พูดไม่ถูกเหมือนกันว่ะ
ไม่ได้น่ารักมากบ้านป้ามึงสิสัดยุ!
“ขอเอาแบบบุฟเฟ่ต์นะนานๆทีได้มากิน”
“ตามใจเลยครับ”
เราสองคนเลือกนั่งกันด้านในสุดซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้เป็นคนเลือก มีหน้าที่แค่เดินตามหลังเขาต้อยๆเมื่อเขาชี้มือบอกว่าจะนั่งตรงนี้ผมก็ยิ้มรับแล้วบอกว่า “ตามใจพี่ครับ” อย่างเดียว
ได้ยินเขาพึมพำว่าแปลกๆหลายรอบแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ
ผมเริ่มคีบเนื้อหมูและเบค่อนลงไปในหม้อแล้วตามด้วยผักเมื่อพนักงานนำมาเสิร์ฟ แต่ดูเหมือนจะไม่ถูกใจอีกคน เพราะเขาเล่นสั่งให้ผมเททุกอย่างลงไปทีเดียว
สรุปใครหิวกันแน่?
“ใจเย็นๆครับหมูยังไม่สุก” เอ็นดูว่ะ “พี่กินผักก่อนได้นะ”
เขาปัดมือปฏิเสธ “ไม่ๆ กูอยากกินหมูก่อนผักเอาไว้ทีหลัง กินบุฟเฟ่ต์ทั้งทีให้กินผักได้ไง”
“อะๆ สุกแล้วครับยื่นจานมา”
เขารีบยื่นจานมาใกล้หม้อเหมือนรอจังหวะนี้มานานจนทำให้ผมอดขำไม่ได้ น่ารักจริงๆนั่นแหละ
“ขำอะไร”
“เปล่าครับ”
พูดได้เหรอว่าที่ขำเพราะว่าเอ็นดูพี่
“แล้วสรุปจะคุยเรื่องอะไร”
ผมวางตะเกียบลงบนจานที่มีแต่ผัก แล้วเท้าคางมองเขาเคี้ยวหมูจนแก้มป่อง มัวแต่สนใจการกินจนไม่สังเกตเลยว่าที่กินอยู่นั่นน่ะผมตักใส่จานให้ทุกชิ้น
สาบานให้ฟ้าผ่าเลยว่าตั้งแต่มีแฟนคนแรกผมไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร
“พี่กินอิ่มค่อยคุยดีกว่า” ขืนบอกไปตอนนี้มีหวังเบค่อนลอยอืดอยู่ในหม้อแน่ๆ
“อือๆ ตามใจ” แล้วเขาก็กลับไปตั้งใจกินหมูต่อ
ความเงียบเข้ามาปกคลุมไปชั่วขณะเพราะคนตรงหน้าเอาแต่สนใจของกิน
“พี่ซิมเคยมีแฟนมั้ยครับ” ผมโพล่งถามออกไป
“เคยดิ โตจนป่านนี้แล้ว”
ผมไม่เถียงเพราะจุดประสงค์ที่ผมอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนี้ ก็แค่หลอกถามไปงั้น
“แล้วตอนนี้ล่ะครับ”
เขาหยุดกินแล้วนิ่งไป “เลิกไปแล้ว”
“นานรึยังครับ” ผมถามต่อแทบจะทันที
“ก็..ตั้งแต่ปีสองเทอมแรก”
ถ้าคิดดูดีๆก็ไม่นานโอกาสที่จะกลับมาคบกันห้าสิบๆ มันอยู่ที่ว่าพี่ซิมยังมีใจให้เขาอยู่รึเปล่า ผมโคตรอยากถามว่าตอนนี้พี่รู้สึกยังไง ยังติดต่อกันอยู่หรือเปล่า
แต่ถ้าเกิดว่าถามไปแม่งก็เป็นตัวเองป่าววะที่เจ็บ ไหนๆตอนนี้เขาก็โสดไม่มีพันธะให้ขวางหูขวางตาแล้วก็น่าจะดีใจหนิ
“แล้วมึงอะ” คาดไม่ถึงว่าเขาจะถามกลับ
“พี่คิดว่าไงอะ”
อยากรู้ว่าในสายตาเขาผมเป็นยังไง
“มีแล้ว หรือถ้าไม่มีก็คงเจ้าชู้โคตรๆ แบบมึงอะกูเห็นมาเยอะยิ่งรวยๆแบบนี้เข้าผับทีผู้หญิงขนาบข้างซ้ายขวา”
ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ?
