ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You've caught my eye (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #3 : จีบ...?

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 63


     

     

     

     

    [ซิม]


     

    วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ผมมองดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกพลางคิดว่าแป๊บเดียวเราอยู่ปีสามแล้วเหรอเนี่ย ใครว่าระยะเวลาในการเรียนปริญญาตรีนาน ผมนี่เถียงขาดใจเลยว่าไม่จริงดูอย่างผมสิแป๊บๆปีหน้าก็ต้องออกฝึกงานแล้ว 

     

    เฮ้อ จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะฝึกที่ไหน 

     

    "วันนี้หนิงจะไปกินข้าวด้วยนะ" ชายแดน รูมเมทจากเชียงฮายเดินเข้ามาหลังจากที่วางสายแฟนสาวของมันไป

     

    "ต้องไปรับปะ?" 

     

    "ไปดิ ไลน์มาขู่กูตั้งแต่เช้า" มันบ่นแต่นัยย์ตามีประกายความรักอยู่ในนั้น

     

    "ถ้างั้นเดี๋ยวกูไปรอที่โรงอาหาร ป่านนี้ไอ้แฝดบ่นใหญ่แล้ว" 

     

    ไม่อยากไปขัดคู่ข้าวใหม่ปลามัน ไปด้วยทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นธาตุอากาศทู๊กที ความรักสีชมพูนี่มันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งรถจนผมจะเอียน 

     

    "เออๆ งั้นฝากสั่งข้าวของกูกับหนิงด้วยนะ" 

     

    "จะกินอะไรก็ไลน์มาบอกแล้วกัน" 

     

    "อืมๆ งั้นกูไปแล้วนะ"

     

    มันออกไปได้สักพักผมก็หยิบกระเป๋าสะพายเตรียมจะไปมหา'ลัยบ้าง แต่ใครจะรู้ว่าในตอนที่กำลังเดินมาถึงชั้นล่างจะป๊ะเข้ากับเด็กปีหนึ่งที่อดีตเคยเป็นลูกค้าคนแรกและเพียงคนเดียว

     

    "มีเรียนเช้าเหรอครับ"

     

     เด็กปีหนึ่งหน้าหล่อแถมตัวยังสูงกว่าผมมากฉีกยิ้มหน้าแป้นแล้นเดินเข้ามาใกล้ในระยะประชิดทำเอาผมผงะแทบหงายหลัง

     

    "อืม มึงล่ะ"

     

    มันหุบยิ้มฉับ "ผมไม่ชินกับคำหยาบคายของพี่เลย"

     

    "อยู่นานไปเดี๋ยวก็ชิน" 

     

    วิดวะมีแต่พวกห่ามๆกันทั้งนั้น มาเรียนสายนี้บอกเลยว่าไม่เกินสองอาทิตย์หรอกดีไม่ดีจะยิ่งกว่าผมอีก

     

    "แล้ว..พี่ไปเรียนยังไงอะ" 

     

    "โน่น" ผมบุ้ยปากไปทางจักรยานคันเก่งที่ไม่ได้ใช้งานมาน่าจะสามสี่เดือน 

     

    "ไปกับผมมั้ยถึงไวกว่าไม่ต้องเปลืองแรงปั่นด้วย"

     

    "เอาสิ" ความสะดวกสบายมากองตรงหน้าใครจะบ้าปฏิเสธ

     

    ผมเดินตามเด็กตัวสูงไปที่รถ ขณะเดียวกันก็ใช้สายตามองมันอย่างสำรวจเงียบๆ

     

    ผมของเจ้าตัวยาวขึ้นจากตอนที่เจอกันครั้งนั้นแถมยังถูกเซ็ทเป็นทรงมองแล้วดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น  แต่ทว่าพอไล่สายตาลงตำ่ก็ต้องเผลอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจหน่อยๆกับชุดนักศึกษาของมัน ตอนแรกผมคิดว่าลูกคนมีเงินบวกกับใบหน้าที่ดูดีอย่างมันน่าจะรักความเป็นระเบียบเนี้ยบจัดตั้งแต่หัวจรดเท้าซะอีก 

     

    ที่ไหนได้

     

    เปิดเรียนวันแรกมึงเล่นเอาเสื้อนักศึกษาออกนอกกางเกงเลยเหรอวะเจ้าสัว

     

    ขืนถ้าทำแบบนี้ในมหา'ลัยตั้งแต่วันแรกมีหวังโดนเขม่นจากรุ่นพี่แน่ๆ

     

    "นี่ เอาเสื้อใส่เข้าไปในกางเกงดีๆ นี่มันเพิ่งเปิดเรียน" ผมบอกด้วยความหวังดีเมื่อเราสองคนเดินมาถึงรถ

     

    มันก้มลงมองตัวเองก่อนจะเอาชายเสื้อนักศึกษาเก็บเข้าไปในกางเกงอย่างว่าง่าย 

     

    "เรียบร้อยนะครับพี่ปีสาม" แต่มากวนตีนเอาตอนนี้นี่แหละ 

     

    "อืม" 

     

    "อะ หมวกกันน็อคถึงจะไม่ไกลแต่ใส่กันไว้จะดีกว่า" 

     

    เจ้าสัวหยิบเอาหมวกกันน็อคที่วางไว้บนเบาะรถยื่นให้ผม ผมชะงักนิดหน่อยแต่ต่อมาก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อสายตาสบเข้ากับยานพาหนะของมัน

     

    อย่างแจ่ม!

