ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Red หยุดเกมส์ร้าย ให้หัวใจได้รัก

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 284
      4
      18 ก.ค. 57

    6

     

                    ปึก!’

                    “อ๊าก!

                    ท่อนไม้ขนาดใหญ่ตกลงบนพื้นข้างหน้าของฉัน ผู้ชายที่จับตัวฉันเมื่อกี้ล้มลงก่อนจะนอนแน่นิ่ง ไม่ขยับสักนิดเลือดค่อยๆไหลออกมาอาบหน้าผากของเขาช้าๆ เพื่อนๆเขาดูตกใจมากก่อนวิ่งเข้ามาประคองเขาไว้

                    “ใครว่ะ -*-” ผู้ชายที่กำลังประคองผู้ร้ายคนนั้นตะโกนอย่างเดือดดาล ท่อนไม้กระแทกเข้าที่หน้าของผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างอย่างจัง ก่อนที่เงาของใครอีกคนจะกระโดดเข้ามาถีบผู้ชายที่เหลืออย่างแรงจนพวกเขาทั้งสองล้มคว่ำไปด้วยกัน

                    “อัล” เสียงแหบพร่าของฉันครางออกมาเบาๆ เขาลุกขึ้นได้และต่อสู้กับพวกนั้นอย่างดุเดือด เมื่ออีกสองคนที่เหลือเริ่มเข้าไปรุมเขา

                    “อะไร -*-” ฉันตกใจเมื่อเขาตอบคำถาม ไม่คิดว่าเขาจะได้ยินทั้งๆที่เสียงฉันออกจะเบาขนาดนั้น “อย่าเพิ่งพูดนะ มันเสียสมาธิ”

                    ทั้งที่สถานการณ์แสนเลวร้ายแถมเขายังหันมาตะคอกใส่ แต่ฉันกลับยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

                    นี่ฉัน คงช๊อคเกินไปสินะ =_=;

                    ฉันเบนสายตากลับไปที่อัลฟองเซ่อีกครั้ง เขาตวัดขาเตะไปที่ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังจนหมอนั่นล้มลง และปล่อยหมัดไปที่ผู้ชายด้านข้างอย่างจัง ส่วนผู้ชายที่เหลืออีกคนพยายามล็อคแขนเขา แต่กลับโดนอัลฟองเซ่เอาหัวทุบกับหน้าผากอย่างแรงจนเซถลาไปด้านหลัง =O=

    ฉันเฝ้ามองดูเหตุการณ์อย่างอึ้งๆ เขาดูต่อสู้เก่งอย่างไม่น่าเชื่อ =O=;; แต่สามรุมมันก็ไม่ได้ทำให้เขาไร้บาดแผลโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสะบักสะบอมกว่าเขามาก

    “หนอยแน่ ไอ้เด็กนี่ -*-” ผู้ชายที่ล้มลงสบถเสียงดังก่อนหยิบไม้ที่อยู่ใกล้ๆ วิ่งเข้ามาฟาดเข้าที่หลังของอัลฟองเซ่อย่างแรงและเพราะเขาเพิ่งถีบผู้ชายอีกคนทำให้อยู่ในท่าที่ไม่สามารถขยับตัวหลบได้ เขาเลยล้มลงและไถลไปบนพื้นถนน

    “อัล!” ฉันเผลอตะโกนออกไปอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายเริ่มขยับ ฉันคลานไปหาเขาด้วยเรี่ยวแรงที่แทบจะไม่มี แต่ไม่ว่าพยายามแค่ไหนก็ไปไม่ถึงเขาสักที

    อัลฟองเซ่ลุกนั่งก่อนสะบัดหัวไปมา เขาหันไปมองผู้ชายคนที่ฟาดหัวเขาอย่างหัวเสีย

    “มันเจ็บนะโว๊ย!” อัลฟองเซ่ตะโกนเสียงดังก่อนวิ่งเข้าไปถีบผู้ชายคนนั้นให้ล้มลงทันที เขาปล่อยหมัดแบบไม่ยั้งจนทำให้ผู้ชายที่อยู่ใต้ขาสลบทันทีเมื่อโดนหมัดที่สามกระแทกเต็มหน้า ผู้ชายสองคนที่เหลือก้าวขาถอยหนีอย่างขยาด มองเพื่อนที่สลบอยู่สลับกับอัลฟองเซ่ที่กำลังบ้าคลั่งชกคนที่ไม่ได้สติแบบเดือดดาลอย่างชั่งใจ ก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปในความมืด

