คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 9
9
วันที่ 25 ธันวาคม
ฉันสวมเดรสเกาะอกสีขาวลูกไม้ที่ช่วงล่างพองพอประมาณยาวเลยหัวเข่าลงไปนิดหน่อย ก่อนทาอายชาโดว์บนเปลือกตาโดยเน้นสีน้ำตาลประกายที่ขอบตาล่างอย่างจงใจ กรีดอายไลน์เนอร์เส้นหนา บลัชออนสีพีชถูกสะบัดเบาๆลงบนแก้ม แล้วทาลิปสติกสีชมพูอ่อนใสลงบนปากบาง มองตัวเองในกระจกอย่างสำรวจก่อนพบว่ามันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง
ฉันเปิดลิ้นชักแล้วหยิบสร้อยคอมุกหลายเส้นที่ความยาวไม่เท่ากันทาบลงที่คอก่อนสวมเข้าไป กำไลคริสตัลเส้นบางนับสิบอันถูกสวมใส่บนข้อมือ ฉันคลายผมที่ม้วนอยู่กับโรลออกจนกรอบหน้าถูกล้อมรอบด้วยผมสีดำลอนแบบคลื่นทะเล
ฉันหยิบรองเท้าส้นสูงสีแดงออกมาก่อนถอนหายใจแล้ววางไว้ที่เดิมเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไงตอนนี้ก็สวมมันไม่ได้ ฉันหันไปหยิบรองเท้าแมรี่เจนส์สีดำที่ไม่มีส้นมาสวมแทน หมุนตัวในกระจกขนาดใหญ่
ความจริงมันดูดีทีเดียว แต่ดูอ่อนหวานจนไร้ชีวิตชีวาไปสักหน่อย =_=
ฉันลบลิปสติกสีเดิมออกก่อนทาทาบอีกครั้งด้วยลิปสติกสีบานเย็นสด ใช้อายไลน์เนอร์เพ้นท์เป็นลายบาร์โค้ดตรงโหนกแก้มใต้หางตาข้างซ้าย หมุนตัวในกระจกขนาดใหญ่เท่าตัวอีกครั้ง
ฮึ J ค่อยอลังการขึ้นมาหน่อย
ฉันเหลือบมองนาฬิกาก่อนพบว่าตอนนี้เกือบจะทุ่ม เดินออกจากห้องทันทีที่มีสายเรียกเข้า ก่อนหยุดเดินตรงหน้าห้องข้างๆ จ้องมองประตูสักครู่แล้วตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
รอยยิ้มแห่งชัยชนะที่ฉันจะได้รับจากเขาในวันนี้ J
“ทะเล”
ฉันหันไปตามเสียงเรียกของวอดก้าที่กำลังเดินออกมาจากประตูรถ BMW สีดำคันหรู วันนี้เขาดูดีเป็นพิเศษเพราะสูทสีดำที่สวมทับเสื้อเชิ๊ตสีขาวทำให้ดูภูมิฐานขึ้น เนกไทสีน้ำตาลที่ดูหลุดลุ่ยของเขาก็บ่งบอกความเป็นตัวเขาได้เป็นอย่างดี
“หวัดดี ^^” ฉันทักกลับก่อนเดินเข้าไปหา ฉันเป็นโทรไปหาเขาให้มารับเอง ความจริงฉันกะว่าจะไปงานพร้อมกับลิลิเน็ต แต่เธอกลับเบี้ยวนัดฉันเพราะต้องไปงานวันคริสต์มาสที่มหาลัยแสนธรรมดาของภูผาซะงั้น =_=;