     

    ถึงผมจะไม่มีความรู้เรื่องรถสักเท่าไหร่แต่ด้วยเคยเห็นพวกไอ้แฝดมันขี่ไปคณะบ่อยๆเลยจำได้ว่ารุ่นนี้ราคาเกือบล้านเลยทีเดียว

     

    เกิดเป็นลูกคนรวยนี่มันดีจริงๆอะแหละ

     

    "ยืนงงอะไรอะพี่ ใส่ดิจะได้รีบไปหรือว่ารอให้ผมใส่ให้"  

     

    ผมสะดุ้งเล็กน้อย "กูใส่เองได้" 

     

    เจ้าของรถบิ๊กไบค์ราคาแพงไม่ได้ว่าอะไรต่อ มันยักไหล่แล้วหันไปใส่หมวกกันน็อคให้ตัวเองบ้าง 

     

    ว่าแต่..คนบ้านอะไรพกหมวกกันน็อคสองอันวะ?

     

    แต่ก็ช่างเถอะไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย

     

     

    หลายนาทีต่อมาเราสองคนก็มาถึงจุดหมายปลายทางนั่นคือ โรงอาหารคณะ  อันที่จริงมันน่าจะถึงเร็วกว่านี้ถ้าไม่ติดที่คนขับ ขับช้าอย่างกับเต่า

     

    ยิ่งจังหวะที่รถจะเหยียบลูกระนาดเนี่ยทำเอาผมแทบจะกระโดดลงจกรถใหญ่ๆของมันแล้วเดินเองซะให้รู้แล้วรู้รอด คือคุณมึงจะขับนิ่มไปไหนนนน

     

    "เย็นนี้พี่เข้ากิจกรรมปะ" มันเอ่ยถามเมื่อรับเอาหมวกกันน็อคจากผมไป

     

    "เข้ามั้งไม่แน่ใจ" 

     

    "เอ้า ทำไมต้องมีไม่แน่ใจด้วยอะ" 

     

    "จะถามทำไมเนี่ย" ผมย่นคิ้วมองมัน  

     

    ผมไม่ใช่เด็กกิจกรรมหรือตัวเด่นดังอะไรในคณะออกจะเป็นลูกกระจ๊อกปลายแถวที่รอคำบัญชาจากเฮดของงานซะมากกว่า เพราะงั้นผมจะไปหรือไม่ไปก็มีค่าเท่าเดิม

     

    "เปล่า งั้นผมไปเรียนนะ" 

     

    พูดจบมันก็บิดรถผ่านหน้าผมไปเลย ผมเกาหัวแกรกๆอย่างไม่เข้าใจ"อะไรของมันวะ" แล้วเดินเข้าไปสมทบกับเพื่อนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

     

    "เชี่ยซิม ทางนี้" โจอี้แฝดพี่กวักมือเรียกผม 


     

    ผมเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับมัน"มานานยัง" 


     

    "สักพักว่ะ" มันตอบ "กินไรไปสั่งดิเดี๋ยวสาย" 


     

    ผมเดินไปสั่งข้าวเมนูเดิมนั่นแหละ พอแม่ค้าทำเสร็จก็เดินถือกลับมานั่งที่โต๊ะ เห็นชายแดนนั่งจ้วงข้าวข้างๆเจไดแฝดผู้น้อง ผมจึงต้องเปลี่ยนมานั่งข้างโจอี้มัน

     

    "อ้าว หนิงล่ะ" ไหนพวกมึงบอกจะไปรับกันแล้วเมียหายไปไหน

     

    "หนิงบอกว่ามีธุระกูเลยวนรถกลับมา แล้วมึงมากับใครเมื่อกี้กูแวะไปเอาชีทเรียนเห็นจักรยานมึงจอดอยู่เลย" 

     

    ผมนึกไปถึงหน้าไอ้เด็กเจ้าสัวนั่น "น้องในหออะแหละมันชวนมาด้วย" 

     

    "เหรอ" ชายแดนว่าแค่นั้นแล้วก็กลับไปตั้งใจกินข้าวต่อ

     

    "พูดถึงรุ่นน้อง เย็นนี้พวกมึงสองคนเข้ากิจกรรมปะ" สองคนที่โจอี้มันว่าคือผมและชายแดน


     

    "กูเข้านะอยากเห็นน้องปีหนึ่ง" ไอ้ชายแดนยิ้มกริ่ม


     

    "เบาได้เบานะเพื่อนเดี๋ยวเมียมึงรู้" เจไดพูดขึ้นบ้าง 


     

    "ถ้าไม่มีใครพูดก็ไม่มีทางรู้ เว้ยยย" 


     

    "มึงนี่แม่ง น่าจับมัดกับไอ้เจ" 


     

    "เกี่ยวไรกับกูอะโจ" เจไดมันโวยวายพี่ชายที่จู่ๆก็โดนลากเข้าไปเอี่ยว


     