    ช่างรักเพื่อนกันซะจริง =_=;

    “เฮ้อ~ จบสักที” อัลฟองเซ่พูดอย่างหมดแรง ก่อนหงายหลังล้มลงตรงหน้าฉันที่นั่งอยู่

    “นายเป็นไงบ้าง” ฉันพูดพร้อมกับก้มหน้าลงสำรวจใบหน้าของเขา อัลฟองเซ่มีแผลบริเวณปากและคิ้วที่เลือดเริ่มไหลซึมออกมา ส่วนที่โหนกแก้มด้านขวาก็เป็นรอยช้ำสีแดง แถมตามตัวก็ยังมีรอยถลอกหลายที่

    “เป็นสิ เป็นยอดมนุษย์ซุปเปอร์แมนไง ^^#” เขาส่งมุขฝืดๆพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่เคยเห็นสักครั้งบนใบหน้าของเขา อาจเป็นเพราะว่าฉันมองเขาในแบบกลับด้านอยู่เลยทำให้รู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาอย่างน่าประหลาด

    ฉันยิ้มกลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนหุบยิ้มทันทีเมื่อนึกขึ้นได้แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ

    เกือบแล้วสิ! ถ้าหลงใหลไปกับรอยยิ้มนั่นฉันแย่แน่ =_=;

    “อย่างนายเนี่ยนะซุปเปอร์แมน ซุปเปอร์ตีนผีมากกว่า หนีเร็วซะยิ่งกว่าผีอีก -*-

    “เธอนี่มัน ไม่มีสามัญสำนึก -*-” รอยยิ้มจางหายใบจากใบหน้าเขาทันทีแล้วที่คิ้วเคยเป็นเส้นตรงกลับขมวดเป็นโบว์ ใบหน้าตลกๆนั่นทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมา

    “มันจริงใช่ไหมนายเลยไม่ปฏิเสธ”

    “ใช่ที่ไหนล่ะ ฉันวิ่งหนีเพราะคิดว่าถ้าทำให้มันรู้สึกว่าฉันทิ้งเธอแล้วก็ไม่ต้องระวังอะไร ตอนที่พวกมันเผลอฉันเลยกะว่าจะเข้าไปเล่นงานพวกมัน”

    “นายรอจังหวะตอนที่พวกมันเผลอนานไปหน่อยไหม กว่านายจะมาช่วย เสื้อของฉันถูกกระชากซะยับเยิน =_=;” ฉันพูดแล้วกระชับเสื้อที่ถูกฉีกจนกระดุมหลุดให้เข้าที่มากที่สุด

    “ความจริงฉันปาท่อนไม้ไปตั้งแต่ที่มันบีบหน้าเธอ แต่กว่าโดนหน้าไอ้เลวนั่นเสื้อเธอก็กระจุยไปซะแล้ว”

    “อย่ามาแถนะ”

    “ไม่ได้แถเลย ความจริงล้วนๆ ^^

    “งั้นเหรอ ฉันจะเชื่อนายได้ไหม”

    “ร้อยเปอร์เซ็นเลย ฉันไม่คิดจะทิ้งเธอหรอกน่า”

    “ฉันควรภูมิใจงั้นสิ”

    “ไม่เลย เธอควรขอบคุณมากกว่านะ J

    “ไม่เคยมีใครบอกรึไงว่าช่วยคนอื่นไม่ควรหวังผลตอบแทนน่ะ -_-

    “มีสิ แต่ถ้าไม่หวังผลตอบแทนก็คงไม่ใช่ฉัน จริงไหม :D

    “เฮอะ!” ฉันย่นจมูกอย่างไม่พอใจก่อนเสมองไปทางอื่น

    “คางเธอนี่ดูมีเสน่ห์จัง ^^” ฉันตกใจที่อยู่เขาเอื้อมมือสัมผัสกับแก้มแต่ฉันก็ไม่ได้ขยับหนีไปไหน

    “นายเพิ่งรู้รึไง” ฉันตอบอย่างเชิดๆก่อนจะปัดมือเขาออก

    “...” เสียงของเขาเงียบหายไป เกิดความเงียบเนิ่นนาน

    ดวงตาสีน้ำตาลที่สะกดฉันให้มองตอบอย่างไม่ละสายตา นัยน์ตาสีเขียวครามของฉันสั่นไหวอย่างไม่เข้าใจในความรู้สึกตัวเอง ปลายจมูกโด่งของเขาเข้าใกล้ฉันเรื่อยๆ จนกินพื้นที่ทั้งหมดในภาพผ่านดวงตาของฉัน สัมผัสนุ่มจากริมฝีปากของเขาเกิดขึ้นบนหน้าผากของฉัน และริมฝีปากของฉันเองก็สัมผัสกับหน้าผากเขาเช่นกัน

    นี่มันอะไรกัน...

