คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : prologue
ผมชื่อซิมมีพี่ชายที่ไม่ทำห่าอะไรนอกจากเตะฝุ่นไปวันๆชื่อการ์ด หลายคนบอกว่าผมกับมันเป็นพี่น้องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
คงไม่ต้องบอกนะครับว่าใครฟ้าใครเหว
ผมจัดอยู่ในหมวดของเด็กเนิร์ด ตื่นเช้าแต่งตัวอย่างเป็นระเบียบถึงโรงเรียนเจ็ดโมงเป๊ะๆ เข้าแถวตรงเวลา และเรียนครบทุกคาบไม่เคยขาด
อันที่จริงก็เคยอยู่2-3ครั้ง เพราะผมป่วยน่ะ
พอเลิกเรียนผมก็ตรงกลับบ้านไม่ได้แวะข้างทางที่ไหนเพราะต้องช่วยแม่จัดแกงถุงใส่รถเข็นออกไปขายหน้าบ้านในตอนเย็นของทุกวัน ชาวบ้านแถวนั้นมักจะชมผมไม่ขาดปากว่าเป็นเด็กดีรู้จักช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว
ไม่เหมือนไอ้การ์ด
รายนั้นน่ะตื่นไปเรียนก็สาย ไม่เคยทันเข้าแถว การเรียนจัดอยู่ในระดับโง่แถมยังโดนเรียกเข้าห้องปกครองบ่อยเพราะชอบโดดเรียนไปแอ๊วสาวที่โรงเรียนข้างๆตะวันไม่ตกดินอย่าหวังเลยว่าจะเห็นเงาหัว
ไม่ร้านเกมส์ ก็บ้านพี่ไกด์เพื่อนสนิทมัน
จบม.6ก็ไม่คิดจะเรียนต่อที่ไหน ซึ่งแม่ผมก็ไม่ได้บังคับอะไรมันนอกจากทำหน้าเอือมระอาแล้วบอกว่า..
"ก็ดี จะได้ไม่เปลืองเงินส่งควายเรียน"
ผลเลยตกมาอยู่ที่ผมผู้ซึ่งเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของบ้าน
แต่เพราะฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยจะราบรื่นนักดังนั้นการสอบชิงทุนของมหา'ลัยจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผม
ซึ่งผมก็ทำมันสำเร็จ
แต่ทว่า..ดีใจตดยังไม่ทันหายเหม็นทุนนั้นก็ได้หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา เขาให้เหตุผลว่าประกาศชื่อผิดเพราะชื่ออีกคนดันเป็นชื่อเดียวกันกับผม
ไอ้เหี้ย!!
หลังจากแบกความเสียใจยาวนานถึงสองวัน ผมถึงได้สติขึ้นมาว่ากูจะมานั่งผิดหวังฟูมฟายแบบนี้ไม่ได้ ค่าหอ ค่าเทอมรออยู่ เพราะฉะนั้นจึงเกิดแผนสองขึ้นมา
งานพาร์ทไทม์
ตระเวนสมัครทั่วราชอาณาจักร สุดท้ายก็ได้มาสองที่คือเด็กเสิร์ฟร้านอาหารในตอนเย็น และพนักงานเสิร์ฟร้านกาแฟ
ทำไปได้เดือนกว่าๆ เจ้าของร้านอาหารก็เชิญผมออกเพราะตัวเองต้องย้ายไปเปิดที่ต่างจังหวัด เคราะห์ซำ้กรรมซัดเมื่อเดือนต่อมาผมก็ต้องออกจากการเป็นพนักงานเสิร์ฟอีก ต่างกันที่ครั้งนี้ร้านกาแฟที่ผมทำอยู่ไม่ได้หอบสำมะโนครัวไปไหนแต่เจ๊งรายจ่ายมากกว่ารายรับ
ผมเดินคอตกกลับหอตอนนี้ไม่มีงานให้ทำแล้ว นำ้ตาจะไหลอยู่รอมร่อแต่ก็ต้องฮึบเข้าไว้ แม่สอนว่าเป็นผู้ชายอย่าขี้แย แต่แล้วก็เหมือนพระเจ้ามาโปรดเพราะหลังจากนั้น ไอ้ต๊อบเพื่อนร่วมสาขาเดินเข้ามาชวนผมให้ไปทำงานร้านหมูกระทะด้วยกัน ผมตอบตกลงแทบไม่ต้องคิดแถมยังขอบคุณมันไปยกใหญ่