    "เกี่ยวเต็มๆ มีเมียอยู่แล้วยังเที่ยวไปอ้อยคนอื่น แล้วใครที่เป็นคนออกตัวให้ กูไง! เมียมันแม่งงี่เง่าด้วยไงกูนี่โคตรรำคาญ" 


     

    "แล้วมึงไม่คิดมีเมียเหมือนน้องมึงบ้างเหรอโจ"  ผมแกล้งถามมันบ้าง


     

    "ไม่ว่ะ กูชอบสันโดษ" มันตอบหน้าเหม็นเบื่อก่อนจะเอาคืนผมด้วยคำถามเดียวกัน "แล้วมึงอะไม่มีเหมือนกันนี่" 


     

    "ผู้หญิงที่ไหนจะมาชอบกู เวลาก็ไม่มีให้ สายเปย์เหรอก็ไม่ใช่"ผมพูดตามความจริง 


     

    พูดขึ้นมาแล้วมันก็เจ็บจิ๊ดที่ใจปากบอกว่ารักผมแต่แม่งก็ไปกับคนอื่น พอถามเข้าหน่อยก็โวยวายโทษผมฝ่ายเดียวว่าไม่มีเวลาให้ ยิ่งเจอคำที่ว่าตั้งแต่คบกันมาผมไม่เคยซื้ออะไรให้เธอเลยยิ่งทำให้ผมสะอึกจนไปไม่เป็น

     

    คนที่ว่าก็เพื่อนเมียไอ้ชายแดนนั่นแหละแถมอยู่ห้องเดียวกันอีก เพราะเหตุผลนี้ผมถึงไม่คิดจะไปเหยียบที่นั่น 

     

    "แล้วถ้ามีผู้ชายมาจีบล่ะมึงจะเอามั้ยวะ" ไอ้เจไดแม่งก็ถามอะไรไร้สาระ  ใครมันจะมาชอบกูไม่ได้หน้าใสปากแดงเหมือนแตงโมหนุ่มน้อยคณะเกษตรฯสักหน่อย

     

    "แบบ สมมุติก็ได้อะ" 

     

    สมมุติเหรอ  "ถ้าเป็นผู้ชายกูขอแบบหล่อๆ รวยๆ สายเปย์แบบป๋าขาเลยอะ" 

     

    "ดูสิแม่งตามันจะเป็นรูปเงินอยู่แล้ว" เจไดมันหลุดขำพร้อมกับชี้นิ้วมาทางผม

     

    ทว่าต่อมามันแสงร้งถอนหายใจเลื่อนมือตบบ่าผมปุๆ"แต่ว่าเสียใจด้วยนะซิมเพื่อนรักสิ่งที่มึงจินตนาการไปคงได้แค่ฝันว่ะ" 

     

    ผมแกล้งทำหน้าเสียดายซึ่งพวกมันสามตัวรู้ดี "ว้า เสียดายจังพวกมึงไม่มีสงมีเสี่ยให้กูบ้างอะ น้องซิมคนนี้อยากมีคนเลี้ยง " ผมกระพริบตาปริบๆ

     

    การกระทำของผมทำเพื่อนส่ายหัวอย่างเอือมระอาโจอี้ผู้ที่รับไม่ได้ถึงที่สุดถึงกับชวนไปเรียน "เวิ่นเว้อสัด ไปเรียนได้แล้ว" 


     

    (ต่อค้าบบบบบบบ) ??”???”???”???”?

     

    [เจ้าสัว]

     

    "เมื่อเช้ามึงมากับใคร" 

     

    ผมกรอกตาอย่างเซ็งๆเมื่อไอ้เป๊บที่ถ่อไปเรียนคณะอื่นดักรออยู่ใต้ตึกทันทีที่ผมปรากฎตัวไอ้เหี้ยนี่ก็รีบปรี่เข้ามา ข้างหลังมันยังมีมาร์ตินและไอ้แฟ้มยืนมองผมอยู่ 


     

    เหี้ยไรวะเนี่ยย


     

    "พูดเรื่องอะไร" ผมย่นหัวคิ้วถาม

     

    "เชี่ยแฟ้มมันบอกว่ามึงไปส่งใครก็ไม่รู้อยู่โรงอาหาร" 

     

    ผมหันขวับไปมองตัวการได้ยินมันร้องอูยขึ้นมาเบาๆ  "มึงเห็นตอนไหนสัดแฟ้ม" 

     

    "มะ เมื่อเช้า กูกำลังเดินผ่านพอดี"

     

    "กูว่าพวกมึงหาที่นั่งคุยกันเถอะว่ะ เกะกะคนอื่นเขา" 

     

    แผนที่มันเสนอขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนักศึกษาปีอื่นทยอยลงมา พวกไอ้เป๊บก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะบังคับผมทางสายให้เดินตามพวกมันไป

     

    "ยังไง มึงมีอะไรปิดบังพวกกูไอ้เสือ" ไอ้เป๊บเริ่มถามก่อนใครเมื่อเรานั่งกันตรงม้านั่งหน้าตึกเรียน

     

    "ปิดบังเหี้ยไรไม่มีอะไรทั้งนั้น" 

     

    "มึงไม่ชอบให้คนที่ไม่สนิทซ้อนท้าย จะโกหกอะไรก็ให้มันเนียนหน่อยเถอะสัว" แฟ้มออกความคิดเห็น

     

    พวกมึงจะรู้ดีเกินไปแล้วไอ้เพื่อนเวร!