    ทำไม...

    “ขอ.. แทนคำขอบคุณแล้วกันนะ ^^” เขาพูดหลังจากที่ถอนริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า

    ฉันสะบัดหน้าหนีอย่างไม่เข้าใจ ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากของฉัน นี่มันเข้าขั้นวิกฤตสุดๆ ทำไมฉันถึงยอมให้เขาจูบง่ายๆกันนะ และที่สำคัญแม้จะอยู่ในสภาพที่ต้องจุ๊บที่หน้าผากเขาแน่นอน แต่ฉันกลับไม่ยอมหลบแถมไม่ผลักเขาออกไปอีก /)’O’(\

    โอ้! ไม่จริง T^T

    “เฮ้! ปลอดภัยไหมพวก -O-” เสียงวอดก้าทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น ฉันผละออกจากวงจรของอัลฟองเซ่อย่างรวดเร็วทำให้เขามองกลับมาด้วยแววตาไม่พอใจ

    เสียงเดินทั้งสามคนเริ่มเข้าใกล้เรื่อยๆ ฉันกระพริบตาแล้วเพ่งมองไปที่เงามืดนั่น จนทำให้เห็นวอดก้ากับทิมโมธีที่เข้าวิ่งมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง และดีลุกซ์ที่เดินตามมาเป็นคนสุดท้าย

    “อืม ดูเหมือนเราจะมาผิดเวลานะ J” ดีลุกซ์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ริมฝีปากเขากลับยกขึ้นอย่างพอใจ

    “เฮ้ย! ไอ้อัล สภาพแย่ว่ะ ^^” ทิมโมธีวิ่งเข้ามาดูใกล้ๆ เขานั่งลงข้างๆก่อนพยุงอัลฟองเซ่ให้ลุกขึ้นแล้วเอาแขนอัลฟองเซ่พาดที่คอของเขา เหลือบหางตาที่มองไม่เห็นนัยน์ตามาที่ฉัน ก่อนเอ่ยประโยคที่ฉันไม่อยากได้ยินสุดๆว่า “เธอดูเซ็กซี่นะ^^

    “แย่งั้นเหรอ ไม่นี่ฉันออกจะรู้สึกดี ^^” อัลฟองเซ่เหลือบมองมาทางฉัน ในขณะที่ฉันก็กำลังแอบลอบมองเขาอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อสายตาปะทะกัน ฉันกลับรีบหลบสายตาทันที (  ;_ _)

    “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ” ดีลุกซ์ที่เดินมาถึงทีหลังถามขึ้นก่อนมองไปรอบข้างที่มีพวกสารเลวพวกนั้นนอนสลบอยู่เกลื่อนกลาด

    “ก็ไอ้พวกบ้านี่ มันจะข่มขืนทะเลน่ะสิ -_-

    คำพูดเขาแสนร้ายกาจ ราวกับมีเศษแก้วกำลังกรีดก้อนเนื้อในหน้าอกของฉันอย่างรวดเร็ว สำหรับฉันมันเรื่องน่ากลัวจนฉันอยากจะลืมให้หมดไป ภาพเงาของคนพวกนั้นที่ทาบลงบนตัวฉันทำให้ฉันกลัวจนไม่มีแรงแม้แต่จะพูดออกไป แต่เขากลับพูดมันออกมาอย่างง่ายดาย โดยไม่นึกถึงความรู้สึกของฉันเลยสักนิด

    “น่าเกลียด นายพูดแบบนั้นได้ไง -*-” ฉันขึ้นเสียงอย่างโมโหที่อัลฟองเซ่ตอบแบบไม่คิด เขาพูดเรื่องแบบนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา

    “รึว่ามันไม่จริง -O-

    “นาย...” ฉันขบกรามแน่นอย่างโมโห

    ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาพูดมันจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาเองไม่ใช่รึไงที่ทำให้ฉันต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเขาไม่แกล้งฉันด้วยการขี่รถปานนรกจะแตกแบบนั้น ยางรถก็คงไม่ระเบิด และถ้ายางรถไม่ระเบิด ฉันก็คงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพอย่างนี้ -*-