"ซิม พี่กวางเรียก" เสียงของไอ้ต๊อบปลุกผมจากภวังค์เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแทน มือที่เช็ดโต๊ะอยู่หยุดชะงัก
"เรียกไม"
"ไม่รู้ บอกแค่ว่าให้มาเรียกมึง"
"ไม่ใช่จะไล่กูออกนะโว้ย"
"ไม่หรอกน่า รีบๆไปเดี๋ยวโต๊ะนี้กูทำต่อเอง"
ไอ้ต๊อบก็เป็นอีกคนที่สู้ชีวิต ฐานะทางบ้านจัดอยู่ในระดับที่ดีกว่าผมนิดหน่อย แต่เพราะพ่อมันเป็นผีพนันเงินที่หามาได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยจะพอใช้มันจึงต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เห็นว่านอกจากเป็นพนักงานร้านหมูกระทะแล้วมันยังรับจ๊อบเพิ่มถึงขนาดมีเงินไปปิดหนี้พนันบอลของพ่อ
ผมนี่อยากมอบโล่ลูกกตัญญูแห่งปีให้มันเลยจริงๆ
"พี่กวางเรียกซิมทำไมเหรอครับ" ผมหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจ้าของร้านที่กำลังก้มหน้าก้มตากดเครื่องคิดเลขยิกๆด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ
พี่กวางผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเงยหน้ามองผมแวบหหนึ่ง "แปบนึงนะ"
"ครับ"
"คืออย่างงี้ ก่อนหน้าที่ซิมจะมาทำงานพี่เคยจ้างพี่โม พี่โมเนี่ยแกเป็นพนักงานที่อยู่กับร้านพี่มานานมากแต่ที่ต้องเลิกจ้างเพราะพี่โมต้องคลอดลูกซึ่งตอนนี้พี่โมสามารถมาทำงานได้แล้ว"
อือฮึ ผมเงียบเพื่อรอฟังว่าพี่กวางแกจะพูดอะไรต่อไป
"ดังนั้นพี่จึงขอโทษด้วยที่ต้องเลิกจ้างซิม"
เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ ผมโดนไล่ออกจากงานรวมครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม
นี่มันเกิดเหี้ยอะไรขึ้น!
"พี่ขอโทษจริงๆ คือซิมทำงานดีมากนะพี่ชอบ แต่พี่โมแกก็อยู่กับพี่มานานเหมือนกัน"
ผมพยักหน้าทำเป็นว่าเข้าใจทั้งๆที่มือข้างหนึ่งกำหมัดแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์ที่ไม่พอใจไว้ ไม่พอใจทั้งพี่กวางที่เพิ่งชมผมว่าทำงานดีแต่กลับเลือกที่จะไล่ผมออก ไม่พอใจโชคชะตาที่ทำให้ผมตกงานติดๆกันทั้งๆที่ตอนนี้ผมกำลังแย่
"เป็นไงวะ ตกลงพี่กวางเรียกมึงเข้าไปทำไม" ไอ้ต๊อบพอเห็นผมเดินออกมาก็ปรี่เข้ามาถามทันที
ผมพ่นลมหายใจ "กู..โดนไล่ออก"
"เชี่ย จริงดิ ทำไมอะ"
"แกรับคนชื่อโมมาทำ"
ไอ้ต๊อบทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะร้องอ๋อ "พี่โมเหรอวะ แต่ตอนนั้นลาออกหนิบอกว่าต้องเลี้ยงลูก"
"ไม่รู้ ไอ้สัดกูเปลี่ยนงานมาสามรอบแล้วนะ"