     

    “คนนี้ใช่ปะ” มาร์ติณชายหนุ่มที่เงียบสงบกว่าใครเพื่อนอย่างมันจู่ๆก็โพล่งขึ้นเล่นเอาไอ้พวกที่เหลือจ้องมายังผมโดยพร้อมเพรียง 

     

    ผมพ่นลมหายใจอย่างยอมแพ้ก่อนจะพยักหน้า “เออ”

     

    เพราะการติดต่อเขาไม่ได้มันทำให้ผมอึดอัดจนอยากระบายกับใครสักคน ตอนแรกก็กะจะคุยกับไอ้เป๊บแค่คนเดียวแต่ผมคงลืมไปว่ากลุ่มเราต้องไม่มีความลับต่อกันดังนั้นเรื่องที่ผมตกหลุมรักผู้ชายที่สูงเพียงหัวนมผมนั้นจึงรู้กันโดยถ้วนทั่ว 

     

    “ไอ้เหี้ยจริงดิ ชื่อไรวะ เรียนคณะอะไร” ไอ้เป๊บรัวคำถาม 

     

    “ชื่อซิม เป็นรุ่นพี่ปีสาม เรียนวิดวะ” 

     

    “เดี๋ยวนะ” ไอ้ยุแทรก “ใช่พี่ที่เป็นกรรมการหอในชายมั้ย”

     

    “เออ” 

     

    คำตอบของผมทำให้ชินยุตบเข่าฉาด “กูว่าแล้ววว! ทำไมเจ้าสัวมันเกิดอยากอยู่หอในขึ้นมา ที่แท้ก็เจอคนๆนั้นนี่เองแล้วแม่งก็ไม่บอกกูสักคำ นี่ถ้าไอ้แฟ้มไม่บังเอิญเห็นเขาซ้อนท้ายรถมึงกูก็คงโง่เป็นควายต่อไปสิท่า”  มันบ่นยาวจนผมเริ่มชักจะรำคาญ

     

    ความจริงผมไม่ได้จะปิดบังใครนะ พวกมันไม่รู้หรอกว่าวินาทีที่ผมเจอหน้าพี่เขาครั้งแรกใจผมลิงโลดจนอยากจะให้รางวัลหอพักในชายของมหา’ลัยด้วยการทุบแล้วสร้างใหม่เอาให้อยู่สบายกว่าเดิม

     

    “หน้าตาเป็นไงวะยุ น่ารักปะวะ” เชี่ยแฟ้มถาม สีหน้าของมันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากรู้มากขนาดไหน

     

    “ก็..ธรรดานะเตี้ยกว่ากูนิดหน่อย ไม่ได้น่ารักมากแล้วก็ไม่ได้แย่ เอาตรงๆเลยนะกูก็พูดไม่ถูกเหมือนกันว่ะ” 

     

    มันพูดไปสายตาก็เหลือบมองผมเป็นระยะ คงกลัวผมโกรธที่พูดไปแบบนั้น ทว่าความจริงเปล่าเลยมันไอ้ยุมันพูดถูก เขาเป็นคนธรรมดาในสายตาของคนอื่นแต่แม่งโคตรพิเศษสำหรับผม

     

    “อ้าว” พวกที่เหลือร้องพร้อมกัน

     

    “ไอ้ยุแม่งทำให้กูอยากเห็นหน้าพี่คนนั้นว่ะ ตอนเย็นบุกหอในวิดวะเลยมั้ย” 

     

    “ใจเย็นแฟ้ม” มาร์ติณปราม 

     

    “กูใจเย็นไม่ไหวแล้วมาร์ติณต่อมเผือกกูมันสั่นยิกๆเลยเนี่ย” 

     

    “เออ กูก็เหมือนกันน” แม้แต่ไอ้เป๊บยังเห็นด้วยคึกคักเลยนะไอ้ควาย

     

    “กินตีนกูมั้ยไอ้เหี้ยมันจะได้เลิกสั่น” ผมว่าออกไป

     

    “รุนแรงนะไอ้เสือ แหมม วันที่มึงอกหักใครกินเหล้าเป็นเพื่อนมึงไอ้เนรคุณ!” 