    “เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะนาย เพราะความบ้าคลั่งของนาย เพราะนายคนเดียว >O<

    “พวกไม่ยอมรับความจริง -O-” เขาตอบก่อนมุ้ยหน้าไปทางอื่น

    “อัลฟองเซ่! >O<” ฉันตะโกนอย่างเดือดดาล วอดก้าที่อยู่ใกล้ๆเอื้อมมือมาจับที่ไหล่ราวกับจะบอกให้ใจเย็นๆ

    “เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า เอาเป็นว่าพวกนั้นแค่ทำร้ายร่างกายเธอ โอเคไหม ^^;” ทิมโมธีพูดไกล่เกลี่ย ซึ่งมันก็ทำให้ฉันใจเย็นลงบ้าง อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้คิดทุเรศเหมือนอัลฟองเซ่ -*-

    ฉันสูดหายใจลึกอย่างพยายามสงบจิตใจเมื่อเห็นว่าทิมโมธีพยายามพาอัลฟองเซ่ออกห่างฉัน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับฉันตอนนี้ ฉันเหลือบมองหัวเข่าและเท้าอย่างลำบากใจมันเจ็บมากจริงๆ

    “เธอไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” วอดก้ามองมายังเข่าที่เปรอะเลือดก่อนช้อนตัวฉันขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันมองเขาอย่างตกใจแต่เขากลับยิ้มสบายๆ แล้วกระซิบกลับมาว่า “ก็ฉันอยู่ข้างเธอนี่นา ^^

    ฉันไม่ได้โวยวายหรือทำตัวดีดดิ้งแต่อย่างใด เพราะตอนนี้ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะเดินเลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญการที่วอดก้าอุ้มฉันเดินไปมันคงเป็นเรื่องดีสำหรับเข่าและเท้าของฉันมาก

    “ขอบใจ (-_-)” ฉันพูดเบาๆ ก่อนหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างทำให้ฉันต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าอัลฟองเซ่กำลังจ้องมองมาที่ฉันกับวอดก้า

    “ไอ้วอดปล่อย ฉันจะอุ้มยัยนั่นเอง -_-

    “อย่าเลย แกเจ็บอยู่ ไม่เป็นไรน่าฉันอุ้มเอง ^^

    “ไอ้วอด -*-” อัลฟองเซ่สะบัดมือออกจากการช่วยเหลือทิมโมธีเดินเข้ามาใกล้ๆ “เธอเองก็เหมือนกัน ไปซบอกผู้ชายคนอื่นหน้าตาเฉย -*- มากับฉันเดี๋ยวนี้”

    “อย่ามายุ่ง ฉันจะไปกับวอดก้า นายเองก็เป็นคนอื่นสำหรับฉันเหมือนกัน -*-” ฉันตอบเขาอย่างไม่เกรงกลัว อัลฟองเซ่ดูเหมือนจะทวีความโกรธขึ้นมาเรื่อยๆ

    ทิมโมธีและวอดก้ามองเพื่อนด้วยแววตาขบขันก่อนหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน

    “หยุดเลยนะพวกแก -*-” อัลฟองเซ่หันไปตวาดเพื่อน ก่อนกลับมาต่อว่าฉันอีกรอบ “เธอพูดกับผู้มีพระคุณแบบนี้เรอะ ฉันเป็นคนช่วยเธอนะ -*-

    “นายมันเลวร้ายที่สุด ฉันไม่อยากเจ็บตัวอีกรอบเพราะนาย -*-

    ฉันเน้นหนักในคำพูดเพื่อให้เขาหยุดทำเรื่องบ้าๆที่ชวนให้ฉันปวดหัวสักที ไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันโมโหได้เท่ากับเขาได้อีกแล้ว

    เชื่อเถอะว่าไม่มีจริงๆ

    “เธอ... ฮึ่ย -*-” อัลฟองเซ่ถอนหายใจเสียงดังก่อนเดินนำหน้าไป

    ฉันถอนหายใจแรงอย่างพยายามระงับอารมณ์แล้วเอนหัวพิงกับอกวอดก้าเบาๆ

    “เธอนี่เกินคาดนะ ^^” วอดก้าก้มหน้าลงมาส่งยิ้มให้ฉัน

    “ร้ายกาจชะมัด/ร้ายกาจชะมัด” ฉันพูดขึ้นพร้อมกับวอดก้า เพราะคิดอยู่แล้วว่าเขาต้องพูดแบบนี้ เขาดูตกใจนิดหน่อย แต่ก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เขาถนัดแทน