"กูขอโทษนะเว่ยซิม คือกูก็เข้าใจว่าพี่โมแกไม่มาทำอีกแล้วเพราะตอนที่พี่กวางขอให้กูหาพนักงานใหม่ให้แกก็ไม่ได้พูดอะไร บอกตามตรงกูเพิ่งรู้จากปากมึงเมื่อกี้เลย"
ผมผ่อนลมหายใจก่อนจะทรุดตัวนั่งแม้ว่าร้านจะมีกฏห้ามนั่งเก้าอี้ลูกค้าก็ตาม ถึงยังไงพรุ่งนี้ผมก็พ้นสภาพการเป็นพนักงานของร้านนี้อยู่แล้วช่างแม่งแล้วกัน
"ไม่ใช่ความผิดมึงหรอกต๊อบ กูสิต้องขอบคุณมึงที่หางานมาให้ทำ"
"แล้วมึงจะเอาไงต่อ ไม่มีงานทำแล้วหนิค่าหอก็ต้องจ่ายอาทิตย์หน้า"
นั่นน่ะสิ จะหาจากไหนสองวันที่แล้วแม่ยังโทรมาร้องห่มร้องไห้อยู่เลยว่าไอ้การ์ดมันขโมยเงิน คิดแล้วผมก็ยิ่งพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อย ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะพูดเลยตอนนี้
"ไม่รู้ว่ะ ตันไปหมด"
"เอางี้พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนไปเจอกันที่คาเฟ่หลังมอนะ กูพอมีคนที่จะช่วยมึงได้"
หลังจากที่เรียนตัวสุดท้ายเสร็จผมก็เก็บของ บอกลาเพื่อนๆแล้วเดินตรงไปที่จุดนัดพบระหว่างผมกับไอ้ต๊อบนั่นคือคาเฟ่หลังมอ มันบอกว่ามีคนๆนึงอยากแนะนำให้รู้จักแถมยังบอกอีกว่าคนนี้นี่แหละที่จะหางานใหม่ให้ผม แรกๆที่อ่านข้อความในไลน์ที่มันส่งมาเมื่อคืนบอกตามตรงว่าไม่ค่อยไว้ใจแต่ตัวมันเองก็ยืนยันว่าไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม สุดท้ายก็เลยตอบตกลง
ผมเปิดประตูเข้ามาภายในร้าน อากาศข้างในกับนอกร้านต่างกันลิบลับเหมือนนรกกับสวรรค์ สายตาก็กวาดมองหาไอ้ต๊อบ เจ้าตัวมันโบกมือไปมาอยู่ตรงโต๊ะในสุดของร้าน
"นั่งเลยเพื่อน นี่พี่นิดหน่อย พี่นิดหน่อยครับนี่ไอ้ซิมเพื่อนผมที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้"
พอเดินมาถึงปุ๊บไอ้ต๊อบก็แนะนำผมให้รู้จักกับผู้หญิงผมสั้นดูมีอายุนั่งอยู่อีกฝั่ง ผมยกมือไหว้อย่างคนมีมารยาทก่อนจะนั่งข้างๆไอ้ต๊อบ
"สวัสดีครับ"
"ดีจ้าน้องซิม เอาล่ะพี่จะไม่เสียเวลาเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ"
"เอ่อ ครับ" ผมตอบภายใต้ความงุนงง
"น้องซิมรู้จักบริการเพื่อนเที่ยว เพื่อนกินข้าว เพื่อนดูหนัง อะไรพวกนี้มั้ย" ผมส่ายหัวส่งยิ้มแหยให้พี่เขา งานบริการอะไรแบบนี้มันมีในโลกด้วยเหรอวะ
"ไม่แปลก ตอนแรกต๊อบมันก็ไม่รู้จักทำหน้าโง่ยิ่งกว่านี้อีกจ้า"
อ่าว
"พี่จะอธิบายให้ฟัง งานนี้มันก็เหมือนงานบริการทั่วไปนั่นแหละ เพียงแค่เราต้องไปกินข้าว ไปเที่ยว ไปดูหนัง เอ็นเตอร์เทนให้เขามีความสุขที่สุด ก็เป็นประเภทพวกขี้เหงานี่แหละ ส่วนมากก็รุ่นลุงรุ่นป้า ปู่ย่าก็มีนะ..."