     

    “ไม่ใช่มึงแล้วกันสัดแฟ้ม” 


     

    เพราะวันนั้นแม่งหนีไปง้อเมีย 


     

    ไอ้แฟ้มอ้าปากตั้งท่าจะเถียง ทว่าชินยุก็สะกิดผมยกใหญ่บุ้ยปากให้ดูอะไรสักอย่างทำให้การสนทนาของพวกผมหยุดลงแล้วหันไปให้ความสนใจกับเรื่องใหม่


     

    สุดที่รักผมนี่เอง


     

    “นี่ๆ คนนี้ๆที่ไอ้สัวมันชอบ” 


     

    ผมไม่ได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบที่น่ารำคาญของชินยุเลยสักนิด สายตาของผมนั้นพุ่งเป้าไปที่หนึ่งในกลุ่มของพี่ปีสามแห่งคณะวิศวกรรมฯ 


     

    เขากำลังพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีเด็กปีหนึ่งอย่างผมแอบมองอยู่ 


     

    “ตาหวานเยิ้มเลยนะไอ้สัด” ไอ้สัดแฟ้มพูดล้อเลียน 


     

    เขาเดินผ่านไปแล้วทำให้ผมเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้ทุกคนมองมายังผมเป็นจุดเดียว 


     

    “กูตลกมึงจริงๆเจ้าสัวเกิดมาเพิ่งเคยเห็นมึงคลั่งคนอื่นก็ตอนนี้แหละ เป็นบุญตากูจริงๆ”  ไอ้เป๊บพูดยิ้มๆซึ่งคนที่เหลือก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย


     

    ผมยักไหล่ไม่ได้แก้ต่างให้กับสิ่งที่ไอ้ที่ไอ้เป๊บมันพูด ก็ในเมื่อเหตุการณ์ที่ผ่านไปเมื่อกี๊มันเด่นชัดขนาดนี้ผมจะเถียงทำไมล่ะครับ


     

    “แล้วมึงจะเอาไงต่อวะสัว” มาร์ติณถามขึ้น 


     

    ผมไม่ได้คิดจะปิดบังเพื่อนอยู่แล้วจึงตอบความจริง “กูจะบอกเขาตรงๆว่าชอบแล้วก็จะจีบ”


     

    “เดี๋ยว มึงไม่เคยจีบใครนะครับไอ้เหี้ย” ชินยุถึงกับร้องออกมา


     

    “ก็นี่ไงคนแรก” 


     

    “มึงไม่กลัวเขาตกใจรึไงพูดตรงขนาดนั้น พี่เขาเป็นผู้ชายนะ ถึงคนที่จะมาจีบหล่อรวยเป็นกูก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันนะเว้ย”


     

    ก็ถูกอย่างที่ไอ้ยุว่าแต่..แล้วไง


     

    “การสารภาพของกูคือการประกาศทางอ้อมว่ากูจองคนนี้ อีกอย่างหล่อๆอย่างกูมีอะไรให้น่าตกใจวะออกจะน่าดีใจด้วยซำ้”


     

    มีแฟนแบบผมมีบ้านให้บ้าน มีรถให้รถ ดูแลเอาใจใส่เก่ง รักเดียวใจเดียว ที่สำคัญไม่มีบ้านเล็กบ้านน้อยให้คุณต้องชำ้ใจ


     

    “กูอยากจะเถียงนะแต่เผอิญกลุ่มเรามันหน้าตาดีว่ะกูเลยแม่งเถียงไม่ออก”


     

    “มีใครรำคาญไอ้เหี้ยแฟ้มแบบกูบ้าง ฮึ แผนที่มึงนี่ก็ใบ้แดกเลยเนอะ”  


     

    แผนที่มันถึงกับงงที่จู่ๆก็โดนไอ้ยุพาลใส่ “เกี่ยวไรกับกู”

     

    “อย่าเพิ่งเถียงกัน” ไอ้เป๊บรีบเบรกก่อนจะหันมาพูดกับผม “แล้วมึงจะบอกพี่เขาวันไหนวะสัว” 


     

    วันไหนน่ะเหรอ?


     

    “...วันนี้แหละ” 


     

    พอดีรีบ 

     

     

     

     (ต่อจ้าาาา*********)

     

     

     

     

    “วันนี้ขอบคุณน้องๆทุกคนมากๆที่ให้ความร่วมมือกับพวกพี่ พรุ่งนี้ก็มาเจอกันที่นี่เวลาเดิมโอเคนะคะ” 

     

    “โอเคค้าาาาา” 

     

    “ดีมาก โอเคกลับบ้านได้ค่าา”  

     

    หายไปไหนแล้ววะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลยเผลอกระพริบตาแป๊บเดียวหายซะแล้ว!

     

    “มึงมองหาใครอยู่วะสัว” 

     

    “หาพี่ซิม เมื่อกี้กูยังเห็นยืนข้างๆพี่ต๊อบอยู่เลย” ผมตอบไอ้ยุสายตาก็กวาดมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นเขา

     

    แม่งไวอย่างกับลิง แต่ถึงจะเป็นลิงก็คงเป็นลิงที่น่ารักโคตรๆ

     

    “กูเห็นเดินออกไปแล้ว” มันตอบหน้าซื่อๆ

     

    “เอ้าไอ้เหี้ยแล้วทำไมไม่บอกกู”

     

    “ก็มึงไม่ถามนี่”

     

    “เออ! กลับหอก่อนเลยนะกูไปล่ะ”

     

    ผมรีบคว้ากระเป๋าที่พี่ชายสุดที่รักซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดแล้วสับเท้าออกนอกหอประชุมอย่างเร็วรี่ 

     

    พ้นบานประตูผมเห็นแผ่นหลังเล็กนั่นกำลังเดินตีคู่ไปกับเพื่อนเท่านั้นล่ะใส่เกียร์หมาทันที 

     

    “พี่ซิมครับ!” 