“เธอดูสวยนะ ^^” เขาเปิดประตูรถอีกข้าง และฉันก็เข้าไปนั่งข้างในอย่างว่าง่าย
“ขอบใจสำหรับคำชมที่เป็นมารยาทนั่น”
“เปล่าไม่ใช่มารยาท เธอสวยจริงๆ^^” เขาส่งยิ้มแล้วปิดประตูรถก่อนกลับเข้ามานั่งฝั่งคนขับ
“ถ้าพูดถึงขนาดนั้น ฉันคงสวยจริงๆ J”
“ฮะ ฮะ ฮ่า ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยนะ ^O^”
“พูดเป็นเล่น มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ฉันไม่หลงตัวเอง” ฉันที่มองทางข้างหน้าเลื่อนสายตามายังวอดก้า สายตาของเขาเองก็กำลังมองมาที่ฉันเหมือนกัน “อย่ามองหน้าฉันตอนขับรถสิ”
“โทษที ไม่คิดว่าจะโดนเธอตำหนิแฮะ” เขาขอโทษเก้อๆก่อนหันกลับไปมองถนนข้างหน้าอีกครั้ง “คงเพราะวันนี้เธอสวยเกินไปละมั้ง ^^”
“วันนี้นายเองก็ดูดี” ฉันพูดไปตามความจริงวอดก้าในเสื้อยืดว่าดูดีแล้ว ตอนนี้เขาที่สวมชุดสูทดูดีกว่าเป็นไหนๆ
“งั้นเหรอ แต่ฉันไม่ชอบมันเท่าไหร่ อึดอัดจะตาย” วอดก้ามีสีหน้าหงุดหงิดก่อนขยับเนกไทให้หลวมขึ้น
“เพราะงั้นมันถึงเหมาะกับวันสำคัญ” ฉันเอื้อมมือไปจับเนกไทของเขาก่อนขยับให้เข้าที่โดยไม่ได้ขออนุญาติทำให้วอดก้ามองกลับมาอย่างขัดใจ
“ยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่ =_=”
“อย่าบ่นได้ไหม =_=;”
“เธอดูเย็นชาขึ้นนะ ยิ่งแต่งแบบนี้ยิ่งเหมือนเจ้าหญิงหิมะอะไรพวกนั้น” วอดก้าหันหน้ามามองฉันอย่างวิเคราะห์อีกครั้ง
“อย่าเลย ฉันไม่เหมาะกับอะไรที่เรียกว่าเจ้าหญิงหรอกนะ J”
“นั่นสินะ เหมือนแม่มดที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงมากกว่า J”
“คงงั้น” ฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ วอดก้าหันกลับไปสนใจถนนที่อยู่ตรงหน้าแทน
แม้ว่าเมื่อกี้รอยยิ้มของเขาจะทำให้ฉันเกือบหยุดหายใจ คำพูดพวกนั้นราวกับรู้จักตัวฉันดี เหมือนรู้ว่าฉันกำลังคิดจะทำอะไร
“มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเธอหยุดเล่นเกมส์พวกนี้ซะ” วอดก้าพูดด้วยเสียงเบาแต่ฉันกลับได้ยินอย่างชัดเจน ก่อนจะหันมาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉัน
ใช่จริงๆด้วย เขารู้...