พี่นิดหน่อยอธิบายอย่างฉะฉานร่ายยาวโดยที่ผมทำได้แค่นั่งฟังแล้วก็หยักหน้าหงึกหงัก ซึ่งสรุปก็คืองานที่ผมจะได้ทำมันเป็นงานเอ็นเตอร์เทนทั่วๆไป พาเขาไปกินข้าว ดูหนัง ตามความต้องการของเขาซึ่งพี่นิดหน่อยยืนยันเสียงหนักแน่นอีกว่าไม่มีการล่วงละเมิดทางเพศแน่นอน
"ไงมึง โอเคมั้ย"
มันถามขึ้นหลังจากที่พี่นิดหน่อยขอตัวกลับก่อนเพราะมีธุระด่วนก่อนจะไปไม่วายยำ้กับผมว่าขอให้เก็บเอาไปคิดดีๆ แถมยังบอกอีกว่าชอบเบ้าหน้าผมมากหากปฏิเสธไม่รับงานนี้จริงๆน่าเสียดายแย่
"ก็โอเคนะ ดูไม่ได้ยากอะไร"
"ลองดูมึง ถ้าไม่ชอบครั้งหน้าก็ไม่ต้องทำ" มือของมันยื่นมาตบหลังผมเบาๆ
"ติดอยู่อย่างเดียวกูแม่งพูดไม่เก่ง "
"เดี๋ยวเขาก็ชวนมึงคุยเองนั่นแหละน่า อีกอย่างนะลูกค้าที่กูเคยเจอมาแต่ละคนดีๆทั้งนั้น ขนาดบางคนเป็นผู้ชายยังคุยสนุกเลย"
"จริงเหรอวะ"
"เออสิ กูไม่โกหกหรอกน่านี่เพื่อนมึงนะเปิดๆใจดูไม่เสียหาย" ประโยคแรกมันให้กำลังทำเอาผมเกือบซาบซึ้งแต่แม่งมาตายเอาประโยคถัดมา "ที่สำคัญอย่าลืมนะเว่ยว่าค่าหอเดือนนี้รอมึงอยู่"
โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!
สามวันต่อมา...
"ไปห้างGDTครับลุง"
ผมบอกปลายทางให้กับคนขับแท็กซี่ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่ง
หลังจากคุยกับไอ้ต๊อบผมก็เก็บเอาเรื่องนี้ไปนั่งคิดนอนคิดสามวันสามคืนเต็มๆ เรียกได้ว่าแทบเอาตีนก่ายหน้าผากทุกคืนจนชายแดนที่เป็นรูมเมททัก แต่ด้วยความที่เรายังไม่ได้สนิทกันถึงขั้นจะเล่าเรื่องปัญหาชีวิตให้ฟังผมจึงส่ายหน้าปฏิเสธแล้วบอกว่าไม่มีอะไร นั่นแหละสุดท้ายผมก็ตกลงรับงานนี้
แต่บอกตามตรงว่าถ้าผมไม่จนหนทางจริงๆเหมือนอย่างตอนนี้คงไม่ทำแน่ๆ
บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมปีนี้ถึงได้ดวงซวยนัก สอบทุนติดแต่เขาบอกประกาศชื่อผิดคน โดนไล่ออกด้วยเหตุผลโคตรมึนงงสามร้านติด พี่ชายริอาจเป็นขโมย แม่ขายของไม่ค่อยดี แถมยังโดนนกขี้ใส่หัวเมื่อเช้า
คนชื่อซวยยังไม่ซวยเท่าไอ้ซิมคนนี้เลยเว่ย!