     

    แม่ง ทันว่ะ

     

    นัยย์ตาคู่นั้นหันมามองผมพร้อมทั้งขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าภาคบ่ายเขาไปทำอะไรมาผมเผ้าถึงได้ยุ่งเหยิงเหมือนผ่านสนามรบมาขนาดนั้น แต่แม่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าน่ารักโคตรๆ สาบานเลยว่าผมแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหว อยากแสดงความรู้สึกทั้งหมดของผมที่มีต่อเขาจะแย่ 

     

    ได้แต่บอกตัวเองว่า เย็นไว้ พอสารภาพกับเขาเสร็จมึงได้รุกเต็มที่แน่ๆ แม่งง กระเป๋าเงินกูสั่นยิกๆเลยสัด 

     

    อยากเปย์เขาโว้ยยยย!!

     

    “อะไร”

     

    “คือผมมีเรื่องจะคุยกับพี่น่ะครับ” 

     

    เขาทำหน้างงเข้าไปอีก “เรื่องอะไร”

     

    เรื่องของเราสองคนไงครับ 

     

    แม่งโคตรอยากพูดคำนี้เหี้ยๆ แต่ติดที่มีเพื่อนเขาอยู่ด้วยนี่สิสุดท้ายเลยต้องกลืนคำนั้นลงไปอย่างช่วยไม่ได้


     

    ผมไม่ได้ตอบเขาไปในทันที แต่ใช้สายตาเหล่มองไปที่คนข้างหลังเป็นการบอกทางอ้อมว่าผมต้องการคุยกับเขาแค่สองคน


     

    และดูเหมือนพี่คนข้างหลังจะรู้ตัว 


     

    “กูรอในรถก็ได้ คุยเสร็จก็บอ-“


     

    “เดี๋ยวให้พี่ซิมกลับกับผมก็ได้ครับ ยังไงก็อยู่หอในเหมือนกัน”  


     

     “เอางั้นเหรอวะ?” พี่เขาเลิกคิ้วถามพี่ซิม


     

    เขามองผมกับเพื่อนสลับกันเหมือนลังเลแต่สุดท้ายก็ตกลง 


     

    เยส!  


     

    เกือบหุบยิ้มไม่ทันเมื่อจู่ๆเขาก็หันมาหลังจากที่รำ่ลากับเพื่อนเสร็จ


     

    “ไหน มึงมีเรื่องอะไรก็ว่ามา” 


     

    หลายครั้งนะที่ผมแม่งอยากลงโทษปากน้อยๆนั่นให้หายหยาบคายสักที ไม่ค่อยสบอารมณ์ที่เขาใช้คำว่ามึงกูกับผม เปลี่ยนมาเรียก ตัวเอง เตง เธอ ที่รัก อะไรก็ได้ที่มันลื่นหู กว่านี้ก็คงจะดี 


     

    แต่ก็นั่นแหละ เราสองคนยังไม่ได้เป็นอะไรกันไงผมเลยแม่งทำอะไรไม่ได้ 


     

    “ผมหิวข้าวอะครับ ขอกินข้าวก่อนได้ปะ”


     

    “นี่ กูไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งรอมึงกินข้าวนะรีบๆพูดมา”


     

    “นะครับพี่ซิม” ผมกระพริบตาปริบๆหวังให้เขาใจอ่อน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลมิหนำซำ้เขายังมองผมเหมือนตัวประหลาดไปอีก 


     

    อะไรวะ เธอไม่เคลิ้มหน่อยเหรอเธอ 


     

    “เอางี้ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวพี่ด้วย อยากกินอะไร ร้านไหนผมตามใจทุกอย่างเลย” 


     

    เห็นตาเขาเป็นประกายกระพริบตาอีกทีดันหายไปแล้ว ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อรู้ว่าคนข้างหน้าหลงกลผมเข้าแล้ว 


     

    เอาของฟรีมาล่อก็เข้าท่าดีเหมือนกัน


     

    อ้อ..ดูท่าจะเป็นของกินด้วย 


     

    “แปลกๆนะ เจอครั้งแรกให้เงินสามหมื่น มาวันนี้จะเลี้ยงข้าว” 


     

    ถ้าพี่คบกับผมพี่จะได้บ้านครับ 


     

    “แล้วพี่ตกลงมั้ยล่ะครับ”


     

    “ก็..เออ” 


     

    แค่เนี้ยยยย


     

    ผมคิดว่าร้านที่เขาเลือกจะเป็นร้านอาหารตามสั่งใกล้มหา’ลัยหรือไม่ก็ก๋วยเตี๋ยวริมทางซะอีก ที่ไหนได้เลยมาร้านชาบูในห้าง 

     

    “กูอยากกินมาหลายวันแล้วแต่เพื่อนแม่งไม่พามา” 


     

    ผมได้แต่พยักหน้าแล้วเดินขนาบข้างเขาเข้าไปในร้าน หลุบตามองกลุ่มผมนุ่มนั่นแล้วแม่งอยากฟัดชะมัด แล้วคำพูดของไอ้ยุก็ผุดขึ้นมาในหัว


     

    ก็..ธรรดานะ เตี้ยกว่าดูนิดหน่อยไม่ได้น่ารักมากแล้วก็ไม่ได้แย่ เอาตรงๆเลยนะกูก็พูดไม่ถูกเหมือนกันว่ะ


     

    ไม่ได้น่ารักมากบ้านป้ามึงสิสัดยุ!