“ฉันคงหยุดไม่ทัน เพราะฉันจะจบมัน... ในวันนี้” ฉันละสายตาออกจากวอดก้าก่อนเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีส้มหม่น
“เธอจะไม่เสียใจจริงๆนะเหรอ”
“...” ฉันไม่ตอบ มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ให้คำตอบเขา
“หวังว่าเธอจะไม่ใจร้ายกับมันนัก”
เสียงของวอดก้ายังดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหัว ฉันพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำร้ายเขา แต่เขายังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ คอยสร้างความเจ็บปวด ทำร้ายฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อัลฟองเซ่ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหากนายเป็นมีด
เพราะคมมีดจะกรีดอย่างรวดเร็ว แม้รอยแผลจะยังอยู่มันยังคงเป็นรอยแผลเรียบๆและหายได้โดยเร็ว
แต่สำหรับนายแล้ว นายเป็นเศษแก้วที่กำลังกรีดอย่างช้าๆ จนหัวใจฉันกรีดร้องอย่าทรมาน ก้อนเนื้อเหวอะหวะอย่างไม่สามารถที่จะเย็บให้มันกลับมาเต้นได้อีกครั้ง
ฉันไม่อยากตกอยู่ในสภาพนั้นอีกแล้ว
ยังไงซะ วันนี้ ฉันต้องทำให้เขาเดินออกไปจากชีวิตฉันให้ได้
“ฉันต้องขอโทษนายล่วงหน้า” ฉันพูดก่อนหลุบตาลง ในขณะที่รถของวอดก้าเคลื่อนที่เข้าสู่มหาวิทยาลัย
“ทำไม เธอคงจะร้ายกับมันมากล่ะสิ”
“เปล่าเลย” ฉันสั่นหัวเบาๆ “เพราะฉันอาจทำร้ายนายไปด้วย”
รถจอดสนิทที่ประตูหน้างาน ห้องโถงเมคเคนซี่ที่ประดับประดาไปด้วยต้นคริสต์มาสและไฟประดับที่ส่องแสงเป็นประกาย ฉันก้าวลงจากรถโดยไม่รอให้วอดก้ามาเปิดประตูให้
“หึ เธอร้ายกาจจริงๆ สุดท้าย... ฉันก็เป็นได้แค่เบี้ยตัวหนึ่ง” วอดก้าหัวเราะในลำคอ ก่อนลงจากรถแล้วเดินมาใกล้ๆฉัน
“ขอโทษ” ฉันพูดแต่ไม่กล้าสบตาเขาเลย ความรู้สึกผิดมันฝังแน่นอยู่ในอก
“อย่าใส่ใจเลย ฉันรู้ตัวแต่แรก”
“นายเป็นคนดีนะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้ดี ไปกันเถอะ ^^” วอดก้าดึงมือฉันมาคล้องแขนเขาก่อนเดินเข้าไปในงานพร้อมกัน
งานวันคริสต์มาสของมหาวิทยาลัยแมคเคนซี่
ภายในห้องโถงทั้งหมดประดับประดาไปด้วยดอกไม้กลิ่นหอม ตรงกลางของมีต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่เด่นตระการตา เพดานด้านบนมีคริสตัลหลากสีระยิบระยับ พวกผู้หญิงพากันแต่งตัวสวยจนละลานตา แต่พวกผู้ชายกลับดูคล้ายกันหมดในชุดสูทแบบมาตรฐาน =_=;
“มาทางนี้” วอดก้าเรียกฉันให้หยุดการสำรวจบริเวณรอบๆตัวแล้วเดินไปพร้อมกับเขา จนทำให้รู้ว่าตอนนี้ฉันเด่นมากแค่ไหนในงานเมื่อสายตาของคนมากมายมองมาทางฉันที่กำลังเดินควงคู่มากับวอดก้า
อืม แบบนี้ก็อลังการดีนะ J
วอดก้าพาฉันมายังหน้าต่างบานใหญ่ที่รวบรวมสายตาของพวกผู้หญิงในงานเป็นกระจุกเดียว ทิมโมธีในชุดสีขาวทั้งตัวจนแทบจะถูกกลืนกินไปในแสงไฟกำลังหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มอย่างสบายใจ ผมสีเทาพริ้วไหวไปมา เนกไทสีฟ้าอ่อนถูกลมพัดจนปลิวไปด้านหลัง เขาดูดีราวกับภาพวาดที่พระเจ้าสร้างสรรค์ขึ้น
เว้นแต่...