ผมเดินเข้าไปภายในร้านอาหารญี่ปุ่นที่ลูกค้านัดไว้ สายตาสอดส่องหาคนที่คิดว่าใช่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพี่นิดหน่อยได้ทิ้งเบอร์เขาไว้ให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นผมจึงหยิบซัมซุงลูกรักขึ้นมาต่อสายหาอีกฝ่าย
รับเร็วมาก
"สวัสดีครับผมมาถึงแล้วนะ ไม่ทราบว่าคุณนั่งโต๊ะไหนเหรอครับ" ผมกล่าวด้วยนำ้เสียงนอบน้อม
( โต๊ะข้างในสุด เดินมาเลย)
ผมเผลอทำหน้าอิหยังวะออกมาหลังจากได้ยินเสียงของปลายสาย ไหนพี่นิดหน่อยบอกว่าเป็นผู้หญิง? แถมนำ้เสียงยังดูไม่แก่เลยด้วยซำ้
"ครับๆ กำลังเดินไปคุณอย่าเพิ่งวางนะ" ถึงความสงสัยมีอยู่เต็มหัวไปหมดแต่ถึงอย่างนั้นขาทั้งสองก็ยังเดินไปหาเขา
(อ่า เห็นรึยัง)
"เห็นแล้วครับๆ" ผมกดวางสายเมื่อเห็นกลุ่มผมสีดำพ้นจากโซฟาแบบกั้นมาแค่นิดเดียว เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนจะกระชับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานหลังจากที่ตอบตกลงหมาดๆ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเดินเข้าไป
"สวัสดีครับ"
ผมกล่าวทักทายเขาด้วยเสียงสอง (ไอ้ต๊อบมันบอกให้ทำเขาจะได้เอ็นดู) พร้อมทั้งฉีกยิ้มสดใสเท่าที่จะทำได้ ทว่าจังหวะที่เงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาหนึ่งคู่ที่จ้องผมกลับมาเหมือนกัน
“หัวยังเกรียนอยู่เลย” สงสัยผมคงคิดดังไปหน่อยถึงได้เผลอพูดออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจทำเอาคนตรงหน้าคิ้วขมวด หวั่นๆในใจว่าวันนี้คงมาเสียเที่ยวนอกจากจะไม่ได้เงินค่าจ้างแล้วทิปก็อาจจะอดไปด้วย
“อะ เอ่อ ใช่ที่นัดไว้รึเปล่า”
"ใช่ครับ แล้วเมื่อไหร่พี่จะน
"ผมไม่ได้มาผิดโต๊ะใช่มั้ย"
"คุณใช่พี่ซิมปะล่ะ"
"ก็ใช่ แต่ไหนบอกว่าเป็นผู้หญิง" หมายถึงพี่นิดหน่อยบอก
"คนที่บ้านผมเองแหละ ขอให้เขาคุยให้"
"ทำไม?"
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบในทันทีเขาเงียบไปพักหนึ่ง ทำเป็นมองนั่นมองนี่ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มแต่ทว่าผมได้ยินมันชัดเจน
"ก็ผมยังเรียนมอปลายอยู่"
ถึงว่าหน้ายังเด็กอยู่เลย แถมทรงผมก็ยังเป็นหัวเกรียน
"แล้วคิดไงถึงใช้บริการอะไรแบบนี้ไม่มีเพื่อนคบรึไง"
"มีสิพี่ถามแปลก แต่อยู่กับพวกมันบ่อยก็เบื่อปะ อีกอย่างผมเหงาๆด้วยแหละที่บ้านไม่มีคนอยู่นอกจากคนใช้"
อ้ออออ ที่แท้ก็ลูกคนรวย
"ว่าแต่พี่เถอะทำไมถึงมาทำงานนี้”
ผมถอนหายใจ “เรื่องเงินน่ะ”
“ผมคนแรกปะเนี่ย”
“อือใช่ รู้ได้ไง”
พอรู้ว่าเป็นผู้ชายแถมยังวัยใกล้เคียงกัน ผมจึงรู้สึกสบายใจคุยกันง่าย ไม่อึดอัด ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของผมที่ได้เจอเด็กคนนี้
เขายิ้มก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานสั่งอาหารเหมือนมีคนกินเป็นสิบแล้วค่อยพูดต่อ “ผมเดาน่ะ”
ผมพยักหน้ารับรู้แล้วเริ่มต้นชวนคุย “ว่าแต่ชื่ออะไร”
"ผมชื่อเจ้าสัวครับ เรียนอยู่เซนต์ทอเรีย"
นอกจากชื่อจะบ่งบอกถึงฐานะชาติตระกูลแล้ว การศึกษายังดีไปอีกก็นั่นมันโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่พวกคนมีเงินส่งลูกหลานตัวเองไปเรียนนี่
"ยินดีที่ได้รู้จัก พี่ชื่อซิมเรียนอยู่มอQ"
“มอQ งั้นเหรอ รู้สึกว่ารุ่นพี่ผมเรียนที่นั่นเยอะเลย”
“ไม่เห็นแปลก ใครๆก็อยากเข้ามอQกันทั้งนั้น”
“รวมพี่ด้วยใช่มั้ย”
“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมรึนายไม่ชอบ?” แถวบ้านผมนะพ่อแม่อยากให้ลูกสอบเข้ามหา’ลัยนี้กันทั้งนั้น
“ก็ไม่ชอบแล้วก็ไม่เคยคิดจะเรียนที่นั่นด้วย”
“ทำไม? ที่นี่ไม่ดีตรงไหน”
“มันก็ดี ป๊าผมก็อยากให้เรียนต่อที่นั่นเพราะบริจาคเงินให้ทุกปีแต่ก็น่ะพอดีมีคู่อริอยู่ในนั้น”
คู่อริมึงเป็นนักศึกษาทั้งๆที่มึงยังเรียนอยู่มอปลายเนี่ยนะ? โคตรซ่าอะ!