     

    “ขอเอาแบบบุฟเฟ่ต์นะนานๆทีได้มากิน”

     

    “ตามใจเลยครับ”

     

    เราสองคนเลือกนั่งกันด้านในสุดซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้เป็นคนเลือก มีหน้าที่แค่เดินตามหลังเขาต้อยๆเมื่อเขาชี้มือบอกว่าจะนั่งตรงนี้ผมก็ยิ้มรับแล้วบอกว่า “ตามใจพี่ครับ” อย่างเดียว 

     

    ได้ยินเขาพึมพำว่าแปลกๆหลายรอบแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

     

    ผมเริ่มคีบเนื้อหมูและเบค่อนลงไปในหม้อแล้วตามด้วยผักเมื่อพนักงานนำมาเสิร์ฟ แต่ดูเหมือนจะไม่ถูกใจอีกคน เพราะเขาเล่นสั่งให้ผมเททุกอย่างลงไปทีเดียว 


     

    สรุปใครหิวกันแน่? 


     

    “ใจเย็นๆครับหมูยังไม่สุก”  เอ็นดูว่ะ “พี่กินผักก่อนได้นะ” 


     

    เขาปัดมือปฏิเสธ “ไม่ๆ กูอยากกินหมูก่อนผักเอาไว้ทีหลัง กินบุฟเฟ่ต์ทั้งทีให้กินผักได้ไง”  


     

    “อะๆ สุกแล้วครับยื่นจานมา” 


     

    เขารีบยื่นจานมาใกล้หม้อเหมือนรอจังหวะนี้มานานจนทำให้ผมอดขำไม่ได้ น่ารักจริงๆนั่นแหละ

     

    “ขำอะไร” 


     

    “เปล่าครับ” 

     

    พูดได้เหรอว่าที่ขำเพราะว่าเอ็นดูพี่

     

    “แล้วสรุปจะคุยเรื่องอะไร” 

     

    ผมวางตะเกียบลงบนจานที่มีแต่ผัก แล้วเท้าคางมองเขาเคี้ยวหมูจนแก้มป่อง มัวแต่สนใจการกินจนไม่สังเกตเลยว่าที่กินอยู่นั่นน่ะผมตักใส่จานให้ทุกชิ้น

     

    สาบานให้ฟ้าผ่าเลยว่าตั้งแต่มีแฟนคนแรกผมไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร


     

    “พี่กินอิ่มค่อยคุยดีกว่า”  ขืนบอกไปตอนนี้มีหวังเบค่อนลอยอืดอยู่ในหม้อแน่ๆ 


     

    “อือๆ ตามใจ” แล้วเขาก็กลับไปตั้งใจกินหมูต่อ 


     

    ความเงียบเข้ามาปกคลุมไปชั่วขณะเพราะคนตรงหน้าเอาแต่สนใจของกิน 


     

    “พี่ซิมเคยมีแฟนมั้ยครับ” ผมโพล่งถามออกไป


     

    “เคยดิ โตจนป่านนี้แล้ว” 


     

    ผมไม่เถียงเพราะจุดประสงค์ที่ผมอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนี้ ก็แค่หลอกถามไปงั้น 


     

    “แล้วตอนนี้ล่ะครับ”


     

    เขาหยุดกินแล้วนิ่งไป “เลิกไปแล้ว”


     

    “นานรึยังครับ” ผมถามต่อแทบจะทันที


     

    “ก็..ตั้งแต่ปีสองเทอมแรก” 


     

    ถ้าคิดดูดีๆก็ไม่นานโอกาสที่จะกลับมาคบกันห้าสิบๆ มันอยู่ที่ว่าพี่ซิมยังมีใจให้เขาอยู่รึเปล่า ผมโคตรอยากถามว่าตอนนี้พี่รู้สึกยังไง ยังติดต่อกันอยู่หรือเปล่า 


     

    แต่ถ้าเกิดว่าถามไปแม่งก็เป็นตัวเองป่าววะที่เจ็บ ไหนๆตอนนี้เขาก็โสดไม่มีพันธะให้ขวางหูขวางตาแล้วก็น่าจะดีใจหนิ


     

    “แล้วมึงอะ” คาดไม่ถึงว่าเขาจะถามกลับ


     

    “พี่คิดว่าไงอะ” 


     

    อยากรู้ว่าในสายตาเขาผมเป็นยังไง 


     

    “มีแล้ว หรือถ้าไม่มีก็คงเจ้าชู้โคตรๆ แบบมึงอะกูเห็นมาเยอะยิ่งรวยๆแบบนี้เข้าผับทีผู้หญิงขนาบข้างซ้ายขวา”


     

    ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ? 