ถ้าไม่รวมถึงดีลุกซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆพัดลม กำลังควบคุมทิศทางและความแรงของพัดลมให้เหมาะสมกับท่วงท่าการเคลื่อนไหวของทิมโมธี =_=;
“พวกนายเล่นบ้าอะไรกัน -*-” วอดก้ามีท่าทีโมโหนิดหน่อยก่อนเดินไปดึงปลั๊กพัดลมออก
ทันทีที่สายลมหยุดไป ผมของทิมโมธีได้ตกลงมาปรกบนใบหน้า นัยน์ตาสีฟ้าค่อยๆเผยให้เห็น ก่อนมองมายังวอดก้าด้วยหางตา
เสียงกรีดร้องดังกระหึ่มขึ้นทันที ที่ฉันต้องบอกว่าเป็นเสียงกรีดร้องก็เพราะผู้หญิงบางคนถึงกับเพ้ออย่างบ้าคลั่ง บางคนถึงกับเป็นลม นี่ยังไม่รวมถึงเสียงกรี๊ดของพวกผู้หญิงที่ทนเห็นภาพแบบนั้นไม่ได้จนต้องวิ่งหนีออกไปด้วยใบหน้าเขินอาย
ภาพลักษณ์หลอกลวงแบบนั้น พวกเธอกรี๊ดกันทำไม =_=;
“ก็แค่อยากให้ตัวเองดูเหมือนเทวดาขึ้นมาบ้าง ^^” ทิมโมธีตอบพลางปล่อยให้นัยน์ตาคู่สวยหายเข้าไปในเปลือกตา
“ไร้สาระ -*-” วอดก้าบ่น ก่อนหันไปมองดีลุกซ์ที่กำลังจะเสียบปลั๊กไฟกลับเข้าที่เดิม “ให้ตายสิ หยุดเลยนะไอ้ดีล แทนที่จะห้ามไอ้ทิมแต่แกกลับยุยงมันซะนี่”
“ไม่เห็นเป็นอะไร ก็แค่อยากให้มันสนุกน่ะ” ดีลุกซ์ตอบพร้อมกับบุ้ยหน้าไปทางทิมโมธี
“ทุเรศนะสิไม่ว่า พวกแกกล้ามากที่ทำเรื่องน่าอายแบบนี้ =_=;”
วอดก้าบ่นเป็นชุด ดีลุกซ์มีท่าทางเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง เขามองมาที่ฉันก่อนขยับปากถามโดยไม่ใส่ใจวอดก้าอีก
“น่าแปลก เธอมากับมันเหรอ ^^” ดีลุกซ์ถามก่อนเบ้หน้าไปทางวอดก้าที่ตอนนี้กำลังหันไปบ่นให้ทิมโมธี ฉันได้แต่พยักหน้าตอบเบาๆเพราะมัวตกตะลึงที่เขาดูสวยมาก
ฉันพูดไม่ผิดหรอก เพราะเขาดูสวยมากจริงๆ -O-
ดวงตาคู่สวยสีนิลที่เคยถูกปกปิดด้วยแว่นหนากรอบดำเปล่งประกายเมื่อไม่มีแว่นนั้นมาบดบัง เขาเซตผมด้านหนึ่งให้เสยขึ้นจนทำให้เห็นตุ้มหูรูปไม้กางเขน ใบหน้าสวยหวานจนน่าใจหาย เขาเหมือนสาวสวยที่กำลังแต่งคอสเพลย์ในชุดเจ้าชายมากกว่า
“สงสัยอะไรรึเปล่า ^_^?” เขาถามขึ้นอย่างแปลกใจ นี่ฉันจ้องหน้าเขานานไปรึเปล่านะ
“เปล่า แค่คิดว่านายสวยจัง @_@” ฉันตอบไปตามความจริง ดีลุกซ์หัวเราะด้วยท่าทางสบายๆ
“นั่นฉันจะถือว่าเป็นคำชม ^^”
“แน่นอน นั่นเป็นคำชมนะ ^^” ฉันตอบพลางกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อมองหาใครบางคน
“ไอ้อัลมันไม่อยู่ที่นี่หรอก” ดีลุกซ์บอกอย่างรู้ทัน “ตอนนี้มันคงกำลังท่องบทสุนทรพจน์อยู่ด้านหลังเวที”
“อืม นั่นสินะ” ฉันตอบอย่างเพิ่งนึกได้