    “ฮึ! O_O ร้ายกาจจริงๆ :D

    “มีอะไรที่ฉันควรรู้ไหม -_-

    ดีลุกซ์ถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเห็นหน้าตาอันปูดบึ้งของอัลฟองเซ่และฉันที่อยู่ในอ้อมแขนของวอดก้า ฉันมองทะลุผ่านด้านหลังของเขาไป เห็นผู้ชายสารเลวพวกนั้นถูกมัดรวมกันติดกับเสาไฟฟ้าข้างถนน ถ้ามองไปที่เสาไฟฟ้าดีๆ จะพบว่าพวกนั้นอยู่ครบทั้ง 5 คน นั่นหมายความว่าอีกสองที่หนีไปได้ก็ถูกจับกลับมาและสลบเหมือดกันทุกคน -O- นี่คือเหตุผลที่เขาไม่อยู่ร่วมวงสนทนาอันดุเดือดเมื่อกี้ใช่ไหม

    แต่สิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ ดีลุกซ์

    เขาไปจับพวกนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน =O=;

    “เฮอะ! เอาไว้ค่อยคุยกัน ฉันเจ็บจะแย่ (-_-)+++” อัลฟองเซ่แค่นหัวเราะก่อนส่งสายตาที่เหมือนกับเข็มที่คอยทิ่มแทงฉัน =_=;

    “แล้วทะเล เธอโอเคนะ” ดีลุกซ์หันมาถาม ฉันได้แต่พยักหน้าตอบเบาๆ “ดีแล้วล่ะ ^^

    ดีลุกซ์ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ แม้ว่าจะมีแว่นตากรอบหนากั้นอยู่แต่ก็ไม่สามารถบดบังความหล่อของเขาได้ จะว่าไปแล้วถ้าจะให้จัดอันดับคนที่น่าคบที่สุดในกลุ่มก็คงจะเป็นดีลุกซ์นี่ล่ะ  เพราะท่าทางที่ดูอ่อนโยนนั่นทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ แต่สำหรับธิมโมทีนี่ให้ความรู้สึกว่าหล่อแบบประหลาด รอยยิ้มของเขาดูเย็นชาอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่เขาดูสนุกสนาน ยิ้มแย้มตลอดเวลา หมายถึงตลอดเวลาจริงๆ เพราะฉันไม่ค่อยได้เห็นนัยน์ตาเขาบ่อยนัก =_=;

    “ไปกันได้ยัง -*-” อัลฟองเซ่พูดเสียงดังอย่างน่าโมโห -*-

    วอดก้ากระชับอ้อมแขนเพื่ออุ้มฉันให้ถนัดขึ้นก่อนเดินตามทิมโมธีที่กำลังช่วยประคองอัลฟองเซ่ไปโดยมีดีลุกซ์ที่กำลังดึงเนคไทให้คลายออกเดินรั้งท้ายสุด

    ฉันถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าแม้ว่าฉันกำลังพยายามอย่างมากที่จะสงบใจลง เพราะการที่ฉันโมโหร้าย เสียงดังอย่างไร้มารยาทมันไม่เป็นฉันเลยสักนิด

    มันไม่อลังการ -*-

    “เธอถอนหายใจแบบนั้นทำให้ฉันเหนื่อยแทนนะ ^^” วอดก้าส่งยิ้มมาให้

    “โทษที สงบใจไม่ได้เลย ให้ตายสิ” ฉันตอบอย่างหงุดหงิด

    “เธอพูดว่าให้ตายสิงั้นเหรอ ไม่น่าเชื่อว่านั่นจะเป็นคำพูดของเธอนะ”

    “มันแปลกรึไง”

    “คำพูดมันไม่แปลกหรอก มันแปลกเพราะเธอเป็นคนพูดต่างหาก”

    “นั่นเพราะนายไม่รู้จักฉันดีพอ”

    “หืม...” วอดก้าเอียงคอมองอย่างสงสัย

    “ฉันน่ะ...” ฉันหยุดพูดอย่างจงใจ วอดก้ามองฉันด้วยสายตาสงสัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ “เจ้าเล่ห์มากนะ J