     

    “ผิดแล้ว ผมโสดแล้วก็ไม่เจ้าชู้ด้วย” 


     

    โสดตั้งแต่วันที่ให้เงินสามหมื่นนั่นกับพี่นั่นแหละถึงบ้านปุ๊บบอกเลิกปั๊บ


     

    “เชื่อได้ที่ไหน หึ”


     

    “ผมชอบพี่”


     

    เขาดูอึ้งไปเลย


     

    ตอนแรกกะจะพาเขาไปที่ไหนสักที่แล้วพูดประโยคนี้ต่อหน้าเขา แต่ทว่ามันไม่ทันแล้วเพราะผมเพิ่งพูดมันออกไปเมื่อกี้ จะเรียกว่าหลุดปากก็ไม่เชิงแค่เขาคิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นปากมันก็ไปเองอัติโนมัติ


     

    “ว่าไงนะ” 


     

    รอบนี้ผมเน้นหนักทุกคำ “ผมชอบพี่แล้วก็จะจีบพี่ด้วย”


     

    “มึงล้อเล่นปะเนี่ย กูไม่ขำนะเว้ย” 


     

    ถ้าอยู่ข้างนอกเขาคงจะโวยวาย ผิดแต่ที่นี่คือร้านชาบูในห้างนี่คือข้อดีสินะ แต่ตอนนี้ผมกลัวอย่างเดียวกลัวเขาชิ่งหนีไปน่ะสิ


     

    “ผมไม่ได้ล้อเล่น” 


     

    “มะ ไม่ๆๆ กูไม่ได้ชอบผู้ชาย” 


     

    “แล้วไง ผมต้องการแค่ให้พี่รับรู้เพราะไม่ว่ายังไงผมก็จะจีบพี่อยู่ดี” 


     

    “ไม่ได้โว้ยย” 


     

    “ชู่วว อย่าเสียงดังสิครับ” ผมว่าอย่างขำๆ


     

    เห็นสีหน้าของเขาแล้วตลกดีแฮะ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่จู่ๆก็นิ่งไปเลย 

     

    มีคนอย่างผมมาชอบนี่คิดหนักชนาดนั้นเลยรึไง

     

    หลังจากที่ผมสารภาพความในใจออกไปโต้งๆ เขาก็เงียบไปเลยเบค่อนในหม้อลอยอืดอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ผมปล่อยให้เขาจมอยู่กับความคิดตัวเองไปแบบนั้นไม่ได้เร่งเร้าอะไร 

     

    แต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้อยู่ดีว่าการที่โดนคนอย่างกูชอบนี่มันไม่ดีตรงไหน เมื่อวานพี่ปีสองยังมาขอไลน์ผมอยู่เลยนะจะบอกให้ 

     

    “มึง ไม่ได้อำกูเล่นใช่มั้ย” จู่ๆเขาก็ถามขึ้นทั้งๆที่เงียบมาตลอดทางในระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินขึ้นหอ

     

    “ผมพูดจริงครับ ผมจะจีบพี่” 

     

    “พวกไอ้แฝดจ้างมึงมาแกล้งกูใช่มั้ย บอกความจริงมา” 

     

    ผมทำหน้าไม่เข้าใจ แฝดไหนวะ? แล้วใครจะมาจ้างผม

     

    “ฮือ ใช่แน่ๆฝีมือไอ้แฝดนรกแน่” เขายกมือสองข้างกุมขมับแล้วพึมพำว่าอยู่คนเดียวว่าไม่จริงๆ

     

    ผมยิ้มตลกกับคนตรงหน้าจริงๆนะ “ไม่มีใครจ้างผมทั้งนั้นแหละ ผมชอบพี่จริงๆ” 

     

    “ไม่เชื่อ!” 

     

    “ไม่เชื่อก็คอยดู”  ผมยิ้ม

     

    “กูมีอะไรให้ชอบวะ มึงก็หน้าตาดีผู้หญิงสวยๆมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปชอบเขา” 

     

    “ก็ผมชอบพี่ จะเอาพี่ พี่จะไล่ให้ผมไปชอบคนอื่นทำไมครับ หืมม”  ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทำให้อีกฝ่ายตกใจผลักหน้าผมออกสุดแรง

     

    “หยุดพูดไปเลยนะ กูไม่ได้ชอบผู้ชายเว้ย!”  

     

    “บอกไปแล้วว่าไม่สนจะจีบก็คือจะจีบ”  

     

    เกิดมาไม่เคยหน้าด้านหน้าทนเท่านี้มาก่อน เขาปฏิเสธผมยังเสือกยิ้มได้อีก

     

    เหมือนคนตรงหน้าไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาพูด ใบหน้าบึ้งตึงนั่นจึงตัดสินใจเดินหนีผมไปซะเฉยๆ 

     

    ไม่เป็นไรให้เขากลับไปตั้งหลักพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะว่าพรุ่งนี้เจอศึกหนักอย่างผมแน่ๆ

     

    “เตรียมรับมือสำหรับพรุ่งนี้ได้เลยทูนหัว”  

     

    :)

     

     

     

     

     

     

    ครบบบบบ 

    ยังไม่ตรวจคำผิดนะคะ

    TBC. 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     


     


     


     

     


     


     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     


     


     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×