อัลฟองเซ่ได้รางวัลเทวดาแห่งความสุข ที่ผลคะแนนทั้งหมดมาจากการโหวตของคนทั้งมหาวิทยาลัย งานนี้จะจัดขึ้นทุกปีในวันคริสต์มาส ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะว่าเขาจะได้รางวัลนี้ แต่เขาก็ได้มันมาแล้ว =_=; ไม่รู้ว่าผู้หญิงพวกนั้นมีปัญหาทางสายตารึเปล่า ที่มองเขาเป็นเทวดาได้
อย่างเขานะเหรอเทวดาแห่งความสุข เขาที่นำพาแต่ความทุกข์มาให้ฉัน แค่จะเรียกว่าเทวดามันก็ไม่สมควร
“น่าแปลก ที่เธอยอมรับง่ายๆว่ามองหามันอยู่ ^^”
“ไม่เห็นแปลก ก็ฉันกำลังมองหาเขาจริงๆนี่นา” ฉันตอบไปด้วยท่าทางเฉยๆ ก่อนมองไปที่วอดก้าและทิมโมธีที่กำลังเดินมาทางนี้
“เฮ้อ~ ครั้งนี้ฉันแพ้มันจนได้” ทิมโมธีบ่นพึมพำ “ทั้งๆที่มันออกจะดูชั่วร้าย”
“อืมๆ ( - - ) ( _ _ ) ( - - )” ทุกคนพากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ยอมรับซะเถอะเพื่อน ไอ้อัลมันมีเสน่ห์ร้ายกาจ” วอดก้าเดินเข้าไปกอดคอทิมโมธีอย่างปลอบใจ
“รางวัลนี่ไม่เห็นเหมาะสมกับมันเลยสักนิด พวกนายไม่คิดงั้นเหรอ” ทิมโมธีถามขึ้นอย่างขอความคิดเห็น
นี่เขาอยากได้ตำแหน่งนั่นขนาดนั้นเลยรึไง =_=;
“อืม มันก็จริง” ดีลุกซ์นิ่งคิดอย่างชั่งใจ
“มันออกจะอีวิล” วอดก้าทำหน้าครุ่นคิดก่อนพยักหน้ากับตัวเองหงึกหงัก
“แล้วเธอล่ะคิดว่าไง ^^” ทิมโมธียื่นหน้าเข้ามาถาม ฉันยิ้มตอบนิดหน่อยก่อนตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“เขาน่ะเหรอ ปีศาจชัดๆ J”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า >O<” ทิมโมธีหัวเราะลั่น “คำตอบเธอถูกใจฉันที่สุดนะ ^^”
“ไม่คิดว่าฉันจะได้รับคำชมแสนมีเกียรตินี้” ฉันพูดขึ้นอย่างขำๆ
“เธอน่าสนใจจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเธอควงอยู่กับไอ้อัลล่ะก็ ฉันคงสอยเธอมาแล้วล่ะ ^^”
“ฟังดูน่ากลัว แต่อยากจะบอกไว้ ฉันไม่ได้ควงกับใครทั้งนั้น” ฉันบอกอย่างสบายๆก่อนจ้องไปที่ทิมโมธีอย่างจงใจ “เผื่อนายอยากรู้ J”
“ฮู่~ เสน่ห์แพรวพราวจนน่ากลัว”
“เคยบอกไปรึยัง ฉันเจ้าเล่ห์มากด้วยนะ J”
“ฮะ ฮ่า ชักหลงเสน่ห์เธอแล้วสิ ^^”
ฉันหัวเราะนิดๆกับท่าทีทะเล้นของเขา สายตาของวอดก้ามองมาอย่างเคลือบแคลงใจ ฉันยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น
“น่าเสียดายที่ฉันเข้าไปยุ่งย่ามกับเธอไม่ได้ ^^”
“ฉันเองก็เสียดายที่นายไม่กล้านะ J”
“เธอน่ากลัวกว่าที่คิดไว้มาก”
“ใครๆก็บอกอย่างนั้น J”
“ถ้ามีเสน่ห์มากขนาดนั้นล่ะก็ โยนมันทิ้งไปบ้างก็ดีนะ -*-” เสียงขุ่นดังขึ้นจากด้านหลังของฉัน เขาเดินมาพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันและชักสีหน้าไม่พอใจอย่างแรง