    การที่จะทำให้เขาอยู่ข้างฉันต่อไปแม้จะไม่ตลอดไปก็คือ การที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังเดินหมากอยู่บนกระดานหมากรุก โดยที่ไม่รู้ว่าตัวขุนของตัวเองอยู่ตรงไหน เพราะนั่นจะทำให้เขาพยายามปกป้องตัวขุนล่องหนจากฝ่ายตรงข้ามซึ่งก็คือ อัลฟองเซ่

    เขาที่เห็นตัวขุนของอัลฟองเซ่ กลับมองไม่เห็นตัวขุนของตัวเองว่าอยู่ตำแหน่งไหน รู้แค่ว่าอยู่ทิศไหน มันต้องท้าทายและน่าตื่นเต้นมากกว่าการเล่นแบบธรรมดาแน่นอน

    และตัวขุนล่องหนก็คือ ตัวฉันเอง

    ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเขาสามารถจับทางฉันได้ เขาอาจจะหยุดเล่นเกมส์ไปเฉยๆ หรือไม่ก็อาจจะโยนฉันไปให้อัลฟองเซ่เอาดื้อๆ ไม่ว่าทางไหนก็เป็นเรื่องแย่สำหรับฉัน แต่ในทางกลับกัน หากฉันยังทำให้เขาจับทางไม่ได้ นั่นหมายความว่าเขาจะเป็นคนหลอกล่ออัลฟองเซ่ด้วยหมากตัวอื่นๆ และฉันเองก็จะชนะอย่างง่ายดาย

    แม้ว่าทั้งคู่อาจแตกแยกกันก็ตาม แต่นายผิดเองนะที่ทำร้ายฉัน

    ... อัลฟองเซ่

    “รอยยิ้มสยองกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ ^^” วอดก้าส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาอย่างรู้ทัน

    “งั้นเหรอ”

    “ความจริงที่ฉันอยากจะบอกคือฉันอ่านเธอไม่ออก บางครั้งเธอดูเหมือนน้ำแข็ง แต่บางครั้งก็เหมือนไฟ ^^

    “นั่นเป็นเรื่องที่ดี”

    “เธอเป็นคนน่าสนใจ ^^

    “นายอาจจำไม่ได้ แต่นายบอกฉันเป็นครั้งที่สอง J

    “งั้นเธอก็คงน่าสนใจมากทีเดียว J

    “ฮึ ฉันควรดีใจสินะ”

    “ถ้ามีแรงอ่อยขนาดนั้นล่ะก็ ทำไมไม่ลงมาเดินเองล่ะ -*-” อัลฟองเซ่พูดจิกกัดอย่างเจ็บแสบก่อนเหลือบมองฉันด้วยหางตาที่แสดงออกถึงความสมเพช -*-

    “...” ฉันทำเป็นไม่ได้ยินก่อนหลับตาเอนหัวซบกับอกของวอดก้าอย่างจงใจยั่วโมโห

    ถ้าหากเขาว่าฉันถึงขนาดนั้น มันก็คงไม่ผิดที่ฉันจะทำในแบบที่เขาคิดว่าฉันทำ

    “เธอกำลังทำให้ฉันโมโหนะ -*-

    “...”

    “ทะเล!

    ดูเหมือนอัลฟองเซ่จะฉุนขาดอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ เขากระชากต้นแขนฉันอย่างแรงจนทำให้ฉันหลุดจากอ้อมแขนของวอดก้าอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะว่าวอดก้าอ่อนแรงจากการเดินและอุ้มฉันมาไกลหรือไม่ก็เป็นเพราะอัลฟองเซ่กระชากตัวฉันแรงอย่างไร้ความปราณีเพราะความโกรธ

    แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดตอนนี้ฉันก็ตกลงบนพื้นถนนลาดยางที่แสนขรุขระ ทำให้ข้อศอกกระแทกอย่างแรงตอนตกลงไป ความชาเข้ามาแทนที่ผิวหนังที่ถลอกออกไปก่อนเลือดสีแดงจะไหลออกมา

    “ไอ้อัล นี่มันเกินไปนะ -*-” วอดก้ารีบนั่งลงข้างๆสำรวจแผลฉัน ก่อนมองหน้าอัลฟองเซ่อย่างเอาเรื่อง

    “ฮึ สำออยนะสิ” เขาเชิดหน้ามองฉันที่ล้มลงบนพื้นด้วยหางตา

    แววตานั่นทำให้ฉันถึงกับรู้สึกหน้าชา

    “ไอ้อัล”

    พลั๊วะ!