“เกเรเหรอเรา”
“เปล่าเลยเถอะ พวกมันต่างหากที่เสือกมายุ่งกับแฟนผม”
“ก็เลยมีเรื่องกัน?”
“โดนผมเตะจนซี่โครงหักอะ”
ผมเผลอทำหน้าตกใจ “แล้วพ่อแม่เขาไม่เอาเรื่องรึไง”
“จะเหลือเหรอ ป๊าผมให้เงินไปก้อนหนึ่งถึงยอมความ”
เอาเงินฟาดหัวที่แท้ทรู...
เราสองคนหยุดพูดเมื่อมีพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ แต่ละอย่างเป็นเมนูที่ผมไม่คุ้นเคย ก็นะวันๆกินแต่ข้าวแกง กะเพรางี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มีโอกาสได้กินอะไรแบบนี้
“เต็มที่เลยนะเดี๋ยวผมเลี้ยงเอง ไม่อิ่มก็สั่งเพิ่ม”
ผมพยักหน้าเออออก่อนจะลงมือกิน สักพักเด็กตรงหน้าก็ชวนคุยต่อ
“พี่ ผมถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไรอะ” ผมถามปากก็ยังเคี้ยวข้าว
“พี่มีแฟนยัง”
“หึ” ผมส่ายหัว “วันๆเรียนเสร็จแล้วก็ทำงานไม่มีเวลาไปมีแฟนหรอก”
“อ้อ” มันพยักหน้าแล้วก็เงียบไป
“แล้วนายล่ะ”
“ผมเหรอ ก็..มีนะ”
ผมพยักหน้าไม่ได้ละสายตาจากอาหาร หน้าตาดี รวย ให้เดาคงเป็นหนุ่มฮอตในโรงเรียนแน่ๆ
“แล้ว พี่อยากมีแฟนบ้างปะ”
“ก็..-“
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบเสียงโทรศัพท์ของคนตรงข้ามก็ส่งเสียงดังขึ้น เจ้าตัวจิ๊ปากนิ่วหน้าเหมือนขัดใจแต่ก็ยังกดรับอยู่
"ฮัลโหล"
"อะไรนะ"
"แล้วมึงไปทำเหี้ยไรที่นั่น...สัดเอ๊ยอยู่ตรงนั้นแหละ"
สั่งเพื่อนด้วยนำ้เสียงหงุดหงิดเสร็จก็หันมาคุยกับผม "พี่ซิมครับผมมีธุระด่วนต้องไปแล้วอะพี่"
ผมพยักหน้าเข้าใจเพราะได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์เครื่องหรูนั่น ให้เดาเพื่อนน้องคงกำลังเดือดร้อนอยู่แน่ๆ
"เอ่อ งั้นนี่เป็นค้าจ้างกับทิปนะครับ"
น้องควักแบงค์พันที่วางเรียงรายอย่างสวยงามในกระเป๋าหนังทำเอาผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ
พ่อแม่มึงให้พกเงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะเจ้าสัว!!
"ผมต้องไปแล้ว.... เออไอ้สัดกูกำลังไปมึงจะเร่งหาพ่อมึงรึไงวะ"
ไม่รู้ว่าน้องมันพูดอะไรบ้างเพราะตอนนี้สมองผมเบลอกับจำนวนแบงค์สีเทาจนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น พอได้สติแผ่นหลังกว้างนั่นก็วิ่งจากไปไกลซะแล้วเหลือก็แต่เพียงกลิ่นนำ้หอมจางๆและเงินจำนวนหนึ่ง
สามหมื่นบาทถ้วน กูจะเป็นลม...
"ไอ้สัดยุ ไปถึงกูจะฆ่ามึง"
"เชี่ยเอ๊ย!ดันลืมขอไลน์ แต่ช่างแม่งยังมีเบอร์โทรล่ะวะ"
Tbc.
ความคิดเห็น