อัลฟองเซ่ในชุดสูทสีดำสนิทมีเพียงเนกไทเท่านั้นที่เป็นสีแดง ผมสีแดงเพลิงของเขาถูกเซตให้เสยขึ้นไปทั้งหมดในแบบที่ไม่เรียบมากนักเลยทำให้เขาดูหล่อแบบร้ายกาจ เอ่อ จะว่าไงดีล่ะ เขาให้บรรยากาศแบบลูซิเฟอร์สุดๆ
นี่น่ะเหรอ เทวดาแห่งความสุขที่ผู้หญิงตาถั่วพวกนั้นพากันโหวต ฉันมองยังไงก็ไม่น่าจะใช่ =_=;
“มันเรื่องของฉัน” ฉันพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“มันเป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน” อัลฟองเซ่พูดก่อนจ้องตาฉันอย่างดุเดือด
“ไม่เห็นเกี่ยวกับนายตรงไหน”
“เรื่องนั้นเธอก็รู้อยู่แล้ว ไอ้พวกนี้มันเป็นเพื่อนฉันแต่เธอก็ยังทำเล่นหูเล่นตากับมันอยู่ได้ -*-” เขาพูดพร้อมกับส่งสายตาร้ายกาจในแบบที่เขาถนัด ที่ฉันแสนเกลียด
“เฮ้ย!” ทิมโมธีมีท่าทีจะเถียงออกมา แต่วอดก้ากลับห้ามไว้
“อะไร -*- ไอ้ทิมฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับแกที่มาวุ่นวายกับผู้หญิงของฉัน” อัลฟองเซ่ตวาดอย่างโมโห
ผู้หญิงของฉันงั้นเหรอ...
อย่าหลงไปกับคำหลอกลวงของเขา ฉันเฝ้าบอกกับตัวเองในใจเบาๆ ความตั้งใจของฉันที่อยากกำจัดเขาออกไปจากชีวิตต้องไม่จางหายไปเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา ก็แค่คำพูดหลอกลวงที่ทำให้รู้สึกดี
... ก็แค่เท่านั้น
“เอาเป็นว่าฉันยกโทษให้ เพราะวันนี้แกดูเท่เป็นพิเศษแล้วกัน ^^” ทิมโมธีเปลี่ยนท่าทางรวดเร็วจากโมโหเป็นรอยยิ้มกว้างแถมดูเหมือนเขาจะขำนิดๆด้วย
หมอนี่เปลี่ยนอารมณ์เร็วจริงๆ =_=;
“แกมีสิทธิ์อะไรมายกโทษให้ฉันงั้นเหรอ -*-”
“เอาเถอะฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ถือโทษอะไร ฉันหิวข้าวแล้วไปกันเถอะ ^^”
ทิมโมธีมีท่าทางร่าเริงมากจนน่าหมั่นไส้ เขาโอบคอวอดก้าและดีลุกซ์ให้เดินออกไป ซึ่งทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่ฉันกับอัลฟองเซ่เท่านั้นที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ =_=
“บ้าชะมัด น่าหงุดหงิดจริงๆ -*-”
“นายเป็นผู้ชายขี้บ่นนะ -_-”
“อย่าพูดด้วยน้ำเสียงไร้ความรับผิดชอบนะ ทั้งหมดมันเป็นเพราะเธอ (-*-)!” อัลฟองเซ่หันมามองฉันด้วยสายตาไม่พอใจ
“งั้นเหรอ ที่นายหงุดหงิดเป็นเพราะฉันงั้นเหรอ”
“ถ้าไม่ใช้เธอแล้วจะเป็นใครล่ะ ให้ตายเหอะฉันหงุดหงิดจริงๆ -*-”
“นายหงุดหงิดที่ฉันไปยุ่มย่ามกับเพื่อนของนาย หรือเพื่อนของนายมายุ่มย่ามกับฉันล่ะ ^^”