“ผิดแล้ว ผมโสดแล้วก็ไม่เจ้าชู้ด้วย”
โสดตั้งแต่วันที่ให้เงินสามหมื่นนั่นกับพี่นั่นแหละถึงบ้านปุ๊บบอกเลิกปั๊บ
“เชื่อได้ที่ไหน หึ”
“ผมชอบพี่”
เขาดูอึ้งไปเลย
ตอนแรกกะจะพาเขาไปที่ไหนสักที่แล้วพูดประโยคนี้ต่อหน้าเขา แต่ทว่ามันไม่ทันแล้วเพราะผมเพิ่งพูดมันออกไปเมื่อกี้ จะเรียกว่าหลุดปากก็ไม่เชิงแค่เขาคิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นปากมันก็ไปเองอัติโนมัติ
“ว่าไงนะ”
รอบนี้ผมเน้นหนักทุกคำ “ผมชอบพี่แล้วก็จะจีบพี่ด้วย”
“มึงล้อเล่นปะเนี่ย กูไม่ขำนะเว้ย”
ถ้าอยู่ข้างนอกเขาคงจะโวยวาย ผิดแต่ที่นี่คือร้านชาบูในห้างนี่คือข้อดีสินะ แต่ตอนนี้ผมกลัวอย่างเดียวกลัวเขาชิ่งหนีไปน่ะสิ
“ผมไม่ได้ล้อเล่น”
“มะ ไม่ๆๆ กูไม่ได้ชอบผู้ชาย”
“แล้วไง ผมต้องการแค่ให้พี่รับรู้เพราะไม่ว่ายังไงผมก็จะจีบพี่อยู่ดี”
“ไม่ได้โว้ยย”
“ชู่วว อย่าเสียงดังสิครับ” ผมว่าอย่างขำๆ
เห็นสีหน้าของเขาแล้วตลกดีแฮะ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่จู่ๆก็นิ่งไปเลย
มีคนอย่างผมมาชอบนี่คิดหนักชนาดนั้นเลยรึไง
หลังจากที่ผมสารภาพความในใจออกไปโต้งๆ เขาก็เงียบไปเลยเบค่อนในหม้อลอยอืดอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ผมปล่อยให้เขาจมอยู่กับความคิดตัวเองไปแบบนั้นไม่ได้เร่งเร้าอะไร
แต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้อยู่ดีว่าการที่โดนคนอย่างกูชอบนี่มันไม่ดีตรงไหน เมื่อวานพี่ปีสองยังมาขอไลน์ผมอยู่เลยนะจะบอกให้
“มึง ไม่ได้อำกูเล่นใช่มั้ย” จู่ๆเขาก็ถามขึ้นทั้งๆที่เงียบมาตลอดทางในระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินขึ้นหอ
“ผมพูดจริงครับ ผมจะจีบพี่”
“พวกไอ้แฝดจ้างมึงมาแกล้งกูใช่มั้ย บอกความจริงมา”
ผมทำหน้าไม่เข้าใจ แฝดไหนวะ? แล้วใครจะมาจ้างผม
“ฮือ ใช่แน่ๆฝีมือไอ้แฝดนรกแน่” เขายกมือสองข้างกุมขมับแล้วพึมพำว่าอยู่คนเดียวว่าไม่จริงๆ
ผมยิ้มตลกกับคนตรงหน้าจริงๆนะ “ไม่มีใครจ้างผมทั้งนั้นแหละ ผมชอบพี่จริงๆ”
“ไม่เชื่อ!”
“ไม่เชื่อก็คอยดู” ผมยิ้ม
“กูมีอะไรให้ชอบวะ มึงก็หน้าตาดีผู้หญิงสวยๆมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปชอบเขา”
“ก็ผมชอบพี่ จะเอาพี่ พี่จะไล่ให้ผมไปชอบคนอื่นทำไมครับ หืมม” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทำให้อีกฝ่ายตกใจผลักหน้าผมออกสุดแรง
“หยุดพูดไปเลยนะ กูไม่ได้ชอบผู้ชายเว้ย!”
“บอกไปแล้วว่าไม่สนจะจีบก็คือจะจีบ”
เกิดมาไม่เคยหน้าด้านหน้าทนเท่านี้มาก่อน เขาปฏิเสธผมยังเสือกยิ้มได้อีก
เหมือนคนตรงหน้าไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาพูด ใบหน้าบึ้งตึงนั่นจึงตัดสินใจเดินหนีผมไปซะเฉยๆ
ไม่เป็นไรให้เขากลับไปตั้งหลักพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะว่าพรุ่งนี้เจอศึกหนักอย่างผมแน่ๆ
“เตรียมรับมือสำหรับพรุ่งนี้ได้เลยทูนหัว”
:)
ครบบบบบ
ยังไม่ตรวจคำผิดนะคะ
TBC.
ความคิดเห็น