    วอดก้ากระแทกหมัดไปที่แก้มข้างขวาของอัลฟองเซ่อย่างจัง ทำให้เกิดรอยช้ำขึ้นอีกครั้ง รอยช้ำที่แฝงไปด้วยความสงสารของฉันที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่นาทีถูกกลบด้วยรอยช้ำของอารมณ์โกรธเกรี้ยวของตัวฉันเองฉันผ่านหมัดของวอดก้า

    อัลฟองเซ่ยกกำปั้นขึ้นเตรียมโต้ตอบ แต่กลับต้องชะงักเมื่อทิมโมธีล๊อกแขนของเขาเอาไว้ เช่นเดียวกับดีลุกซ์ยกมือกั้นวอดก้าจากอัลฟองเซ่เป็นเชิงบอกให้หยุด

    “หยุด พอสักที -_-” ดีลุกซ์พูดอย่างใจเย็น

    “บ๊าเอ๊ย!” วอดก้าสะบัดแขนลงอย่างหัวเสีย ก่อนเบนสายตาไปทางอื่นแล้วเตะอากาศเพื่อระบายอารมณ์

    “ปล่อยนะไอ้ทิม” อัลฟองเซ่กำลังสะบัดตัวเองออกจากการเกาะกุมของทิมโมธี

    “ไอ้อัล เลิกบ้าสักที” ทิมโมธีพูดเสียงเย็นเชียบแม้เขายังจะยิ้มตาหยีอยู่ก็ตาม

    “ไอ้ทิม แกไม่เห็นรึไงว่าไอ้วอดมันต่อยฉัน -*-

    “พอได้แล้ว ครั้งนี้แกผิด” ดีลุกซ์พูดไม่ดังมาก แต่ก็ได้ยินอย่างชัดเจน มือเขาดันอกของอัลฟองเซ่อยู่ และมันก็ทำให้อัลฟองเซ่หยุดที่จะถลาไปหาวอดก้า

    “ฉันโดนชกแต่ฉันดันกลายเป็นคนผิด -*-

    “ถ้าไม่ใช่นายแล้วใคร”

    ทิมโมธีพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ รอยยิ้มที่เห็นเป็นประจำหายไปจากใบหน้า เขานั่งลงด้านซ้ายข้างๆฉัน มือขวาอ้อมด้านหลังมาสัมผัสกับใบหน้าด้านขวาของฉันอย่างแผ่วเบา หลับตาพร้อมกับเอนหัวเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆจนผมสีเทาของเขาปะปนกับกับผมสีดำของฉัน

    “ใครกันที่ทำให้ทะเลบาดเจ็บขนาดนี้” ดวงตาปิดสนิทลืมตาขึ้นมาเผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้า จับจ้องไปยังอัลฟองเซ่อย่างเย็นเชียบ

    อัลฟองเซ่มองมาที่ฉันอย่างสำรวจ ก่อนดวงตาสีน้ำตาลจะสั่นไหวเมื่อเห็นแผลตามตัวของฉันที่ไม่ได้น้อยไปมากกว่าเขาเลย แววตาที่มองมาราวกับจะสำนึกผิด เขาก้าวเท้าเข้ามาเพียงหนึ่งก้าวก่อนหยุดชะงัก แล้วหันหลังกลับไปแล้วเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

    ฉันลังเลไม่ได้...

    แค่ดวงตาสั่นไหว แค่แววตาสำนึกผิด

    ... มันยังไม่พอสำหรับตัวฉัน

    มุมปากของฉันขยับจนเกิดรอยยิ้มที่วอดก้าเคยขยาดปรากฏบนใบหน้าโดยที่ไม่มีใครสักเกตุเห็น แผ่นหลังของอัลฟองเซ่ที่ห่างออกไปเรื่อยๆทำให้ฉันจดจ้องอย่างละสายตาไม่ได้

    อัลฟองเซ่...

    นายไม่มีโอกาสที่จะเดินจากฉันไปเฉยๆอีกแล้ว

    เพราะโอกาสนั้นนายเป็นคนโยนทิ้งไปเอง

    หลังจากนี้...

    ในตอนที่นายเดินจากไป... แผ่นหลังของนายที่ฉันมองเห็น

    จะต้องแบกรับความเจ็บปวด ...เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×