“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ นี่เธอคิดจะยั่วโมโหฉันรึไง -*-”
“เปล่าเลย นายก็โมโหฉันตลอดเวลานั่นแหละ -_-” ฉันตอบก่อนเบนหน้าออกไปทางอื่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำไมต้องรู้สึกแบบนี้ด้วยนะ มันเหมือนกับว่าฉันน้อยใจเขาเลย -_-
เฮอะ! ไม่อลังการเลยสักนิดเดียว =*=
“เฮ้อ~ โทษทีฉันมันงี่เง่า -*-” เขาขอโทษทั้งๆที่คิ้วของเขายังไม่คลายออกจากกัน “รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีอะไร แต่มันโมโห ก็ไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนว่าโมโหอะไร นั่นล่ะมันเลยหงุดหงิด -*-”
“นายไม่เข้าใจจริงๆนะเหรอ”
“จะว่าไม่เข้าใจก็คงไม่ใช่ ฉันเองก็รู้อยู่เต็มอก เธอเองก็เหมือนกัน... ไม่ใช่รึไง” อัลมองเซ่จ้องมองมาที่ฉันด้วยแววตาที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ
หัวใจสั่นไหวอย่างไม่เข้าใจ อย่าหวั่นไหวเด็ดขาดนะทะเล เขาเคยพูดกับเธอว่ายังไง เขาจะทำให้เธอหลงรักเขาแม้ว่าเธอเองจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจงใจทำแบบนั้นและจะหักอกเธออย่างไม่ใยดี เขากำลังแสร้งแสดงละครแสนหวานที่จะฉีกหน้าอกเธอออกเป็นชิ้นๆแล้วกระชากหัวใจโดยที่เธอไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่หลงใหลในความรักงมงายนั่น
ต้องจำให้ขึ้นใจ ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ วันนี้เพื่อกำจัดเขาออกไป ไม่ใช่ให้เขากำจัดเธอ!
“ฉันบอกไปรึยังว่าวันนี้เธอสวยจริงๆ ^^” เขาพูดพลางเอื้อมมือมาจับเส้นผมของฉันแล้วจุมพิตเบาๆ
“นายก็รู้ว่ายัง”
“เธอดูเหมือนนางฟ้าเลยนะ ^^”
“ไม่เหมาะกับฉันหรอกนะ นางฟ้าอะไรนั่นน่ะ”
“ก็ดีเหมือนกัน เพราะฉันก็ไม่เหมาะจะเป็นเทวดาเหมือนกัน ^^”
“แต่นายก็ได้เป็นนี่”
“มันช่วยไม่ได้ ผู้หญิงพวกนั้นหลงเสน่ห์ฉันเอง” เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนขยับเข้ามาใกล้
“เป็นคำพูดที่หลงตัวเองจริงๆ”
“รึว่ามันไม่จริง ^^”
“ช่างเถอะ ป่วยการที่จะเถียงกับนายเรื่องนี้ =_=;”
“เพราะฉันหล่อจริงๆใช่ไหม ^^” เขายื่นหน้ายิ้มแย้มเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเราแทบจะชนกัน “ว่าไง^^”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธสักหน่อย -_-”
อัลฟองเซ่ยิ้มอย่างพอใจ เขาก้าวเลยฉันไปเล็กน้อยเอื้อมไปหยิบกุหลาบสีแดงดอกใหญ่ที่อยู่ในแจกันมา หักก้านทิ้งก่อนเอามาทัดหูให้ฉัน
“ฉันให้เธอ ^^”
“ไม่ลงทุนเลย =_=”
“เสียมารยาท นั่นหัวใจฉันเลยนะ -*-”
“งั้นเอากลับไปซะ เพราะห้องนี้คงมีหัวใจนายไปทั่ว” ฉันกำลังจะดึงดอกที่ทัดหูอยู่ออก แต่เขากลับขว้ามือของฉันไว้แล้วจับมือของฉันทาบลงบนหน้าอกของเขา
เสียงหัวใจเต้นได้ยินอย่างชัดเจนทั้งๆที่มือไม่มีประสาทรับเสียง
แล้วฉันได้ยินเสียงนั้นผ่านอะไรกันนะ
“หัวใจฉันมีแค่ดวงเดียวเท่านั้นแหละ และมันก็อยู่ที่...” เสียงของเขาเงียบหายไปทันทีที่ริมฝีปากฉันแตะกับริมฝีปากของเขา
ไม่ได้นะ... นายยังพูดมันไม่ได้
ฉันยังไม่อยากได้ยินมันในตอนนี้
เขาดูเหมือนตกใจเล็กน้อยแต่ก็กอดฉันไว้แน่น โดยจากจูบอ่อนโยนที่มาจากฉันแปรเปลี่ยนเป็นจูบที่ร้อนแรงในทันทีที่เขาตั้งตัวได้ เนิ่นนานจนหายใจไม่ออก ฉันผลักเขาออกเพราะแทบไม่มีอากาศหายใจ ยืนหอบเล็กน้อยก่อนอากาศของฉันจะถูกช่วงชิงไปอีกครั้งด้วยริมฝีปากร้อนนั่น
ไฟทุกดวงหรี่แสงลงก่อนจะแสงไฟจะสว่างวาบที่เวทีใหญ่ พิธีกรหนุ่มกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มเฉิดฉายก่อนเสียงปรบมือจะดังกระหึ่มขึ้น ฉันผลักหน้าอัลฟองเซ่ออกอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะดูไม่พอใจนักแต่กลับไม่ว่าอะไร
“นายไปได้แล้วนะ”
“ไม่ไปแล้ว ฉันจะอยู่กับเธอ ^3^” เขาทำท่าดื้อเหมือนเด็กๆ ก่อนจะโน้มตัวมาจูบฉันอีกครั้งแต่ฉันก็ใช้มือปิดปากเขาไว้ทัน =_=; ถ้าจะให้พูดจริงๆก็เกือบไม่ทันล่ะนะ
“พอได้แล้ว นายปล่อยให้นางฟ้ายืนอยู่คนเดียวน่าสงสารเธอแย่”
“ช่างสิ แล้วเธอไม่สงสารฉันรึไง T^T” เขามองหน้าฉันอย่างหงอยๆ ไม่คิดว่าความทะเล้นของเขาจะทำให้หัวใจฉันกระตุกวูบ ฉันไม่สงสารเขางั้นเหรอ
... ไม่เลยสักนิด
“ไปได้แล้วน่า -*-” ฉันพูดอย่างรำคาญก่อนขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาดื้อมากจริงๆ
“งั้นสัญญาได้ไหม ถ้าฉันกลับมาเราจะจูบกันอีกน่ะ ^3^”
“ไม่รู้สิ J”
“เป็นงั้นไป T^T”
“ก็ต้องดูอีกที่ว่านายกล้ามากแค่ไหน J”
“เธอเจ้าเล่ห์น่าดู”
“แล้วนายจะทำไหมล่ะ J”
“ก็ต้องดูอีกทีว่าเธอจะให้ฉันมากแค่ไหน J”
“ฮึ! ^^ ไปได้แล้ว”
ฉันส่งยิ้มให้เขาในตอนที่เขาเดินออกไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉยในตอนที่เขาลับสายตาไปแล้ว ดึงดอกกุหลาบออกมากะจะปาทิ้ง แต่มือกลับหยุดชะงักไว้อย่างไม่เข้าใจตัวเอง มองที่ดอกกุหลาบสีแดงดอกโตที่ดูไม่มีค่าอะไรเลยเมื่ออยู่ในแจกัน แต่ตอนนี้กลับทำให้ฉันตกที่นั่งลำบากอย่างน่าประหลาดใจ
ความลังเลในใจควรกำจัดออกไปให้หมด…
ฉันคิดแบบนั้นก่อนบีบดอกกุหลาบแน่นแล้วยกขึ้นทัดหูไว้เหมือนเดิม...
ความคิดเห็น